ผมกับหมอปีย์นั่งรับลมอยู่ครู่ใหญ่ ช่วงเวลานั้นเหมือนกับว่ามันจะหยุดนิ่งลงเพื่อให้เราสองคนได้ฟังเสียงลมหายใจของกันและกัน รอบๆตัวเราตอนนี้สว่างสไวไปด้วยแสงจากเทียนที่ลอยแกว่งไปมาในสายน้ำ อีกทั้งกลิ่นดอกราตรีและเล็บมือนางที่ลอยมาตามลมจากที่ใดที่หนึ่งนั้นก็ทำให้ผมถึงกับเคลิบเคลิ้มไป
“ฝั่งนู่นเป็นอะไรเหรอ” ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“ฝั่งกระนู้นะหรือ เป็นเรือนคหบดีชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เราเองก็มิแน่ใจนัก เรือนของท่านอยู่ลึกเข้าไปในดงลำพูนั่น”
หมอปีย์อธิบาย มือของเขาเอื้อมไปที่กอต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ
“เจ้าคอยเงี่ยหูฟังนะ” เขาทำเสียงค่อยๆ
“อะไรเหรอ” ผมถาม พยายามมองไปที่มือที่กำแน่นของเขา
“เอาเถิด รอฟังเสียงนี่ก็แล้วกัน” ว่าแล้วเขาก็ค่อยๆโปรยเมล็ดบางอย่างลงไปในแม่น้ำ
ผมเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
.
.
.
.
.
“ได้ยินอะไรรึป่าวพ่อ” หมอปีย์ถาม ผมทำหน้าฉงน ไม่ยักกะได้ยินเสียงอะไร
“เสียงอะไรของนาย”
หมอนั่นส่ายหัวไปมาก่อนจะก้มลงไปเก็บเมล็ดบางอย่างขึ้นมาอีก คราวนี้หมอนั่นให้ผมวักน้ำขึ้นมาใส่อุ้งมือไว้
“ทำมือดีๆสิ เจ้าบ้า อย่าให้น้ำไหลออก” เขาจับมือผมชิดแน่นกัน ก่อนจะค่อยๆหย่อนเม็ดบางอย่างลงไปในมือผม
เม็ดนั่นเป็นเม็ดของต้นอะไรสักอย่างที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ เม็ดเรียวยาว สีน้ำตาล ขนาดเท่าปลายไม้ขีด
“คอยดูดีๆนะ” หมอปีย์กำชับ ผมจ้องเม็ดที่อยู่นมือนั่นอย่างตั้งใจ มันลอยแน่นิ่งอยู่ในน้ำที่ผมประคองไว้ในมือไม่ให้ไหล
“ไม่เห็นมีอะไรเลยหมอ เล่นอะไรอีกหล่ะเนี๊ยะ”
หมอปีย์ไม่ตอบออะไร ผมจ้องไปอีกพักเดี๋ยว เม็ดที่อยู่ในมือก็แตกออก เสียงดัง “เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ”
“โห หมอ หมอ มันแตกออกมาด้วย นายเห็นป่าวเมื่อกี้” ผมทำน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ส่วนหมอนั่นยิ้มมองผมอย่างเอ็นดู
“เขาเรียกว่าเม็ดต้อยติ่ง เวลาโดนน้ำแล้วมันจะแตกออกมาเสียงดังเปาะแปะ” เขาอธิบาย
“เหรอๆ เฮ้ย เจ๋งว่ะ” ผมอดตื่นเต้นไม่ได้
