A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1118285 ครั้ง)

ออฟไลน์ suginosama

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
ตอนนี้น่ารักมากๆเลยค่ะ อ่านไปยิ้มไป
รอตอนต่อไปค่ะ^^

A. marco

  • บุคคลทั่วไป
อ่านไปก็ห่วงๆว่าเรื่องนี้จะจบ แฮ็บปี้เอนดิ้ง ป่าว
ชอบมากกกกกกแต่คงรับไม่ได้ถ้าจบเศร้า หรือแบบอึดอัด!  ตอนนี้ยังอ่านไม่ทัน แต่คงอีกไม่นาน
ขอบคุณๆเซ็งเป็ด

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
เข้ามารอ^^

Ramika

  • บุคคลทั่วไป
ดันไว้

A. marco

  • บุคคลทั่วไป
โอย ตี2แระ พึ่งอ่านทัน ต่อไปคงได้รอเหมือนคนอื่นเค้า แหง่ว @.@
ชอบฉากหวานๆแบบนี้อ่ะ.
ได้ยินมาว่าคนเขียนงานยุ่งแต่ก็ยังอยากแต่ง ผมขอชมเชยจริงๆ คุณต้องภูมใจกับมันแน่
รอต่อไป!

kumaichill

  • บุคคลทั่วไป
แต่งเก่งมากเลยค่ะ ทั้งสนุกและมีสาระ o13

ฉากหวานๆ อ่านแล้วยิ้มไม่หุบ

รอต่อไป

ออฟไลน์ VICTORY

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 787
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
หวานกันจังเลยยน่ะค่ะ

altctrldelete

  • บุคคลทั่วไป
ตอนใหม่นี่น่าร้ากกก

เข้ามารอจ้า

A. marco

  • บุคคลทั่วไป
ขออนุญาติเม้นอีกสักรอบนะ แวะเข้ามาดูถี่มาก แต่ยังไม่เห็นตอนใหม่ เลย

จะบอกว่าชอบตัวละครเรื่องนี้มาก อยากให้ 2 คนได้รักกันในตอนจบอ่ะ สิ่งที่กลัวสุดตอนนี้คือกลัวใจคนเขียน

มาต่อเร็วๆนะครับ ผมคนนึงที่รออยู่

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
และแล้ว 1000 ผ่านไป ก็ยังรอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
ปูเสื่อนั่งรอ^^

andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงหมอปีย์

nicky_B

  • บุคคลทั่วไป
พึ่งอ่านทันครับ โคตรติดงอมแงม อ่ะ
แร้วมะไหร่จามาต่ออ้า รอจน นมยานถึ่งเข่าแย้ว
มานะ มานะ มานะ คร้าบบบบ อยากอ่านต่อ

Rawint_PK

  • บุคคลทั่วไป
โอยยย
ไม่ไหวแล้วครับ
อ่านเรื่องนี้ทีไร
หิวทุกที

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
รอจ้า^^

nicky_B

  • บุคคลทั่วไป
ที่หายไปนาน หรือว่า จะเขียนให้จบ แล้ว ค่อย มาลงทีเดียว หลายๆ เลย เฮ้ย! งั่นก็โคตรจะเจ๋งเลยเว้ย

รอน้านนานครับ (แต่ยังรอ)

altctrldelete

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงเจ้าบื้อกะหมอปีย์ ^ ^

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
อ่านจบแล้วค่ะะะ  สนุกมากเลย  อิอิ

ชอบหมอปีย์มากเลยอะะ  เท่ห์ ปน ขี้อายเหมือนคนสมัยก่อนเลย ฮ่าๆ

อัช ก็น่ารัก  ติดห้าวไปหน่อยน้าา  แต่ให้อภัยค่ะ ๆ ๆ

มาต่อไวไวนะคะ

Rhythm

  • บุคคลทั่วไป
 น่ารักอ่ะ

Zymphoniz

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากเลยค่ะ
สอดแทรกเกร็ดความรู้+ข้อมูลแน่นมากๆ


ปล. ดูจากเค้าเรื่องแล้ว มีโอกาสจบแบบเศร้าสูงเลยอ่ะ  :z3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-03-2011 16:09:09 โดย Zymphoniz »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






altctrldelete

  • บุคคลทั่วไป
หัวทู้เปลี่ยนแี้ร่ะ

เข้ามารอจ้า

Rhythm

  • บุคคลทั่วไป
รอด้วยคนค่ะ
 :mc4:

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2

เรานั่งพักกันที่ร้านครู่ใหญ่ นั่งนิ่งๆมองผู้คนเดินไปเดินมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ต่างประเทศยังไงก็ไม่รู้ เหมือนไปเที่ยวประเทศที่ยังคงรักษาประเพณีวัฒนธรรมอันสวยงามแบบนี้อย่างเหนี่ยวแน่น บรรทัดฐานทางการตลาดใช้ไม่ได้ผลสำหรับที่นี่

