A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1118342 ครั้ง)

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
ช่างเป็นเวลาสารภาพรักได้แจ่มชัดนัก หมอปียร์
ส่วนเจ้าอัชย์ ก็สมยอมเสียนี่กระไร
เอาเป็นว่า ทั้งคู่ตกลงเป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ คุณนนท์  หึ หึ หึ.....
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ

ออฟไลน์ loveryuichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ในที่สุด
ก็บอกออกไปแล้วววววว
เยี่ยมมมมมม

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักกว่าเดิมเยอะแยะ ชอบบบบบบบบบบบบบ

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
หมอหวานมาก
ท่ามกลางแสงเทียน ดอกบัวขาว
ขอหมอได้ไหม อยากมาก

bow55

  • บุคคลทั่วไป
และแล้วหมอก็บอกไปจนได้

ออฟไลน์ หัวเเม่มือ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 804
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป

@Kanda@

  • บุคคลทั่วไป
ลึกซึ้งงงง!!!!  o7
ช่างงดงาม และอ่อนโยนสุดๆไปเลยเจ้าค่ะ โรแมนติกมากกกกกก พ่อหมอรุกในที่สุด  (กว่าจะรุกเค้าได้นะคะ)

บรรยายได้งดงามมากๆเลยค่ะ ชอบสุดๆไปเลยตอนนี้ ไม่หวานเกินไป เเต่ราวกับเป็นสายลมแผ่วๆที่อบอุ่นเข้าไปถึงข้างในเลยล่ะค่ะ  :-[ (อ๊าห์----- ถ้าเด็กๆ วันรุ่น หรือคนสมัยนี้อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีและขนบธรรมเนียมดั้งเดิมอันงดงามของไทยให้ได้แบบนี้บ้างคงจะดีไม่น้อยเลยนะคะ ...หรืออย่างน้อยก็ภูมิใจกับมันให้เท่ากับยกย่องวัฒนธรรมต่างชาติซักหน่อยก็ยังดี :sad4:)

ออฟไลน์ peppier

  • ขาดคนรักนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ มีแค่ใจที่รักตัวเองก็พอ.. ~ ♥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
พูดได้คำเดียวว่า โรแมนติกมากกก !   :L2:
เมื่อไหร่ไอ้เจ้าบ้ามันจะยอมรับความรู้สึกของหมอปีย์ซักทีนะ    :เฮ้อ:

wing

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุดก็บอกออกไปแล้วเยี่ยมมากหมอปีย์
หลังจากนั้นก็โรแมนติกซะ ทีนี้ก็เหลือแต่เจ้าบ้าว่าจะเอายังไง
 :pig4: สำหรับนิยายดีๆครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






แสนเสน่หา

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
มารอลุ้นตอนต่อไป

kihaezzzzzz

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ CheeTah

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
สนุกมากคร่า

อ่านแล้วได้อะไรหลายอย่างจากเรื่องนี้

ใช้ภาษาสวยด้วย นับถือจริงๆ อ่านแล้วเคลิ้ม นึกว่าอ่านวรรณคดีเลยนะเนี่ย

รีบมาต่อนะคะ  o13

ออฟไลน์ O[]OVampire

  • เพียงเธอสบตา...แทบลืมหายใจ เพียงเธอ...จากไป...ตราบชั่วลมหายใจ ...ไม่ลืม
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-0
เรื่องดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อย แฝงข้อคิดได้เป็นอย่างดี
ต้องขอขอบคุณมากสำหรับนิยายดีๆแบบนี้

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
จ้า
เที่ยวให้สนุกเน้อ
รอเสมอจ้ะ^^

ออฟไลน์ CheeTah

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
รับทราบค้าฟฟ

จะรอต่อไป ชอบที่สุดเลยอ่าาา o13

ออฟไลน์ suginosama

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
ถ้าประเพณีลอยกระทงสมัยนี้เป็นแบบสมัยก่อนคงดีนะคะ
ชอบจังค่ะ^^

ออฟไลน์ Isuru

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 307
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ขอให้ไปเที่ยวให้สนุกนะคะ
รอหลังสงกรานต์จ้า