“นี่ เจ้าบ้า เรามาแข่งกันมั๊ย อมเม็ดต้อยติ่งไว้ในปาก ใครเม็ดต้อยติ่งแตกก่อนแพ้” เขาท้า
“เฮ้ย ท้าชั้นเหรอ ได้เลยได้เลย” ผมว่าพลางก้มลงไปดึงเม็ดต้อยติ่งริมน้ำมาเม็ดหนึ่ง หมอนั่นก็เหมือนกัน
เราทั้งคู่นับ หนึ่ง สอง สาม ก่อนจะโยนเม็ดต้อยติ่งเข้าปาก
ทั้งผมและมันต่างแน่นิ่งกันทั้งคู่ เราจ้องตากันรอลุ้นว่าเม็ดต้อยติ่งใครจะแตกก่อนกันอย่างตื่นเต้น แต่ยิ่งผมจ้องตาหมอปีย์มากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจผมก็สั่นราวกับมีใครมากำหัวใจผมแล้วเขย่าอย่างนั้นแหละ แววตาคู่นั้นเมื่อต้องแสงเทียนเป็นประกายชวนเคลิบเคลิ้ม ดวงตัวสีน้ำตาลอ่อน ขนตาที่งอนหนา เหมือนแขก แววตานั้นเหมือนกำลังมองทะลุทะลวงเข้าไปถึงความคิดของผม เขากำลังอ่านความคิดผมอยู่รึเปล่า
ไม่สิ
เขาไม่ได้อ่านความคิดของผม
แต่เขาพยายามกล่อมผมให้เคลิบเคลิ้มไปกับแววตาคู่นั้น
แล้วทำไมเขาต้องเผยอยิ้มด้วยวะ หรือว่าเราทำอะไรน่าขัน ต้องก้มหน้า หลบตาๆ
เฮ้ย ทำไม ทำไมเราหลบตาเขาไม่ได้ ทำไมเราถอนสายตาไปจากดวงตาคู่นั้นไปไม่ได้
หรือว่าเรา เรา .........................
ความคิดผมวกวนไปมา แก้มที่บวมเป่งจนรู้สึกได้เพราะอมเม็ดต้อยติ่งอยู่ มือข้างหนึ่งกำของเล่นของเจ้าแดงไว้แน่น ส่วนอีกข้างกำมือตัวเองแน่นไม่แพ้กัน
“เมื่อไหร่มันจะแตกซะทีวะ” ผมคิด
“เพี๊ยะ” และแล้วเม็ดต้อยติ่งในปากผมก็แตกออกดังเพี๊ยะ จนผมรู้สึกเจ็บจิ๊ดๆเบาๆ เม็ดเล็กๆของมันกระจายอยู่เต็มปากผมไปหมด ผมหันไปถุยเอาเม็ดต้อยติ่งออก หันมาอีกที่เม็ดต้อยติ่งของหมอปีย์ยังไม่แตก อึดจริงๆนะมึง
“ยอมแล้ว แพ้แล้ว คายออกมาเหอะ” ผมบ่นอุบ
เขายอมคายออกมาโดยดี ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“หัวเราะอะไร” ผมถาม
“ก็หัวเราะเจ้านะสิ เจ้าบ้า เจ้านี่นอกจากจะบ้าแล้วยังซื่ออีกนะ” เขายังไม่หยุดหัวเราะ “เม็ดต้อยติ่งที่เราอม ต่อให้เอาไปอีกสิบชาติ ก็หาได้แตกไม่ เพราะนี่มันเม็ดต้อยติ่งอ่อน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ผมงงอยู่พักหนึ่ง อะไรคือเม็ดต้อยติ่งอ่อน ก่อนจะมาร้องอ๋อ ว่าเม็ดต้อยติ่งอ่อนมันยังไม่แก่ เมื่อไม่แก่ มันก็ไม่แตกนั่นเอง
เมื่อรู้อย่างนั้นผมก็โกรธสิครับ โดนโกงนี่หว่า
“ไอ้หมอเฮงซวย ไอ้หมอขี้โกง” ผมว่า แต่ไม่ทันเสียแล้ว หมอนั่นรีบลุกขึ้นก่อนจะจ้ำอ้าวเดินหัวเราะร่าออกไปจากท่าน้ำ
ผู้คนทยอยกันเดินกลับเรือน เด็กๆทั้งหลายที่ไม่ยังไม่อยากกลับก็มักถูกพ่อแม่เอ็ดเสียงดังเซ็งแซ่
ผู้ใหญ่มักหลอกเด็กว่า ถ้าไม่รีบกลับเรือน เสือสมิงจะมาคาบไปกิน แค่นี้ฝูงเด็กทะโมนเหล่านั้นขี้คร้านจะวิ่งแจ้นนำพ่อแม่กลับบ้านด้วยความกลัว
ผู้ใหญ่บางคนที่ยังไม่ง่วงนอนก็เดินกลับมารอดูโขนที่กำลังเร่งแต่งตัวกันอยู่หลังโรง โขนนั้นมักจะลงโรงเสียดึกดื่น เด็กๆมักไม่ค่อยได้มีอากาศดูเพราะต้องรีบกลับเรือนนอน
เหล่าตัวโขนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์วูบวาบระยิบระยับไปหมด อีกทั้งท่ารำที่อ่อนช้อย แต่แข็งแกร่ง ดูนิ่มนวลแต่แข็งแรงนั้น ทำเอาผมทึ่งไปไม่น้อย หมอปีย์เองดูท่าจะไม่ค่อยชอบใจโขนเท่าไหร่ ผมเห็นเขายืนหันไปหันมา
“นายไม่ชอบโขนเหรอ” ผมถาม
“ไม่ใช่เยี่ยงนั้นดอก เพียงแต่ขยาด” เขาทำหน้าแหยง
“ขยาดเรื่องอะไร”
หมอปีย์ทำท่าอึดอัดใจที่จะเล่า แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยอมเอ่ยปาก
“ตอนเด็กๆก่อนที่พ่อแม่เราจักพาเรามาฝากไว้ที่หมอเจอราร์ทนั้น พ่อได้นำเราไปฝากไว้กับคณะโขนพร้อมกับผ้าขาวหนึ่งผืน ดอกไม้เจ็ดสี ธูปเทียนและอัฐ” เขาเล่า ผมตั้งใจฟังจนลืมดูโขน
“แล้วไงต่อ”
“ครูโขนจับมือเราตั้งท่ารำเพื่อเป็นพิธีว่ารับเราเป็นลูกศิษย์แล้ว ท่านว่าเรานั้นตัวเล็กกว่าเพื่อน” ผมมองมันหัวจรดเท้า นี่อ่ะนะ ตัวเล็ก ตัวยังกับควาย
“ก็เลยให้เราเป็นลิง”
แค่นั้นแหละผมหัวเราะลั่นเลย “ฮ่า ฮ่า ฮ่า เออ แห๊ะ ครูนายนี่ตาถึงดีแท้ มองๆไปนายก็เหมือนลิงจริงๆนั่นแหละ” ผมขำ
“เจ้าจักฟังอีกหรือไม่ ถ้าไม่เราจักได้หยุด” มันงอน
“โอ้ โอ้ ฟังสิๆ แล้วไงต่อ”
“ตอนนั้นเราลำบากที่สุด ต้องอยู่กินกับครู คอยรับใช้ เช็ดเรือน ถูเรือน ตักน้ำ ล้างชาม ขัดกระไดสาระพัดที่ครูจะใช้ แต่นั้นมิได้ทำให้เราลำบากเท่ากับการฝึก เฮ้อ” เขาถอนหายใจไหล่ยวบ
“เจ้าบ้าเอ๋ย เรายังจำเพลาที่ฝึกนั้นดี เพลาที่ครูจับฉีกขาให้ยืนตั้งฉาก เพลาที่ท่านดัดมือด้วยน้ำซาวข้าว เพลาที่เราถูกฟาดด้วยหางกระเบนเพราะจำท่ารำเสียมิได้ มิมีวันไหนที่เรามิเสียน้ำตา” เขาเล่าให้ฟังแววตาดูแหยงๆ
“โห ขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วนายมาอยู่เรือนหมอเจอราร์ทได้ยังไงหล่ะ” ผมใคร่รู้ถาม
“เราตามครูไปแสดงโขนที่งานสมโภชน์ภูเขาทองนี่แหละ แสดงเป็นลิงปลายแถว เหตุเพราะเราตัวเล็กสุด หมอเจอราร์ทท่านมาเห็นเข้า นึกต้องชะตา จึงนำเรากับพ่อแม่ ไปชุบเลี้ยง” เขายิ้มออกมาได้ซะที
“แสดงว่ากว่าจะมารำโขนแบบนี้ได้นี่คงยากน่าดูสินะ” ผมนึกเสียดายแทนที่สมัยผมนั้น วัยรุ่นน้อยคนจะมาสนใจการแสดงแบบไทยๆอย่างนี้
“ใช่ ยากทีเดียว เราเองหามีบุญพอได้สืบทอดการแสดงอันวิจิตรเหล่านี้ไม่ หวังแต่เพียงว่าจะมีใครสืบทอดมันให้ลูกหลานเราได้ชื่นชม” เป็นอีกครั้งที่ผมสะอึก
ผมชวนหมอปีย์เดินออกมาจากโรงโขน เสียงปีพาทย์ดังเร่งจังหวะ เป็นการเร่งอารมณ์ผู้ชมให้ตื่นเต้นไปกับการสู้รบระหว่างทศกัณฑ์กับพระราม
“นาย” ผมเรียก “นายจะรู้สึกยังไง ถ้าอีกร้อยปีต่อจากนี้ ลูกหลานนายจะไม่รู้ว่าโขนคืออะไร ระนาดเอกคืออะไรและภาษาไทยเขียนให้ถูกต้องได้ยังไง” ผมถามไปตรงๆ หมอนั่นหยุดและหันมามองผม ราวกับตกใจในสิ่งที่ผมพูด แต่เขาจะตกใจได้ยังไงในเมื่อเขาไม่เชื่อว่าผมมาจากอนาคตของสยาม
เอ๋ หรือเขาเชื่อ........................
“เจ้าว่ากระไรนะ เจ้าว่าลูกหลานเราจักลืมความเป็นไทกระนั้นรึ” เขาทำเสียงเข้ม
“เอ่อ เอ่อ ก็แค่สมมุติน่ะสมมุติว่าลืม แหะๆ” ผมยิ้มแห้งๆ รู้สึกผิดที่ถามคำถามตรงขนาดนี้
“ หากเป็นเยี่ยงนั้นจริงจักให้เรารู้สึกกระไรได้ นอกจากเสียใจ เสียใจที่พวกเขาไม่เห็นคุณค่าของจารีตวัฒนธรรมอันดีงามที่บรรพบุรุษสั่งสมมา” หมอปีย์สีหน้าสลดลงอย่างชัดเจนจนผมตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนั้น
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องเสียใจหรอก ชั้นก็แค่ถามไปอย่างนั้นแหละ แหม ของสวยๆงามๆแบบนี้ ใครจะปล่อยให้สูญหายไป คงมีใครบ้างแหละที่รู้ค่าของมัน จริงป่าว “ ผมปลอบหมอนั่น “ไปกันเถอะ ชั้นอยากไปดูงานฝั่งกระโน้น”
เราสองคนเดินกลับเข้าไปในงานบริเวณลานขายของอีกครั้ง พ่อค้าแม่ขายต่างทยอยกันเก็บของบ้างแล้ว เพราะชาวบ้านเริ่มน้อยลง ผมเดินผ่านร้านขายของเล่นอีกครั้ง มีดพับกระดาษ หมวกแขก ดอกไม้ไฟ ถูกนำมาวางล่อเด็กที่หน้าร้าน นอกจากนั้นก็มีชฎาใบลาน เรือบิน หม้อข้าวหม้อแกงสำหรับเล่นขายของ ผมนั้นยังอยากได้งูไม้ระกาไปฝากเจ้าแดงมันอีกสักตัว แต่ก็เกรงใจหมอปีย์ จึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจ รีบเดินผ่านร้านของเล่นไป
ถัดจากร้านของเล่น ก็เป็นร้านขายขนมแห้งๆ พวกลูกหยี เม็ดมะม่วงหิมพานต์จากปักษ์ใต้ ขนมผิง ขนมกลีบสละ ที่ใส่ขวดโหลวางเรียงรายล่อตาล่อใจเด็กๆ
อีกฝั่งตรงข้ามของร้านนั่นเป็นโรงละครลิงที่กำลังแสดงเรื่องจันทโครบอยู่ ผมสนใจจึงรีบลากมือหมอปีย์เข้าไปดู
“หมอๆ มาดูญาติหมอแสดงละครกัน” ผมล้อ แต่หมอนั่นไม่เล่นด้วย หันมามองผมตาเขียวปั๊ด
ผู้คนหัวเราะกันครื้นเครงระหว่างที่ลิงกำลังแสดงละคร ผมไปทันตอนที่ลิงตัวหนึ่งคาดว่าจะเป็นพระเอก กำลังเปิดผอบ สักพักก็มีลิงอีกตัวที่แต่งหน้าทาปากสีสดออกมา น่าจะเป็นนางโมราห์ เสียงคนพากษ์ พากษ์ไป คนดูก็หัวเราะไป ลิงก็แสดงไป ผมยืนดูลิงใช้ดาบที่ทำมาจากทางมะพร้าวฟันกันไปมาอยู่พักใหญ่ เห็นว่าหมอปีย์เริ่มหาว จึงถอยออกมาจากโรงละคร
“ นายง่วงแล้วเหรอ” ผมถาม
“ยังดอก เจ้าอยากดูอันใดอีกก็ตามใจเถิด” เขาตอบก่อนจะอ้าปากหาวอีกครั้ง
“ยังอะไรวะ หาวจนน้ำหูน้ำตาไหลแล้ว ยังจะบอกว่าไม่ง่วง งั้นกลับบ้านกันเถอะ” ผมชวน ทั้งๆที่ก็ยังอยากดูอะไรต่อมิอะไรต่อ
ผมเดินผ่านร้านรวงต่างๆออกมาจนเกือบจะถึงทางออก ก็ได้ยินเสียงร้องขายของดังขึ้น
“หอมสนิทติดทนนาน ทาพี่หอมน้อง ทาน้องหอมพี่ ทาผัวหอมเมีย ทาเมียห๊อมมมมมมมมมไปถึงผัว เชิญเข้ามาเลือกดมได้เลยจ้า ดมสักนิดจักติดใจนะจ๊ะ”
ร้าขายน้ำปรุงนั่นเอง ผมหันไปมองเพราะนึกขึ้นกับคำโฆษณา คนเต็มร้าน ผู้หญิงคนขายนั้นทำหน้าที่เรียกลูกค้า ส่วนผู้ชายอีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นสามีนั้น ทำหน้าที่ตักน้ำปรุงใส่ขวดแก้วขาย
“เจ้าอยากซื้อรึ”
ผมพยักหน้าเบาๆ ประมาณว่า ไม่ได้อยากได้มาก แต่ก็................อยากได้อ่ะ ก็มาอยู่ที่นี่นาน ไม่มีน้ำหอมใช้เลย ตัวเหม็นจะตาย
“มิต้องเสียอัฐซื้อดอก เดี๋ยวมะเรื่องเราจักพาเจ้าไปหาแม่รำพึง แม่รำพึงปรุงน้ำอบน้ำปรุงได้หอมยวนใจกว่านี้ยิ่งนัก”
เขาว่า
พวกเราเดินผ่านหน้าร้านขายขนมเบื้องของแม่สน หล่อนกำลังวุ่นอยู่กับการเช็ดกะโหลก กะลา กระจ่า กระบวย ที่ทำมาจากกะลามะพร้าว ตอนที่ผมช่วยหล่อนทำขนมนั้น หล่อนเล่าให้ฟังว่า มะพร้าวมีประโยชน์มาก ต้นใช้ทำเรือน ใบใช้มุงหลังคา ก้านใช้ทำไม้กวาดลาน มะพร้าวทั้งลูกก็เอาทำหมอนหนุน หรือไม่หากปอกเปลือก เปลือกก็ยังเอาไปทำปุ๋ย หรือทำแปรง กะลาที่เหลือก็ไม่ทิ้ง เอาไปทำขัน ทำกระบวย กระจ่าไว้ตักข้าวตักขนมอีกก็ยังได้
ผมก็เห็นว่าเป็นจริงตามนั้น เพราะเกือบทุกบ้านผมเห็นกระบวยตักน้ำก็ทำมากจากกะลา หน้ากระไดก็มีขันจากกะลาลอยน้ำอยู่ไว้ตักน้ำล้างเท้า ขันจากกะลานี้ดี ไม่จมน้ำ
“กลับเรือนกันก่อนเถอะขอรับ คุณหลวง ทางนี้ประเดี๋ยวกระผมจัดการเอง” สนไล่ให้เราทั้งคู่กลับบ้านไปก่อน ซึ่งก็ถือว่าดีเหมือนกัน เพราะว่าวันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวัน ตอนนนี้ก็เริ่มง่วงแล้วด้วย
ต้นลั่นทมต้นใหญ่กำลังออกดอกสะพรั่งอยู่ริมทางเดิน ดอกลั่นทมสีขาวนวลตรงกลางกลีบมีสีเหลืองอ่อนไปหาเข้มคล้ายคนเอาสีทา กลิ่นหอมเย็นชื่นใจดีนัก ระหว่างทางเดินกลับบ้านนั้น มีต้นลั่นทมอยู่เรียงรายรอบๆวัดเต็มไปหมด ดอกร่วงหล่นเกลื่อนพื้นจนผมอดเก็บเอามาดมไม่ได้
“หอมเน๊อะ ดอกลีลาวดีเนี๊ยะ” ผมว่าพลางสูดกลิ่นดอกนี้เสียงดังฟูดดดดดดดดด
“เจ้าว่าดอกนี้คือดอกอะไรนะ” หมอปีย์ถาม
“ดอกลีลาวดี ทำไมเหรอ”
“บ้านเมืองเจ้าเรียกดอกนี้ว่าลีลาวดีเหรอ อืม ไพเราะดีเหมือนกัน ดีกว่าชื่อลั่นทมเป็นไหนๆ” เขาพยักหน้าเชิงเห็นด้วย
“แต่ว่าการที่เจ้าเก็บดอกลั่นทมมาดมนั่น หาได้เป็นเรื่องที่ควรทำไม่”
“ทำไมอ่ะ”
“ดอกลั่นทมเป็นดอกไม้งานศพ ไม่เหมาะจักเอามาชื่นชมดมดอม”
“เฮ้ย บ้าเหรอ บ้านชั้นดอกนี่เค้าเอาไว้จัดสวนจัดบ้าน จัดรีสอร์ท ต้นละเป็นหมื่นเป็นพัน”ผมเถียง
“แล้วทำไมเขาถึงเอาดอกลั่นทมไปไว้สำหรับงานศพหล่ะ” ผมถาม ยังไม่หยุดดม
“ก็เพราะดอกลั่นทมมีกลิ่นหอมแรง กลบกลิ่นศพได้ดี จึงมักนิยมวางไว้ใกล้ๆศพ” หมอปีย์อธิบาย และคำอธิบายของมันนั่นเองที่ทำให้ผมขว้างดอกลั่นทมทิ้งแทบไม่ทัน เสียอารมณ์สุนทรีย์อย่างแรง