หลังจากที่ตื่นนอนได้ไม่นาน นังอ่ำบ่าวช่างเหวี่ยงประจำตัวของผมก็เดินเข้ามาบอกว่า ให้รีบแต่งตัว คุณหลวงจะพาไปธุระข้างนอก
ผมถามว่าจะไปไหน เจ้าหล่อนก็ตอบกระแทกเสียงมาว่า
“เป็นแค่บ่าว จะสู่รู้เรื่องนายได้เยี่ยงไร” ดูมันตอบ ผมว่าท่าทางหล่อนคงไม่ชอบผมเอาเสียมากเลยนะเนี๊ยะ คงเป็นเพราะจู่ๆผมก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ แถมเธอยังต้องมาคอยรับใช้คนไม่มีหัวนอนปลายตีนแบบผม คงจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสำหรับเธอ
“นี่ ผ้าแถบนี่นุ่งยังไง” ผมเดินเข้าไปหวังจะล้อเล่นกับเธอ แต่ก็สงสัยจริงๆนั่นแหละ เพราะผ้าแค่ผืนเดียว แต่ทำไมผูกแน่นจนไม่หลุดไม่ลุ่ยเลย ไม่ว่าจะทำงานอะไร ผาดโผนแค่ไหน ผ้าแถบก็ยังเกาะอกอยู่ได้ไม่หลุด
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ หมอปีย์ก็ออกมารอผมอยู่ที่ศาลาริมน้ำแล้ว เขาดูสีหน้าแช่มชื่นผิดปกติ คงจะมีความสุขที่เมื่อคืนได้ออกไปหาคู่หมั้นล่ะสิ
ผมพยายามข่มใจอยู่พักหนึ่งไม่ให้เพ้อเจ้อเรื่องเขากับคำแก้วอีก เมื่อจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้แล้วจึงปรี่ไปหาเขา
“หมอนั่นเป็นแฟนกับคำแก้ว.................ถูกแล้ว ๆ ๆ” ผมท่องประโยคนี้ในใจระหว่างที่เดินไปหาเขา
“หมอปีย์ต้องแต่งงานกับคำแก้วๆๆๆ”
“ Hi doc. How are you? Sleep well last night? ผมถามเป็นภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่
“ Yes I did. And you? หมอนั่นถามกลับสำเนียงเขาเป๊ะกว่าผมมาก อายจัง
“I had a nightmare, frightening dream.”
“ Nightmare will become a good sign”
“I hope so”
ผมนั่งลงตรงม้านั่งในศาลาริมน้ำตรงข้ามเขา มองใบหน้าเขาเชิงเป็นคำถามว่าจะพาไปไหน
“เราจักพาเจ้าไปเรือนแม่รำพึง ไปตามที่สัญญา” เขาเฉลย
“เช้านี้เหรอ ไม่ได้ ชั้นต้องเรียนทำอาหารเรือนคุณชั้น”
“เช้านี้คุณชั้นให้บ่าวมาเรียนว่า เธอจักไปทำบุญที่วัด เจ้าไม่ต้องไป”
“อ้าวเหรอ”
เราทั้งคู่ลงเรือลำเดิมที่สนเคยพาผมไปหากุ้ง ผมนั้นไม่เห็นสนหลายวันแล้ว ว่าจะฝากของเล่นที่ซื้อมาจากงานภูเขาทองไปฝากแดงมันก็ไม่มีโอกาส แต่พอนึกขึ้นได้จากคำที่หมอปีย์พูดว่า “จะไปชำระความกับอ้ายสน” ก็พอจักเข้าใจว่าทำไมมันถึงหายไป
“นายพายเรือเป็นด้วยเหรอ” ผมถาม
“เป็นสิ ทำไมจักไม่เป็น เราพายเรือเป็นก่อนเป็นหนังสืออีก” เขายิ้มเบาๆ สายลมอ่อนในยามเช้าพัดเอาไรผมที่หน้าผากปลิวไปตามลม
ผมนั้นนั่งมองสองข้างทางไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้จะพูดอะไรกับหมอนั่นดี เหมือนกับว่าเราทั้งคู่ยังมีเส้นบางกั้นอยู่ยังไงยังงั้น
“ you told me you had a nightmare. Why don’t you tell me” เขาเห็นว่าผมพูดภาษาอังกฤษได้ เลยพูดใส่ใหญ่
“อย่ารู้เลย มันไม่ดี” ผมนึกภาพฝันร้ายเมื่อคืนที่จมน้ำแล้วยังใจคอไม่ดี ยิ่งตอนนี้อยู่ท่ามกลางน้ำด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรพูด
หมอปีย์คงเห็นว่าผมท่าทางไม่ค่อยดีเลยไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อ ส่วนผมนั้น จู่ๆก็นึกชื่อของ แอนนา ลีโอโนเวนส์ขึ้นมาได้ เนื่องจากเคยดูละครเรื่อง The king and I เห็นทราบว่าอยู่ในรัชสมัยนี้เลยลองถามหมอปีย์ดู
“หมอ หมอรู้จักหญิงชาวอังกฤษที่ชื่อแอนนา ลีโอโนเวนส์ รึเปล่า” ผมถาม
“แหม่มแอนนาน่ะรึ เคยได้ยินแต่ชื่อแต่มิเคยพานพบ ทำไมรึ” เขาพายเรือขวาที่ซ้ายทีอย่างช้าๆ
“เปล่า นายรู้อะไรเกี่ยวกับเธอบ้างอ่ะ เธอมีตัวตนจริงๆรึเปล่า” ผมสนใจใคร่รู้
“มีสิ แหม่มแอนนาเป็นครูสอนภาษาบริเตนให้แก่พระเจ้าลูกเธอ เห็นว่าเข้ามาสยามเมื่อ ๓0 ปีก่อน” เขาเล่าเป็นฉากๆ
ตอนนั้นเรายังเพิ่งเกิดได้มิขวบดี แล้วแหม่มก็ออกจากสยามไปหลังจากนั้นอีก ๕ ปีต่อมา”
“เหรอ นายไม่เคยเห็นเธอเลยเหรอ”
“ใช่ แต่เราเคยอ่านนิยายที่แหม่มเคยแต่งเกี่ยวกับสยาม หลวงเจอราร์ทท่านนำเข้ามา ช่างน่าขันสิ้นดี” เขาหัวเราะ
“น่าขันเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่แหม่มเขียนนั้นอย่างไรเล่า หาความจริงได้มิถึงครึ่ง” เขาว่า
“เหรอ นี่ชั้นเคยอ่านเรื่องที่แอนนาเขียนเรื่องหนึ่งนะ ยังจำฝังใจอยู่เลย” ผมชักตื่นเต้นเสียแล้วที่ได้แลกเปลี่ยนความเชื่อเดิมกับคนในยุคนั้นจริงๆ
“เรื่องอันใด” เขายังคงสนใจอยู่กับการพายเรือให้ตรงทางต่อไป
“ก็เรื่องเจ้าจอมทับทิมที่ถูกเผาทั้งเป็นพร้อมชู้รักนะสิ นี่รู้ปล่าวยุคสมัยชั้นเคยเอาเรื่องนี้ทำเป็นละครเวทีด้วยนะ” ผมเผลอเล่ายุคของตัวเองอีกแล้ว
“เจ้ารับรู้มาเยี่ยงไร เล่าให้เราฟังเถิด” เขากระหยิ่ม ผมจึงเริ่มเล่าโศกนาฎกรรมแห่งความรักที่ผมเคยอ่านและยังฝังใจไม่ลืม
“ก็.......................” ผมเริ่มเล่า
“เจ้าจอมทับทิมเดิมทีเป็นคนงานก่อสร้างอยู่ที่วัดไหนสักแห่งนี่แหละชั้นจำไม่ได้”
“วัดราชประดิษฐ์” หมอปีย์ตอบให้
“เออ นั่นแหละๆ แล้วรัชกาลที่๔ ทรงเห็นเข้า” ผมใช้คำราชาศัพท์ไม่ถูกเลยเลี่ยงมาใช่คำสามัญแทน “ก็เลยหลงรักเลย เพราะว่าเจ้าจอมทับทิมนั้นสวยมาก สดใส ร่าเริง สมวัย อายุน่าจะสัก ๑๔ ๑๕ นี่แหละ หลังจากนั้นพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงขอเจ้าจอมทับทิมกับบิดามารดาเพื่อไปอยู่ในวังเสียด้วยกัน”
หมอปีย์นั่งฟังไปด้วยพายเรือไปด้วย
“เมื่อเจ้าจอมทับทิมถวายตัวในวังแล้วก็ไม่ได้ยินดีในชีวิตในวัง เพราะเหตุที่เจ้าจอมเธอมีสามีอยู่ก่อนแล้ว และเธอก็รักสามีเธอมาก สามีชื่อ ชื่อ ชื่ออะไรน๊า” ผมทำหน้าสงสัย พยายามนึกชื่อ
“นายแดง” และก็เป็นหมอปีย์อีกนั่นแหละที่ช่วยแถลงไขให้ความกระจ่าง รู้หมดซะขนาดนี้แล้วจะให้เล่าทำไมวะ
“เออ นายแดง นายแดงก็เสียใจมาก จึงหนีบวชตลอดชีวิตอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ จนได้เป็นปลัด ทีนี้เจ้าจอมทับทิมนั้นไม่รู้ อยู่แต่ในวัง พอจะส่งขึ้นไปถวายทีไรก็มักจะหลบเลี่ยงแอบหนีไปซ่อนเป็นประจำ ไม่ยอมขึ้นถวายตัวกับสมเด็จ ต้องฉุดลากตัวกันขึ้นมา บางทีก็แกล้งว่าป่วยไข้ไม่สบายบ้าง” ผมเล่าเรื่องราวอย่างคล่องปาก เพราะจำเรื่องราวนี้ได้แม่น มันสะเทือนใจและฝังใจมาโดยตลอด
“เมื่อเจ้าจอมไม่ไปถวายตัวบ่อยเข้า พระเจ้าอยู่หัวก็เลยพาลคิดว่าเจ้าจอมคนอื่นอิจฉาริษยาเพราะว่าเจ้าจอมทับทิมนั้นเป็นเด็กสาวที่สวยงามและน่ารักที่สุดในตอนนั้น
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเจ้าจอมทับทิมก็หายตัวไปจากวัง พระเจ้าอยู่หัวร้อนใจมาก สั่งให้คนออกตามหาและให้รางวัลนำจับด้วยนะ ชั้นจำไม่ได้หรอกว่าเท่าไหร่ แต่ก็เดาว่าคงเยอะในสมัยนั้น เอ่อ ชั้นหมายถึงสมัยนี้น่ะ” ผมว่า
“เจ้าจอมทับทิมหายไปไหนรู้ป่าว” ผมเล่าใส่อารมณ์อย่างตื่นเต้น “ท่านหนีออกจากวังโดยการโกนหัวแล้วหาจีวรพระมาครองเป็นเณร พอรุ่งเช้าพระมาบิณฑบาตเธอก็แสร้งไปต่อท้ายแถว แล้วเดินออกไปจากวังอย่างไม่มีใครสังเกตุ เก่งมั๊ยหล่ะ”
ผมตบมืออย่างพอใจ
“เหมือนในละครเลย แล้วพอท่านออกมานอกวังได้ก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ ยืนเคว้งอยู่หน้าวัดราชประดิษฐ์ วัดที่สามีเธอบวชอยู่นั่นเอง ทีนี้เจ้าอาวาสวัดมาเห็นเธอเข้าก็เลยสงสัย เจ้าจอมทับทิมนั้นก็ก้มลงกราบขอฝากตัวเป็นศิษฐ์ พอเจ้าอาวาสซักเข้าก็ตอบอะไรไม่ได้เอาแต่ร้องไห้ เจ้าอาวาสจึงสงสารส่งไปอยู่เสียด้วยกันกับปลัดแดง สามีเธอแต่ก่อนนั่นเอง”
ผมเว้นจังหวะกลืนน้ำลาย เมื่อใกล้ถึงตอนที่ตื่นเต้น
“นายคิดดูสิ มัน คลาสสิค และโรมานซ์ขนาดไหน เอาไปสร้างเป็นหนังได้เลยนะเนี๊ยะ” ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ หมอปีย์ไม่ได้พูดอะไร ยังคงตั้งหน้าตั้งตาพายต่อ
“แล้วพระปลัดก็จำไม่ได้ว่าเณรนั้นคือทับทิมอดีตภรรยา ก็สั่งสอนพระธรรมให้อย่างบริสุทธิ์ใจ เจ้าจอมทับทิมนั้นมีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้สามีเธอ แม้จะเป็นได้เพียงแค่นี้ แต่ก็ทำให้เธอมีความสุข ไม่เหมือนตอนเป็นนกน้อยในกรงทอง”
ผมเล่าอย่างออกรสออกชาติ สำนวนน่าจะไปแต่งนิยาย
“อยู่มาวันหนึ่งเณรทับทิมนอนตื่นสายเพราะมัวแต่ท่องหนังสือ พระรูปอื่นรวมทั้งพระปลัดออกไปบิณฑบาตหมดแล้ว จึงลุกขึ้นมาจัดสบงจีวร สักพักก็ได้ยินเสียหัวเราะคิกคัก ก็เลยรู้ว่าตัวเองโดนแอบดูโดยพระภิกษุ ๒ รูปที่เห็นเพศที่แท้จริงของเธอ ความก็เลยแตก ทับทิมกราบวิงวอนไม่ให้เอาเรื่องนี้ไปบอกกับใคร แต่พระสองรูปนั้นก็ไม่ยอม เธอจึงบอกว่าพระปลัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น พระสองรูปก็ไม่ฟัง นำเรื่องไปแจ้งกับตุลาการ
พระปลัดเองนั้นเมื่อทราบเรื่องว่าเณรน้อยนั้นคือทับทิมอดีตภรรยา ก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นทับทิมร้องไห้ สักพักพระปลัดก็เดินเข้ามาหาเธอด้วยน้ำตานองหน้า ปลอบเธอว่า ทับทิมได้ทำบาปกรรมร้ายแรง แต่ก็อย่าได้กังวลใจไป เราทั้งคู่บริสุทธิ์ใจต่อกัน ทับทิมแสดงให้เห็นแล้วว่ายังรักท่านอยู่ไม่เสื่อมคลายแม้จะได้เป็นถึงเจ้าจอมในวัง ฉะนั้นท่านจึงยินดีจะรับโทษกับทับทิมด้วย
ที่นี้ตุลาการก็ไต่สวนหาความจริงว่าใครสมรู้ร่วมคิดด้วยใช่ป่าว แต่ทับทิมไม่ยอมบอก เธอกับปลัดถูกโบยและทรมานอย่างหนัก แต่ทับทิมก็ยังยืนยันว่าพระปลัดไม่รู้เรื่อง
ในที่สุดตุลาการก็เลยตัดสินประหารชีวิตทั้งคู่ด้วยวิธีเผาทั้งเป็นบนตะแลงแกงต่อหน้าธารกำนัลและพระพักตร์ พระปลัดนั้นไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย ส่วนทับทิมนั้นได้ต่อตะโกนออกมาจากกองไฟที่ลุกท่วมร่างของเธอ ประโยคนั้นชั้นยังจำได้ขึ้นใจว่า
“ฉันไม่ผิด คุณพระปลัดก็ไม่ผิด พระพุทธเจ้าทรงทราบดี” แล้วไฟก็ลุกโชนท่วมร่างของคู่รักทั้งสองคน”
ผมกลืนน้ำลายเฮือก
“เศร้าว่ะ เล่าแล้วก็ขนลุกอ่ะ”
“เจ้าคิดว่าเยี่ยงไร” หมอปีย์ถามความคิดเห็น
“ชั้นเหรอ ก็คิดว่าน่าสงสารไง”
“แล้วเจ้าเชื่อเรื่องพรรค์นี้หรือไม่”
“อืมม ไม่รู้สิ ตอนที่อ่านจบก็คงจะเชื่อมั้ง ก็ชั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสยามสักเท่าไหร่นี่หว่า” ผมพูดเรื่องจริง เด็กไทยน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องราวเป็นมาที่แท้จริงของสยาม
“เราก็อ่านเรื่องเดียวกับเจ้า แต่เรามิเชื่อว่าเรื่องนี้จักเป็นเรื่องจริง แหม่มแอนนาเธอสร้างเรื่องหลอกแม้กระทั่งกำพืดของตัวเอง อีกอย่างในสมัยนั้นหาได้มีเจ้าจอมทับทิมและพระปลัดจริงไม่ ส่วนพิธีการลงโทษแบบเผาทั้งเป็นนั้น ก็หาได้มีในกฎมณเฑียรบาลไม่ โดยเฉพาะการเผาคนในเขตพระบรมราชวังแล้วนั้น ยิ่งเป็นไปมิได้ ขนาดการตกลูก ยังต้องให้มาตกลูกนอกเขตวังเลย เพราะกลัวจะเป็นการณ์ใหญ่ หากมีการตายในเขตพระราชวังขึ้นมาต้องทำบุญใหญ่ ๗ วันกันเลยเชียว”
“เหรอ แต่มันก็อาจมีส่วนอยู่บ้างไม่ใช่เหรอ” ผมยังไม่ยอมเสียศรัธทาในเรื่องรักที่น่าสงสารนี้ไป ทั้งๆที่ก็เริ่มจะเห็นด้วยกับหมอนั่น
“เด็กสาวที่ถูกนำมาถวายตัวในล้นเกล้ารัชกาลที่๔นั้นมากมายนัก พระองค์ทรงสงสารรับเลี้ยงไว้หมด ครั้นพอเด็กเหล่านั้นโตขึ้นมา พระองค์ก็ได้กระทำการณ์อันมิเคยเกิดมาก่อนนั่นก็คือ มอบอิสระให้เด็กสาวเหล่านั้นมีอิสรภาพ ไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจ จักออกเรือนมีผัวก็สุดแล้วแต่ แล้วเหตุใดเจ้าจอมทับทิมถึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนเยี่ยงนั้นเล่าในเมื่อหล่อนสามารถขออิสรภาพจากพระเจ้าอยู่หัวได้ เจ้าลองตรองดูเถิด พ่ออัชย์”
เออ แหะ จริงๆด้วย แหม คนในบอกมาซะขนาดนี้ผมจะไม่เชื่อได้ยังไง อีกอย่างแอนนาเธอก็เป็นชาวตะวันตกสมัยนั้น ย่อมมองเมืองสยามในสายตาชาวตะวันตกว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน หากจะมองเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งก็เป็นไปได้
“แต่ชั้นก็ยังว่าเรื่องนี้เศร้าอยู่ดีแหละ” ผมว่า
“หากเจ้าเศร้าเพราะเรื่องแต่งเรื่องนี้ ก็ขอให้จงอย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ เราว่ายังมีเรื่องเศร้าที่เจ้าควรจะซาบซึ้งกว่านี้อีก อีกทั้งยังเป็นเรื่องจริงอีกด้วย”
ผมตาโตขึ้นมาทันทีเมื่อหมอปีย์พูดเรื่องนี้ ความสนใจใคร่รู้ทำให้ผมต้องขยับมาใกล้ๆหมอนั่นขึ้นไปอีก เพื่อจะได้ฟังอย่างชัดๆ
เรือแล่นไปเรื่อยเฉื่อยตามลำนำ ผ่านบ้านเรือนที่ตั้งห่างกันพอสมควร เสียงนกออกหากินตอนเช้าส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ผู้คนสองข้างทางทักทายปราศรัยกันเป็นปกติ
ผมกับหมอปีย์นั่งอยู่ในเรือลำเดียวกัน และมีจุดหมายแห่งเดียวกัน นั่นคือ บ้านแม่รำพึงนั่นเอง