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2


ผมกับหมอปีย์นั่งรับลมอยู่ครู่ใหญ่ ช่วงเวลานั้นเหมือนกับว่ามันจะหยุดนิ่งลงเพื่อให้เราสองคนได้ฟังเสียงลมหายใจของกันและกัน รอบๆตัวเราตอนนี้สว่างสไวไปด้วยแสงจากเทียนที่ลอยแกว่งไปมาในสายน้ำ อีกทั้งกลิ่นดอกราตรีและเล็บมือนางที่ลอยมาตามลมจากที่ใดที่หนึ่งนั้นก็ทำให้ผมถึงกับเคลิบเคลิ้มไป
“ฝั่งนู่นเป็นอะไรเหรอ” ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“ฝั่งกระนู้นะหรือ เป็นเรือนคหบดีชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เราเองก็มิแน่ใจนัก เรือนของท่านอยู่ลึกเข้าไปในดงลำพูนั่น”
หมอปีย์อธิบาย มือของเขาเอื้อมไปที่กอต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ
“เจ้าคอยเงี่ยหูฟังนะ” เขาทำเสียงค่อยๆ
“อะไรเหรอ” ผมถาม พยายามมองไปที่มือที่กำแน่นของเขา
“เอาเถิด รอฟังเสียงนี่ก็แล้วกัน” ว่าแล้วเขาก็ค่อยๆโปรยเมล็ดบางอย่างลงไปในแม่น้ำ
ผมเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
.
.
.
.
.
“ได้ยินอะไรรึป่าวพ่อ” หมอปีย์ถาม ผมทำหน้าฉงน ไม่ยักกะได้ยินเสียงอะไร
“เสียงอะไรของนาย”
หมอนั่นส่ายหัวไปมาก่อนจะก้มลงไปเก็บเมล็ดบางอย่างขึ้นมาอีก คราวนี้หมอนั่นให้ผมวักน้ำขึ้นมาใส่อุ้งมือไว้
“ทำมือดีๆสิ เจ้าบ้า อย่าให้น้ำไหลออก” เขาจับมือผมชิดแน่นกัน ก่อนจะค่อยๆหย่อนเม็ดบางอย่างลงไปในมือผม
เม็ดนั่นเป็นเม็ดของต้นอะไรสักอย่างที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ เม็ดเรียวยาว สีน้ำตาล ขนาดเท่าปลายไม้ขีด
“คอยดูดีๆนะ” หมอปีย์กำชับ ผมจ้องเม็ดที่อยู่นมือนั่นอย่างตั้งใจ มันลอยแน่นิ่งอยู่ในน้ำที่ผมประคองไว้ในมือไม่ให้ไหล
“ไม่เห็นมีอะไรเลยหมอ เล่นอะไรอีกหล่ะเนี๊ยะ”
หมอปีย์ไม่ตอบออะไร ผมจ้องไปอีกพักเดี๋ยว เม็ดที่อยู่ในมือก็แตกออก เสียงดัง “เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ”
“โห หมอ หมอ มันแตกออกมาด้วย นายเห็นป่าวเมื่อกี้” ผมทำน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ส่วนหมอนั่นยิ้มมองผมอย่างเอ็นดู
“เขาเรียกว่าเม็ดต้อยติ่ง เวลาโดนน้ำแล้วมันจะแตกออกมาเสียงดังเปาะแปะ” เขาอธิบาย
“เหรอๆ เฮ้ย เจ๋งว่ะ” ผมอดตื่นเต้นไม่ได้
“นี่ เจ้าบ้า เรามาแข่งกันมั๊ย อมเม็ดต้อยติ่งไว้ในปาก ใครเม็ดต้อยติ่งแตกก่อนแพ้” เขาท้า
“เฮ้ย ท้าชั้นเหรอ ได้เลยได้เลย” ผมว่าพลางก้มลงไปดึงเม็ดต้อยติ่งริมน้ำมาเม็ดหนึ่ง หมอนั่นก็เหมือนกัน
เราทั้งคู่นับ หนึ่ง สอง สาม ก่อนจะโยนเม็ดต้อยติ่งเข้าปาก
ทั้งผมและมันต่างแน่นิ่งกันทั้งคู่ เราจ้องตากันรอลุ้นว่าเม็ดต้อยติ่งใครจะแตกก่อนกันอย่างตื่นเต้น แต่ยิ่งผมจ้องตาหมอปีย์มากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจผมก็สั่นราวกับมีใครมากำหัวใจผมแล้วเขย่าอย่างนั้นแหละ แววตาคู่นั้นเมื่อต้องแสงเทียนเป็นประกายชวนเคลิบเคลิ้ม ดวงตัวสีน้ำตาลอ่อน ขนตาที่งอนหนา เหมือนแขก  แววตานั้นเหมือนกำลังมองทะลุทะลวงเข้าไปถึงความคิดของผม เขากำลังอ่านความคิดผมอยู่รึเปล่า
ไม่สิ
เขาไม่ได้อ่านความคิดของผม
แต่เขาพยายามกล่อมผมให้เคลิบเคลิ้มไปกับแววตาคู่นั้น
แล้วทำไมเขาต้องเผยอยิ้มด้วยวะ หรือว่าเราทำอะไรน่าขัน ต้องก้มหน้า หลบตาๆ
เฮ้ย ทำไม ทำไมเราหลบตาเขาไม่ได้ ทำไมเราถอนสายตาไปจากดวงตาคู่นั้นไปไม่ได้
หรือว่าเรา เรา .........................
ความคิดผมวกวนไปมา แก้มที่บวมเป่งจนรู้สึกได้เพราะอมเม็ดต้อยติ่งอยู่ มือข้างหนึ่งกำของเล่นของเจ้าแดงไว้แน่น ส่วนอีกข้างกำมือตัวเองแน่นไม่แพ้กัน
“เมื่อไหร่มันจะแตกซะทีวะ” ผมคิด
“เพี๊ยะ” และแล้วเม็ดต้อยติ่งในปากผมก็แตกออกดังเพี๊ยะ จนผมรู้สึกเจ็บจิ๊ดๆเบาๆ เม็ดเล็กๆของมันกระจายอยู่เต็มปากผมไปหมด ผมหันไปถุยเอาเม็ดต้อยติ่งออก หันมาอีกที่เม็ดต้อยติ่งของหมอปีย์ยังไม่แตก อึดจริงๆนะมึง
“ยอมแล้ว แพ้แล้ว คายออกมาเหอะ” ผมบ่นอุบ
เขายอมคายออกมาโดยดี ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“หัวเราะอะไร” ผมถาม
“ก็หัวเราะเจ้านะสิ เจ้าบ้า เจ้านี่นอกจากจะบ้าแล้วยังซื่ออีกนะ” เขายังไม่หยุดหัวเราะ “เม็ดต้อยติ่งที่เราอม ต่อให้เอาไปอีกสิบชาติ ก็หาได้แตกไม่ เพราะนี่มันเม็ดต้อยติ่งอ่อน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ผมงงอยู่พักหนึ่ง อะไรคือเม็ดต้อยติ่งอ่อน ก่อนจะมาร้องอ๋อ ว่าเม็ดต้อยติ่งอ่อนมันยังไม่แก่ เมื่อไม่แก่ มันก็ไม่แตกนั่นเอง
เมื่อรู้อย่างนั้นผมก็โกรธสิครับ โดนโกงนี่หว่า
“ไอ้หมอเฮงซวย ไอ้หมอขี้โกง” ผมว่า แต่ไม่ทันเสียแล้ว หมอนั่นรีบลุกขึ้นก่อนจะจ้ำอ้าวเดินหัวเราะร่าออกไปจากท่าน้ำ









