เรานั่งพักกันที่ร้านครู่ใหญ่ นั่งนิ่งๆมองผู้คนเดินไปเดินมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ต่างประเทศยังไงก็ไม่รู้ เหมือนไปเที่ยวประเทศที่ยังคงรักษาประเพณีวัฒนธรรมอันสวยงามแบบนี้อย่างเหนี่ยวแน่น บรรทัดฐานทางการตลาดใช้ไม่ได้ผลสำหรับที่นี่
พวกเขาใช้เงินเป็นตัวแลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่อให้การแลกเปลี่ยนง่ายขึ้นแทนที่จะคอยมาตัดสินว่าขาหมูน่องหนึ่งจะแลกหัวผักกาดได้กี่หัว แค่นั้น พวกเขายังไม่ได้ตกเป็นทาศของเงินตรา พวกเขายังไม่ได้ขายวิญญาณให้เงินตราอย่างสมัยผม
ที่แห่งนี้ผู้คนยังคงใช้บรรทัดฐานทางสังคมในการตัดสินใจคน พวกเขายังคงยินดีไม่คิดเงินหากเห็นว่าคุณไม่มีเงิน พวกเขายินดีลด แลก แจกแถม หากเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนบ้าน น้ำใจเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ยังคงมีอยู่
ผมยังเห็นเด็กน้อยไปยืนต่อคิวขอกินน้ำตาลเคี่ยวที่ปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆโดยไม่ต้องจ่ายเงินอยู่เลย
แต่สมัยผมนั้นแบบนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นสักเท่าไหร่แล้ว เราตัดสินคนดีคนเลวกันด้วยจำนวนของธนาบัตร ทรัพย์สิน และนามสกุล กันเสียมากกว่า
บางคนชนคนตายเกือบโหล แต่กลับรอดได้อย่างไม่น่าแปลกใจ
ในขณะที่บางคนโดนจับขังคุกข้อหาค้ายา เพียงเพราะมีคนแอบอ้างบัตรประชาชนของเธอ เธอทักท้วงว่าเธอไม่ได้ทำ ขอให้ตรวจสอบและสอบสวนให้ดี แต่ก็ไม่เป็นผล พวกเขาไม่ทำ ไม่สนใจ กลับจับเธอโยนเข้าคุก เพราะอะไร พวกเรารู้ดี
เพราะฉะนั้นบรรทัดฐานที่เราใช้ในสังคมปัจจุบันนี้จึงเปลี่ยนไป เราอยากร่ำรวย มีเงินมีทองมากมาย เราอยากมีชื่อเสียงโด่งดัง เพื่อว่าเราจะได้มีที่ยืนทางสังคม
การเป็น someone ในสังคมใหญ่ที่ไม่มีใครรู้จักนั้น ยากที่จะหาที่ยืนได้อย่างมั่นคงในสังคมปัจจุบันของผม
“เฮ้อ” ผมเผลอถอนหายใจออกมาอย่างแรง จนหมอนั่นหันมามอง
“เป็นอันใดไปรึเจ้าบ้า” เขาถาม
“ปล่าว ไม่มีอะไร” ผมหันไปฝืนยิ้ม “ที่นี่ดีเน๊อะ ของกินเยอะดี”
“ร้านรวงแบบนี้มีทั่วสยามนั่นแหละ เจ้าอยู่เมืองนี้มิมีวันอดตาย”
คำพูดของหมอนั่นทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวันที่ตัวเองออกท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ตื่นเต้นทุกครั้งที่จะไปต่างประเทศ แค่ได้ชื่อว่าไปต่างประเทศก็ดีใจแล้ว
- บาหลี เป็นประเทศแรกที่ผมเดิ่นทางไปเที่ยว ผมตื่นเต้นมาก เพราะเป็นเมืองในฝัน ดูจากสารคดีต่างๆมาทำให้รู้สึกว่าอยากไปเที่ยว