พวกเขาใช้เงินเป็นตัวแลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่อให้การแลกเปลี่ยนง่ายขึ้นแทนที่จะคอยมาตัดสินว่าขาหมูน่องหนึ่งจะแลกหัวผักกาดได้กี่หัว แค่นั้น   พวกเขายังไม่ได้ตกเป็นทาศของเงินตรา พวกเขายังไม่ได้ขายวิญญาณให้เงินตราอย่างสมัยผม
ที่แห่งนี้ผู้คนยังคงใช้บรรทัดฐานทางสังคมในการตัดสินใจคน พวกเขายังคงยินดีไม่คิดเงินหากเห็นว่าคุณไม่มีเงิน พวกเขายินดีลด แลก แจกแถม หากเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนบ้าน น้ำใจเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ยังคงมีอยู่
ผมยังเห็นเด็กน้อยไปยืนต่อคิวขอกินน้ำตาลเคี่ยวที่ปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆโดยไม่ต้องจ่ายเงินอยู่เลย
แต่สมัยผมนั้นแบบนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นสักเท่าไหร่แล้ว เราตัดสินคนดีคนเลวกันด้วยจำนวนของธนาบัตร ทรัพย์สิน และนามสกุล กันเสียมากกว่า
บางคนชนคนตายเกือบโหล แต่กลับรอดได้อย่างไม่น่าแปลกใจ
ในขณะที่บางคนโดนจับขังคุกข้อหาค้ายา เพียงเพราะมีคนแอบอ้างบัตรประชาชนของเธอ เธอทักท้วงว่าเธอไม่ได้ทำ ขอให้ตรวจสอบและสอบสวนให้ดี  แต่ก็ไม่เป็นผล พวกเขาไม่ทำ ไม่สนใจ กลับจับเธอโยนเข้าคุก เพราะอะไร พวกเรารู้ดี
เพราะฉะนั้นบรรทัดฐานที่เราใช้ในสังคมปัจจุบันนี้จึงเปลี่ยนไป เราอยากร่ำรวย มีเงินมีทองมากมาย เราอยากมีชื่อเสียงโด่งดัง เพื่อว่าเราจะได้มีที่ยืนทางสังคม
การเป็น someone ในสังคมใหญ่ที่ไม่มีใครรู้จักนั้น  ยากที่จะหาที่ยืนได้อย่างมั่นคงในสังคมปัจจุบันของผม
“เฮ้อ”  ผมเผลอถอนหายใจออกมาอย่างแรง จนหมอนั่นหันมามอง
“เป็นอันใดไปรึเจ้าบ้า” เขาถาม
“ปล่าว ไม่มีอะไร” ผมหันไปฝืนยิ้ม “ที่นี่ดีเน๊อะ ของกินเยอะดี”
“ร้านรวงแบบนี้มีทั่วสยามนั่นแหละ เจ้าอยู่เมืองนี้มิมีวันอดตาย”
คำพูดของหมอนั่นทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวันที่ตัวเองออกท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ตื่นเต้นทุกครั้งที่จะไปต่างประเทศ แค่ได้ชื่อว่าไปต่างประเทศก็ดีใจแล้ว
-   บาหลี เป็นประเทศแรกที่ผมเดิ่นทางไปเที่ยว ผมตื่นเต้นมาก เพราะเป็นเมืองในฝัน ดูจากสารคดีต่างๆมาทำให้รู้สึกว่าอยากไปเที่ยว
ผมใช้เวลาอยู่ที่เกาะแห่งนั้น สามวัน สองคืน คนเดียว ในห้องพักระดับ สามดาวที่มีเสียงเพลง soundtrack น่าขนลุก รูปปั้นที่คุณต้องก้มหน้าเวลาเดินผ่าน ผมไม่สามารถจ้องตารูปปั้นเหล่านั้นได้ มันน่ากลัวจริง ๆ 
รูปปั้นเหล่านี้อยู่ทุกที่ ในลิฟท์ ในห้องน้ำ  ระเบียง ตามถนน ริมสะพาน หน้าบ้าน หน้าร้านสะดวกซื้อ เวลาคุณเดินไปไหน คุณจะรู้สึกเหมือนว่ามีสายตาเหล่านั้นจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
ยังจำได้เลยว่าตอนเข้าห้องพักครั้งแรกเปิดประตูเข้าไป เจอรูปปั้นนางยักษ์ร่ายรำในท่าบิดเบี้ยว หล่อนเอียงคอมาทางประตูมองมาที่ผม ตาเบิกโพรง ปากแสยะยิ้ม คล้ายกับกำลังจะบอกผมว่า
“ไอ้เหี้ย เข้ามาทำไมไม่ถอดรองเท้าวะ สัส” ประมาณนั้น  ผมผงะ ตกใจใจเยี่ยวแทบเล็ด
“ห่าเอ้ย เอาอะไรคิดวะ เอารูปปั้นนางยักษ์มารับแขกเนี๊ยะ” ผมคิด พลางนึกถึงรูปปั้นนางอัปสรที่ยืนสวัสดีอย่างอ่อนช้อยที่สยามบ้านเราแล้ว ผมรักนางขึ้นมาทันที
ก่อนเข้าไปในห้อง ผมไหว้นางยักษ์อารมณ์เสียนั้นเสียครั้งหนึ่ง
“ sorry นะยู ไอ ขอมานอนสักคืนสองคืนนะ อย่ามาหลอกมาหลอน มาอำ มาทับไอเลยนะยูนะ ” ผมไหว้ขอย่างหวดกลัว  แล้วก็เหวี่ยงเอาผ้าเช็ดตัวคลุมชะนียักษ์นางนั้นไว้ ไม่อยากคิดว่าคืนใดคืนหนึ่งหล่อนเกิดนึกอยากจะหันหน้าเอียงคอมามองผมอีกฝั่งจะเป็นยังไง
สัตว์ประจำชาติอีกอย่างที่พบได้ทั่วไปสำหรับเกาะบาหลีนี้คือ ตุ๊กแก ไม่ว่าจะไปที่ไหน จะมีตุ๊กแกรูปปั้นแปะอยู่ราวกับเป็นกระต่าย นกแก้ว นกขุนทองสัตว์เลี้ยงแสนรักประมาณนั้น แล้วรูปปั้นนั้นก็ช่างเหมือนจริงเสียกระไร ผมร้องลั่นห้องน้ำ เมื่ดเปิดประตูและหันมาปิด แล้วพบว่ามีตุ๊กแกตัวลายพร้อยขนาดเท่าแขนเกาะนิ่งตาแดงแปร๊ดอยู่ที่ประตู อารามตกใจ เข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ห่า รูปปั้น
“ช่างเป็นเมืองที่มีจุดยืนอะไรเช่นนี้”
รูปปั้นของที่นี่ส่วนใหญ่จะทำออกมาในลักษณะน่าเกรงขาม อยู่ในท่าทางที่ดูเหมือนเคลื่อนไหวแบบตกใจอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งคงนำเค้าโครงมาจากคนที่นี่จริงๆ เพราะรูปปั้นกับคนที่นี่หน้าต่าก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
แต่ไม่ใช่เมืองนี้จะไม่มีอะไรดีเอาเสียเลย ส่วนดีก็มีมาก อย่างเช่นเป็นเมืองที่มีอารยธรรมและมีวัฒนธรรมที่ค่อนข้างจะเหนียวแน่น ภูเก็ตน่าจะดูเป็นตัวอย่างในส่วนนี้ การแต่งกายของคนที่นี่ บ้านเรือน ประเพณี ต่างๆยังเป็นพื้นเมืองอยู่ ทุกเช้า ทุกร้านค้า บ้านเรือน หรือแม้แต่โรงแรมจะเอาห่อใบตองที่มีอาหาร ขนม ดอกไม้ มาวางไว้หน้าบ้านเสมอเต็มไปหมด ผมถามเขาว่า
“ยูเอามาวางกันไว้ทำไม”
เขาตอบผมว่าไงรู้ป่าว
“เอามาให้ผีเร่ร่อน ผีบ้านผีเรือนกิน”
เชี่ยเอ้ย นี่บ้านเมืองนี้นี่ผีเยอะขขนาดนี้แล้วกูจะอยู่ได้ยังไง คนที่กลัวผีแนะนำให้พาเพื่อนไปด้วยหากจะไปที่นี่ 555
 อ้อ  และข้อดีอีกอย่างของที่นี่คือยังเป็นสวรค์ของนักโต้คลื่น และพวกกีฬาเอ็กซ์ตรีมต่างๆด้วย   /พวกฝรั่งชอบมานอนอาบแดด เล่นกระดานโต้คลื่นกัน พวกเขาดูตื่นเต้นมาก
แต่คงไม่เหมาะกับผมแหละ อย่างผมโล้กระดานเก็บหอยหลอดตามขี้เลนนี่ก็บุญแล้ว

-   เกาหลี เป็นประเทศที่ใครต่อใครใฝ่ฝันอยากไปเยี่ยมสักครั้ง ส่วนหนึ่งอาจได้รับอิทธิพลมาจากหนัง ละคร และสื่อซะส่วนใหญ่ ผมเองที่ได้ไปเพราะงานเสียมากกว่า ยอมรับว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ให้อยู่เลย ไม่เอา
อย่างที่บอกว่าเกาหลีเป็นประเทศที่ประสบภาวะสงครามมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเขาดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพื่ออยู่รอด จึงไม่มีเวลามาคิดถึงการสั่งสมวัฒนธรรม ประเทศนี้จึงคล้ายกับไม่มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาเพิ่งมาสร้างเอาทีหลัง และขี้ตู่เอาว่ามันมีมานานแล้ว
ผู้คนของที่นี่ที่ผมเจอจะแยกเป็นสองส่วน คือพวกผู้ใหญ่คนแก่ และพวกวัยรุ่นเด็ก พวกผู้ใหญ่จะเป็นรุ่นที่ผ่านอะไรมามากมาย ความอดยากแร้นแค้น การต่อสู้เอาตัวรอด พวกนี้จึงไม่มีเวลาเรียนรู้เรื่องมารยาท ความมีน้ำใจ และสิ่งที่เรียกว่า สากลเท่าไหร่ มันไม่ใช่ความผิดพวกเขาหรอก พวกเขาไม่เหมือนคนไทยที่โชคดีไม่เคยเจอสงครามร้ายแรงแบบนั้น เราจึงมีเวลามาคิดประดิษฐ์ประดอยแกะสลักอาหาร ทำอาหาร ท่าทางร่ายรำ การไหว้ การเดิน การเข้าหาผู้ใหญ่   การจักสานเย็บปักถักร้อย สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหากบ้านเมืองสงบ
แต่พวกเขาไม่มีเวลาทำอะไรแบบนี้ แค่จะดิ้นรนให้อยู่ได้ก็ยากแล้ว ดูง่ายๆจากวิถีการกินอาหารของพวกเขา มันมีอะไรมากไปกว่าการปิ้ง ย่าง และเอาทุกอย่างรวมกันแล้วก็คลุกมั๊ย สิ่งเหล่านี้บอกอะไรเราได้หลายๆอย่างถึงความเป็นอยู่พวกเขาในอดีต
แล้วมาดูอาหารไทย กว่าจะได้กินแต่ละอย่าง ต้องขูด ล้าง ตำ คั้น แกะ ปรุงแล้วปรุงอีก จัด วาง ทุกอย่างปราณีตและดูมีที่มาที่ไปอีกแบบจากข้างบนใช่มั๊ย
นั่นหล่ะครับที่เราเรียกว่าการสั่งสมทางวัฒนธรรม
เวลาผมเจอผู้ใหญ่เหล่านี้ทำกริยาไม่ดีใส่ ผมจะเข้าใจพวกเขา ว่าเหตุใดเขาถึง
ใช้ปากกาเขวี้ยงหัวเราเพื่อให้เราหันมาหาเขา
ใช้ชักโครกโดนไม่กด หรือแม้กระทั่งขึ้นไปฉี่บนอ่างล้างหน้าบนเครื่องบิน
ส่งเสียงดังด่าทอ ตบตีกันโดยที่ไม่มีเหตุผล พูดจาไม่เข้าหูจู่ๆเจ๊แกก็ตบหน้าได้โดยที่เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิด
ผมเคยโดนป้าอันยองแก่ๆเอาไม้กวาดไล่ตีออกมาจากร้าน เพียงเพราะแกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ (แล้วกูผิดตรงไหนเหรอ อีป้า กูถามหน่อย)
หรือแอร์สาวถูกพวกผู้ชายจับขึงเป็นตัวประกัน และปล่อยให้พวกป้าแก่ๆรุมตบตี เพียงเพราะเครื่องบินเสีย บินไม่ได้
แล้วยังมีอีกมากมายที่เราเรียกว่า อาการ “ถ่อย” หากคนที่ไม่เข้าใจความเป็นมาของพวกเขา เราจะว่าเขา และโกรธเขา เพื่อนผมบางคนคลั่งเกาหลีจนเรียกว่ารู้ทุกอย่างของประเทศนี้(แต่ยังไม่รู้จักคนประเทศนี้ดีพอ) ลงทุนไปกู้เงินมาซื้อตั๋วเครื่องบินไปเกาหลีเพื่อจะไปดูร้านกาแฟค๊อฟฟี่ปริ๊นซ์ นางไปเกาหลีกับทัวร์เป็นเวลา 4 วัน 5 คืน
ผมก็ไม่รู้ว่านางเจออะไรมาบ้าง แต่พอนางกลับมา นางเลิกพูดถึงคำว่าเกาหลี และขายหนังเกาหลีทุกเรื่องที่ซื้อของแท้มาผ่านทางเวปออนไลน์หมดเกลี้ยงทันที 555
แต่หากคนที่เข้าใจวัฒนธรรมและความเป็นมาก็จะสงสารเขา และจะรู้ว่า จริงๆ พวกนี้ไม่มีอะไรเลย ออกจะใจดีเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำกันอยู่นั้น คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน

ส่วนของวัยรุ่นเป็นวัยที่เรียกได้ว่าพลิกกลับหน้ามือเป็นหลังมือ ความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างเกิดขึ้นชัดเจนมากระหว่างสองรุ่นนี้ หากพวกผู้ใหญ่เป็นพวกอนุรักษ์นิยม กลุ่มเด็กพวกนี้ก็จะเป็นพวกเสพวัตถุนิยมอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาใส่ใจอยู่กับความสวยความงาม เทคโนโลยี เงิน และชื่อเสียง 
เราสามารถเห็นเด็กวัยรุ่นใส่หูฟังนั่งเล่น I Pad ข้างๆหญิงชราแต่งตัวคล้ายโอชิน แบกเศษฟืน และไม้ขึ้นรถไฟได้อย่างชินตา

   แต่ผมกับนับถือประเทศนี้มากตรงที่เขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากประเทศที่ไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้ กลับกลายเป็นประเทศที่ดูดเงินเข้าประเทศมากที่สุดโดยอาศัยสื่อบันเทิง (อย่างอื่นไม่มีไง แหะๆ)
ผมไปมาเลเซีย กระแสเกาหลีก็แรง
ไปอินโด ยิ่งแรงไปใหญ่
ไปลาว นี่ไม่น่าเชื่อว่าสาวลาวจะคลั่งใคล้ ซุปเปอร์จูเนียร์กันอย่างหนัก
น่านับถือใช่มั๊ยหล่ะที่เขามาได้ถึงขนาดนี้

-   สิงคโปร์ เกาะเล็กๆที่ไม่เล็กตามเกาะ ประเทศที่มั่งคั่ง เป็นระเบียบเรียบร้อย ขนาดปลูกต้นไม้ริมถนน เขายังแปลนก่อนปลูกเลยครับ เราจึงเห็นต้นไม้สองข้างทางเรียงรายร่มรื่นเป็นระเบียบ ผิดกับบ้านใครก็ไม่รู้ ปลูก แล้วตัด และปลูกแล้วตัดอยู่นั่นแหละ ถนนก็เดี๋ยวทุบ เดี๋ยวสร้างวนไปวนมา
ผมไปเที่ยวสิงคโปร์ แล้วก็ยอมรับว่าชอบครับ ถึงค่าครองชีพจะแพงไปบ้าง เช่นน้ำขวดเจ็ดบาทบ้านเราที่นู่นขาย สามสิบ ข้าวมันไก่จานละสองร้อยกว่าบาทไรงี้ แต่ก็รับได้เพราะอร่อย 555 นอกเหนือจากความเป็นระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ เพราะเขามีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมาอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม แต่ไม่มีปัญหาอะไรกันเลย
ที่นี่ยังเปิดกว้างสำหรับทุกชาติด้วย ค่อนข้างจะปลอดภัยสำหรับคนที่จะไปเที่ยว ขนาดคนขับแท๊กซี่ของเขาที่นู่นมารยาทยังกับพนักงานโรงแรมห้าดาว หันกลับมามองแท๊กซี่บ้านเราแล้วต้องถอนหายใจจนขนจมุกปลิว

ยังมีอีกหลายประเทศที่ผมได้มีโอกาศได้ไปเปิดประสบการณ์
-   ประเทศอียิปต์ ที่ขึ้นชื่อว่าขี้โกงและไม่น่าคบที่สุด โกงขนาดไหน ขนาดที่ว่า ผมจะขึ้นขี่อูฐมัน มันคิดเงิน พอผมจะลงเสือกมาคิดเงินค่าลงกูอีก เรื่องอะไรกูจะให้ มึงไม่ให้กูลงกูก็ไม่ง้อ กระโดดลงก็ได้ว่ะ 555
คนที่นั่นจะเห็นชาวต่างชาติไม่ได้เห็นเป็นขอเงินหมด คนทำความสะอาดห้องน้ำในสนามบิน ทำความสะอาดอยู่ดีๆ พอกูเข้าไปเยี่ยว เยี่ยวเสร็จเดินมาของเงินเสียอย่างนั้น
หรือขนาดที่ผมนอนหลับบนเครื่องบิน มือกอดกระเป๋าเงินดอลล่าห์อยู่ จู่ๆตื่นมาก็เห็นคนอียิปต์โพกหัว กำลังยืนอยู่ที่เก้าอี้ผม มือนั้นกำลังดึงกระเป๋าเงินผมออกไปอย่างหน้าด้านที่สุดในสามโลก ผมลืมตาขึ้นและถามว่า
“ทำเชี่ยอะไรของมึง” มันตอบว่าอะไรรู้มั๊ย
“ไอนึกว่ากระเป๋าตังส์ไอ เห็นมันเหมือนกันน่ะ แหะๆ” เชี่ยเน๊อะ
แต่มีเลวก็ต้องมีดี คนดีๆก็มี ของดีๆก็มีเพียงแต่ผมซวยดันไปเจอคนแบบนี้ซะส่วนใหญ่
-   ไนจีเรีย ประเทศขี้โม้ ชอบหาว่าประเทศไทยยังขี้ช้างขี่ควายอยู่
“นี่ๆ ยูดูสิ บ้านไอมีรถไถคูโบต้าด้วยนะ  บ้านยูมีรึป่าว” ผมหัวเราะจนขี้เกือบเล็ด
แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ถือว่าน่ารักดี เพียงแต่เป็นที่รู้ๆกันว่าเราจะไม่ไปไหนคนเดียว หรือจะไม่ออกไปไหนกลางคืนในประเทศนี้
-   ศรีลังกา ประเทศที่ผู้คนน่ารัก นิสัยดี คล้ายคนไทย แต่ก็มีส่วนแขกมาเยอะเหมือนกัน ใครคิดว่าประเทศนี้ไม่มีเกย์ ผมเจอมาแล้วครับบนเครื่องบิน ทหารทั้งลำ นั่งกันเป็นคู่ๆ นั่งเขี่ยนิ้วกัน ดึงหนวดกัน จูบปากกัน น่ารักน่าชัง ลองนึกถึงทหารแบบพวกพยัคทมิฬแล้วจินตนาการตามที่ผมเล่าดู แล้วคุณจะรู้ว่ารักไม่มีพรมแดนจริงๆ

ยังมีมากมายหลายประเทศที่ผมได้ไปสัมผัส ตอนผมอยู่เมืองไทย กรุงเทพฯ เจอปัญหารถติด น้ำท่วม ของแฟง ร้อนผมก็ด่าหมด
แต่ถึงผมจะบ่นด่าประเทศตัวเองสักแค่ไหน สุดท้ายผมก็รักประเทศนี้มากที่สุดนั่นแหละ เพราะไม่มีที่ไหนดีเหมือนบ้านเราแล้ว จริงๆ
หากใครอยู่ไกลบ้านจะรู้ดี
ผมหิวเมื่อไหร่ผมไม่ต้องกลัวอดตาย ทุกที่มีของกิน จะข้างทางจะซอยเล็ก แคบ มืด เปลี่ยวแค่ไหน อย่างน้อยที่สุด ก็มีชายสี่หมี่เกี้ยวกิน จะสองทุ่ม เที่ยง คืน ตีสาม หัวรุ่ง คุณหิวเมื่อไหร่ แค่เดินออกมาจากบ้าน คุณก็มีของกินแล้ว แต่ที่อื่นมันไม่มีแบบนี้
ที่ออสเตรเลีย สองทุ่มร้านต่างๆจะปิด คุณหมดโอกาศหิวตอนกลางดึกนะจะบอกให้ นอกจากเข้าไปร้านซุปเปอร์ไปหาของที่โคตรแพงกิน หมี่ไก่มะระชามละ 20 บาทก็ไม่มี
ที่บาหลี หากเราอยากกินชามะนาวสักแก้ว แก้วละสิบห้าบาท ไม่มีนะครับต้องไปกินที่ร้านหรือในร้านสะดวกซื้อซึ่งก็แพงจนกินไม่ลง

นี่แหละครับผมถึงนั่งนึกว่า วัฒนธรรมแบบนี้ใช่ว่าจะสร้างกันได้ง่ายๆ มันเกิดมาเป็นร้อยๆปี ร้านข้างถนนไม่ใช่จะมีทุกที่ในโลก และไม่ใช่ทุกที่จะทำได้แบบประเทศไทย ถึงมันจะรก เกะกะไปบ้างบางครั้ง แต่มันคือเสน่ห์ และหากคุณไปตกระกำลำบากที่ต่างแดน คุณจะคิดถึงร้านริมถนนแบบนี้จับใจเลยละครับ
“เป็นอะไรไป เงียบไปเลยเจ้าบ้า” หมอนั่นถาม ผมสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิด ซึ่งตอนนี้ไปไกลถึงอเมริกา
“อ๋อ ชั้นแค่ คิดถึงบ้านน่ะ” ผมตอบ
“บ้านเมืองเจ้ามีงานแบบนี้รึ”
“มีสิ ทำไมจะไม่มี”
“เล่าให้เราฟังบ้างสิ”
“เฮ้อ เล่าไปนายก็ไม่เชื่อชั้น ขี้เกียจเล่าให้เปลืองน้ำลาย”
“อ้าว.....................”
หมอปีย์ทำท่าจะพูดอะไรต่อ ก็พอดีที่สนวิ่งกระหืดกระหอบกลับมา
“อ้าว อ้ายสน เป็นเยี่ยงไรรึ” หมอปีย์ถาม
“ขอรับ กระผมไปส่งคำแก้วถึงเรือนแล้วขอรับ แล้วก็รีบกลับมานี่แหละขอรับ ว่าแต่ คุณหลวงมาทำกระไรที่นี่หรือขอรับ” มันหันไปที่แม่ของมันซึ่งตอนนี้หน้าเหวอ
“อ๋อ เรามาช่วยแม่เจ้า ขายขนมน่ะ” หมอปีย์ยิ้ม
“เอ็งว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นใครรึ อ้ายสน” หญิงแก่ละล่ำละลักถามมือไม้สั่น
“ก็คุณหลวงพินิจไงแม่ ที่อยู่เรือนหมอจรัสที่ชั้นไปทำงานอยู่ไงเล่า”
สิ้นเสียงสนพูด แม่ของมันก็ล้มตึงลงบนแคร่เอามือลูบอก
“พิโธ่ พิถัง อีบวบเอ้ย มีตาหามีแววไม่ อภัยให้อีชั้นเถิดนะเจ้าคะ คุณหลวง อีชั้นมันแก่หูตาฟ่าฟาง ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง.............” แกพูดร่ายยาว
ผมยืนหัวเราะแกจนท้องแข็ง ส่วนหมอปีย์นั้นได้แต่ปลอบใจแกว่าอย่าคิดมาก อย่าคิดมาก

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“เจ้าบ้า เจ้าไปเป็นเพื่อนคุณหลวงเถิด ข้าจักอยู่ดูที่นี่เอง” สนพูด
“ไม่เอาเว้ย เรื่องอะไร ให้มันไปของมันคนเดียวสิ ชั้นจะอยู่กับนายที่นี่แหละ” ผมเหลือบตาไปมองหมอปีย์ที่กำลังนั่งลงปลอบแม่ของสนอยู่
“ไม่ได้นะเว้ย เอ็งจะปล่อยให้คุณหลวงเดินเตร็ดแตร่คนเดียวไม่ได้นะเว้ย” เสียงของสนเข้มขึ้นมาทันทีอย่างน่าตกใจ
“ทำไมหล่ะ ทำไมจะไม่ได้” ผมถาม
“ก็..................”
“พวกเจ้าสองคนน่ะคุยอันใดกันรึ” หมอปีย์แทรกขึ้นมา
“อ๋อ เปล่าขอรับคุณหลวง เจ้าบ้ามันบอกว่ามันอยากจะชวนคุณหลวงไปดูหุ่นละครที่โรงกระนู้นน่ะขอรับ แต่มันไม่กล้า”
ผมหันขวับไปมองหน้าสนตาเขียวปั๊ด
“กูพูดเมื่อไหร่วะ” ผมกัดฟันพูด ก่อนจะหันกลับมาแสยะยิ้มกับหมอปีย์
“กระนั้นรึ เอาสิ เราก็อยากดูอยู่เหมือนกัน เหนเขาว่าน่าดูอยู่ใช่น้อย” หมอปีย์ยิ้มก่อนจะลุกขึ้นปัดกางเกง
ผมหันไปด่าไอ้สนอีกรอบ ก่อนจะเดินตามหมอนั่นไป



เวลาล่วงเลยมาเกือบจะสี่ทุ่มเห็นจะได้ ผมรู้สึกหนาวยังไงบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเริ่มเข้าสู่หน้าหนาวแล้วด้วย สายลมที่พัดมาเอื่อยๆนั้นหอบอุ้มเอาไอเย็นลูบไล้ไปตามผิวเนื้อที่ปราศจากอาภรณ์ห่อหุ่ม
“บรื๋อ” ผมตัวสั่น
“หนาวรึเจ้าบ้า” หมอปีย์ถาม
“อืม นี่มันจะหน้าหนาวแล้วเหรอ”
“ใช่ ช่วงเพลานี้แหละที่เขาเรียกปลายฝนต้นหนาว เจ้ามิได้เอาผ้าห่ม ผ้าคลุมมาด้วย เหตุนี้จึงได้หนาว” หมอปีย์หันซ้ายหันขวา
“ตามเรามานี่เถิด” เขาว่าก่อนจะเดินลอดหลังคาหญ้าแฝกของร้านขายน้ำตาลสดไปด้านหลัง
“เลือกเอาสิ” หมอนั่นพาผมมาหยุดอยู่ที่ร้านขายผ้าของป้าจากทางเหนือ
“จะรับอันหยังดีก่อเจ้า ผ้าห่มป้อจายก็มีนะเจ้า งามปะล้ำปะเหลือ” หล่อนรีบหยิบผ้าฝ้ายที่ทอเองผืนหนึ่งขึ้นมาโชว์ ผมหันไปมองหน้าหมอปีย์ เขาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ผมลองรับมาแล้วห่มดู
“เป็นยังไง อุ่นดีมั๊ย” มันถาม
“อื้ม จะซื้อให้ชั้นเหรอ”
“เอาสิ หากเจ้าชอบ”
ผมยิ้มถูกใจได้ของฟรี พลางหันไปบอกว่าเอาผืนนี้แหละ คนขายจะห่อกระดาษสาสีสวยให้แต่ผมไม่เอา เพราะจะใช้เลย
“ขอบใจนายมากนะ อุตส่าห์ซื้อให้ชั้น” ผมพูด
“ไม่ต้องขอบใจเราดอก เราเสียอีกที่ต้องขอบใจเจ้า”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“ก็เรื่องที่เจ้าออกมาเปนเพื่อนเรานิ” เขายิ้ม
ผมทำหน้าประหลาดใจ
“ทำไมอ่ะ ปกตินายไม่ออกมาเที่ยวแบบนี้เหรอ”
เขาส่ายหน้า
“เราทำตามอำเภอใจแบบนี้ได้ไม่บ่อยนักดอก เรามีภาระต้องทำมากโข อีกอย่างเราเป็นถึงคุณหลวง บ่าวไพร่ที่ไหนจักมาคิดว่าเราเป็นมิตรสหาย จักชวนเรามาทำอะไรแบบนี้”
ผมนึกถึงสิ่งที่มันพูด ก็อดสงสารมันไม่ได้ คนสมัยก่อนอายุเท่าผม เขาคงรับผิดชอบอะไรกันมากมายแล้ว ไม่สำมะเลเทเมาแบบนี้
“ก็ไม่เป็นไรนี่  นี่มากับชั้นรับรอง นายได้สนุกแน่ เดี๋ยวชั้นพาเที่ยวเอง ดีป่าว” ผมยิ้ม
หมอปีย์พยักหน้า ก่อนจะจับผ้าคลุมแล้วดึงขึ้นมาพันคอให้ผม


เราทั้งคู่เดินผ่านฝูงชนที่ต่างพากันออกมาเที่ยวงาน บางครั้งที่เราเดินผ่านพวกบรรดาสาวชาวบ้าน พวกนั้นก็จะยิ้มเอียงอายและพากันซุบซิบๆ ผมก็ได้แต่หันไปยิ้มแบบอายๆให้เท่านั้น ร้านรวงที่นี่มีของแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน น่าเสียดายที่ยุคสมัยผมหาของพวกนี้ได้ยากเสียแล้ว
อย่างเช่นร้านลูกข่าง ผมไม่เห็นมันอีกแล้วในกรุงเทพฯ เด็กสมัยผมเขาไม่เล่นอะไรแบบนี้กันแล้ว ตอนผมยังเป็นเด็กยังจำได้เลย ไม่ว่าจะเป็น อีมอญซ่อนผ้า ตี่จับ กระโดดยาง โยนหลุม ซ่อนหา งูกินหาง หรือเล่นเป็นรั้ว แล้วมีวัวแล้วก็ไล่จับวัวอ่ะ ผมจำชื่อไม่ได้ ตอนอยู่โรงเรียน ทุกบ่ายครูมักจะพาเราออกมาเล่นแบบนี้เสมอ และมันก็เป็นอะไรที่ผมรอคอยให้ถึงเวลานั้น แต่เดี๋ยวนี้การละเล่นแบบนั้นคงหายไปหมดแล้วละมั้ง
แต่ตอนนี้ ปัจจุบันของอดีตนี้ เด็กเหล่านี้ยังเล่นอยู่ พวกเขาวิ่งไปวิ่งมาตะโกนโหวกเหวก บางครั้งก็โดนพวกผู้ใหญ่เอ็ดเอาบ้าง แต่สำหรับผม ผมก็ว่า น่ารักดี
“นี่นาย ชั้นขอแวะร้านนี้หน่อยได้มั๊ย” ผมดึงเสื้อหมอปีย์ เขาหยุดและหันมามอง
“เจ้าต้องการสิ่งใดที่ร้านของเล่นนั้นรึ”
“ชั้นเอ่อ  ชั้นอยากได้ของเล่นไปฝากเจ้าแดงมันน่ะ  แต่เอ่อ  ชั้นไม่มีอัฐติดตัวเลย”
“อ๋อ เอาสิ ไม่เป็นไรดอก เราเข้าไปดูกันเถิด” แล้วมันก็เดินนำหน้าผมเข้าไป
ร้านขายของเล่นร้านเดิม แต่เหมือนอาเจ็กเจ้าของร้านจะเอาของมาขายมากขึ้น ผมเดินเข้าไปในร้าน มองหาของเล่นไปฝากเจ้าแดงมันสักชิ้น เพราะหลายวันมาแล้วที่ไม่ได้ไปหามัน
และแล้วผมก็ได้ลูกข่างสีสดอันหนึ่งไปฝากมัน ใจจริง ผมอยากได้ช้างตัวที่ทำมาจากไม้มีล้อตัวนั้นไปฝากมันมากกว่า เพราะแดงมันบ่นอยากได้ช้างมาตั้งนานแล้ว แต่พอถามราคาแล้ว ผมก็เกรงใจหมอปีย์ ก็เลยหยิบเอาลูกข่างมาแทน

“ดูท่าเจ้าจะเอ็นดู เจ้าแดงมันมากโขนะ” หมอปีย์ยิ้ม
“อืม เห็นแดงก็เหมือนเห็นชั้นตอนเด็ก” ผมตอบอย่างเลื่อนลอย “ถึงชั้นจะมีพ่อมีแม่ แต่ก็เหมือนไม่มี”
“ทำไมรึ”
“ก็พวกเขาต้องทำงานไง แล้วก็มักทิ้งชั้นไว้กับพี่เลี้ยง ที่ไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากละครทีวี ชั้นไม่มีเพื่อนเหมือนแดงมันนี่แหละ  สกปรกมอมแมมก็แบบนี้แหละ เฮ้อ ไม่รู้สิ ใครว่าการเป็นเด็กเป็นเรื่องง่าย ชั้นว่ามันไม่ง่ายเลย” ผมส่ายหัว
“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นหล่ะ” หมอปีย์ถาม
“แล้วนายว่านายเข้าใจเด็กมากแค่ไหนหล่ะ”
เขาส่ายหน้า
“ถ้านายไปเจอเด็กชายคนหนึ่งกำลังฟาดเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งด้วยกระบองของเล่น นายคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นยังไง”
“ก็ อาจก้าวร้าว หรือ รุนแรง” เขาตอบ
“แล้วนายจะทำยังไงกับเด็กคนนั้น”
“เราก็จักต้องทำโทษให้รู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด” หมอปีย์ตอบ
“โดยที่ไม่ถามเขาก่อนเลยเหรอว่าเขาโดนเด็กอีกคนแกล้งยังไงบ้าง เขาอาจโดนเด็กคนนั้นต่อย และเอากระบองนั้นตีเขาก่อนก็ได้” ผมใส่ไม่ยั้ง
“โอย เราไม่รู้ดอก เรามิใช่หมอเด็ก”
“เห็นมั๊ยหล่ะ เฮ้อ”
“เจ้าพูดเหมือนเจ้าคือเด็กคนนั้น”
“ปล่าว ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ” ผมตัดบท


โรงหุ่นละคอนอยู่เลยออกไปจากบริเวณที่จัดงานพอสมควร ระหว่างทางเดินที่เราจะไปโรงละคอนนั้นก็มีมหรสพและการแสดงมากมายทั้งระบำมงครุ่ม ไต่ลวด ลอดบ่วง นอนลงบนหอกบนดาบโดยแขกโพกหัว มีมวยน้ำที่เรียกเสียงหัวเราะจากชาวบ้านที่มุงดูได้มากโข
 อีกทั้งยังมีการร้องเพลงปรบไก่ที่เหล่าผู้ร้องจะยืนล้อมกันเป็นวงกลมแล้วร้องตอบโต้กันอย่างสนุกสนาน
ผมตื่นตาตื่นใจไปหมดกับสิ่งเหล่านี้ นึกอยากจะชวนเพื่อนชาวออสซี่มาย้อนอดีตเสียด้วยกัน พวกมันคงทึ่งน่าดู

“นี่ไงโรงละคอนหุ่น” และแล้วในที่สุดเราทั้งคู่ก็เดินมาถึงโรงละครที่จัดขึ้นอย่างสวยงาม ตกแต่งด้วยภาพวาดอันวิจิตร ลายบนภาพวาดที่แสดงเป็นฉากหลังนั้นวาดเป็นมหาสมุทร มีเรือสำเภา มีสัตว์ทะเลหน้าตามหัศจรรย์มากมาย ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจ
“เราว่าพวกเขาจักแสดงเรื่องพระอภัยมณีเป็นแน่” หมอปีย์พูด

และก็จริงอย่างที่หมอปีย์พูด สักพักใหญ่เสียงปี่พาทย์ก็ดังขึ้นก่อนที่หุ่นกระบอกที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าแพรและอัญมณีสวยงามต้องแสงไฟระยิบระยับจะปรากฏขึ้น ผมยืนแน่นิ่งราวกับต้องมนต์สะกด หุ่นกระบอกเหล่านั้นเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ท่วงท่าลีลา สามารถตรึงควมรู้สึกของผมไว้ที่หุ่นตัวนั้นได้โดยไม่คิดถึงคนที่เชิดอยู่เบื้องล่างเลย มันเหมือนกับมันเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเอง
หุ่นสุดสาครที่ทำเป็นเด็กผมจุดที่ผมนั้นมีกำไลสีทองประดับอยู่ หุ่นนั้นไม่ใส่เสื้อ มีเพียงสังวาลย์ที่แม้แต่จะเป็นเพียงสร้อยเล็กๆ แต่ความปราณีตนั้นก็ไม่ได้น้อยลงไปไม่ อีกทั้งจูงกระเบนที่สุดสาครใส่ก็ถูกเย็บขึ้นจากผ้าไหมทอมือสีทองอร่าม
ม้านิลมังกรที่สุดสาครไล่จับอยู่นั้นก็ตกแต่งด้วยอัญมณีสีดำขลับนั้นดูทรงพลัง  คนเชิดม้านิลมังกรก็เหมือนจะรู้จักม้าตัวนี้ดี การเยื้องย่าง การกระโดด การโขกหัว ทุกอย่างเหมือนม้าพยศที่มีชีวิตจริงๆ
ผมยืนดูการแสดงนี้ตาไม่กระพริบ หมอปีย์เองก็เหมือนกัน เขาขยับเข้ามาใกล้ๆผมจนไหล่เราชนกัน

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์    มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที้เลี้ยวลด   ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน   บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน    เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ    ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งไดไม่สู้รู้วิชา   
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี


ผมจำกลอนบทนี้ได้จึงร้องคลอไปด้วยเบาๆ ภาพของชีเปลือยที่ล่องลอยไปมาดูน่าขันนั้นก็ทำผมหัวเราะจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันขำไปด้วย และมันภูมิใจจนขนลุกอย่างบอกไม่ถูกไปด้วย ภูมิใจที่ว่า นี่บ้านเมืองเรามีอะไรดีๆเหล่านี้มากมายขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมผมถึงไม่เคยรู้มาก่อน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ต้องหยุดยิ้ม เพราะนึกถึงเด็กสมัยปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่จะมีโอกาศได้เห็นความสวยงามของวัฒนธรรมประเพณีแบบนี้ น่าเสียดาย น่าเสียดายที่ไม่มีใครเห็นคุณค่าและคิดที่จะฟื้นฟูมันขึ้นมาให้เด็กรุ่นหลังได้ดูกัน
“ร้องไห้ทำไมเจ้าบ้า” หมอปีย์ถาม
“เฮ้ย ป่าว ไม่ได้ร้องไห้ แค่น้ำตามันรื้อขึ้นมาเพราะความตื้นตัน” ผมตอบพลางยกมือปาดน้ำตา
“ตื้นตันเรื่องอันใดรึ”
“ก็เรื่องที่  เอ่อ”  ผมพยายามนึกหาคำที่เหมาะสม “เอ่อ บ้านเมืองนายมีอะไรดีๆแบบนี้เยอะแยะนะสิ”
“แล้วบ้านเมืองเจ้ามิมีเช่นนี้ดอกรึ” เขาทำหน้าสงสัย
“ไม่มี” ผมส่ายหน้า “ของแบบนี้เราไม่ได้เห็นกันทุกวันแบบนี้หรอก นานๆครั้ง อย่างเช่นชั้นนี่ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นละครหุ่นที่นี่เป็นที่แรก” ผมรู้สึกจุกในอกจนบอกไม่ถูก ทั้งที่ก็สยามเหมือนกัน แต่ทำไม เราถึงไม่มีแบบสมัยก่อนนี้
“สิ่งเหล่านี้หาได้เกิดขึ้นมาทันใดอย่างใจนึกไม่ มันต้องอาศัยเวลาสั่งสมกันมา  บรรพบุรุษของข้าต้องใช้เวลาตั้งเท่าใด จึ่งจะสืบทอดสิ่งดีงามเหล่านี้ไว้ เราเองก็หวังใจไว้ว่าสิ่งเหล่านี้จักสืบทอดต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน” หมอปีย์เงยหน้ามองฟ้าแววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง ผมเมินหน้าหนี ไม่อยากพูดอะไรต่อไปอีก

เสียงปี่พาทย์ดังคลอไปเรื่อยๆ สุดสาครได้พบกับพระอภัยมณี ทั้งคู่โผเข้าสวมกอดกันอย่างดีใจ ม้านิลมังกรกระโดดเหยงๆอยู่ใกล้ๆโดยมีฤาษียืนอยู่ข้างๆในมือถือไม้เท้า
ม่านค่อยๆปิดลงมา ปิดลงมา จนในที่สุดตัวละครหุ่นเชิดเหล่านั้นก็ถูกผ้าม่านสีแดงเลือดนกกลืนหายไป
คงคล้ายกับที่กาลเวลาค่อยๆกลืนสิ่งงดงามที่บรรพบุรุษเราสั่งสมมานั่นเอง













“ไปกันเถิด  นี่ก็ใกล้เพลาจักลอยกระทงกันแล้ว” หมอปีย์สะกิดแขนผมเบาๆ ผมหันมายิ้มกับเขา แต่ในใจยังเศร้าอยู่ไม่หาย
ตัวเองรู้สึกผิดมากมายที่ตลอดเวลาที่ผ่านมามัวแต่ไปหลงใหล อยู่กับวัฒนธรรมของต่างชาติจนลืมนึกไปว่า เมื่อเราซึ่งเป็นคนรุ่นหลังไม่มีใครสืบทอดหรืออยากจะศึกษาเรียนรู้ วัฒนธรรมดีงามเหล่านี้ก็จะต้องหายไปในที่สุด
ผมลงทุนไปเรียนกีต้าร์โปร่งเสียเงินไปมากมาย โดยไม่เคยใส่ใจเลยว่าระนาดเอกนั้นเสียงของมันไพเราะและมีเสน่ห์มากแค่ไหน อีกทั้งขลุ่ยที่ผมได้ยินชาวบ้านแถวนี้เป่าที่ไร ผมเป็นต้องทิ้งทุกอย่างที่ทำ ก่อนจะนั่งลงฟังอย่างตั้งใจ เสียงของขลุ่ยนั้นไพเราะจับจิต ลูกเอื้อน ลูกคอช่างเหมือนกับเสียงของคนร้องเพลงเสียจริงๆ
ตอนนั้นผมเรียนกีตาร์ไม่ได้ผลก็ล้มเลิกไป ก็พอดีเห็นพวกบอยแบนด์จากตะวันตกเริ่มเข้ามา เห็นพวกเขาเต้นกัน ก็เลยอยากเรียนบ้าง ลงทุนไปเรียนเต้นอีก เสียเงินไปเหยียบหมื่น โดยที่ไม่เคยคิดจะสนใจร่ำเรียนโขน ซึ่งสวยงามและทรงพลังอีกทั้งยังน่าภาคภูมิใจ ผมลืมสิ่งที่เรียกได้ว่า “ของเรา” ไปเสียสนิท

ยัง ยังไม่พอ เมื่อเห็นว่าทั้งสองอย่างคงไปไม่รอด ผมก็ผันตัวเองไปเรียนทำอาหาร แต่แทนที่จะเลือกเรียนอาหารไทย ผมกลับไปเรียนอาหารตะวันตกเสียนี่ น่าเขกกะบาลจริงๆ ของดีๆทำไมผมถึงกลับไม่สนใจนะ
ไหนจะเรื่องแกะสลักไม้
ทำเครื่องเขิน เครื่องเงิน
ผ้าทอ
ขนมไทย
ดนตรีไทย
เพลงไทยเดิม
รำไทย
การละเล่นแบบไทย
ประเพณีแบบไทยๆ ไม่ว่าจะลอยกระทง สงกรานต์
เราลืมมันไปหมด
สิ่งพวกนี้ หากเราไม่เรียน แล้วใครมันจะเรียนหล่ะ  เมื่อเราไม่เรียน ลูกหลานเราก็ไม่รู้ เมื่อพวกเขาไม่รู้ มันก็จะค่อยๆเลือนหายไปในที่สุด 
ฝรั่งเหรอ อืม ก็ใช่ ฝรั่งบางคนหลงไหลอาหารไทยถึงขนาดควานหาตำราอาหารไทยโบราณจากร้านหนังสือเก่าแก่ มีเท่าไหร่ส่งไปให้เขาที่เมืองนอก เขาจ่ายไม่อั้น
ฝรั่งบางคนสั่งเครื่องแกะสลักส่งไปทางเครื่องบินเสียเงินเป็นล้านๆ
ฝรั่งหลายๆคนมาปักหลักที่เมืองไทย มาร้องเพลงลูกทุ่ง มาเปิดร้านอาหารไทยขายคนไทย มาทำขนมไทย มาเรียนรู้การปลูกข้าวทำนาแบบไทยๆ เพื่อ....................

“นาย  ชั้นสัญญา ชั้นกลับไปชั้นจะทำตามที่นายบอก” จู่ๆผมก็โพร่งออกมา
“ทำอันใด” หมอปีย์ทำหน้าสงสัย
“ก็เอ่อ จะสืบทอดความเป็นไทยจากนายไง ถึงแม้จะเป็นแค่คนคนหนึ่ง แต่ชั้นก็จะทำ”  น้ำเสียงผมแสดงความมุ่งมั่น
“เจ้านี่ประหลาดดีแท้ เราพูดถึงลูกหลานเรา เหตุใดเจ้าจึงจักมาเป็นลูกหลานเราเสียนี่” แล้วเขาก็หัวเราะเยาะผมเสียงดัง
“เอาเหอะน่า คอยดูแล้วกัน” ผมหมายมั่นไว้ในใจ



“เฮ้ย !!!”
“ระวัง”
ผมร้องลั่นด้วยความตกใจ เพราะจู่ๆพื้นที่ผมเดินก็กลับกลายเป็นขี้เลนจนทำให้ผมลื่น ผมหงายหลังทิ้งตัวลงอย่างแรง แต่ยังดีที่หมอปีย์คว้าผมไว้ทัน ผมตกใจหน้าซีดอ้าปากหวอ มารู้สึกตัวอีกทีนึงก็ตอนที่...........
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียกสติผม
“หา หา” ผมสะดุ้งและพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดหมอนั่นได้ยังไง  “เหมือนในหนังอีกแล้ว เหมือนในหนังเลย ไม่ไม่ นะเว้ย ไม่” แทนที่ผมจะรีบดีดตัวออกมาจากอ้อมแขนมัน ผมกลับหลับตานิ่ง และจินตนาการไปว่ามันกำลังค่อยๆก้มลงจะจูบผมเหมือนในละคร
“ไม่นะ ไม่” ผมหลับตาปี๋
“ไม่”
“ไม่”
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า” หมอนั่นเรียก “เป็นบ้าอันใดอีก ทำไมต้องหลับตาด้วย”
ผมลืมตาขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นผมจึงรีบดีดตัวขึ้นมาอย่างสุดกำลัง
“นายนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆว่ะ คิดแต่จะลวนลามชั้นอยู่เรื่อย” ผมบ่นบ้าอะไรของผมไปเรื่อยแก้เขิน พลางเร่งฝีเท้าเดินหนีจากมัน แสงไฟจากตะเกียงและแสงเทียนสว่างไสวอยู่ภายหน้า กลิ่นน้ำจากลำคลองก็โชยมาแตะจมูก ที่นั่นคงจะเป็นที่ลอยกระทงเสียกระมัง
“อ้าว เราผิดอีกหรือนี่” หมอนั่นบ่นตามหลัง

altctrldelete

  • บุคคลทั่วไป
ใช่เลยค่ะ
รักประเทศไทยที่ซู๊ดดด

cotone

  • บุคคลทั่วไป
ความรู้ท่วมหัวเลยค่ะตอนนี้  :call: ของไทยมีดีเยอะแต่เรามองข้ามไปจริงๆ

รอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ Army_boy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านตอนนี้แล้วชอบมากๆเลย

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
ประทับใจตอนนี้มาก
น่าสงสารหมอ :laugh:
+1

ออฟไลน์ →Yakuza★

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-0
ยิ่งอ่านเรื่องนี้ยิ่งรักประเทศไทย มากขึ้นมากขึ้น

ขอบคุณที่ย้ำเตือนเราว่าสิ่งสำคัญที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ไกลจากเราเลย  :กอด1:



nicky_B

  • บุคคลทั่วไป
มาแบบยาวหนำใจดีแท้ พ่อเซ็งเป็ด ฮ่ะฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณ ขอบคุณ และ ขอบคุณ

บางเรื่อง เรารู้กันแค่ 2 คนก็พอ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด