“ป้าแม้นฟันเหยิน เขามีงานอะไรกันเหรอ” ผมถามป้าแม้นน้องสาวยายเมี้ยนตัวแสบขี้ฟ้อง เมื่อเห็นที่บ้านคุณชั้นบ่าวไพร่วิ่งกันให้วุ่นราวกับมีใครคลอดลูก
“เอ็งนี่ มิรู้จักเด็กจักผู้ใหญ่ ปัดเดี๋ยวฟาด” แกทำหน้าตาดุ ฟันยิ่งเหยินไปใหญ่
“โถป้า ล้อเล่นน่ะ ป้าก็ สวยๆขนาดนี้ชั้นก็แซวเล่นเป็นธรรมดา นอกจากฟันเหยินแล้วยังดำปี๋อีก งามแต้ แม่คุณเอ้ย”
ป้าแม้นเขินอายม้วนต้วน แต่สักพักแกเหมือนได้สติ
“เอ๊ะ เอ็งหลอกด่าข้ารึปล่าวไอ้บ้า”
“เอาน่า เขามีงานอะไรกันเหรอ คุณชั้นจะแต่งงานอีกรอบรึไง”
“อ้ายทะลึ่ง เอ็งนี่ลามเหมือนขี้กลาก” แกด่า “วันนี้มีเจ้านายจากวังในมาเยี่ยมคุณ คุณเลยให้พวกข้าทำอาหารพิเศษรับรอง”
“โห สงสัยต้องสำคัญมากแน่ๆ ถึงได้วิ่งกันวุ่นขนาดนี้” ผมถามพลางนั่งลงบนกระต่ายขูดมะพร้าว “นี่แสดงว่าวันนี้ชั้นก็ไม่ได้เรียนนะสิ เห้อ เออ ป้า” ผมถาม ป้าเมี้ยนแกกำลังจัดผัดสดวางเรียงลงบนถาดทองเหลืองลดลายวิจิตรที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“มีอะไรให้ชั้นกินบ้างหล่ะ” ผมลูบท้อง นัยว่าหิวมาก
“หาเอาในครัวนั่นหล่ะ มีอันใดเหลือๆก็กินประทังไปก่อน ข้ายุ่งมิมีเวลามีต่อล้อต่อเถียงด้วย”
“โห คนสวยใจดำอ่ะ” ผมทำหน้ามุ่ย ได้แต่ถอนหายใจ มาอยู่นี่ตั้งนานแล้วคุณชั้นเธอยังไม่ยอมสอนอะไรให้เลย อย่าว่าแต่สอนเลยพูดด้วยเธอยังไม่พูดด้วยเลย เกลียดอะไรผู้ชายนักหนาวะ สงสัยจะโดนผู้ชายหักอก
บ่าวไพร่ในเรือนคุณชั้นต่างพากันไปออกันที่เรือนใหญ่ ต่างคนต่างสาละวนกับงานเรือน บ้างก็ช่วยกันขัดกระได ขัดอ่างล่างเท้า บ้างก็ไปหาบน้ำมาเติมในโอ่ง บางคนกวาดลานบ้านไปพลางวิ่งไปจับลูกไม่ให้ลงไปเล่นใกล้สระพลางดูวุ่นวายดีพิลึก ส่วนผมนั้นนั่งแกร่วอยู่ที่เรือนครัวคนเดียว
บางครั้งก็อยากจะไปร่วมวุ่นวายกับเขาบ้าง แต่พอมาคิดดูแล้ว แขกไม่ได้รับเชิญอย่างผม เข้าไปก็พาลจะทำให้คุณชั้นเธอเหวี่ยงเอาอีก
“เฮ้อ อยู่ที่ที่เราควรอยู่น่ะดีแล้ว” ผมว่า พลางลุกขึ้นยืนอย่างเบื่อหน่าย บิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้านก่อนจะเดินขึ้นเรือนครัวไปเพื่อจะมองหาว่าพอมีอะไรเหลือๆให้คนจรหมอนหมิ่นอย่างผมได้กินบ้าง
“นี่อะไรน่ะ” ผมเปิดฝาละมีดู เจอขนมจีนเส้นสดที่เหมือนเพิ่งทำมาใหม่ๆ ขดอยู่บนใบตอง ข้างๆกันนั้นเองก็เจอผัดสดที่เหลืออยู่ไม่กี่อย่างเอง
“โห เหลือแค่โหระพา กับ พริกนี่อ่ะนะ จะให้กูกินเส้นขนมจีนกับพริกรึไง” ผมบ่นเป็นหมีกินผึ้งเพราะความหิว
สายตาสอดส่ายมองหาอะไรก็ได้ที่เป็นเนื้อเป็นหนังที่พอจะกินได้
“ตู้กับข้าวพวกบ่าว” เป้าหมายต่อไปที่ผมจะไปรื้อ คือตู้กับข้าวที่พวกบ่าวเก็บของกินที่เหลือๆไว้ ผมเปิดมันออกมาดูว่ามีอะไรกินได้บ้าง
“ปลาสลิด ปลาอินทรีย์เค็มทรงเครื่อง อืม แค่นี้ก็พอมั้ง” ของทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ปลาสลิด เส้นขนมจีน ผัก ปลาเค็ม และของแห้งอื่นๆถูกยกมาวางเรียงกับพื้นเรือนครัว เพื่อให้ผมใช้สมองอันน้อยนิดวิเคราะห์ดูว่า
“กูจะทำอะไรแดกดีวะ”
“เอ ปลาสลิดตัวโตน่ากินดีนะ เส้นขนมจีนก็เหลืออีกตั้งเยอะทิ้งไปก็คงเปรี้ยว โหระพา” ผมเด็ดใบมาขยี้ดมดู “อืม กลิ่นหอมกว่าโหระพาใบใหญ่ที่บ้านเสียอีก ปลาเค็ม แอ่ะ ไม่เอาดีกว่าเหม็นคาวไม่ปลื้มๆ”
นับว่าเป็นงานที่หนักเอาการ
“มีเส้น มีปลาสลิด รู้แล้ว เย้!!! สปาเก็ตตี้ปลาสลิด เจ้ย ไม่ใช่สิ ขนมจีนปลาสลิด อื้ม ฟังดูไม่เลว” ผมแม้มปากเอาจริงก่อนจะลงมือเตรียมของ
“ก่อนอื่นนะครับต้องทอดปลาสลิดก่อน แต่ว่าเนื่องจากว่าเราไม่มีน้ำมันเพราะยุคนี้เจริญมาก ไม่มีน้ำมันมะกอกใช้ เราจึงต้องใช้ไอ้นี่ แต้แด่มมมมมมมมมม” ผมชูมันหมูชิ้นสีขาวๆขนาดสีเหลี่ยมผืนผ้าขึ้นมา พลางเลียนแบบเชฟดังที่ทำอาหารโชว์ตามทีวีแก้เหงา
“ยางรองเท้าแตะ จ๊ากซ์ ไม่ใช่ มันหมูนั่นเอง” เล่นมุขเองตบเองเสร็จสรรพ
“กระทะร้อนแล้วนะครับตอนนี้ สังเกตุได้จากควันที่พุ่งขึ้นมา โยนมันหมูลงไปครับ อย่าให้เลยกระทะนะครับ ฉี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ได้ยินเสียมั๊ยครับ ร้อนจริงๆ มันหมูนี้ดี เจียวเสร็จสามารถเอากากไปผัดพริกขิงได้อีกด้วย เคยได้ยินเจ๊ชั้นขาโหดพูดให้ฟังนะครับ” ไม่วายจะไปกัดคุณชั้น
“ระหว่างที่รอให้น้ำมันพรายจากหมูตายทั้งกลมนี้ไหลออกมา เราก็มาจัดการกับผักเหล่านี้กันนะครับ” ผมหันขวับอย่างกระฉับกระเฉง แหมก็สนุกดีเหมือนกันนะนี่
“ขนมจีนปลาสลิดทอดของเราในวันนี้นะครับ เราจะใช้พริกแห้งนะครับ กับกระเทียม บุบแค่พอแหลก” ปั๊ง!!! ผมใช้มีดทุบกระเทียมไทยกลีบเล็กที่กลิ่นไม่เล็กเลย ตามด้วยหั่นพริกแห้งออกเป็นท่อนๆ และหันไปทุบพริกขี้หนูสวนเม็ดเล็กแต่โคตรพ่อโคตรแม่เผ็ด
“ใบโหระพาครับเด็ดแช่น้ำไว้ก่อนเลยจะได้ไม่เหี่ยว เอาหล่ะที่นี้เราก็มาดูกันว่า น้ำมันจากหมูตายทั้งกลมออกมาเยอะรึยัง สงสัยถ้าเชฟจะทอดเฟร้นฟรายกิน คงต้องโยนหมูทั้งคอกลงไปเจียวกว่าจะได้น้ำมันสักกะทะ แต่ก็ดีครับ จะได้ไม่เป็นไขมันในเส้นเลือดอุดตาย”
ผมใช้กระจ่าตักมันหมูที่ตอนนี้แฟบเหลือก้อนเท่านิ้วโป้ง ก่อนจะโยนปลาสลิดลงไปทอดเสียงดังฉ่า
“ร้านเขาร้านใหญ่ ขายเพียงไข่เจียว
รับทรัพย์ทุกวัน และรับรางวัล
เขาสอนนักเรียน เปิดเป็นโรงเรียน โรงเรียนสอนการเจียวไข่
แค่เพียงน้ำมันวางลงบนเตา รอไฟให้ร้อน
ฉันต้องรับต้องรับมา ปริญญาทางไข่เจียว
วางลงบนเตา รอไฟให้ร้อน
แม้สิ่งนั้นจะนิดเดียว เดียว เดียว เดียว เดียววววว”
ระหว่างที่รอให้ปลาสลิดสุกกรอบได้ที่ก็ไม่ให้เสียเวลา ร้องเพลงไข่เจียวของเฉลียงแก้เบื่อ
“เอาละครับ น่าจะได้แล้วครับ เราก็ตักขึ้นวางพักบนกระดาษซับมันซึ่งที่นี่ไม่มีครับ งั้นเราก็จะใช้ใบตองแทน รอให้เย็นแล้วก็ค่อยๆใช้มีดแซะเนื้อปลาออกจากก้างนะครับ แบบนี้”
มีดค่อยๆเฉือนเลาะเนื้อปลาสลิดที่เหลืองกรอบหอมน่ากินออกเป็นชั้นๆ จริงๆแค่ปลาสลิดทอดอย่างเดียวผมก็กินได้แล้ว แต่มันไม่มีข้าวสวยนี่สิเรื่องใหญ่
เมื่อเนื้อปลาถูกเลาะออกมาและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะประกอบร่างของขนมจีนปลาสลิดกรอบ อาหารฟิวชั่นฟู๊ดที่ผมคิดค้นขึ้นมาเองเสียที
ผมก้มหน้าก้มตาอยู่ที่เตาเสียนานจนลืมเงยหน้าขั้นไปมองเรือนใหญ่ ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่นั่นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่ช่างเหอะ จะไปสนใจทำไม อาหารมื้อใหญ่รออยู่ข้างหน้านี้แล้ว
ผมเอากระทะวางลงบนเตาถ่านอีกครั้ง การประกอบอาหารกับถ่านก็ได้อรรถรสไปอีกแบบ เพราะมันจะมีกลิ่นหอมของถ่านไม้บางๆ ไม่มีกลิ่นแก๊ส อีกอย่างอาหารที่ทำจากถ่านจะสุกระอุและดูน่ากินกว่า
เมื่อกระทะร้อนผมก็เอาน้ำมันหมูปาดกระทะไปแค่ปลายจวักเพื่อไม่ให้ติด จากนั้นใส่กระเทียมและพริกแห้งลงไปผัดเสียงดังฉ่า
“ฮัดชิ้ว” กลิ่นฉุนของพริกกับกระเทียมขึ้นจมูก แต่นี่แหละเสน่ห์ของอาหารไทยเขาหล่ะ
“ฮัดชิ้ว”
“ฮัดชิ้ว”
“ฮัดชิ้ว เอ็งทำบ้าอันใดของเอ็ง เจ้าบ้า”
ระหว่างที่ผมผัดพริกแห้งกับกระเทียมอยู่นั้น ก็มีเสียงจามของคนอื่นตามมาเป็นระยะ พร้อมเสียงด่าของป้าเมี้ยน
“แหม่ กลิ่นเด็ดขาดจริงๆ” ผมว่าพลางเอาปลาสลิดลงไปผัด
ตอนนี้กลิ่นฉุนของพริกแห้งกับกระเทียมค่อยๆจางไป เหลือแต่เพียงกลิ่นหอมอบอวลลอยฟุ้งทั่วเรือนเท่านั้น
ผมนั่งผัดไปผัดมาอย่างไม่รีบร้อน เพราะไฟก็ไม่ได้แรงอะไรมากมาย ระหว่างนั้นก็ทอดสายตามองไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเรือนใหญ่
“แหม ท่าทางจะมีแขกไม่ธรรมดามาเยี่ยม หนูวาดแต่งตัวซะสวยเชียว” ผมหันไปดูยายคนสวยของผมกำลังสนุกอยู่กับการช่วยยกสำหรับขึ้นบนเรือนอยู่ที่กระได ระหว่างนั้นก็หยิบเส้นขนมจีนลงไปคลุกเบาๆ
“น่ารักเหมือนกันนะนี่ยายเรา” ระหว่างที่ผมนั่งปลื้มยายตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ ผมก็เห็นเธอยื้อแย่งชามใส่บางอย่างจากบ่าวผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนเธอจะไม่เต็มใจให้หนูวาดช่วย
“ให้หนูวาดช่วย ช้อยขอให้หนูวาด” เสียงของเธอแหลมเล็กขึ้นมา
“ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณ ไม่ได้ มันร้อน ประเดี๋ยวจะลวกมือ” เธอส่ายหัวใหญ่
“ไม่ร้อนหรอก ช้อย หนูวาดถือได้ ให้หนูวาดยกไปเอง” แต่ยายผมก็ดื้อหัวชนฝาพยายามจะแย่งชามแกงนั้นมาให้ได้
“คุณวาดเจ้าขา ประเดี๋ยวมันหกนะเจ้าคะ ปล่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ทั้งสองยื้อหยุดฉุดกระชากอยู่ครู่ใหญ่
“เดี๋ยวก็ได้หกกันพอดี” ผมบ่น พลางโรยปลาสลิดทอดลงไปจากนั้นตามด้วยเกลือป่น พริกไทยป่นที่แม่ครัวเขาตำไว้ แล้วหยิบมาชิมเส้นนึง
“เอ ยังขาดเค็ม” ผมพบว่ารสชาติมันยังขาดรสเค็มที่ไม่ใช่เค็มของเกลือ แล้วมันคืออะไรกันนะ
“อ้อ รู้แล้ว” ผมรีบกระโดดขึ้นเรือนไปหยิบปลาอินทรีย์เค็มทรงเครื่องมาโรยคลุกรวมลงไป
“อืม รสชาติกำลังดีเลย อร่อยแล้ว” เมื่อเห็นว่าขนมจีนปลาสลิดกรอบของผมรสชาติกลมกล่อมกำลังดีแล้ว จึงขยุ้มใบโหระพาโรยลงไป แล้วตักขึ้น
และแล้วสิ่งที่ผมนึกกลัวก็เกิดขึ้น
เพล้ง!!!
“ว้าย คุณวาด” เสียงบ่าวกรีดร้องขึ้นมา ผมเองก็พาลตกใจไปด้วย ชามที่ทั้งคู่ยื้อยุดกันอยู่เมื่อครู่หล่นลงแตก ทำให้แกงหกเรี่ยราด
คุณชั้นได้ยินเสียงกรีดร้องนั้น รีบเดินลงมาดู และพบว่าหนูวาดยืนตัวสั่นหน้าซีด
ชามกระเบื้องลายครามที่เคยสวยงาม บัดนี้ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆกองอยู่ข้างบันได ข้างๆกันนั้นมีบ่าวผู้หญิงนั่งคุดคู้ก้มหน้าตาสั่นด้วยกลัวอาญา หนูวาดเองนั้นก็ไม่ต่างจากบ่าวสักเท่าไหร่
ผมลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจเช่นกัน คิดว่าคุณชั้นคงฟาดหนูวาดไม่ยั้งเหมือนที่แม่ผมเคยทำ แต่เธอกลับไม่ทำอย่างนั้น เธอมองหนูวาดแค่เพียงสายตา แค่นั้นก็ทำให้หนูวาดถึงกับร้องไห้โฮออกมาแล้ว คุณชั้นชี้นิ้วขึ้นไปบนเรือนเหมือนจะบอกให้หนูวาดเข้าไปอยู่แต่ในห้อง ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านอีก
“เข้าไปในห้อง ป้าจักจัดการเจ้าที่หลัง แม่วาด” น้ำเสียงแข็งกร้าวน่ากริ่งเกรงนั้น ทำให้หนูวาดเดินคอตกขึ้นเรือนไป
“แย่แล้ว แย่แล้ว” เสียงป้าแม้นวิ่งโครมๆมาที่เรือนครัว
ผมนั้นกำลังจัดจานไว้อย่างสวยงามเพื่อจะได้กินกับข้าวที่ตัวเองทำ หมายมั่นปั้นมือว่าจะได้ชิมกับข้าวที่แทนสปาเก็ตตี้ปลาสลิดของโปรดสักที แต่ยังไม่ทันจะเอาเข้าปาก
“เจ้าบ้า หลีกไปๆ” ป้าแม้นแทบจะกระโดดขี่คอผมอย่างเร่งรีบ ผ้าถุงผ้าแถบกระเจิดกระเจิง ควานหาบางอย่างในครัวจ้าละวั่น
“หาอะไรป้า” ผมถาม
“หาสำรับเหลือๆนะสิวะ ไอ้บ้า คุณวาดเธอทำแกงเขียวหวานเนื้อที่ไว้รับแขกหล่นแตก เรื่องใหญ่เลยล่ะเอ็งเอ้ย ไม่มีสำรับรับแขกน่ะ” แกเลิกลักตอบไม่มองหน้าผม ยังคงตั้งหน้าตั้งตารื้อถ้วยชามข้าวของออกมาจากตู้กับข้าว
“เอ็งเห็นผักปลา ในนี้บ้างมั๊ยวะ” แกหันไปบ้วนน้ำหมาก
ตายห่าแล้วกู ซวยแล้วมั๊ยหล่ะ เอาของเขามาทำกินหมดแล้ว
“ของอะไรป้า” ผมเฉไฉทำเสียงสูง
“ก็ปลาสลิด ปลาเค็ม ไหนจะผัก จะหญ้าในนี้ไงวะ เห็นรึเปล่า”
“อ้อ” ผมทำท่าเพิ่งนึกขึ้นได้ รู้อยู่เต็มออกว่าตัวเองไปเอาของเขามา “ปลาสลิดนี้เหรอ” ผมชี้ไปที่ปลาสลิดที่นอนนิ่งเหลือแต่ก้าง “ชั้นเอาไปทำกับข้าวเสียแล้ว ก็ ก็ป้าบอกว่าให้หากินเอาเอง”
“ตายละวา อกอีกแป้นจะแตก แล้วข้าจะเอาที่ไหนมาทำสำรับรับแขกละนี่ โธ่ อีแม้นเอ้ย” แกเดินกระสับกระส่ายไปมา พลันสายตาเหลือบไปเห็นขนมจีนปลาสลิดทอดของผม
“นี่อันใด” ป้าแม้นส่งสายตาไม่ไว้วางใจ
“อย่านะป้า ของชั้น” ผมไม่ยอมแพ้ ส่งสายตาขู่กลับ แต่ไม่เป็นผล แกยกชามอาหารเช้าผมขึ้นมา
“เอานี่แหละว่ะ ข้าขอก่อนแล้วกันนะเจ้าบ้า” ว่าแล้วแกก็ฉวยชามวิ่งหน้าตั้งโดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของผม
“ป้าแม้น จะเอาไปไหน นั่นมันของชั้น เอาไปไม่ได้นะป้า” ผมวิ่งตามไปติดๆ จะเอาไปได้ยังไง จะเอาอาหารจานนั้นไปรับแขกได้ยังไง นั่นมันผมทำกินเล่นๆ