ผมใช้เวลาอยู่ที่เกาะแห่งนั้น สามวัน สองคืน คนเดียว ในห้องพักระดับ สามดาวที่มีเสียงเพลง soundtrack น่าขนลุก รูปปั้นที่คุณต้องก้มหน้าเวลาเดินผ่าน ผมไม่สามารถจ้องตารูปปั้นเหล่านั้นได้ มันน่ากลัวจริง ๆ
รูปปั้นเหล่านี้อยู่ทุกที่ ในลิฟท์ ในห้องน้ำ ระเบียง ตามถนน ริมสะพาน หน้าบ้าน หน้าร้านสะดวกซื้อ เวลาคุณเดินไปไหน คุณจะรู้สึกเหมือนว่ามีสายตาเหล่านั้นจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
ยังจำได้เลยว่าตอนเข้าห้องพักครั้งแรกเปิดประตูเข้าไป เจอรูปปั้นนางยักษ์ร่ายรำในท่าบิดเบี้ยว หล่อนเอียงคอมาทางประตูมองมาที่ผม ตาเบิกโพรง ปากแสยะยิ้ม คล้ายกับกำลังจะบอกผมว่า
“ไอ้เหี้ย เข้ามาทำไมไม่ถอดรองเท้าวะ สัส” ประมาณนั้น ผมผงะ ตกใจใจเยี่ยวแทบเล็ด
“ห่าเอ้ย เอาอะไรคิดวะ เอารูปปั้นนางยักษ์มารับแขกเนี๊ยะ” ผมคิด พลางนึกถึงรูปปั้นนางอัปสรที่ยืนสวัสดีอย่างอ่อนช้อยที่สยามบ้านเราแล้ว ผมรักนางขึ้นมาทันที
ก่อนเข้าไปในห้อง ผมไหว้นางยักษ์อารมณ์เสียนั้นเสียครั้งหนึ่ง
“ sorry นะยู ไอ ขอมานอนสักคืนสองคืนนะ อย่ามาหลอกมาหลอน มาอำ มาทับไอเลยนะยูนะ ” ผมไหว้ขอย่างหวดกลัว แล้วก็เหวี่ยงเอาผ้าเช็ดตัวคลุมชะนียักษ์นางนั้นไว้ ไม่อยากคิดว่าคืนใดคืนหนึ่งหล่อนเกิดนึกอยากจะหันหน้าเอียงคอมามองผมอีกฝั่งจะเป็นยังไง
สัตว์ประจำชาติอีกอย่างที่พบได้ทั่วไปสำหรับเกาะบาหลีนี้คือ ตุ๊กแก ไม่ว่าจะไปที่ไหน จะมีตุ๊กแกรูปปั้นแปะอยู่ราวกับเป็นกระต่าย นกแก้ว นกขุนทองสัตว์เลี้ยงแสนรักประมาณนั้น แล้วรูปปั้นนั้นก็ช่างเหมือนจริงเสียกระไร ผมร้องลั่นห้องน้ำ เมื่ดเปิดประตูและหันมาปิด แล้วพบว่ามีตุ๊กแกตัวลายพร้อยขนาดเท่าแขนเกาะนิ่งตาแดงแปร๊ดอยู่ที่ประตู อารามตกใจ เข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ห่า รูปปั้น
“ช่างเป็นเมืองที่มีจุดยืนอะไรเช่นนี้”
รูปปั้นของที่นี่ส่วนใหญ่จะทำออกมาในลักษณะน่าเกรงขาม อยู่ในท่าทางที่ดูเหมือนเคลื่อนไหวแบบตกใจอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งคงนำเค้าโครงมาจากคนที่นี่จริงๆ เพราะรูปปั้นกับคนที่นี่หน้าต่าก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
แต่ไม่ใช่เมืองนี้จะไม่มีอะไรดีเอาเสียเลย ส่วนดีก็มีมาก อย่างเช่นเป็นเมืองที่มีอารยธรรมและมีวัฒนธรรมที่ค่อนข้างจะเหนียวแน่น ภูเก็ตน่าจะดูเป็นตัวอย่างในส่วนนี้ การแต่งกายของคนที่นี่ บ้านเรือน ประเพณี ต่างๆยังเป็นพื้นเมืองอยู่ ทุกเช้า ทุกร้านค้า บ้านเรือน หรือแม้แต่โรงแรมจะเอาห่อใบตองที่มีอาหาร ขนม ดอกไม้ มาวางไว้หน้าบ้านเสมอเต็มไปหมด ผมถามเขาว่า
“ยูเอามาวางกันไว้ทำไม”
เขาตอบผมว่าไงรู้ป่าว
“เอามาให้ผีเร่ร่อน ผีบ้านผีเรือนกิน”
เชี่ยเอ้ย นี่บ้านเมืองนี้นี่ผีเยอะขขนาดนี้แล้วกูจะอยู่ได้ยังไง คนที่กลัวผีแนะนำให้พาเพื่อนไปด้วยหากจะไปที่นี่ 555
อ้อ และข้อดีอีกอย่างของที่นี่คือยังเป็นสวรค์ของนักโต้คลื่น และพวกกีฬาเอ็กซ์ตรีมต่างๆด้วย /พวกฝรั่งชอบมานอนอาบแดด เล่นกระดานโต้คลื่นกัน พวกเขาดูตื่นเต้นมาก
แต่คงไม่เหมาะกับผมแหละ อย่างผมโล้กระดานเก็บหอยหลอดตามขี้เลนนี่ก็บุญแล้ว
- เกาหลี เป็นประเทศที่ใครต่อใครใฝ่ฝันอยากไปเยี่ยมสักครั้ง ส่วนหนึ่งอาจได้รับอิทธิพลมาจากหนัง ละคร และสื่อซะส่วนใหญ่ ผมเองที่ได้ไปเพราะงานเสียมากกว่า ยอมรับว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ให้อยู่เลย ไม่เอา
อย่างที่บอกว่าเกาหลีเป็นประเทศที่ประสบภาวะสงครามมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเขาดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพื่ออยู่รอด จึงไม่มีเวลามาคิดถึงการสั่งสมวัฒนธรรม ประเทศนี้จึงคล้ายกับไม่มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาเพิ่งมาสร้างเอาทีหลัง และขี้ตู่เอาว่ามันมีมานานแล้ว
ผู้คนของที่นี่ที่ผมเจอจะแยกเป็นสองส่วน คือพวกผู้ใหญ่คนแก่ และพวกวัยรุ่นเด็ก พวกผู้ใหญ่จะเป็นรุ่นที่ผ่านอะไรมามากมาย ความอดยากแร้นแค้น การต่อสู้เอาตัวรอด พวกนี้จึงไม่มีเวลาเรียนรู้เรื่องมารยาท ความมีน้ำใจ และสิ่งที่เรียกว่า สากลเท่าไหร่ มันไม่ใช่ความผิดพวกเขาหรอก พวกเขาไม่เหมือนคนไทยที่โชคดีไม่เคยเจอสงครามร้ายแรงแบบนั้น เราจึงมีเวลามาคิดประดิษฐ์ประดอยแกะสลักอาหาร ทำอาหาร ท่าทางร่ายรำ การไหว้ การเดิน การเข้าหาผู้ใหญ่ การจักสานเย็บปักถักร้อย สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหากบ้านเมืองสงบ
แต่พวกเขาไม่มีเวลาทำอะไรแบบนี้ แค่จะดิ้นรนให้อยู่ได้ก็ยากแล้ว ดูง่ายๆจากวิถีการกินอาหารของพวกเขา มันมีอะไรมากไปกว่าการปิ้ง ย่าง และเอาทุกอย่างรวมกันแล้วก็คลุกมั๊ย สิ่งเหล่านี้บอกอะไรเราได้หลายๆอย่างถึงความเป็นอยู่พวกเขาในอดีต
แล้วมาดูอาหารไทย กว่าจะได้กินแต่ละอย่าง ต้องขูด ล้าง ตำ คั้น แกะ ปรุงแล้วปรุงอีก จัด วาง ทุกอย่างปราณีตและดูมีที่มาที่ไปอีกแบบจากข้างบนใช่มั๊ย
นั่นหล่ะครับที่เราเรียกว่าการสั่งสมทางวัฒนธรรม
เวลาผมเจอผู้ใหญ่เหล่านี้ทำกริยาไม่ดีใส่ ผมจะเข้าใจพวกเขา ว่าเหตุใดเขาถึง
ใช้ปากกาเขวี้ยงหัวเราเพื่อให้เราหันมาหาเขา
ใช้ชักโครกโดนไม่กด หรือแม้กระทั่งขึ้นไปฉี่บนอ่างล้างหน้าบนเครื่องบิน
ส่งเสียงดังด่าทอ ตบตีกันโดยที่ไม่มีเหตุผล พูดจาไม่เข้าหูจู่ๆเจ๊แกก็ตบหน้าได้โดยที่เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิด
ผมเคยโดนป้าอันยองแก่ๆเอาไม้กวาดไล่ตีออกมาจากร้าน เพียงเพราะแกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ (แล้วกูผิดตรงไหนเหรอ อีป้า กูถามหน่อย)
หรือแอร์สาวถูกพวกผู้ชายจับขึงเป็นตัวประกัน และปล่อยให้พวกป้าแก่ๆรุมตบตี เพียงเพราะเครื่องบินเสีย บินไม่ได้
แล้วยังมีอีกมากมายที่เราเรียกว่า อาการ “ถ่อย” หากคนที่ไม่เข้าใจความเป็นมาของพวกเขา เราจะว่าเขา และโกรธเขา เพื่อนผมบางคนคลั่งเกาหลีจนเรียกว่ารู้ทุกอย่างของประเทศนี้(แต่ยังไม่รู้จักคนประเทศนี้ดีพอ) ลงทุนไปกู้เงินมาซื้อตั๋วเครื่องบินไปเกาหลีเพื่อจะไปดูร้านกาแฟค๊อฟฟี่ปริ๊นซ์ นางไปเกาหลีกับทัวร์เป็นเวลา 4 วัน 5 คืน
ผมก็ไม่รู้ว่านางเจออะไรมาบ้าง แต่พอนางกลับมา นางเลิกพูดถึงคำว่าเกาหลี และขายหนังเกาหลีทุกเรื่องที่ซื้อของแท้มาผ่านทางเวปออนไลน์หมดเกลี้ยงทันที 555
แต่หากคนที่เข้าใจวัฒนธรรมและความเป็นมาก็จะสงสารเขา และจะรู้ว่า จริงๆ พวกนี้ไม่มีอะไรเลย ออกจะใจดีเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำกันอยู่นั้น คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน
ส่วนของวัยรุ่นเป็นวัยที่เรียกได้ว่าพลิกกลับหน้ามือเป็นหลังมือ ความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างเกิดขึ้นชัดเจนมากระหว่างสองรุ่นนี้ หากพวกผู้ใหญ่เป็นพวกอนุรักษ์นิยม กลุ่มเด็กพวกนี้ก็จะเป็นพวกเสพวัตถุนิยมอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาใส่ใจอยู่กับความสวยความงาม เทคโนโลยี เงิน และชื่อเสียง
เราสามารถเห็นเด็กวัยรุ่นใส่หูฟังนั่งเล่น I Pad ข้างๆหญิงชราแต่งตัวคล้ายโอชิน แบกเศษฟืน และไม้ขึ้นรถไฟได้อย่างชินตา
แต่ผมกับนับถือประเทศนี้มากตรงที่เขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากประเทศที่ไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้ กลับกลายเป็นประเทศที่ดูดเงินเข้าประเทศมากที่สุดโดยอาศัยสื่อบันเทิง (อย่างอื่นไม่มีไง แหะๆ)
ผมไปมาเลเซีย กระแสเกาหลีก็แรง
ไปอินโด ยิ่งแรงไปใหญ่
ไปลาว นี่ไม่น่าเชื่อว่าสาวลาวจะคลั่งใคล้ ซุปเปอร์จูเนียร์กันอย่างหนัก
น่านับถือใช่มั๊ยหล่ะที่เขามาได้ถึงขนาดนี้
- สิงคโปร์ เกาะเล็กๆที่ไม่เล็กตามเกาะ ประเทศที่มั่งคั่ง เป็นระเบียบเรียบร้อย ขนาดปลูกต้นไม้ริมถนน เขายังแปลนก่อนปลูกเลยครับ เราจึงเห็นต้นไม้สองข้างทางเรียงรายร่มรื่นเป็นระเบียบ ผิดกับบ้านใครก็ไม่รู้ ปลูก แล้วตัด และปลูกแล้วตัดอยู่นั่นแหละ ถนนก็เดี๋ยวทุบ เดี๋ยวสร้างวนไปวนมา
ผมไปเที่ยวสิงคโปร์ แล้วก็ยอมรับว่าชอบครับ ถึงค่าครองชีพจะแพงไปบ้าง เช่นน้ำขวดเจ็ดบาทบ้านเราที่นู่นขาย สามสิบ ข้าวมันไก่จานละสองร้อยกว่าบาทไรงี้ แต่ก็รับได้เพราะอร่อย 555 นอกเหนือจากความเป็นระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ เพราะเขามีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมาอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม แต่ไม่มีปัญหาอะไรกันเลย
ที่นี่ยังเปิดกว้างสำหรับทุกชาติด้วย ค่อนข้างจะปลอดภัยสำหรับคนที่จะไปเที่ยว ขนาดคนขับแท๊กซี่ของเขาที่นู่นมารยาทยังกับพนักงานโรงแรมห้าดาว หันกลับมามองแท๊กซี่บ้านเราแล้วต้องถอนหายใจจนขนจมุกปลิว
ยังมีอีกหลายประเทศที่ผมได้มีโอกาศได้ไปเปิดประสบการณ์
- ประเทศอียิปต์ ที่ขึ้นชื่อว่าขี้โกงและไม่น่าคบที่สุด โกงขนาดไหน ขนาดที่ว่า ผมจะขึ้นขี่อูฐมัน มันคิดเงิน พอผมจะลงเสือกมาคิดเงินค่าลงกูอีก เรื่องอะไรกูจะให้ มึงไม่ให้กูลงกูก็ไม่ง้อ กระโดดลงก็ได้ว่ะ 555
คนที่นั่นจะเห็นชาวต่างชาติไม่ได้เห็นเป็นขอเงินหมด คนทำความสะอาดห้องน้ำในสนามบิน ทำความสะอาดอยู่ดีๆ พอกูเข้าไปเยี่ยว เยี่ยวเสร็จเดินมาของเงินเสียอย่างนั้น
หรือขนาดที่ผมนอนหลับบนเครื่องบิน มือกอดกระเป๋าเงินดอลล่าห์อยู่ จู่ๆตื่นมาก็เห็นคนอียิปต์โพกหัว กำลังยืนอยู่ที่เก้าอี้ผม มือนั้นกำลังดึงกระเป๋าเงินผมออกไปอย่างหน้าด้านที่สุดในสามโลก ผมลืมตาขึ้นและถามว่า
“ทำเชี่ยอะไรของมึง” มันตอบว่าอะไรรู้มั๊ย
“ไอนึกว่ากระเป๋าตังส์ไอ เห็นมันเหมือนกันน่ะ แหะๆ” เชี่ยเน๊อะ
แต่มีเลวก็ต้องมีดี คนดีๆก็มี ของดีๆก็มีเพียงแต่ผมซวยดันไปเจอคนแบบนี้ซะส่วนใหญ่
- ไนจีเรีย ประเทศขี้โม้ ชอบหาว่าประเทศไทยยังขี้ช้างขี่ควายอยู่
“นี่ๆ ยูดูสิ บ้านไอมีรถไถคูโบต้าด้วยนะ บ้านยูมีรึป่าว” ผมหัวเราะจนขี้เกือบเล็ด
แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ถือว่าน่ารักดี เพียงแต่เป็นที่รู้ๆกันว่าเราจะไม่ไปไหนคนเดียว หรือจะไม่ออกไปไหนกลางคืนในประเทศนี้
- ศรีลังกา ประเทศที่ผู้คนน่ารัก นิสัยดี คล้ายคนไทย แต่ก็มีส่วนแขกมาเยอะเหมือนกัน ใครคิดว่าประเทศนี้ไม่มีเกย์ ผมเจอมาแล้วครับบนเครื่องบิน ทหารทั้งลำ นั่งกันเป็นคู่ๆ นั่งเขี่ยนิ้วกัน ดึงหนวดกัน จูบปากกัน น่ารักน่าชัง ลองนึกถึงทหารแบบพวกพยัคทมิฬแล้วจินตนาการตามที่ผมเล่าดู แล้วคุณจะรู้ว่ารักไม่มีพรมแดนจริงๆ
ยังมีมากมายหลายประเทศที่ผมได้ไปสัมผัส ตอนผมอยู่เมืองไทย กรุงเทพฯ เจอปัญหารถติด น้ำท่วม ของแฟง ร้อนผมก็ด่าหมด
แต่ถึงผมจะบ่นด่าประเทศตัวเองสักแค่ไหน สุดท้ายผมก็รักประเทศนี้มากที่สุดนั่นแหละ เพราะไม่มีที่ไหนดีเหมือนบ้านเราแล้ว จริงๆ
หากใครอยู่ไกลบ้านจะรู้ดี
ผมหิวเมื่อไหร่ผมไม่ต้องกลัวอดตาย ทุกที่มีของกิน จะข้างทางจะซอยเล็ก แคบ มืด เปลี่ยวแค่ไหน อย่างน้อยที่สุด ก็มีชายสี่หมี่เกี้ยวกิน จะสองทุ่ม เที่ยง คืน ตีสาม หัวรุ่ง คุณหิวเมื่อไหร่ แค่เดินออกมาจากบ้าน คุณก็มีของกินแล้ว แต่ที่อื่นมันไม่มีแบบนี้
ที่ออสเตรเลีย สองทุ่มร้านต่างๆจะปิด คุณหมดโอกาศหิวตอนกลางดึกนะจะบอกให้ นอกจากเข้าไปร้านซุปเปอร์ไปหาของที่โคตรแพงกิน หมี่ไก่มะระชามละ 20 บาทก็ไม่มี
ที่บาหลี หากเราอยากกินชามะนาวสักแก้ว แก้วละสิบห้าบาท ไม่มีนะครับต้องไปกินที่ร้านหรือในร้านสะดวกซื้อซึ่งก็แพงจนกินไม่ลง
นี่แหละครับผมถึงนั่งนึกว่า วัฒนธรรมแบบนี้ใช่ว่าจะสร้างกันได้ง่ายๆ มันเกิดมาเป็นร้อยๆปี ร้านข้างถนนไม่ใช่จะมีทุกที่ในโลก และไม่ใช่ทุกที่จะทำได้แบบประเทศไทย ถึงมันจะรก เกะกะไปบ้างบางครั้ง แต่มันคือเสน่ห์ และหากคุณไปตกระกำลำบากที่ต่างแดน คุณจะคิดถึงร้านริมถนนแบบนี้จับใจเลยละครับ
“เป็นอะไรไป เงียบไปเลยเจ้าบ้า” หมอนั่นถาม ผมสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิด ซึ่งตอนนี้ไปไกลถึงอเมริกา
“อ๋อ ชั้นแค่ คิดถึงบ้านน่ะ” ผมตอบ
“บ้านเมืองเจ้ามีงานแบบนี้รึ”
“มีสิ ทำไมจะไม่มี”
“เล่าให้เราฟังบ้างสิ”
“เฮ้อ เล่าไปนายก็ไม่เชื่อชั้น ขี้เกียจเล่าให้เปลืองน้ำลาย”
“อ้าว.....................”
หมอปีย์ทำท่าจะพูดอะไรต่อ ก็พอดีที่สนวิ่งกระหืดกระหอบกลับมา
“อ้าว อ้ายสน เป็นเยี่ยงไรรึ” หมอปีย์ถาม
“ขอรับ กระผมไปส่งคำแก้วถึงเรือนแล้วขอรับ แล้วก็รีบกลับมานี่แหละขอรับ ว่าแต่ คุณหลวงมาทำกระไรที่นี่หรือขอรับ” มันหันไปที่แม่ของมันซึ่งตอนนี้หน้าเหวอ
“อ๋อ เรามาช่วยแม่เจ้า ขายขนมน่ะ” หมอปีย์ยิ้ม
“เอ็งว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นใครรึ อ้ายสน” หญิงแก่ละล่ำละลักถามมือไม้สั่น
“ก็คุณหลวงพินิจไงแม่ ที่อยู่เรือนหมอจรัสที่ชั้นไปทำงานอยู่ไงเล่า”
สิ้นเสียงสนพูด แม่ของมันก็ล้มตึงลงบนแคร่เอามือลูบอก
“พิโธ่ พิถัง อีบวบเอ้ย มีตาหามีแววไม่ อภัยให้อีชั้นเถิดนะเจ้าคะ คุณหลวง อีชั้นมันแก่หูตาฟ่าฟาง ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง.............” แกพูดร่ายยาว
ผมยืนหัวเราะแกจนท้องแข็ง ส่วนหมอปีย์นั้นได้แต่ปลอบใจแกว่าอย่าคิดมาก อย่าคิดมาก