“เจ้าบ้า เจ้าบ้า”
“ฮืออออออออออออ”
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า”
“อะไร”
ผมพลิกตัวหนีเสียงกระซิบแหบๆที่เรียกชื่อผม
“เจ้าบ้า ตื่นเถิด ตื่น”
“ฮือ” ผมครางออกมาในลำคอเบาๆเชิงรำคาญ แต่ก็ลืมตาขึ้น
“อ้าว ว่าไง สน” น้ำเสียงงัวเงีย สนนั้นเปิดมุ้งโผล่เข้ามาครึ่งตัว ท่าทางตื่นเต้น
“ลุกเถิดเจ้าบ้า เราจักพาเจ้าไปดูของดี”
“ไปไหน” ผมเบิกตาโพรง ทำให้รู้ว่าภายนอกยังมืดอยู่เลย
“ไปเถอะ ลุกๆ” ว่าแล้วเขาก็ดึงมือทั้งสองข้างของผมอย่างแรง จนร่างกายท่อนบนผมตั้งฉาก แต่ก็ยังโงนเงนไปมา
“เจ้าบ้า” เขาตะคอก น้ำเสียงเริ่มหงุดหงิด
“เออ เออ รู้แล้วน่า นายลงไปรอข้างล่างเหอะ เดี๋ยวตามลงไป” แต่ตอนนี้มันทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่า
ภายนอกเรือนยังมืดอยู่เลย ผมเดาเอาว่าเวลาน่าจะประมาณตีห้า น้ำค้างเมื่อคืนคงจะลงหนัก เพราะพื้นหญ้าเปียกชุ่ม ทันทีที่ผมย่างเท้าลงพื้นหน้าเรือน ไอเย็นก็เล่นผ่านปลายเท้าทำให้ผมสั่นเทา
“จะพาชั้นไปไหนหึ ถึงลอบเข้ามาปลุกตั้งแต่ยังไม่เช้าน่ะ” ผมเอ็ดสน
“ตามข้ามาเถิด เบาๆหล่ะ เดี๋ยวคุณหลวงตื่น จะโดนเอ็ดกันทั้งคู่” ว่าแล้วสนก็เดินย่องๆนำหน้าไปทางศาลาท่าน้ำ ที่มีเรือแจวจอดเทียบอยู่
จะไปไหนของมันวะ ทำท่าลับลับล่อล่อ
ในสมัยก่อนเส้นทางการเดินทางหลักของชาวสยามมักอาศัยแม่น้ำลำคลอง เพราะฉะนั้นบริเวณแม่น้ำลำคลองจึงมีบ้านเรือน โรงสี วัดวาอารามตั้งกันอย่างหน้าแน่น เรือนของคุณยายวาดผมก็เช่นกัน ตั้งอยู่ติดกับเรือนของแม่ปีย์ บริเวณแม่น้ำนี้เป็นน้ำลึกโค้ง น้ำในแม่น้ำจึงไหลนิ่งแต่เชี่ยว
ฝั่งตรงข้ามเรือนหนูวาดจะเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เต็มไปด้วยต้นลำพูที่กลางคืนจะเห็นหิงห้อยส่องแสงระยิบระยับ
บ้านเรือนแทบทุกหลังที่นี่มักมีเรือแจวลำเล็กๆผูกติดไว้ที่ศาลาท่าน้ำบ้าง กระไดเรือนที่ทอดลงไปในลำคลองบ้างไว้ไปไหนมาไหนแทบทุกเรือน แต่การเดินทางสมัยก่อนอาจไม่ทันใจเหมือนสมัยนี้ หมอปีย์เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อน หากจะไปเชียงใหม่นั้น ต้องนั่งเรือ หรือไม่ก็นั่งเกวียนไปลงที่เมืองพิษณุโลก จากนั้นถึงค่อยนั่งช้างต่อไปเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะไปถึง
หรือว่า แค่จะไปกราบพระพุทธบาทที่สระบุรียังใช้เวลาตั้ง 7-8 วัน
“บอกชั้นได้รึยังว่าจะพาชั้นไปไหน” ผมถามอีกครั้ง สนกำลังปลดเชือกที่คล้องเรือไว้ให้หลุดลอยกับกระไดศาลาท่าน้ำ
“ไปงมกุ้งกัน” สนทำท่าตื่นเต้นก่อนที่เขาจะรีบกระโดดลงเรืออย่างคล่องแคล่ว “อ้าว ลงมาสิ เจ้าบ้า เดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก”
ผมค่อยๆย่างเท้าลงไปบนเรือที่โครงเครง ก่อนจะหย่อนก้นลงบนไม้รองที่พาดไว้กลางลำเรือ อากาศยามเช้าที่นี่สดชื่นจริงๆ
“ไปงมกุ้ง กุ้งอะไร”
“จักกุ้งอะไรเสียอีกเล่า ก็กุ้งก้ามกรามที่แหละ ที่ท่าน้ำฝั่งกระนู้นกุ้งชุมยิ่งนัก ข้ากับไอ้พัน ไอ้เอียดนัดกันที่ใต้ต้นลำพู่ท่ากระนู้น” มันตอบพลางค่อยสลับพายเรือขวาทีซ้ายทีเสียงดังจ๋อมแจ๋ม
“ทำไมต้องไปถึงนู้นหล่ะ แถวบ้านเราไม่มีเหรอ”
“มี แต่น้อย ท่าน้ำละแวกนี้น้ำเชี่ยวนัก ก็เมื่อคราที่เจ้าตกลงแล้วจมหายไปนั้นประไร” เขาเล่าทำให้ผมนึกขึ้นได้ตอนที่จมน้ำ มันเหมือนมีมือใครคนหนึ่งฉุดผมลงไปเลยทั้งๆที่ผมก็ว่ายน้ำแข็ง
เสียงสนจ้วงไม้พายดังจ๋อมแจ๋มๆ เรือค่อยๆแล่นไปอย่างช้าๆ นานๆทีจึงจะสวนกับเรือชาวบ้านที่ขนมะพร้าว กล้วยมาขาย หรือบางครั้งก็เจอพระพายเรือมาบิณฑบาต
ทำไมสยามเวลานี้ถึงได้ต่างจากสยามเวลาผมอย่างสิ้นเชิง ทำไมน้อเราถึงไม่อยู่กันแบบนี้ จริงๆผมว่าอยู่กันอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเร่งรีบไม่ต้องแข่งขัน หากเป็นสยามเวลาผมป่านนี้รถราคงแล่นกันเต็มถนนแล้วหล่ะ
ชาวสยามตอนนี้นั้นดูพวกเขาไม่รีบร้อน ไม่วุ่นวาย ผู้ชายส่วนใหญ่มักรับราชการ หรือเป็นบ่าวเป็นไพร่ รับจ้างทำไร่ทำนา หาที่อ่านเขียนหนังสือเป็นนั้นแทบจะไม่มีเลย ยิ่งผู้หญิงไม่ต้องพูดถึง นังอ่ำเคยบอกผมว่า
“เอ็งจะให้ข้าเรียนหนังสือไปทำอันใด เป็นลูกผู้หญิงใครเขาเรียนกันเล่า โตไปจะเอาไปหากินอันใดได้ สู้เรียนรู้การบ้านการเรือน ออกเรือนไปจักได้ดูแลสามี”
นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงสมัยก่อนคิด
แต่ถึงผู้หญิงสมัยก่อนจะอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ผมก็นับถือพวกเธอมาก ผู้หญิงสมัยก่อนนั้นเก่งกว่าผู้ชายหลายคนมากนัก พวกเธอทั้งดูแลบ้านเรือน ลูกก็มีคราวละมากๆ บางทีเป็นสิบๆคนก็มี ก็เลยต้องประหยัด ต้องใช้ทุกอย่างให้เป็นประโยชน์สูงสุด ดูแลจัดการภายในบ้าน สามีออกไปทำงานอย่างเดียว แต่พวกเธอไหนต้องดูแลบ้าน ดูแลลูก บางครั้งยังทำงานพิเศษเช่นทำขนมขาย ขายขนมจีน ปลูกพืชผลไม้ขาย เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวก็มี
“เจ้าบ้าถึงแล้ว” สนใช้ไม้พายคัดท้ายเรือ เรือจอดสนิทแน่นิ่ง ผมมองไปข้างหน้าเห็นเรืออีกลำจอดคอยท่าอยู่
พวกนั้นทักทายสนพอเป็นพิธี
“เอ็งพาใครมาด้วยหรือ อ้ายสน” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำจมูกเป็นสัน และผมหยักสก นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวถาม
“อ๋อ บ่าวเรือนคุณหลวงน่ะ”
เฮ้ย ไอ้สน ใครเป็นบ่าวว่ะ ชั้นเป็นแขกวีไอพีของหมอนั่นนะเว้ยมาบอกว่าเป็นบ่าวได้ยังไง
“กระนั้นเองรึ ชื่อกระไรหล่ะเอ็งน่ะ แต่งตัวมาเสียโก้เชียว ข้านึกว่าเป็นเจ้าเป็นนาย”
“เอ่อ ชั้นเหรอ ชั้นชื่อ อัชย์” ผมบอกชื่อจริงไป เพราะขืนบอกชื่อเล่น โอปอล์ ไปคงแปลกพิลึกในสมัยนั้น
แต่พวกนั้นดูเหมือนจะไม่ใครจะใส่ใจกับตอบผมมากนัก
“จักเอาหรือยังเล่า” ชายคนเดิมถาม
“เอาสิวะอ้ายพัน” อ๋อ ชื่อพันนั่นเอง แสดงว่าอีกคนนั้นชื่อเอียดน่ะสิ
เอียดดึงเรือผมเข้ามาเทียบชิดกับเรือพวกมันก่อนที่ สนจะก้าวขึ้นไปบนเรือพวกนั้น ปล่อยให้ผมอยู่บนเรือคนเดียว
“เจ้ารออยู่บนนี้ก็แล้วกันนะ เจ้าบ้า อ้าว เอานี่ไป” เขายื่นเบ็ดตกกุ้งที่ทำมาจากไม้ไผ่มาให้ผม “ตกกุ้งอยู่บนนี้แหละ”
“อ้าวแล้วนายจะไปไหน” ผมถาม แต่พวกนั้นไม่มีใครสนใจตอบผม
จู่ๆ อ้ายพันซึ่งนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวนั้นก็ปลดผ้าขาวม้าร่วงลงกับพื้นเรือ ร่างกายที่เปลือยเปล่านั้น ยืนอ้าซ่าท้าลมหนาวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เฮ้ย” ผมอ้าปากค้าง ตะลึงกับสิ่งที่อ้ายพันทำ มันกล้าแก้ผ้าโทงโทงกันอย่างนี้เลยเหรอ
“พวกเอ็งจักลงไปกับข้าหรือไม่” แน้ มันยังมีหน้าไปชวนพวกที่เหลือคุย น้องชายก็แกว่งไปมาโทงเทงๆ ผมทำตัวไม่ถูกเลยตอนนั้น ถามว่าเคยแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นมั๊ย ก็ต้องบอกว่าเคย แต่ต้องเมาแอ๋เสียก่อนจึงจะกล้า ให้อยู่ๆดีๆถอดกันแบบนี้เลยนี่ ไม่ไหว
“เออ ลงสิวะ ข้ามิอยากนั่งหนาวอยู่บนเรือ” แล้วอ้ายเอียดก็ถอดผ้าข้าวม้าสีคุ่นหม่นออกทิ้งเช่นกัน
“อยู่บนนี้นะเอ็งนะ” สนหันมากำชับผมก่อนจะปลดผ้าขาวม้ามันอีกคน
“เอางี้เลยเหรอไอ้สน” เอิ๊กๆ บ้าไปแล้วไอ้พวกนี้
“รอรับกุ้งจากข้านะเว้ย คอยดูฝีมือข้า” มันบอก
“เออๆ พวกมึงรีบลงไปเหอะป่ะ” ผมรีบไล่ นึกในใจ โห ไอ้สนนี่ซ่อนรูปนะนี่ ฮ่า ฮ่าฮ่า
ทั้งสามค่อยๆหย่อนตัวลงไปในน้ำเบาๆไม่ให้กุ้งตื่น บริเวณนั้นเต็มไปด้วยหน่อของต้นลำพูแหลวเฟี้ยว และดูเหมือนน้ำจะไม่ค่อยลึกสักเท่าไหร่ ส่วนผมนั้นนั่งแกร่วอยู่บนเรือ นึกขอบใจที่มันไม่ให้ผมลงไปกับมันด้วย ไม่งั้นต้องแก้ผ้า และถ้าผมต้องแก้ผ้ามันก็รู้หมดสิว่าผมน่ะไม่เท่าไหร่ เออ แต่จะว่าไปชายสยามสมัยก่อนก็เป็นล่ำเป็นสันกันน่ะนี่ น่าภูมิใจจริงๆ
ผมหย่อนเบ็ดลงไปท่ามกลางหน่อลำพู ขณะเดียวกับที่ทั้งสามคนดำน้ำลงไปเกือบจะพร้อมกัน
ทันทีที่พวกนั้นดำดิ่งลงไปในน้ำ บริเวณนั้นก็เงียบสงัด มีเสียงนกกาเหว่าร้อง “ดุเหว่า ดุเหว่า” มาแต่ไกล สลับกับเสียงนกนางแอ่นอพยพที่คอยส่งเสียงแหลมเล็ก บินโฉบแมลงไปมาท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มยามเช้า
ผมนั่งมองปลายคันเบ็ดอย่างเลื่อนลอย
“แล้วกูจะรู้ได้ไงวะว่ากุ้งมันกินเหยื่อ” เกิดมาผมยังไม่เคยตกเบ็ดเลยสักกะครั้ง
“ทำไมนานจังวะ” ผมชักรู้สึกไม่ดีที่พวกนั้นดำหายลงไปนาน
“เฮ้ย....หรือขาดอากาศตายกันหมดแล้ววะเนี๊ยะ”
น้ำบริเวณนั้นราบเรียบราวกับแผ่นกระจก ไม่มีวี่แววของพวกนั้นเลย
“ตูมมมมมมมมมมมมมมม” แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงน้ำกระเซ็นมาจากด้านท้ายเรือ สนนั่นเอง เขาโผล่ขึ้นมาพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวเท่าข้อมือสองตัว
“เจ้าบ้าเว้ย ดูนี่สิ ข้าบอกแล้วว่าฝีมือข้าหาใครเทียบได้ที่ไหน” มันยิ้มอย่างภูมิใจก่อนจะตรงดิ่งมาหาผม
“อ้าวรับไป” ผมรับกุ้งก้ามกรามทั้งสองตัวมา มันตัวใหญ่มากจนมือทั้งสองข้างผมกำแทบไม่มิด ช่างน่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้ นี่กุ้งแม่น้ำกิโลละเกือบพันในสมัยผมหาได้ง่ายๆขนาดนี้ในยุคนี้เลยเหรอวะ
“เฮ้ย สน กุ้ง กุ้ง” ผมร้องด้วยความตื่นเต้น
“เออ ก็กุ้งนะสิวะ หรือเอ็งเห็นเป็นปลาสลิด” เล่นมุกกะกู “ประเดี๋ยวข้าจักเอาขึ้นมาอีก ข้างใต้นี่อีกโข” ว่าแล้วเขาก็ดำดิ่งหายลงไปอีก ระหว่างที่เราพูดกันนั้น อ้ายเอียด กับอ้ายพันก็โผล่ขึ้นมาสูดอากาศแต่กลับไม่มีกุ้งติดมือมา
กุ้งสองตัวใหญ่ๆนอนนิ่งอยู่ในเรือ ผมมองมันใกล้ๆด้วยความตื่นเต้น กุ้งก้ามกราวนี้ก้ามทั้งใหญ่ทั้งยาว สีฟ้าสด เวลาเอาก้ามไปเผาไฟ จากที่เคยเป็นสีฟ้าเข้มมันจะเปลี่ยนเป็นสีส้มสวยงามทีเดียว
ผมหันไปดูเบ็ดตัวเอง ............ไม่กระดิก
หลังจากนั้นไม่นาน สนก็ขึ้นมาอีกพร้อมกุ้งก้ามกราวอีกหลายตัว สลับสับเปลี่ยนกับพวกอ้ายเอียดอ้ายพัน นับๆไปตอนนี้มีกุ้งอยู่บนเรือเกือบๆ 20 ตัว
ในขณะที่เบ็ดที่ผมตกกุ้งนั้นไม่กระดิกสักกะที
“ท่าทางจะทำบาปไม่ขึ้นว่ะกู” ผมเปรยกับตัวเอง
“เฮ้ย อ้ายเอียด อ้ายพัน ขึ้นกันเถิด ข้าหนาวปากซีดไปหมดแล้ว” สนร้องขึ้น พวกที่เหลือเห็นด้วยเพราะเห็นว่าตอนนี้ก็ได้กุ้งโขแล้ว
สนว่ายน้ำกลับเข้ามาที่เรือพลางตะเกียกตะกายปีนขึ้นเรือในสภาพเปลือยเปล่า ผมนั้นแกล้งเมินหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ได้อายหรือเขินอะไรหรอก แต่รู้สึกว่ามันเสียมารยาทกับการไปจ้องมองช้างน้อยของพวกนั้น
“อืม น่าจะพอแล้วกระมัง” อ้ายพันบอกขณะที่ชะโงกหน้ามามองกุ้งบนเรือ มือทั้งสองข้างขมวดปมผ้าขาวม้า
“เยี่ยงนั้นก็เร่งพายเข้าเถิด ลุงปริ่มแกรอนาน เดี๋ยวแกจะอาละวาดเสียอีก”สนว่า
...
ณ กระท่อมเพิงใบจากแห่งหนึ่ง พวกเราทั้งสี่คนนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ถูกยกมาตั้งรับแขกเป็นเก้าอี้ โดยมีท่อนไม้มะขามขนาดใหญ่วางตรงกลางเป็นโต๊ะ
ก่อนหน้านี้พวกสนพาผมเดินลุยขี้เลน ผ่านดงลำพู ฝ่ากอต้นจากที่ขึ้นชุมในละแวกนั้นจนในที่สุดเราก็เดินมาถึงสันดอนที่มีกระท่อมไม้แห่งนี้ตั้งอยู่
สนบอกผมว่ามันจะพามากินของดี
“ลุงปริ่มนี่แกขึ้นชื่อในละแวกนี้เลยนะเว้ย” สนเล่า
“เรื่องไรวะ”ผมกระซิบตาม
“เอาน่า เดี๋ยวเอ็งก็รู้”
สักพักใหญ่ๆผมก็เห็นชายแก่ร่างแคระเกร็นแต่ดูคล่องแคล่วว่องไวเดินถือขวดอะไรใสๆออกมาจากหลังกระท่อมที่มีควันขาวลอยคลุ้งไปหมด
“ไอ้พวกเวรตะไล ข้าบอกเอ็งแล้วใช่มั๊ยว่ามิให้มาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้อีก ประเดี๋ยวหลวงท่านจับได้ข้าจะพลอยชิบหายไปกับพวกเอ็งด้วย” แกมาถึงก็ด่ากราด ถึงจะตัวเล็กแต่ปากเก่งใช่ย่อยนะเนี๊ยะ
“โธ่ลุง พวกข้าก็แค่คิดถึง อุตส่าห์ได้กุ้งมามากโขก็นึกถึงจะเอามาฝากมาเผื่อ ถ้าลุงไม่เอา ข้าเอากลับไปกินที่เรือนก็ได้” สนยกกุ้งตัวเบ้งที่ขมวดหนวดไว้เป็นปมเหมือนแกล้งยั่วให้ลุงแกขอร้องให้อยู่ต่อซึ่งก็ได้ผล
“เออ เออ เอาวะ ไหนๆพวกเอ็งก็มีน้ำใจกับข้า จะไล่กลับเสียเหมือนหมูเหมือนหมา ก็จะหาว่าข้าใจดำ”
แกว่า ว่าแล้วก็วางขวดน้ำใสๆลงกลางวง
“เฮ้ย น้ำอะไรวะ สน” ผมถามด้วยความสงสัย เพราะเห็นพวกนั้นทำท่าเปรี้ยวปาก
“นี่แหละเว้ย เจ้าบ้า ของดี” ผมทำท่าเหื่อนกระหาย
“อะไรว่ะ”
“กระแช่”
“กระแช่ อะไรคือกระแช่”
“บ๊ะ เอ็งนี่มันถามมากความ ไว้กินเองประเดี๋ยวก็รู้” สนทำท่าขัดใจ
“ไหนละเว้ยกุ้งน่ะ เร่งเอาไปต้มยำทำแกงมาประเดี๋ยวนี้ อ่าว แล้วนี่ผู้ใดกันอีกเล่า” ตาแก่นั่นหันมาทางผม
ไม่ต้องรอให้สนแนะนำ ผมชิงแนะนำตัวเองก่อน
“อ๋อ ผมชื่ออัชย์นะลุง เป็นแขกของบ้านหมอปีย์”
“บ๊ะ แขกของไอ้หมอหน้าแขกนั่นนะหรือ ฝากบอกมันด้วยนะเว้ย หัดยิ้มเสียมั่ง ตั้งแต่ข้าเห็นมันมา ข้าไม่เคยเห็นมันยิ้มสักที”
ลุงพูดจบสนก็หลุดหัวเราะออกมาคำใหญ่
“โธ่ลุง คุณหลวงเขาเป็นใคร เขาหาใช่คนธรรมดาเยี่ยงเราไม่ จะให้เขาเดินโปรยยิ้มให้ใครต่อใครมันใช่เรื่องทีไหนกันเล่า” สนแก้ตัวแทนนายมัน
“เฮ้ย ข้าไม่สนหรอกจะเป็นหลวงเป็นขุน มันก็คนทั้งนั้นแหละวะ แก่ไปก็ตายห่ากันหมด” ท่าทางตาแก่นี้จะหัวกบฏใช่ย่อย ก็ไม่น่าแปลกเลยที่ต้องมาสร้างบ้านสร้างเรือนในป่าลึกขนาดนี้ ปากแบบนี้คงอยู่กับใครเขาไม่ได้เสียละมั้ง
“อ่าว มามองหน้าข้าหาพระแสงอะไรเล่าไอ้หน้าเจ๊ก เร่งเอากุ้งไปทำกับมาสิวะ ขืนชักช้าข้าไม่รอแล้วนะเว้ย” ลุงปริ่มตะโกนใส่ผม แถมยังมาว่าผมไอ้หน้าเจ๊กอีก เจ็บจี๊ดๆ
“มาสิ เจ้าบ้า มากับข้า” สนรีบดึงมือผมให้ลุกตาม ส่วนมันนั้นหิ้วกุ้งติดมือไปด้วย
ผมกับสนเดินมาหลังกระท่อม ตรงนั้นมีไม้ฟืนกองสุมอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีไหที่มัดปากไว้สนิทแน่นวางเรียงรายนับสิบใบ ที่ใต้ต้นลานต้นใหญ่ มีเพิงไม้ที่ทำมาจากไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยใบลานอย่างง่ายอยู่ ที่นั่นผมมองเห็นถังโลหะขนาดใหญ่วางเอียงอยู่บนเตาที่ก่อขึ้นด้วยหินสามก้อน ไม้ฟืนถูกสุมเข้าไว้จนไฟลุกแดงโชน ที่ปากถังนั้นมีกะลังมังสังกะสีคลอบไว้ โดยมีท่อที่ทำมาจากไม้เสียบไว้ที่ถังและมีน้ำใสๆหยดติ๋งๆลงมาจากปลายท่อไม้นั่น
“ลุงแกกำลังต้มกระแช่” สนบอก “นี่แหละของดีนะเว้ย”
“อ๋อ” ผมมองอย่างสนใจ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นวิธีการกลั่นเหล้าแบบพื้นบ้านอย่างนี้
“แม่ง คนไทยนี่ สุโค่ยจริงๆ” ผมเปรยกับตัวเอง
“เจ้าว่ากระไรนะ”
“อ๋อ เปล่าๆ ชั้นว่าคนสยามนี่ฉลาดจริงๆ”
“แกต้องมาหลบอยู่ในป่าเช่นนี้เพราะต้องหลบหลวง จะให้หลวงรู้มิได้ ถูกเฆี่ยนหลังลายเชียว”
สนเล่าให้ฟังถึงเหตุผล แต่ผมก็ยังคิดว่าเพราะปากแกเป็นแบบนี้มากกว่ามั้งที่ต้องหลบมาอยู่ที่นี่
สนดึงไม้ฟืนออกมาจากกองไฟท่อนหนึ่งเป็นเชื้อ ไฟที่กำลังลุกโพรงอยู่นั้นทำให้ท่อนฟืนเป็นสีส้มสด
“เจ้าบ้าเอาฟืนมาให้ข้าอีก” มันสั่ง ผมหยิบท่อนไม้ท่อนเล็กๆ วางสุมทับลงไป สักพักไฟก็ลุกพรึบขึ้น
กุ้งนับสิบตัวในมือสนถูกโยนเข้าไปในกองเพลิงที่ลุกโชน แค่อึดใจเดียวจากกุ้งสีน้ำเงินเข้ม บัดนี้กลับกลายเป็นสีส้มสดดูน่ากิน
“กุ้งเผาไฟเช่นนี้ กินกับน้ำปลามะกอกเข้ากันดีนักแล” เขาว่าพลางใช้ไม้เขี่ยพลิกกุ้งไฟมา ครู่เดียวกุ้งก็สุก สนลากกุ้งออกมาข้างนอกกองไฟ ก่อนที่ใช้มือหยิบกุ้งวางลงบนใบตอง