ผู้คนทยอยกันเดินกลับเรือน เด็กๆทั้งหลายที่ไม่ยังไม่อยากกลับก็มักถูกพ่อแม่เอ็ดเสียงดังเซ็งแซ่
ผู้ใหญ่มักหลอกเด็กว่า ถ้าไม่รีบกลับเรือน เสือสมิงจะมาคาบไปกิน แค่นี้ฝูงเด็กทะโมนเหล่านั้นขี้คร้านจะวิ่งแจ้นนำพ่อแม่กลับบ้านด้วยความกลัว
 ผู้ใหญ่บางคนที่ยังไม่ง่วงนอนก็เดินกลับมารอดูโขนที่กำลังเร่งแต่งตัวกันอยู่หลังโรง โขนนั้นมักจะลงโรงเสียดึกดื่น เด็กๆมักไม่ค่อยได้มีอากาศดูเพราะต้องรีบกลับเรือนนอน
เหล่าตัวโขนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์วูบวาบระยิบระยับไปหมด อีกทั้งท่ารำที่อ่อนช้อย แต่แข็งแกร่ง ดูนิ่มนวลแต่แข็งแรงนั้น ทำเอาผมทึ่งไปไม่น้อย หมอปีย์เองดูท่าจะไม่ค่อยชอบใจโขนเท่าไหร่ ผมเห็นเขายืนหันไปหันมา
“นายไม่ชอบโขนเหรอ” ผมถาม
“ไม่ใช่เยี่ยงนั้นดอก เพียงแต่ขยาด” เขาทำหน้าแหยง
“ขยาดเรื่องอะไร”
หมอปีย์ทำท่าอึดอัดใจที่จะเล่า แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยอมเอ่ยปาก
“ตอนเด็กๆก่อนที่พ่อแม่เราจักพาเรามาฝากไว้ที่หมอเจอราร์ทนั้น  พ่อได้นำเราไปฝากไว้กับคณะโขนพร้อมกับผ้าขาวหนึ่งผืน ดอกไม้เจ็ดสี  ธูปเทียนและอัฐ” เขาเล่า ผมตั้งใจฟังจนลืมดูโขน
“แล้วไงต่อ”
“ครูโขนจับมือเราตั้งท่ารำเพื่อเป็นพิธีว่ารับเราเป็นลูกศิษย์แล้ว ท่านว่าเรานั้นตัวเล็กกว่าเพื่อน”  ผมมองมันหัวจรดเท้า นี่อ่ะนะ ตัวเล็ก ตัวยังกับควาย
“ก็เลยให้เราเป็นลิง”
แค่นั้นแหละผมหัวเราะลั่นเลย “ฮ่า ฮ่า ฮ่า เออ แห๊ะ ครูนายนี่ตาถึงดีแท้ มองๆไปนายก็เหมือนลิงจริงๆนั่นแหละ” ผมขำ
“เจ้าจักฟังอีกหรือไม่ ถ้าไม่เราจักได้หยุด” มันงอน
“โอ้ โอ้ ฟังสิๆ แล้วไงต่อ”
“ตอนนั้นเราลำบากที่สุด ต้องอยู่กินกับครู คอยรับใช้ เช็ดเรือน ถูเรือน  ตักน้ำ ล้างชาม ขัดกระไดสาระพัดที่ครูจะใช้ แต่นั้นมิได้ทำให้เราลำบากเท่ากับการฝึก เฮ้อ” เขาถอนหายใจไหล่ยวบ
“เจ้าบ้าเอ๋ย  เรายังจำเพลาที่ฝึกนั้นดี เพลาที่ครูจับฉีกขาให้ยืนตั้งฉาก เพลาที่ท่านดัดมือด้วยน้ำซาวข้าว เพลาที่เราถูกฟาดด้วยหางกระเบนเพราะจำท่ารำเสียมิได้ มิมีวันไหนที่เรามิเสียน้ำตา” เขาเล่าให้ฟังแววตาดูแหยงๆ
“โห ขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วนายมาอยู่เรือนหมอเจอราร์ทได้ยังไงหล่ะ” ผมใคร่รู้ถาม
“เราตามครูไปแสดงโขนที่งานสมโภชน์ภูเขาทองนี่แหละ แสดงเป็นลิงปลายแถว เหตุเพราะเราตัวเล็กสุด หมอเจอราร์ทท่านมาเห็นเข้า นึกต้องชะตา จึงนำเรากับพ่อแม่ ไปชุบเลี้ยง” เขายิ้มออกมาได้ซะที
“แสดงว่ากว่าจะมารำโขนแบบนี้ได้นี่คงยากน่าดูสินะ” ผมนึกเสียดายแทนที่สมัยผมนั้น วัยรุ่นน้อยคนจะมาสนใจการแสดงแบบไทยๆอย่างนี้
“ใช่ ยากทีเดียว เราเองหามีบุญพอได้สืบทอดการแสดงอันวิจิตรเหล่านี้ไม่ หวังแต่เพียงว่าจะมีใครสืบทอดมันให้ลูกหลานเราได้ชื่นชม”  เป็นอีกครั้งที่ผมสะอึก
ผมชวนหมอปีย์เดินออกมาจากโรงโขน เสียงปีพาทย์ดังเร่งจังหวะ เป็นการเร่งอารมณ์ผู้ชมให้ตื่นเต้นไปกับการสู้รบระหว่างทศกัณฑ์กับพระราม
“นาย” ผมเรียก “นายจะรู้สึกยังไง ถ้าอีกร้อยปีต่อจากนี้ ลูกหลานนายจะไม่รู้ว่าโขนคืออะไร ระนาดเอกคืออะไรและภาษาไทยเขียนให้ถูกต้องได้ยังไง” ผมถามไปตรงๆ หมอนั่นหยุดและหันมามองผม ราวกับตกใจในสิ่งที่ผมพูด  แต่เขาจะตกใจได้ยังไงในเมื่อเขาไม่เชื่อว่าผมมาจากอนาคตของสยาม
เอ๋   หรือเขาเชื่อ........................
“เจ้าว่ากระไรนะ เจ้าว่าลูกหลานเราจักลืมความเป็นไทกระนั้นรึ” เขาทำเสียงเข้ม
“เอ่อ เอ่อ ก็แค่สมมุติน่ะสมมุติว่าลืม แหะๆ” ผมยิ้มแห้งๆ รู้สึกผิดที่ถามคำถามตรงขนาดนี้
“ หากเป็นเยี่ยงนั้นจริงจักให้เรารู้สึกกระไรได้ นอกจากเสียใจ  เสียใจที่พวกเขาไม่เห็นคุณค่าของจารีตวัฒนธรรมอันดีงามที่บรรพบุรุษสั่งสมมา” หมอปีย์สีหน้าสลดลงอย่างชัดเจนจนผมตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนั้น
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องเสียใจหรอก ชั้นก็แค่ถามไปอย่างนั้นแหละ แหม ของสวยๆงามๆแบบนี้ ใครจะปล่อยให้สูญหายไป คงมีใครบ้างแหละที่รู้ค่าของมัน จริงป่าว “ ผมปลอบหมอนั่น  “ไปกันเถอะ ชั้นอยากไปดูงานฝั่งกระโน้น”








เราสองคนเดินกลับเข้าไปในงานบริเวณลานขายของอีกครั้ง พ่อค้าแม่ขายต่างทยอยกันเก็บของบ้างแล้ว เพราะชาวบ้านเริ่มน้อยลง ผมเดินผ่านร้านขายของเล่นอีกครั้ง มีดพับกระดาษ หมวกแขก ดอกไม้ไฟ ถูกนำมาวางล่อเด็กที่หน้าร้าน  นอกจากนั้นก็มีชฎาใบลาน เรือบิน หม้อข้าวหม้อแกงสำหรับเล่นขายของ ผมนั้นยังอยากได้งูไม้ระกาไปฝากเจ้าแดงมันอีกสักตัว แต่ก็เกรงใจหมอปีย์ จึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจ รีบเดินผ่านร้านของเล่นไป
ถัดจากร้านของเล่น ก็เป็นร้านขายขนมแห้งๆ พวกลูกหยี เม็ดมะม่วงหิมพานต์จากปักษ์ใต้ ขนมผิง ขนมกลีบสละ ที่ใส่ขวดโหลวางเรียงรายล่อตาล่อใจเด็กๆ
อีกฝั่งตรงข้ามของร้านนั่นเป็นโรงละครลิงที่กำลังแสดงเรื่องจันทโครบอยู่ ผมสนใจจึงรีบลากมือหมอปีย์เข้าไปดู
“หมอๆ มาดูญาติหมอแสดงละครกัน” ผมล้อ แต่หมอนั่นไม่เล่นด้วย หันมามองผมตาเขียวปั๊ด

ผู้คนหัวเราะกันครื้นเครงระหว่างที่ลิงกำลังแสดงละคร ผมไปทันตอนที่ลิงตัวหนึ่งคาดว่าจะเป็นพระเอก กำลังเปิดผอบ สักพักก็มีลิงอีกตัวที่แต่งหน้าทาปากสีสดออกมา น่าจะเป็นนางโมราห์ เสียงคนพากษ์ พากษ์ไป คนดูก็หัวเราะไป ลิงก็แสดงไป    ผมยืนดูลิงใช้ดาบที่ทำมาจากทางมะพร้าวฟันกันไปมาอยู่พักใหญ่ เห็นว่าหมอปีย์เริ่มหาว จึงถอยออกมาจากโรงละคร
“ นายง่วงแล้วเหรอ” ผมถาม
“ยังดอก เจ้าอยากดูอันใดอีกก็ตามใจเถิด” เขาตอบก่อนจะอ้าปากหาวอีกครั้ง
“ยังอะไรวะ หาวจนน้ำหูน้ำตาไหลแล้ว ยังจะบอกว่าไม่ง่วง งั้นกลับบ้านกันเถอะ” ผมชวน ทั้งๆที่ก็ยังอยากดูอะไรต่อมิอะไรต่อ


ผมเดินผ่านร้านรวงต่างๆออกมาจนเกือบจะถึงทางออก ก็ได้ยินเสียงร้องขายของดังขึ้น
“หอมสนิทติดทนนาน ทาพี่หอมน้อง ทาน้องหอมพี่ ทาผัวหอมเมีย ทาเมียห๊อมมมมมมมมมไปถึงผัว  เชิญเข้ามาเลือกดมได้เลยจ้า ดมสักนิดจักติดใจนะจ๊ะ”
ร้าขายน้ำปรุงนั่นเอง ผมหันไปมองเพราะนึกขึ้นกับคำโฆษณา คนเต็มร้าน ผู้หญิงคนขายนั้นทำหน้าที่เรียกลูกค้า ส่วนผู้ชายอีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นสามีนั้น ทำหน้าที่ตักน้ำปรุงใส่ขวดแก้วขาย
“เจ้าอยากซื้อรึ”
ผมพยักหน้าเบาๆ ประมาณว่า ไม่ได้อยากได้มาก แต่ก็................อยากได้อ่ะ  ก็มาอยู่ที่นี่นาน ไม่มีน้ำหอมใช้เลย ตัวเหม็นจะตาย
“มิต้องเสียอัฐซื้อดอก เดี๋ยวมะเรื่องเราจักพาเจ้าไปหาแม่รำพึง แม่รำพึงปรุงน้ำอบน้ำปรุงได้หอมยวนใจกว่านี้ยิ่งนัก”
เขาว่า



พวกเราเดินผ่านหน้าร้านขายขนมเบื้องของแม่สน หล่อนกำลังวุ่นอยู่กับการเช็ดกะโหลก กะลา กระจ่า กระบวย ที่ทำมาจากกะลามะพร้าว ตอนที่ผมช่วยหล่อนทำขนมนั้น หล่อนเล่าให้ฟังว่า มะพร้าวมีประโยชน์มาก ต้นใช้ทำเรือน ใบใช้มุงหลังคา ก้านใช้ทำไม้กวาดลาน มะพร้าวทั้งลูกก็เอาทำหมอนหนุน หรือไม่หากปอกเปลือก เปลือกก็ยังเอาไปทำปุ๋ย หรือทำแปรง กะลาที่เหลือก็ไม่ทิ้ง เอาไปทำขัน ทำกระบวย กระจ่าไว้ตักข้าวตักขนมอีกก็ยังได้
ผมก็เห็นว่าเป็นจริงตามนั้น เพราะเกือบทุกบ้านผมเห็นกระบวยตักน้ำก็ทำมากจากกะลา หน้ากระไดก็มีขันจากกะลาลอยน้ำอยู่ไว้ตักน้ำล้างเท้า ขันจากกะลานี้ดี ไม่จมน้ำ
“กลับเรือนกันก่อนเถอะขอรับ คุณหลวง ทางนี้ประเดี๋ยวกระผมจัดการเอง” สนไล่ให้เราทั้งคู่กลับบ้านไปก่อน ซึ่งก็ถือว่าดีเหมือนกัน เพราะว่าวันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวัน ตอนนนี้ก็เริ่มง่วงแล้วด้วย

ต้นลั่นทมต้นใหญ่กำลังออกดอกสะพรั่งอยู่ริมทางเดิน  ดอกลั่นทมสีขาวนวลตรงกลางกลีบมีสีเหลืองอ่อนไปหาเข้มคล้ายคนเอาสีทา กลิ่นหอมเย็นชื่นใจดีนัก ระหว่างทางเดินกลับบ้านนั้น มีต้นลั่นทมอยู่เรียงรายรอบๆวัดเต็มไปหมด ดอกร่วงหล่นเกลื่อนพื้นจนผมอดเก็บเอามาดมไม่ได้

“หอมเน๊อะ ดอกลีลาวดีเนี๊ยะ” ผมว่าพลางสูดกลิ่นดอกนี้เสียงดังฟูดดดดดดดดด
“เจ้าว่าดอกนี้คือดอกอะไรนะ” หมอปีย์ถาม
“ดอกลีลาวดี ทำไมเหรอ”
“บ้านเมืองเจ้าเรียกดอกนี้ว่าลีลาวดีเหรอ อืม ไพเราะดีเหมือนกัน ดีกว่าชื่อลั่นทมเป็นไหนๆ” เขาพยักหน้าเชิงเห็นด้วย
“แต่ว่าการที่เจ้าเก็บดอกลั่นทมมาดมนั่น หาได้เป็นเรื่องที่ควรทำไม่”
“ทำไมอ่ะ”
“ดอกลั่นทมเป็นดอกไม้งานศพ ไม่เหมาะจักเอามาชื่นชมดมดอม”
“เฮ้ย บ้าเหรอ บ้านชั้นดอกนี่เค้าเอาไว้จัดสวนจัดบ้าน จัดรีสอร์ท ต้นละเป็นหมื่นเป็นพัน”ผมเถียง
“แล้วทำไมเขาถึงเอาดอกลั่นทมไปไว้สำหรับงานศพหล่ะ” ผมถาม ยังไม่หยุดดม
“ก็เพราะดอกลั่นทมมีกลิ่นหอมแรง กลบกลิ่นศพได้ดี จึงมักนิยมวางไว้ใกล้ๆศพ” หมอปีย์อธิบาย และคำอธิบายของมันนั่นเองที่ทำให้ผมขว้างดอกลั่นทมทิ้งแทบไม่ทัน  เสียอารมณ์สุนทรีย์อย่างแรง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






A. marco

  • บุคคลทั่วไป

^
^
^
จิ้มตูดพี่เซ็งเป็ด
ดีใจมาก่อนใคร
ไปอ่านก่อน

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“โห หมอ นั่นแสงอะไรน่ะ” ผมชี้ไปที่แสงไฟที่ส่องประกายวิบวับวิบวับ ระหว่างที่เราเดินกลับบ้านพร้อมกัน ดึกดื่นของค่ำคืนนี้มีเพียงเราสองคนบนเส้นทางมืดเปลี่ยว
“อ๋อ หิงห้อย เจ้ามิรู้จักหิงห้อยรึ” เขาทำหน้าสงสัย
“เคยแต่ได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยเห็น” ผมตอบ
“แปลกคนจริงๆ” เขาว่า
จริงๆแล้วสำหรับผมมันไม่แปลกหรอกที่จะไม่เคยเห็นหิงห้อยมาก่อน ผมเชื่อว่าใครหลายต่อหลายคนในยุคผมเองก็ไม่เคยเห็นหิงห้อยเหมือนกันนั่นแหละ จะไปเห็นได้ยังไงกันล่ะก็แสงไฟนีออนทั่วบ้านทั่วเมืองขนาดนั้นแสงหิงห้อยหรือจะสู้ได้ อีกอย่างยุคผมต้นลำพูก็ไม่เหลือให้เห็นแล้วด้วย
“อยากได้สักตัวว่ะ” ผมเปรยเบาๆ แต่ก็ไม่สนใจอะไร แค่เห็นว่ามันสวยดีเลยอยากลองเอามาดูใกล้ๆก็เท่านั้น

เราทั้งคู่เดินกลับบ้านกันอย่างเงียบๆหมอนั่นเงียบไปเลยหลังจากเดินผ่านต้นลำพู
 ผมไม่รู้เหมือนกันว่าหมอปีย์คิดอะไรของมันอยู่ จู่ๆ มันก็เงียบไปเฉยๆ สงสัยผมคงพูดอะไรผิดหูมันอีกแน่ๆ
“ช่างมันสิ ใครจะสนใจ” ผมบอกตัวเอง



“เจ้าบ้า!!!” หมอนั่นตะโกนเรียกผม “เจ้ากลับเรือนไปก่อน เรามีธุระจักต้องทำเสียหน่อย”
ผมงงเลย จู่ๆมันก็หน้าตาซีเรียสขึ้นมา  นี่ผมทำอะไรผิดอีกรึปล่าววะเนี๊ยะ ไม่นะ ก็ไม่ได้พูดอะไรไม่เข้าหูมันสักหน่อย เดินมาดีๆ จะว่ามันหมั่นไส้ที่ผมเสือกเดินนำหน้ามันก็คงไม่ใช่

เอ หรือว่า
“อ๋อ นายจะไปบ้านคำแก้ว แฟนนายน่ะสิ”  ต้องใช่แน่ๆ โธ่เอ้ย ไหนบอกว่า...............ที่แท้ก็พูดพล่อยๆแค่นั้นเอง
“ธุระของเรา มิเกี่ยวกับเจ้า เราบอกให้กลับเรือนไปก่อนก็กลับไปก่อน”  
พอรู้ทันทำมาเป็นเสียงเข้มนะมึง ไอ้หมอเฮงซวย
“เออ รู้แล้ว ไม่ต้องมาไล่หรอก ไอ้หมอ  โธ่เว้ย” ผมหันหลังเดินบ่นพึมพำๆ “ทำมาเป็นไล่ทำเสียงแข็ง อยากไปหาแฟนก็บอกมาดีๆก็ได้ ไม่มีใครเขาผูกขานายไว้เสียหน่อย โธ่” ผมบ่นไปเรื่อ่ย
“รีบไปสิ เดี๋ยวแฟนนายก็รอแย่หรอก ไป๊” ผมตะโกนด้วยความหงุดหงิด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องหงุดหงิด


แสงจันทร์สาดส่องนำทางให้เห็นถนนดินดานสีขาว ที่ทำเป็นทางยาวเกิดจากล้อของเกวียน  สองข้างทางรกครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ริมถนนนั้น บางช่วงเต็มไปด้วยหญ้าเจ้าชู้  หมอปีย์หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
แต่เรือนหมอปีย์อยู่ห่างจากตรงนี้อีกไม่ไกล
“ชิส์ ไอ้หมอเจ้าเล่ห์ โด่ แกล้งทำเป็นมาพูดหวานใส่กู เกือบเคลิ้มไปแล้วมั๊ยหล่ะ ดีนะที่ไม่หลงกลมัน ร้ายนักนะมึง อย่าให้ถึงตากูมั่ง แล้วมึงจะรู้สึก” ผมยังเดินบ่นไม่หยุด รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่า หมอนั่นจะไปหาคำแก้ว
“โธ่เว้ย!!!” ผมหวดก้านไม้ไผ่ที่ถือติดมือมาไปยังกิ่งไม้ข้างๆเสียงดังขวับ เพื่อระบายอารมณ์ บางครั้งเผลอบีบของเล่นเจ้าแดงจนเกือบเต็มแรงก็มี









เรือนหมอปีย์เงียบเชียบ มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุที่ยังคงทำหน้าที่ส่องสว่าง อาจเป็นเพราะเวลานี้เกือบเที่ยงคืนแล้ว บ่าวไพร่เรือนนี้เลยหลับนอนกันเสียหมด เพราะรุ่งเช้าต้องตื่นมาทำงานก่อนไก่ขัน
หมอปีย์นี้นับว่าเป็นนายที่ดีคนหนึ่ง เขาไม่ค่อยจะดุบ่าวไพร่ เวลาพักผ่อนของบ่าวไพร่ก็ไม่เคยจะเรียกใช้เพราะเขาถือว่าเป็นเวลาส่วนตัว ครั้งหนึ่งผมโดนดุเรื่องที่มากินข้าวสาย หมอนั่นให้เหตุผลว่า
“จักทำอันใดตามใจเรามิได้ เรือนนี้หาได้มีแค่เจ้าอยู่เพียงคนเดียวไม่ หากเจ้ามากินสำรับสาย บ่าวไพร่มันก็ต้องสายรอเจ้าไปด้วย ไหนงานที่พวกมันจักต้องทำอีก ทำอันใดให้คิดถึงใจเขาใจเราให้มั่น”

ผมนั่งฟังอยากสงบเสงี่ยม และก็เห็นด้วยกับสิ่งที่มันพูด
วันนี้ก็เช่นกัน ผมอยากจะอาบน้ำอุ่นมากเพราะหนาว แต่พอนึกถึงคำนั้นของหมอปีย์ก็เลยไม่อยากปลุกบ่าวไพร่ให้เอิกเกริก


น้ำในโอ่งดินนั้นเย็นเฉียบ ไหนจะลมหนาวที่พัดมาวูบๆ ทำให้ผมสั่นริกๆ ตักน้ำเงื้อขึ้นมาจะอาบๆตั้งหลายครั้งแต่ก็ทำใจไม่ได้
“เอาวะ  1 2 3” แต่แล้วก็ยั้งมือไว้ทุกที
เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้งพอเห็นว่ามันชักจะนานไปแล้ว ก็เลยตัดใจราดตูมทั้งตัว
“โอ้ยยยย หนาวเหี้ยๆ หนาวเหี้ยๆ” ผมเต้นผางๆไม่เป็นท่า มือก็ควานหาเปลือกหมากมาจิ้มเกลือแปรงฟัน
ตอนมาที่นี่แรกๆผมร้องหาแปรงสีฟันกับยาสันเสียยกใหญ่ บ่าวไพร่เรือนนี้จนปัญญาที่จะหาให้ผมได้ ผมเลยงอนไม่แปรงซะเลย
แต่งอนไปได้ไม่เท่าไหร่ ทนกลิ่นปากเน่าๆของตัวเองไม่ไหว เลยจำใจต้องยอม
ตอนนี้เริ่มชินกับการแปรงฟันแบบนี้แล้ว ทำไปทำมาแปรงแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่เสียวฟัน แล้วเลือดก็ไม่ออกเหมือนเดิมแล้ว
บ่าวไพร่เรือนนี้กินหมากกันทั้งเรือน ฟันดำปี๋ ยิ้มทีผมหัวเราะทุกที เพราะมันตลก พวกเขากินหมากกันเป็นงานอดิเรก ว่างเป็นกิน ว่างเป็นกิน ผมเองก็เคยลองกินมาครั้งนึง แต่ไม่ไหวทั้งฝาดทั้งเผ็ด แถมยังยัน(เมา)อีกต่างหากเลยเลิกกิน
พอกินหมากเสร็จ เปลือกหมากบ่าวก็เอามาตัดเป็นแปรงสีฟันคอยเอามาเปลี่ยนให้ทุกวัน ผมก็เลยได้แปรงสีฟันใหม่ทุกวัน
ส่วนยาสีฟันนั้น หมอปีย์เล่าว่าที่นี่ทเอง หมอเจอราร์ทท่านสอนให้สนทำ  นั่นก็คือเอาเกลือสตุ สารส้มสตุ พิมเสน ผงถ่านป่นละเอียด กานพลูป่น ข่อยป่น เอามาผสมรวมกัน ยาสีฟันที่นี่จึงเป็นสีดำปี๋น่ากลัว
แต่หมอปีย์บอกว่าถึงหน้าตามันจะไม่งาม แต่สรรพคุณนั้นล้นเหลือ
 เกลือช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
 พิมเสนทำให้กลิ่นปากหอมสดชื่น
 ผงถ่านนั้นทำให้ฟันขาว แก้คราบเหลืองๆด้วย
 ข่อยช่วยรักษาโรคเหงือก แก้รำมะนาด ช่วยให้ฟันไม่โยกเยกง่ายๆ
ส่วนกานพลูนั้นรสออกเผ็ดซ่าๆช่วยแก้ปวดฟัน  
ตอนผมสีฟันครั้งแรกนั้น รสชาติเหมือนตอนแปรงฟันกับยาสีฟันวิเศษนิยมเลยทีเดียว

และตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ ทุ่นรายจ่ายค่าเครื่องสำอางค์ไปเยอะมากโขทีเดียวเหมือนกัน เพราะที่นี่เครื่องสำอางค์ที่จำเป็นมีแค่ “แป้ง ขมิ้น ดินสอพอง” แค่นั้นพอ ไม่ต้องมีครีมกระชับรอบดวงตา ครีมลบเลือนริ้วรอยรอบฝีปาก ไม่ต้องมีโรลออนจักกะแร้ขาว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาล่างจุดซ่อนเร้นเป็นพิเศษให้วุ่นวาย
“ชีวิตช่างง่ายดีแท้”



เมื่อจัดการอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยผจึงเตรียมตัวนอน
ดึงมุ้งลงมา ก่อนจะค่อยๆจัดชายมุดเข้าไปใต้เสื่อจันทบูร เมื่อล้มตัวลงนอน หัวอันหนักอึ้งที่เต็มไปด้วยเรื่องของหมอนั่นก็เริ่มทำงาน
ผมเริ่มคิดถึงหมอปีย์ขึ้นมาอีกแล้ว
ป่านนี้แม่งจะทำอะไรกับคำแก้วบ้าง
คงพลอดรักกันฉ่ำใจ
หรือไม่หมอนั่นก็คงจะพูดหวานๆเหมือนที่พูดกับผมแน่ๆ
“เฮ้ย จะคิดถึงมันทำไม นอนได้แล้ว” ผมพยายามข่มตาหลับไม่คิดถึงเรื่องหมอบ้านั่น เปลี่ยนเรื่องมาคิดถึงเรื่องที่บ้านแทน


ป่านนี้ไม่รู้ที่บ้านจะเป็นอย่างไรบ้าง ลูกชายหายไปทั้งคน แต่ให้ผมเดา เขาคงไม่ห่วงหรอก ผมเคยหายไปทีละสองสามเดือนก็มี ก็ไม่เห็นจะตามหา คราวนี้ก็คงเหมือนกัน คงกำลังวุ่นวายอยู่กับไอ้สมบัติบ้าๆนั่น หรือไม่ก็มัวแต่ทะเลาะกันเอง
“ถ้าหนูวาดรู้ว่าต่อไปลูกหลานจะบาดหมางกันอย่างนี้ ท่านคงจะเสียใจมากแน่ๆ” ผมคิด


“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูทำให้ผมสะดุ้ง
“ใคร” ผมร้องถาม
“เราเอง เจ้าบ้า” เสียงของปีย์นั่นเอง หมอนั่นมาทำอะไรที่ห้องผมป่านนี้ หรือว่ามันจะมาปล้ำผม เจ้ย บ้าไปแล้ว เป็นไปไม่ได้
“เออ เออ” ผมลุกขึ้นจากเตียงขมวดปมกางเกงแพรให้แน่น จุดตะเกียง ก่อนจะเดินไปเปิดประตู  “มีอะไร”
“ให้เราเข้าไปข้างในหน่อยเถิด” หมอปีย์ยืนนิ่งมือไพร่หลัง
“มีอะไร นี่มันดึกแล้ว” ผมว่า แต่หมอนั่นไม่ฟังเสียง เขาเดินแทรกตัวเข้ามาในห้องผมจนได้ ก่อนจะเดินไปที่เตียงผม เปิดมุ้งออก แล้วสะบัดอะไรสักอย่างในผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ใส่มุ้งผม
“เฮ้ย ทำอะไรของนายอ่ะ เฮ้ย” ผมวิ่งเข้าไปร้องห้าม
หมอปีย์หยุดสะบัด เขาปิดมุ้งลง แล้วก็เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“เป็นบ้าอะไรของมันวะ” ผมงง เกาหัวแกรกๆ ก่อนจะดับไฟ เปิดมุ้ง และล้มตัวลงนอน

ผมนอนหงายแน่นิ่ง ตาเบิกโพรง เอามือก่ายหน้าผาก ไม่เข้าใจกับสิ่งที่หมอบ้านั่นทำ
“มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เอ หรือว่า........................มันจะมาทำยาเสน่ห์ เฮ้ยยย  ใช่แน่ๆ”

ทันใดนั้น จู่ๆในมุ้งผมก็มีแสงไฟเล็กๆนับสิบดวง สว่างวูบวาบขึ้นมาพร้อมๆกันในความมืด ผมอ้าปากหวอ จ้องมองดวงไฟกระพริบเล็กๆนั้นไม่วางตา
“อะไรวะ”

แสงไฟระยิบระยับล่องลอยไปมา แสงเย็นตานั้นเหมือนกับกำลังร่ายร่ำในสายลม มันช่างสวยงามจริงๆ
ราวกับนอนอยู่บนท้องฟ้าที่มีดวงดาวที่เคลื่อนไหวไปมารอบๆตัว แสงนั้นจะเป็นแสงไฟจากอะไรไปไม่ได้นอกจาก
“หิงห้อย” ผมเปรยกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้า
“หมอนั่นไปวิ่งไล่จับหิงห้อยมาให้เหรอนี่ บ้าจริงๆ” ผมหัวเราะแต่ในใจนั้นซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก
หิงห้อยนับสิบยังคงแข่งกันเปล่งแสงอวดผม ราวกับมันกำลังพยายามเรียกให้ผมดูพวกมันร่ายรำอวดแสงสีทองอร่ามจากตัวเอง ผมเอื้อมมือขึ้นไปหมายจะแตะแสงนั้น แต่ทันทีที่เข้าใกล้มัน มันก็จะบินหนีอยู่ร่ำไป
ผมทำอยู่อย่างนั้นนับสิบครั้ง

แสงจากหิงห้อยที่ล่องลอยอยู่เต็มมุ้งผมนั้น ทำให้ผมจิตใจสงบลงไปมาก ผมนอนนับแสงหิงห้อยแทนการนับดาว  แต่พวกมันไม่หยุดอยู่กับที่ จึงเป็นการยากสักหน่อยที่จะนับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพยายาม และการพยายามนั้นก็ทำให้ผมเริ่มง่วง และในที่สุดผมก็หลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม........................
“ขอบใจนะหมอ”


A. marco

  • บุคคลทั่วไป

^^
^^
^^
จิ้มๆ


อยากรู้จัง ว่าจบแล้ว 2 คนจะได้อยู่ด้วยกัน รักกันไปรึเปล่า ถ้าใช่คงเป็นเรื่องที่นาจดจำ แต่ถ้าเค้าไม่สมหวัง มันคงเป็นเรื่องที่ เราจักต้องทำใจให้ลืมเสียแล้ว
เพราะไม่อยากจิตตก

ออฟไลน์ O[]OVampire

  • เพียงเธอสบตา...แทบลืมหายใจ เพียงเธอ...จากไป...ตราบชั่วลมหายใจ ...ไม่ลืม
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-0
แอร๊ยยยย เขินหมอปีย์น่ารักสุด
อุตส่าห์ไปจับหิ่งห้อยมา สนุกมากๆรออ่านความคืบหน้าต่อไป

ออฟไลน์ อิสระ

  • ถ้า add ให้กอด,ถ้า give five ให้จุ๊บ,ถ้า ment ให้เบอร์ คิคิ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-8
    • https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-1433707443445407/?modal=admin_todo_tour
อิ่มความหวาน :o8: :-[
ซาบซ่านกับความโรแมนติกของหมอปีย์เหลือเกินตอนนี้ :กอด1:
จะมีบ้างมั้ยเนี่ยสมัยนี้ผู้ชายอย่างหมอปีย์เนี่ย.... :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
ตายแล้ว จีบกันริมน้ำเสร็จ หมอปีย์ก็มาทำให้ละลายด้วยการจับหิ่งห้อยมาไว้ในมุ้ง หมอนี่มันโรแมนติกจริงๆทีเดียว หวานค่ะหวาน โอ๊ะ น่ารัก หวาน :-[

บวกหนึ่งให้คุณเซ็งเป็ดนะคะ

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
 :-[ อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย หมอน่ารักอ่า
มีคนทำแบบนี้ให้เรารักตายเลย

ออฟไลน์ SecondaryTrauma

  • Today is a gift, that is why call ... "The Present"
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เจ้าเล่ห์นักนะ หมอปีย์

nadyanarak

  • บุคคลทั่วไป
เริ่ด......

อยากโดนจีบแบบนุ่มนวลอย่างนี้บ้าง...

ออฟไลน์ qq_oo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-4
อ๊ายโรแมนติก

ชอบๆๆๆ

อ่านแล้วได้สาระด้วย o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด