A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1118271 ครั้ง)

Monkizzz

  • บุคคลทั่วไป
โรแมนติกดีแท้หมอปีย์ ^^

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
หวานมากกกกกกกกกกกกกกกกก

Rawint_PK

  • บุคคลทั่วไป
รักหมอปีย์จัง
อิอิ
น่าร้ากที่สุดเลย
เจ้าตัวจะรู้ตัวบ้างไหมนั่น

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2
อะไรจะโรแมนติกปานฉะนี้ ปลื้มหมอจริงๆเลย  :m1:
ขอบคุณ คุณเซ็งเป็ดครับผม 
:L2:

ออฟไลน์ หัวเเม่มือ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 804
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
เวลาเขียนถึงความเป็นไทยที่ค่อยๆหายไป เราต้องน้ำตาซึมทุกที

แอบชื่นชมกับการหาข้อมูลค่ะ ข้อมูลแน่น มีประโยชน์ และนำมาเรียงร้อยได้ดีมาก ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆที่มีสาระดีเยี่ยมเรื่องนี้ค่ะ

ตอนล่าสุดที่หมอเอาหิ่งห้อยมาให้ แอบโรแมนติกมากอ่ะ ชอบจัง^^

kihaezzzzzz

  • บุคคลทั่วไป
หมอน่ารักมากอ่ะ  อยากอ่านอีกจัง รีบมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ CheeTah

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
หมอปีย์ น่ารักอ่าาาา

ทั้งคำพูด การวางท่าทาง โอ้ยยยย หล่อค้าฟฟฟ

ถามอะไรหน่อยสิคะ อยากรู้อ่ะว่าทำไมหมอปีย์เรียกปอ ว่าพ่ออัชย์ แล้วทำไมปอไม่บอกว่าตัวเองชื่อปออ่ะ

@Kanda@

  • บุคคลทั่วไป
หาได้อย่างหมอนี่ รักตาย อ่ะค่ะ :impress2:

timeless

  • บุคคลทั่วไป
ไม่รักให้มันรู้ไป เจอเเบบนี้มีหวังละลายกันทุกคน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Cane

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รักเรื่องนี้มากเลยครับ หมอปิย์น่ารักจริงจัง

Y2Y

  • บุคคลทั่วไป
[color green]สุขสันต์ปีใหม่ไทยนะค่ะ [/color]


ออฟไลน์ loveryuichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โหแฮะ หมอปีย์
โรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย
แหมๆๆๆ

cotone

  • บุคคลทั่วไป
หมอปีย์นี่ขยันจริง ไอ้เราก็นึกว่าจะไปจับมาตัวสองตัว เล่นล่อเป็นฝูง สุดยอดมากหมอ! o13

ออฟไลน์ konnarak

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +182/-0
หมอปีย์ก็ทำอะไรก็ไม่รู้  น่าร๊ากกกน่ารัก :impress2: :impress2:  แล้วเเเบบนี้พ่ออัชย์จะไปใหนรอด 


พัฒนาการของหมอเพิ่มขึ้นทีละขั้นๆ  สู้ๆ   ไม่ว่าจะเกิดอาไรขึ้น ก็สู้ๆๆ

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
มีแอบเขินด้วยนะหมอ อิอิ

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
 :o8:
โรแมนติกดีจัง  :-[

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
คุณหมอชั่งโรแมนติก ฮ่าๆๆ

เจ้าบ้า หลงด่าได้อยู่ตั้งนาน

โดนหมอทำซึ้งเข้าหน่อยเคลิ้มเลย ฮ่าๆๆ

หลับสบายเชียว

เจ้าชายแกงจืด

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุดก็ตามอ่านทัน

ถ้าพ่ออัช ไม่เอา หมอปีย์

เค้าขอนะ  อิอิ  น่ารักจริงๆเลย คนบ้าอะไร

ออฟไลน์ ease supsnerv

  • Darker Than Ever
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-0
โหยหมอปีย์ น่ารักนะเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
กว่าจะอ่านมาถึงตอนล่าสุด ล่อซะดึกเลย รีบมาต่อนะ เค้ารอเชียร์หมอกดเจ้าบ้าอยู่ สงสารหมอเป็นที่สุด  :z10:

ออฟไลน์ CheeTah

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
คิดถึง ๆๆๆๆ หมอปีย์

 :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ celegana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนนี้คุณหมอน่ารักมากกกกก  :impress2:

เฮ้ออ จะมีผู้ชายซักคนมาทำอะไรให้เราอย่างงี้บ้างมั้ยน้าาาาาาาา

Regina_1

  • บุคคลทั่วไป
ตามทันแล้ว วววว ชอบเรื่องนี้มว๊าก กกก มากเลยค่ะพี่นนท์
(แต่อ่านๆไปก้อหน้าชาไปหลายอยู่เหมือนกันง่ะ...เหอะๆ เจอปอด่าไปซะเยอะเลย  :monkeysad:)


ว๊าว ววว (อ้าปากค้าง ทำตาโต) อิจฉาปอมากๆๆๆๆๆๆ หมอปีย์โรแมนติกสุดๆเลยอ่ะ ...กรี๊ด ดดด คุณหลวง งงง
มันเป็นไรที่แบบ...ทุกสิ่งอย่างที่หมอปีย์ทำและแสดงออกให้กับปอมันแลละมุน นุ่มนวล มากๆเลยอ่ะ
โอ๊ย ยยย จะไปเสาะหา ขุดหา ผู้ชายเยี่ยงนี้ได้จากที่ใดบ้างคะ?

แต่...เรื่องราวตอนนี้มันแลจะ สงบ และ หวานชื่น เกินไปมั้ยน๋อ ?
เค้า(เค้าไหน?)ว่ากันไว้ว่า...พายุใหญ่มักก่อตัวขึ้นหลังคลื่นลมที่สงบเสมอ....ว๊าก กกก กลัวๆๆๆๆ  :serius2:


"หากปัจจุบันของข้า คืออดีตของเจ้า จงรู้ไว้ว่า อนาคตของข้า จักเฝ้ารอเพียงเจ้า"
แอบกังวลว่า...หมอปีย์จักมิใช่พระเอกของเรื่องจัง ... แต่อาจมาในร่างอื่น ... รึป่าว? ...แหะๆๆ (ก้อมโนไปนั้น)

คือ...แอบคิดเล่นๆว่า...หมอปีย์กับพี่หมอในยุคปัจจุบัน จะมีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกันมั้ยน๊า าาา ???
แล้ว...คำแก้วกับมุก(อดีต)แฟนของปอ จะมีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกันมั้ยน๊า าาา ???
ถ้ามี...ในอดีตเค้าทั้งคู่ก้อมีเหมือนมีพันธะต่อกัน(เป็นคู่หมายกัน) แล้วในยุดปัจจุบัน ที่อยู่ๆทั้งคู่ก้อดันมาคบกัน...ทั้งๆที่พี่หมอก้อชอบปอ ตามจีบปออยู่ ไหนจะไอ้คำพูดแปลกๆนั่น ที่พี่หมอบอกว่า “พี่มีเหตุผลนะ ปอบอกพี่คำเดียวว่าให้เลิกกับมุก พี่จะทำตามที่ปอบอก” ... นั่นอีก แปลว่า...เรื่องราวในช่วง รศ.112 นี้ มันยังต้องมีอะไรอยู่อีกแน่ๆเลย....ว๊าก กกก ลุ้น....(เอ่อ...มโนเอง ลุ้นเอง...สรุป...จิตเต็มขั้นคร๊ะ...กร๊าก กกก)

แล้วก้อรู้สึกสะกิดใจกับคำนี้ของพี่หมออีกเหมือนกัน... “พี่จะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ปอน่ะ หนีตัวตนของตัวเองไม่พ้นหรอก จำไว้” หรือว่าพี่หมอแค่พูดด้วยอารมณ์เฉยๆน๊า าาา ???

แล้วก้อ...เวลาอ่านถึงเรื่องของเจ้าแดงทีไร...รู้สึกหดหู่ใจ และสังเวชทุกทีเลย อ่านแล้วรู้สึกหน่วงๆที่ใจง่ะ น้ำตามันคอยจะรื่นขึ้นมาทุกที (ดราม่ามว๊าก กกก นางเอกมว๊าก กกก แต่มันจริงๆเหอะ)

แอร๊ย ยยย อยากรู้เรื่องต่อ มิอยากมโนไปเอง(ได้ข่าวว่ามโนไปแล้วเรียบน้อย...หึหึ) รอตอนต่อไปนะคะพี่นนท์ อย่าทิ้งเค้าไปไหนน๊า าาา
ขอบคุณค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
อ่านรวดเดียวจนจบ ขอบคุณมากๆๆๆๆ  สำหรับเรื่องดีดีแบบนี้
อ่านแล้วนึกถึงตอนเด็กๆ ทั้งต้อยติ่ง หิ่งห้อย และบรรยากาศยามคำ่คืน หายไปจากความทรงทำเลยแหละ
นึกถึงอีกครั้งก็สุขใจ

fOnfOn :D

  • บุคคลทั่วไป
คุณหมอน่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกก   

เขินแทนอัชย์จังเลย   :o8: :o8:

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า”
“ฮืออออออออออออ”
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า”
“อะไร”
ผมพลิกตัวหนีเสียงกระซิบแหบๆที่เรียกชื่อผม
“เจ้าบ้า ตื่นเถิด ตื่น”
“ฮือ” ผมครางออกมาในลำคอเบาๆเชิงรำคาญ แต่ก็ลืมตาขึ้น
“อ้าว ว่าไง สน” น้ำเสียงงัวเงีย สนนั้นเปิดมุ้งโผล่เข้ามาครึ่งตัว ท่าทางตื่นเต้น
“ลุกเถิดเจ้าบ้า เราจักพาเจ้าไปดูของดี”
“ไปไหน” ผมเบิกตาโพรง ทำให้รู้ว่าภายนอกยังมืดอยู่เลย
“ไปเถอะ ลุกๆ” ว่าแล้วเขาก็ดึงมือทั้งสองข้างของผมอย่างแรง จนร่างกายท่อนบนผมตั้งฉาก แต่ก็ยังโงนเงนไปมา
“เจ้าบ้า” เขาตะคอก น้ำเสียงเริ่มหงุดหงิด
“เออ เออ รู้แล้วน่า นายลงไปรอข้างล่างเหอะ เดี๋ยวตามลงไป”  แต่ตอนนี้มันทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่า








ภายนอกเรือนยังมืดอยู่เลย ผมเดาเอาว่าเวลาน่าจะประมาณตีห้า น้ำค้างเมื่อคืนคงจะลงหนัก เพราะพื้นหญ้าเปียกชุ่ม ทันทีที่ผมย่างเท้าลงพื้นหน้าเรือน ไอเย็นก็เล่นผ่านปลายเท้าทำให้ผมสั่นเทา
“จะพาชั้นไปไหนหึ ถึงลอบเข้ามาปลุกตั้งแต่ยังไม่เช้าน่ะ” ผมเอ็ดสน
“ตามข้ามาเถิด เบาๆหล่ะ เดี๋ยวคุณหลวงตื่น จะโดนเอ็ดกันทั้งคู่”  ว่าแล้วสนก็เดินย่องๆนำหน้าไปทางศาลาท่าน้ำ ที่มีเรือแจวจอดเทียบอยู่
จะไปไหนของมันวะ ทำท่าลับลับล่อล่อ


ในสมัยก่อนเส้นทางการเดินทางหลักของชาวสยามมักอาศัยแม่น้ำลำคลอง เพราะฉะนั้นบริเวณแม่น้ำลำคลองจึงมีบ้านเรือน โรงสี วัดวาอารามตั้งกันอย่างหน้าแน่น เรือนของคุณยายวาดผมก็เช่นกัน ตั้งอยู่ติดกับเรือนของแม่ปีย์ บริเวณแม่น้ำนี้เป็นน้ำลึกโค้ง น้ำในแม่น้ำจึงไหลนิ่งแต่เชี่ยว
ฝั่งตรงข้ามเรือนหนูวาดจะเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เต็มไปด้วยต้นลำพูที่กลางคืนจะเห็นหิงห้อยส่องแสงระยิบระยับ
บ้านเรือนแทบทุกหลังที่นี่มักมีเรือแจวลำเล็กๆผูกติดไว้ที่ศาลาท่าน้ำบ้าง กระไดเรือนที่ทอดลงไปในลำคลองบ้างไว้ไปไหนมาไหนแทบทุกเรือน แต่การเดินทางสมัยก่อนอาจไม่ทันใจเหมือนสมัยนี้ หมอปีย์เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อน หากจะไปเชียงใหม่นั้น ต้องนั่งเรือ หรือไม่ก็นั่งเกวียนไปลงที่เมืองพิษณุโลก จากนั้นถึงค่อยนั่งช้างต่อไปเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะไปถึง
หรือว่า แค่จะไปกราบพระพุทธบาทที่สระบุรียังใช้เวลาตั้ง 7-8 วัน

“บอกชั้นได้รึยังว่าจะพาชั้นไปไหน” ผมถามอีกครั้ง สนกำลังปลดเชือกที่คล้องเรือไว้ให้หลุดลอยกับกระไดศาลาท่าน้ำ
“ไปงมกุ้งกัน” สนทำท่าตื่นเต้นก่อนที่เขาจะรีบกระโดดลงเรืออย่างคล่องแคล่ว “อ้าว ลงมาสิ เจ้าบ้า เดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก”

ผมค่อยๆย่างเท้าลงไปบนเรือที่โครงเครง ก่อนจะหย่อนก้นลงบนไม้รองที่พาดไว้กลางลำเรือ อากาศยามเช้าที่นี่สดชื่นจริงๆ
“ไปงมกุ้ง กุ้งอะไร”
“จักกุ้งอะไรเสียอีกเล่า ก็กุ้งก้ามกรามที่แหละ ที่ท่าน้ำฝั่งกระนู้นกุ้งชุมยิ่งนัก ข้ากับไอ้พัน ไอ้เอียดนัดกันที่ใต้ต้นลำพู่ท่ากระนู้น” มันตอบพลางค่อยสลับพายเรือขวาทีซ้ายทีเสียงดังจ๋อมแจ๋ม
“ทำไมต้องไปถึงนู้นหล่ะ แถวบ้านเราไม่มีเหรอ”
“มี แต่น้อย ท่าน้ำละแวกนี้น้ำเชี่ยวนัก ก็เมื่อคราที่เจ้าตกลงแล้วจมหายไปนั้นประไร” เขาเล่าทำให้ผมนึกขึ้นได้ตอนที่จมน้ำ มันเหมือนมีมือใครคนหนึ่งฉุดผมลงไปเลยทั้งๆที่ผมก็ว่ายน้ำแข็ง
เสียงสนจ้วงไม้พายดังจ๋อมแจ๋มๆ เรือค่อยๆแล่นไปอย่างช้าๆ นานๆทีจึงจะสวนกับเรือชาวบ้านที่ขนมะพร้าว กล้วยมาขาย หรือบางครั้งก็เจอพระพายเรือมาบิณฑบาต
ทำไมสยามเวลานี้ถึงได้ต่างจากสยามเวลาผมอย่างสิ้นเชิง ทำไมน้อเราถึงไม่อยู่กันแบบนี้ จริงๆผมว่าอยู่กันอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเร่งรีบไม่ต้องแข่งขัน หากเป็นสยามเวลาผมป่านนี้รถราคงแล่นกันเต็มถนนแล้วหล่ะ
ชาวสยามตอนนี้นั้นดูพวกเขาไม่รีบร้อน ไม่วุ่นวาย ผู้ชายส่วนใหญ่มักรับราชการ หรือเป็นบ่าวเป็นไพร่ รับจ้างทำไร่ทำนา หาที่อ่านเขียนหนังสือเป็นนั้นแทบจะไม่มีเลย ยิ่งผู้หญิงไม่ต้องพูดถึง นังอ่ำเคยบอกผมว่า
“เอ็งจะให้ข้าเรียนหนังสือไปทำอันใด เป็นลูกผู้หญิงใครเขาเรียนกันเล่า โตไปจะเอาไปหากินอันใดได้ สู้เรียนรู้การบ้านการเรือน ออกเรือนไปจักได้ดูแลสามี”
นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงสมัยก่อนคิด
แต่ถึงผู้หญิงสมัยก่อนจะอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ผมก็นับถือพวกเธอมาก ผู้หญิงสมัยก่อนนั้นเก่งกว่าผู้ชายหลายคนมากนัก  พวกเธอทั้งดูแลบ้านเรือน ลูกก็มีคราวละมากๆ บางทีเป็นสิบๆคนก็มี ก็เลยต้องประหยัด ต้องใช้ทุกอย่างให้เป็นประโยชน์สูงสุด ดูแลจัดการภายในบ้าน สามีออกไปทำงานอย่างเดียว แต่พวกเธอไหนต้องดูแลบ้าน ดูแลลูก บางครั้งยังทำงานพิเศษเช่นทำขนมขาย ขายขนมจีน ปลูกพืชผลไม้ขาย เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวก็มี

 “เจ้าบ้าถึงแล้ว” สนใช้ไม้พายคัดท้ายเรือ เรือจอดสนิทแน่นิ่ง ผมมองไปข้างหน้าเห็นเรืออีกลำจอดคอยท่าอยู่
พวกนั้นทักทายสนพอเป็นพิธี
“เอ็งพาใครมาด้วยหรือ อ้ายสน” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำจมูกเป็นสัน และผมหยักสก นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวถาม
“อ๋อ บ่าวเรือนคุณหลวงน่ะ”
เฮ้ย ไอ้สน ใครเป็นบ่าวว่ะ ชั้นเป็นแขกวีไอพีของหมอนั่นนะเว้ยมาบอกว่าเป็นบ่าวได้ยังไง
“กระนั้นเองรึ ชื่อกระไรหล่ะเอ็งน่ะ แต่งตัวมาเสียโก้เชียว ข้านึกว่าเป็นเจ้าเป็นนาย”
“เอ่อ ชั้นเหรอ ชั้นชื่อ อัชย์” ผมบอกชื่อจริงไป เพราะขืนบอกชื่อเล่น โอปอล์ ไปคงแปลกพิลึกในสมัยนั้น
แต่พวกนั้นดูเหมือนจะไม่ใครจะใส่ใจกับตอบผมมากนัก
“จักเอาหรือยังเล่า”  ชายคนเดิมถาม
“เอาสิวะอ้ายพัน” อ๋อ ชื่อพันนั่นเอง แสดงว่าอีกคนนั้นชื่อเอียดน่ะสิ
เอียดดึงเรือผมเข้ามาเทียบชิดกับเรือพวกมันก่อนที่ สนจะก้าวขึ้นไปบนเรือพวกนั้น ปล่อยให้ผมอยู่บนเรือคนเดียว
“เจ้ารออยู่บนนี้ก็แล้วกันนะ เจ้าบ้า อ้าว เอานี่ไป” เขายื่นเบ็ดตกกุ้งที่ทำมาจากไม้ไผ่มาให้ผม “ตกกุ้งอยู่บนนี้แหละ”
“อ้าวแล้วนายจะไปไหน” ผมถาม แต่พวกนั้นไม่มีใครสนใจตอบผม


จู่ๆ อ้ายพันซึ่งนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวนั้นก็ปลดผ้าขาวม้าร่วงลงกับพื้นเรือ ร่างกายที่เปลือยเปล่านั้น ยืนอ้าซ่าท้าลมหนาวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เฮ้ย” ผมอ้าปากค้าง ตะลึงกับสิ่งที่อ้ายพันทำ มันกล้าแก้ผ้าโทงโทงกันอย่างนี้เลยเหรอ
“พวกเอ็งจักลงไปกับข้าหรือไม่” แน้ มันยังมีหน้าไปชวนพวกที่เหลือคุย น้องชายก็แกว่งไปมาโทงเทงๆ ผมทำตัวไม่ถูกเลยตอนนั้น ถามว่าเคยแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นมั๊ย ก็ต้องบอกว่าเคย แต่ต้องเมาแอ๋เสียก่อนจึงจะกล้า ให้อยู่ๆดีๆถอดกันแบบนี้เลยนี่ ไม่ไหว
“เออ ลงสิวะ ข้ามิอยากนั่งหนาวอยู่บนเรือ” แล้วอ้ายเอียดก็ถอดผ้าข้าวม้าสีคุ่นหม่นออกทิ้งเช่นกัน
“อยู่บนนี้นะเอ็งนะ” สนหันมากำชับผมก่อนจะปลดผ้าขาวม้ามันอีกคน
“เอางี้เลยเหรอไอ้สน” เอิ๊กๆ บ้าไปแล้วไอ้พวกนี้
“รอรับกุ้งจากข้านะเว้ย คอยดูฝีมือข้า” มันบอก
“เออๆ พวกมึงรีบลงไปเหอะป่ะ” ผมรีบไล่ นึกในใจ โห ไอ้สนนี่ซ่อนรูปนะนี่ ฮ่า ฮ่าฮ่า

ทั้งสามค่อยๆหย่อนตัวลงไปในน้ำเบาๆไม่ให้กุ้งตื่น บริเวณนั้นเต็มไปด้วยหน่อของต้นลำพูแหลวเฟี้ยว  และดูเหมือนน้ำจะไม่ค่อยลึกสักเท่าไหร่ ส่วนผมนั้นนั่งแกร่วอยู่บนเรือ นึกขอบใจที่มันไม่ให้ผมลงไปกับมันด้วย ไม่งั้นต้องแก้ผ้า และถ้าผมต้องแก้ผ้ามันก็รู้หมดสิว่าผมน่ะไม่เท่าไหร่  เออ แต่จะว่าไปชายสยามสมัยก่อนก็เป็นล่ำเป็นสันกันน่ะนี่ น่าภูมิใจจริงๆ
ผมหย่อนเบ็ดลงไปท่ามกลางหน่อลำพู ขณะเดียวกับที่ทั้งสามคนดำน้ำลงไปเกือบจะพร้อมกัน
ทันทีที่พวกนั้นดำดิ่งลงไปในน้ำ บริเวณนั้นก็เงียบสงัด มีเสียงนกกาเหว่าร้อง “ดุเหว่า ดุเหว่า” มาแต่ไกล สลับกับเสียงนกนางแอ่นอพยพที่คอยส่งเสียงแหลมเล็ก บินโฉบแมลงไปมาท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มยามเช้า
 ผมนั่งมองปลายคันเบ็ดอย่างเลื่อนลอย
“แล้วกูจะรู้ได้ไงวะว่ากุ้งมันกินเหยื่อ” เกิดมาผมยังไม่เคยตกเบ็ดเลยสักกะครั้ง
“ทำไมนานจังวะ” ผมชักรู้สึกไม่ดีที่พวกนั้นดำหายลงไปนาน
“เฮ้ย....หรือขาดอากาศตายกันหมดแล้ววะเนี๊ยะ”
น้ำบริเวณนั้นราบเรียบราวกับแผ่นกระจก ไม่มีวี่แววของพวกนั้นเลย


“ตูมมมมมมมมมมมมมมม” แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงน้ำกระเซ็นมาจากด้านท้ายเรือ สนนั่นเอง เขาโผล่ขึ้นมาพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวเท่าข้อมือสองตัว
“เจ้าบ้าเว้ย ดูนี่สิ ข้าบอกแล้วว่าฝีมือข้าหาใครเทียบได้ที่ไหน” มันยิ้มอย่างภูมิใจก่อนจะตรงดิ่งมาหาผม
“อ้าวรับไป” ผมรับกุ้งก้ามกรามทั้งสองตัวมา มันตัวใหญ่มากจนมือทั้งสองข้างผมกำแทบไม่มิด ช่างน่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้ นี่กุ้งแม่น้ำกิโลละเกือบพันในสมัยผมหาได้ง่ายๆขนาดนี้ในยุคนี้เลยเหรอวะ
“เฮ้ย สน กุ้ง กุ้ง” ผมร้องด้วยความตื่นเต้น
“เออ ก็กุ้งนะสิวะ หรือเอ็งเห็นเป็นปลาสลิด” เล่นมุกกะกู  “ประเดี๋ยวข้าจักเอาขึ้นมาอีก ข้างใต้นี่อีกโข” ว่าแล้วเขาก็ดำดิ่งหายลงไปอีก ระหว่างที่เราพูดกันนั้น อ้ายเอียด กับอ้ายพันก็โผล่ขึ้นมาสูดอากาศแต่กลับไม่มีกุ้งติดมือมา
กุ้งสองตัวใหญ่ๆนอนนิ่งอยู่ในเรือ ผมมองมันใกล้ๆด้วยความตื่นเต้น กุ้งก้ามกราวนี้ก้ามทั้งใหญ่ทั้งยาว สีฟ้าสด เวลาเอาก้ามไปเผาไฟ จากที่เคยเป็นสีฟ้าเข้มมันจะเปลี่ยนเป็นสีส้มสวยงามทีเดียว
ผมหันไปดูเบ็ดตัวเอง ............ไม่กระดิก
หลังจากนั้นไม่นาน สนก็ขึ้นมาอีกพร้อมกุ้งก้ามกราวอีกหลายตัว สลับสับเปลี่ยนกับพวกอ้ายเอียดอ้ายพัน นับๆไปตอนนี้มีกุ้งอยู่บนเรือเกือบๆ 20 ตัว
ในขณะที่เบ็ดที่ผมตกกุ้งนั้นไม่กระดิกสักกะที
“ท่าทางจะทำบาปไม่ขึ้นว่ะกู” ผมเปรยกับตัวเอง



“เฮ้ย อ้ายเอียด อ้ายพัน ขึ้นกันเถิด ข้าหนาวปากซีดไปหมดแล้ว” สนร้องขึ้น พวกที่เหลือเห็นด้วยเพราะเห็นว่าตอนนี้ก็ได้กุ้งโขแล้ว
สนว่ายน้ำกลับเข้ามาที่เรือพลางตะเกียกตะกายปีนขึ้นเรือในสภาพเปลือยเปล่า ผมนั้นแกล้งเมินหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ได้อายหรือเขินอะไรหรอก แต่รู้สึกว่ามันเสียมารยาทกับการไปจ้องมองช้างน้อยของพวกนั้น
“อืม น่าจะพอแล้วกระมัง” อ้ายพันบอกขณะที่ชะโงกหน้ามามองกุ้งบนเรือ มือทั้งสองข้างขมวดปมผ้าขาวม้า
“เยี่ยงนั้นก็เร่งพายเข้าเถิด ลุงปริ่มแกรอนาน เดี๋ยวแกจะอาละวาดเสียอีก”สนว่า


...

ณ กระท่อมเพิงใบจากแห่งหนึ่ง พวกเราทั้งสี่คนนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ถูกยกมาตั้งรับแขกเป็นเก้าอี้ โดยมีท่อนไม้มะขามขนาดใหญ่วางตรงกลางเป็นโต๊ะ
ก่อนหน้านี้พวกสนพาผมเดินลุยขี้เลน ผ่านดงลำพู ฝ่ากอต้นจากที่ขึ้นชุมในละแวกนั้นจนในที่สุดเราก็เดินมาถึงสันดอนที่มีกระท่อมไม้แห่งนี้ตั้งอยู่
สนบอกผมว่ามันจะพามากินของดี
“ลุงปริ่มนี่แกขึ้นชื่อในละแวกนี้เลยนะเว้ย” สนเล่า
“เรื่องไรวะ”ผมกระซิบตาม
“เอาน่า เดี๋ยวเอ็งก็รู้”

สักพักใหญ่ๆผมก็เห็นชายแก่ร่างแคระเกร็นแต่ดูคล่องแคล่วว่องไวเดินถือขวดอะไรใสๆออกมาจากหลังกระท่อมที่มีควันขาวลอยคลุ้งไปหมด
“ไอ้พวกเวรตะไล ข้าบอกเอ็งแล้วใช่มั๊ยว่ามิให้มาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้อีก ประเดี๋ยวหลวงท่านจับได้ข้าจะพลอยชิบหายไปกับพวกเอ็งด้วย” แกมาถึงก็ด่ากราด  ถึงจะตัวเล็กแต่ปากเก่งใช่ย่อยนะเนี๊ยะ
“โธ่ลุง พวกข้าก็แค่คิดถึง อุตส่าห์ได้กุ้งมามากโขก็นึกถึงจะเอามาฝากมาเผื่อ ถ้าลุงไม่เอา ข้าเอากลับไปกินที่เรือนก็ได้” สนยกกุ้งตัวเบ้งที่ขมวดหนวดไว้เป็นปมเหมือนแกล้งยั่วให้ลุงแกขอร้องให้อยู่ต่อซึ่งก็ได้ผล
“เออ เออ เอาวะ ไหนๆพวกเอ็งก็มีน้ำใจกับข้า จะไล่กลับเสียเหมือนหมูเหมือนหมา ก็จะหาว่าข้าใจดำ”
แกว่า ว่าแล้วก็วางขวดน้ำใสๆลงกลางวง
“เฮ้ย น้ำอะไรวะ สน” ผมถามด้วยความสงสัย เพราะเห็นพวกนั้นทำท่าเปรี้ยวปาก
“นี่แหละเว้ย เจ้าบ้า ของดี” ผมทำท่าเหื่อนกระหาย
“อะไรว่ะ”
“กระแช่”
“กระแช่  อะไรคือกระแช่”
“บ๊ะ เอ็งนี่มันถามมากความ ไว้กินเองประเดี๋ยวก็รู้” สนทำท่าขัดใจ

“ไหนละเว้ยกุ้งน่ะ เร่งเอาไปต้มยำทำแกงมาประเดี๋ยวนี้ อ่าว แล้วนี่ผู้ใดกันอีกเล่า” ตาแก่นั่นหันมาทางผม
ไม่ต้องรอให้สนแนะนำ ผมชิงแนะนำตัวเองก่อน
“อ๋อ ผมชื่ออัชย์นะลุง เป็นแขกของบ้านหมอปีย์”
“บ๊ะ แขกของไอ้หมอหน้าแขกนั่นนะหรือ ฝากบอกมันด้วยนะเว้ย หัดยิ้มเสียมั่ง ตั้งแต่ข้าเห็นมันมา ข้าไม่เคยเห็นมันยิ้มสักที”
ลุงพูดจบสนก็หลุดหัวเราะออกมาคำใหญ่
“โธ่ลุง คุณหลวงเขาเป็นใคร เขาหาใช่คนธรรมดาเยี่ยงเราไม่ จะให้เขาเดินโปรยยิ้มให้ใครต่อใครมันใช่เรื่องทีไหนกันเล่า” สนแก้ตัวแทนนายมัน
“เฮ้ย ข้าไม่สนหรอกจะเป็นหลวงเป็นขุน มันก็คนทั้งนั้นแหละวะ แก่ไปก็ตายห่ากันหมด” ท่าทางตาแก่นี้จะหัวกบฏใช่ย่อย ก็ไม่น่าแปลกเลยที่ต้องมาสร้างบ้านสร้างเรือนในป่าลึกขนาดนี้ ปากแบบนี้คงอยู่กับใครเขาไม่ได้เสียละมั้ง
“อ่าว มามองหน้าข้าหาพระแสงอะไรเล่าไอ้หน้าเจ๊ก เร่งเอากุ้งไปทำกับมาสิวะ ขืนชักช้าข้าไม่รอแล้วนะเว้ย” ลุงปริ่มตะโกนใส่ผม แถมยังมาว่าผมไอ้หน้าเจ๊กอีก เจ็บจี๊ดๆ
“มาสิ เจ้าบ้า มากับข้า” สนรีบดึงมือผมให้ลุกตาม ส่วนมันนั้นหิ้วกุ้งติดมือไปด้วย


ผมกับสนเดินมาหลังกระท่อม ตรงนั้นมีไม้ฟืนกองสุมอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีไหที่มัดปากไว้สนิทแน่นวางเรียงรายนับสิบใบ ที่ใต้ต้นลานต้นใหญ่ มีเพิงไม้ที่ทำมาจากไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยใบลานอย่างง่ายอยู่ ที่นั่นผมมองเห็นถังโลหะขนาดใหญ่วางเอียงอยู่บนเตาที่ก่อขึ้นด้วยหินสามก้อน ไม้ฟืนถูกสุมเข้าไว้จนไฟลุกแดงโชน ที่ปากถังนั้นมีกะลังมังสังกะสีคลอบไว้ โดยมีท่อที่ทำมาจากไม้เสียบไว้ที่ถังและมีน้ำใสๆหยดติ๋งๆลงมาจากปลายท่อไม้นั่น
“ลุงแกกำลังต้มกระแช่” สนบอก “นี่แหละของดีนะเว้ย”
“อ๋อ” ผมมองอย่างสนใจ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นวิธีการกลั่นเหล้าแบบพื้นบ้านอย่างนี้
“แม่ง คนไทยนี่ สุโค่ยจริงๆ” ผมเปรยกับตัวเอง
“เจ้าว่ากระไรนะ”
“อ๋อ เปล่าๆ ชั้นว่าคนสยามนี่ฉลาดจริงๆ”
“แกต้องมาหลบอยู่ในป่าเช่นนี้เพราะต้องหลบหลวง จะให้หลวงรู้มิได้ ถูกเฆี่ยนหลังลายเชียว”
สนเล่าให้ฟังถึงเหตุผล แต่ผมก็ยังคิดว่าเพราะปากแกเป็นแบบนี้มากกว่ามั้งที่ต้องหลบมาอยู่ที่นี่

สนดึงไม้ฟืนออกมาจากกองไฟท่อนหนึ่งเป็นเชื้อ ไฟที่กำลังลุกโพรงอยู่นั้นทำให้ท่อนฟืนเป็นสีส้มสด
“เจ้าบ้าเอาฟืนมาให้ข้าอีก” มันสั่ง ผมหยิบท่อนไม้ท่อนเล็กๆ วางสุมทับลงไป สักพักไฟก็ลุกพรึบขึ้น
กุ้งนับสิบตัวในมือสนถูกโยนเข้าไปในกองเพลิงที่ลุกโชน แค่อึดใจเดียวจากกุ้งสีน้ำเงินเข้ม บัดนี้กลับกลายเป็นสีส้มสดดูน่ากิน
“กุ้งเผาไฟเช่นนี้ กินกับน้ำปลามะกอกเข้ากันดีนักแล” เขาว่าพลางใช้ไม้เขี่ยพลิกกุ้งไฟมา ครู่เดียวกุ้งก็สุก สนลากกุ้งออกมาข้างนอกกองไฟ ก่อนที่ใช้มือหยิบกุ้งวางลงบนใบตอง

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
ตอนนี้กุ้งสุกถูกนำมาวางไว้กลางวง ควันฉุยออกมา พร้อมกับมันกุ้งสีส้มแปร๊ดที่ไหลซึมออกมาจากหัวกุ้ง
ไม่ต้องรอให้ใครบอก ต่างคนต่างคว้ากุ้งไปคนละตัว ปอกเปลือกอย่างชำนาญ ผมเองนั้นเลือกเอามาตัวหนึ่ง ค่อยๆปอกอย่างระมัดระวังเพราะมันร้อนมือ
ลุงปริ่มเทกระแช่ใส่แก้วที่ทำมาจากระบอกไม้ไผ่ ส่งมาให้สน สนรับมาแล้วส่งต่อมาที่ผม
“ลองเสียหน่อยสิ เจ้าบ้า”
ผมรับมาอีกทอดหนึ่ง ก่อนจะยกขึ้นเทพรวดเดียวเข้าปาก
“เฮ้ย เพลาๆสิวะ เจ้าบ้า เดี๋ยวก็ได้เมาเสียก่อนหรอก” เสียงสนร้องปราม
“เฮ้ย แค่นี้จะเมาได้ยังไง นี่เหล้าหรือน้ำหวานวะเนี๊ยะ แมร่งหว๊านหวาน” ผมว่า
“เฮ้ยไอ้หน้าเจ๊กนี่ดูถูกกระแช่ไอ้ปริ่มเสียแล้วมั๊ยหล่ะ เออ เอ็งคอยดูเถิด ข้าเอาหัวเป็นประกัน เอ็งจะต้องเอามือคลานกลับเรือน” ลุงปริ่มว่า
ตอนที่ผมกระดกน้ำกระเข้าปากไปนั้น ทันทีที่ลิ้นสัมผัส มันรู้สึกหวานๆติดที่ปลายลิ้น พอแล่นผ่านคอถึงจะรู้สึกขม แล้วก็ร้อนท้อง จนผมต้องทำหน้าเบ๊
“อ้าวนี่ มะขามเปียก” สนยื่นฝักมะขามเปียกให้ผม พอดูดมะขามเปียกตามพบว่า มันเข้ากันอย่างประหลาด
“ลุง เหล้านี่ทำมาจากอะไรอ่ะ” ผมถาม ชักติดใจในรสชาติ เคยกินแต่วิสกี้ ไวน์ มาเจอกระแช่ของไทยเข้าไป เด็ดดวงกว่าอีก
“ไม้ น้ำตาลปึก น้ำฝน” แกตอบสั้นๆ ทำให้ผมนึกถึงไหที่แกเรียงไว้หลังบ้าน คงเป็นที่หมักพวกนี้แน่ๆ
กุ้งทั้งตัวตอนนี้ล่อนจ้อนไม่มีเปลือก เนื้อกุ้งสดๆแน่นๆขาวๆอวบๆอยู่ในมือผม มันเด้งสู้มือจริงๆ ผมหย่อนหางกุ้งจิ้มลงไปที่น้ำปลาร้า ก่อนจะเคี้ยวเข้าปาก
“อืม อืม”  สุดยอดจริงๆ นี่คือสิ่งที่นักชิมทั้งหลายใฝ่หา ไม่ต้องตกแต่งให้เลิศหรู ไม่ต้องมีกรรมวิธีให้วุ่นวาย แค่นี้แหละ รสชาติจากธรรมชาตินี่แหละ ล้ำลึกที่สุด
“เป็นอันใดไปเจ้าบ้า นั่งตาเยิ้มเทียว” สนแซว
“เนื้อหวานตามธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ไวน์ขาว หรือเครื่องปรุงใดๆ อย่างนี้ถ้าบีบเลม่อนลงไปหน่อย ทานคู่กับใบผักชีฝรั่ง โอ้โห เหนือคำบรรยาย” ผมว่า
“มันเพ้ออะไรของมันวะ ไอ้สน” อ้ายเอียดหันมาถามสน พวกนี้จะไปรู้อะไรเกี่ยวกับศิลปะของอาหาร ชิส์
“เฮ้ย สน พัน ไม่กินก้ามมันเหรอ เอามานี่”  ผมไม่รอให้พวกนั้นตอบ คว้าก้ามกุ้งเท่านิ้วก้อยมาขบ ก่อนจะค่อยๆ รูดเอาเนื้อหวานๆออกมาใส่ปาก
“ไม่รู้จักของดี ไอ้พวกนี้” ผมเคี้ยวตุ้ยๆและรับจอกกระแช่มาซดอีกครั้งตามด้วยมะขามเปียกดูดจ๊วบๆอย่างเมามันส์











บัดนี้ โลกเริ่มแกว่งไกว ผมเริ่มรู้สึกว่าอะไรอะไรแถวนี้มันเคลื่อนที่ได้ ต้นไม้กำลังโอนเอนไปมา หน้าของไอ้พันนั้นบูดเบี้ยว ส่วนกองกุ้งเผานั้นอย่างกับกองเท่าภูเขา
“ดูหน้าเอ็งสิ เจ้าบ้า แดงเป็นลุกตำลึงเสียแล้ว ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะยานๆดังขึ้น
“เฮ้ย แดงที่หนายกาน ชั้นนี่คอเหล็กนะเว้ย ไม่รู้รึงายยยย แค่นี้ไม่ทำให้หน้าแดงหรอกเว้ย” หัวผมเริ่มแกว่งไปมา
“เออ ปากเก่ง ไม่เมาก็ดีแล้ว เอ็งช่วยไปเอาฟืนสุมให้ข้าที ชักช้าประเดี๋ยวฟืนจะมอด” ลุงปริ่มสั่ง ผมรับคำก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่ลุกขึ้น ผมกลับพบว่าร่างของผมนั้นหนักอึ้งจนแทบยืนไม่อยู่ต้องเซหลายครั้ง
“หนายเอ็งบอกว่าม่ายมาววววงาย”
“ม่ายมาว ม่ายมาววว” ผมปัดมือไปมา ก่อนจะก้าวเท้าอย่างค่อยๆเดิน
“จึก” และก็รู้สึกเจ็บแปลกที่ปลายเท้า ผมหงายเท้าขึ้นมาดูพบว่าหัวกุ้งนั้นแทงเข้าไปเกือบมิด”
“โอย ซูดดดดด” ผมซูดปากเบาๆก่อนจะค่อยๆดึงหัวกุ้งออก ตอนนั้นมันคงชาด้วยฤทธิ์เหล้าเลยไม่ค่อยเจ็บ
แต่ไม่นึกว่าหลังจากนั้น........................................................................................













“เจ้าบ้า เจ้าบ้า” สนพยายามฉุดผมให้ยืนตรงๆ
“หา ใครบ้า ชั้นบ้า หรือใครบ้า เรียกใคร เรียกใคร” ผมเพ้อไม่เป็นภาษาคน ตอนนั้นสติมันหลุดร่วงเรี่ยราดมาตามทางที่สนพยุงหมดแล้ว
ผมจำได้เลือนๆว่าเมามาก ถึงขนาดลุกไม่ไหว ต้องให้ไอ้พัน ไอ้เอียด แล้วก็สนแบกขึ้นเรือ เพราะเดินไม่ได้ด้วย เท้าระบม พอลงเรือมาได้ก็เพ้อไม่เป็นภาษา

สนก็พยายามถูลู่ถูกังพาผมมาส่งจนถึงหน้าเรือนหมอปีย์จนได้ ตอนนั้นก็บ่ายคล้อยแล้ว
“เจ้าบ้า” เขากระซิบกระซาบ “ข้าส่งเอ็งตรงนี้นะ ปีนขึ้นเรือนเอาเอง ข้ามิอยากให้คุณหลวงเห็น”
“เออ ตามบายเรยเพื่อน ตามบายเร้ย  จะไปไหนไปเลย ชั้นดูแลตัวเองได้ I am a Superman!! “ ผมตะโกนลั่นบ้านจนสนต้องรีบเอามือปิดปาก
เขาค่อยๆมุดตัวหายไปใต้ถุนเรือน ส่วนผมนั้นยืนโงนเงนอยู่ที่บันได ตั้งสติ ก่อนจะค่อยๆคลานขึ้นกระไดไปทีละขั้น

“ได้เกิดมาเจอเธอทั้งที ไม่ว่ายังไงจะลองดีสักวัน อยากรักก็ต้องเสี่ยง เอิ๊ก เอ่อออออออออออออออออออ”
ผมเดินร้องเพลงขึ้นมาก่อนจะค่อยๆพยุงตัวให้ยืนตรงได้ รู้สึกเลยว่าการคลานเป็นหมานั้นง่ายกว่าเดินเป็นคนมากตอนนั้น
“อ้าวว หมอ มาทำอะไรคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจตรงนั้นล่ะ เอิ๊ก” ผมหันไปเจอหมอปีย์นั่งเอนหลังพิงหมอนสามเหลี่ยมมองมาที่ผมตาเขียวปั๊ด
“แน๊ แน๊ แน๊ ดูทำหน้าเข้าสิ เอิ๊ก จะด่าชั้นอีกล่ะสิ หือ   ไม่อาวน๊า ไม่อาว” ผมส่ายนิ้วชี้ไปมา “ด่ากันไม่ดีน๊า คนไทยต้องสามัคคีกันรู้มั๊ย” ไปเรื่อยเลยผมตอนนั้น

“ไหนๆ มาดูหน้าใกล้ๆ หน่อยสิ อะไรเข้าตาเหรอ ทำไมถึงต้องถมึงทึงขนาดนั้น” หมอปีย์จ้องผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผมทำท่าจะก้าวไปหาเขา แต่ทันทีที่เหยียบเท้าข้างที่โดนหัวกุ้งตำ ก็ต้องเซจนล้มตึงด้วยความเจ็บปวด
“โอ้ย” ผมร้องเสียงหลง หมอปีย์ ตกใจรีบวิ่งเข้ามาทันที
“เป็นอันใดมากรึเปล่าเจ้าบ้า โธ่เอ้ย ไปเมามาเยี่ยงหมา” เขาทำสีหน้าตำหนิ
“หมอ เอิ๊ก”  เรอออกมากลิ่นเหล้าหึ่งจนหมอปีย์ต้องเมินหน้าหนี” “หมอชั้นม่ายด้ายมาวววว ชั้นเจ็บตีน” ผมพยายามอธิบายเหตุผลที่ล้มลง
“เจ็บเท้าอย่างไรกัน เจ้าเมามิเห็นรึ คงจะเป็นอ้ายสนสิท่าที่พาเจ้าไปสำมะเลเทเมาขนาดนี้ คอยดูนะ อย่าให้เจอหน้า เราจักลงหวายให้หลังลาย” เขากัดฟันกรอด
“ม่ายช่าย เอิ๊ก ชั้นเจ็บตีนจริงๆ นี่งาย ดูสิ เอิ๊ก” ว่าแล้วผมก็ยกเท้าขึ้นมาเฉียดหน้าหมอนั่นไปนิดเดียว
หมอปีย์เมินหน้าหนี แต่ทันทีที่เห็นเท้าที่บวมเป่งนั้นเขาก็ร้องขึ้นทันที
“นี่เจ้าไปทำอีท่าไหนมานี่ เท้าถึงได้บวมแดงขนาดนี้ ทิ้งไว้คงมิได้การณ์เสียหล่ะ”
ว่าแล้วเขาก็สั่งให้บ่าวไพร่มาพยุงผมเข้าห้อง

“เจ้าไปเอาผ้าชุบน้ำมาให้เรา ส่วนเจ้าไปเอาใบเหงือกปลาหมอตำมา” เขาสั่งบ่าวไพร่ที่ตอนนี้วิ่งวุ่นไปทั้งเรือนเพราะผมแท้ๆ
“นอนนิ่งๆสิ เราจักถอดเสื้อให้” เขาจับผมกดลง แต่ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกำลังตกจากที่สูง มันมึนไปหมด นอนหงายก็หายใจไม่ออก ใจหวิวๆเหมือนจะตาย ต้องนอนตะแคง แต่หมอนั่นก็จับผมพลิกนอนหายอยู่ร่ำไป
“หมอชั้นร้อน หมอร้อน” ผมร้องโวยวาย หมอปีย์ค่อยๆถอดกระดุมเสื้อผมออกและถอดมันกองลงกับพื้น บ่าวคนที่วิ่งไปเอาผ้าชุบน้ำมาถึงก็ยื่นให้หมอปีย์ ส่วนอีกคนก็เอาใบเหงือกปลาหมอมาให้
“พวกเจ้าออกไปก่อน ไปเตรียมต้มน้ำมะตูมสุกมาให้เรา” เขากำชับ
ก่อนจะค่อยๆบิดน้ำหมาดๆ
“โธ่เอ้ย ผื่นแดงขึ้นเต็มตัว ท่าจะไปกินเหล้าต้มเถื่อนมา” เขาส่ายหัว “พ่ออัชย์เอ้ย “
เขาค่อยเช็ดตัวให้ผมอย่างเบามือ ตอนนี้พิษสงในตัวของผมหมดแล้ว มันอ่อนแรงไปหมด หายใจก็ติดขัด จะยกมือก็ไม่มีแรง
หมอปีย์ค่อยๆเช็ดตัวให้ผมตามซอกอย่างเบามือ ผมรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด  ทุกครั้งที่มือของมันสัมผัสร่างผม ไออุ่นนั้นแล่นผ่านหัวใจ ทำให้ผมรู้ทันทีว่าผมต้องไม่เป็นอะไร หากมีหมอนี่อยู่ใกล้ๆ
“ผื่นแดงขึ้นขนาดนี้นี่ ต้องแพ้สิ่งใดมาเป็นแน่” เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะบิดผ้าทิ้งลงอ่างแล้วหันไปหยิบดินสอพองมาละลายน้ำละเลงทาทั่วตัวผมอย่างเบามือ
“ดินสอพองเป็นของเย็น ช่วยดับพิษร้อน และอาการแพ้ผื่น”
เมื่อเขาละเลงทาดินสองพองทั่วตัวผมแล้ว เขาก็หันไปดูแผลที่เท้าผม

“นี่โดนหัวกุ้งตำมานี่” เขาว่า ก่อนจะใช้ของแข็งบางอย่างคล้ายเหล็กทู่ๆจี้ไปที่แผลที่โดนตำ ผมรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปถึงติ่งสมอง แต่ร้องไม่ออก รู้เพียงแต่ว่ามีเลือดไหล
หมอนั่นใช้ผ้าซับเลือด ก่อนจะเอาใบเหงือกปลาหมอที่ตำแล้วนั้นพอกและใช้ผ้าขาวผูกไว้จนแน่น
“เหงือกปลาหมอช่วยถอนพิษ แก้อักเสบ ทิ้งไว้สักประเดี๋ยวเจ้าก็จักดีขึ้น” เขาว่าพลางเดินมาที่ผมใช้มือลูบหัวผมอย่างเบามือ
“พักผ่อนก่อนเถิดพ่ออัชย์  เรามีเรื่องต้องชำระความกับไอ้สน”
แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไป ผมยิ้มอย่างอุ่นใจ อย่างน้อยถึงจะมาอยู่ในที่แปลกถิ่นอย่างนี้ก็ยังมีหมอนั่น ผมไม่รู้ว่าสนจะเจออะไรบ้าง แต่อย่างน้อยผมก็ไม่โดนเอ็ด แถมยังได้รับการดูแลอย่างดีอีกด้วย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2011 09:31:02 โดย เซ็งเป็ด »

oPhoeBuSo

  • บุคคลทั่วไป
จิ้มเลยขอรับ เข้ามาเจออัพตอนใหม่พอดี  o13 o13

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
วุ้ย คุณหลวงอย่าไปร้ายแรงกับพ่อสนมากนะคะ สงสารเค้า

ว่าแต่...ดิฉันอยากไปนั่งบนเรือกับพ่ออัชย์จัง จะได้แอบเขวี้ยงสายตาไปมอง...ช้างน้อยของพ่อสนกับเพื่อนๆ อยากรู้ว่าจะเป็น "ล่ำเป็นสัน" จริงหรือไม่ หุหุ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด