A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1117367 ครั้ง)

แสนเสน่หา

  • บุคคลทั่วไป
เจ้าแดง... :m15:

แล้วทำไมพ่ออัชย์ไม่อยู่ฟังหมอปียืบอกรัก :z3:

ออฟไลน์ SecondaryTrauma

  • Today is a gift, that is why call ... "The Present"
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อ่านตอนนี้แล้วให้ความรู้สึกหดหู่สะท้อนในใจ จนต้องกลับมานึกคิดถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ มีเพื่อตัวเองหรือเพื่อใคร อย่างกรณีของเจ้าแดง ที่ต้องอยู่ต้องสู้กับโรคร้ายในกายและโรคร้ายจากสังคม (รังเกียจ) แล้วต้องมาจากไปทั้งที่พบเจอความสุขไม่กี่ครั้ง

แต่จากเหตุการณ์นี้คงทำให้อัชย์ (ตลอดจนผู้อ่านคนอื่นๆ) ฉุกคิดขึ้นมาได้บ้างว่า เวลาชีวิตมีค่าและสำคัญทุกวินาที มีอะไรต้องยังต้องทำหรืออยากทำก็ให้รีบเร่งทำ อย่ารีรอคอยท่า เพราะเวลาและโอกาสไม่เคยรอใคร

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
แดงน่าสงสารรร ในที่สุดก็ จากไปจนได้้  โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

สงสารแดง

หมอปีย์ก็น่าสงสาร เจ้า้บ้า นะเจ้าบ้า  มาปอดแหกหนีตอนสำคัญพอดี -*- 


lovevva

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12

cotone

  • บุคคลทั่วไป
สงสารเจ้าแดง เฮ้อ ถึงยังไงก็ต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักวันสินะ

ว่าแต่...บอกจะตั้งใจฟัง ง้ันก็อย่าหนีสิเจ้าบ้า!

kraiwit

  • บุคคลทั่วไป
ร้องไห้ตามเลย เขียนสะเทือนอารมณ์มาก ตอนแดงพูด ขี่ช้างๆอ่ะ ร้องเลย หมอปรีย์สู้ๆ

sunshadow

  • บุคคลทั่วไป



   ง่า. . . T T
   จากไปอย่างงี้เลยเหรอ





ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ YANIZAxx™

  • มิได้ประมา ท ..แต่เห นือความคาดหมา ย !
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
น้ำตาไหลเลยอ่ะตอนนี้ TT

ออฟไลน์ jimmyFG

  • Ich Liebe dich.
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +203/-4
    • @Facebook
คนเรามีมา ก็มีจากไป
นี่และหนาคนเรา สังขารไม่เที่ยงจริงๆ
 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4

ออฟไลน์ LittlePrince

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บรรยายความรู้สึกได้ถึงมากๆเลยครับทั้งตอนหวานและตอนเศร้า

เจ้าชายแกงจืด

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมคราวนี้ คุณ เซงเป็ด หายไปนานจังคับ

คิดถึงแล้ว เพราะไม่ได้อ่านเรื่องอื่นเลย รออยู่เรื่องเดียว  :z2: :z2: :z13: :z13:

ออฟไลน์ celegana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สงสารเจ้าแดงมากเลยค่ะ ถึงแม้ว่าจะทำใจไว้แล้วว่ายังไงซักวันเจ้าแดงก็ต้องตาย

แต่พอเอาเข้าจริงๆ คนเขียนเขียนตอนนี้ได้ดีมากเลยค่ะ ทำให้เราหดหู่ตามไปด้วย

กลับมาอัพไวๆนะคะ ^^



 \ me วิ่งออกไปร้องไห้ต่อ :o12:[/me]

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2

 ร่องรอยน้ำตายังคงไหลอาบแก้มแม้ผมจะหยุดร้องไห้ไปนานแล้ว แต่มันเหมือนกับน้ำตาเหล่านั้นมันไหลออกมาเฉยๆความเจ็บปวดที่ได้เห็นเด็กตายไปต่อหน้าต่อตานั้น มันยากที่จะบรรยาย ผมพร่ำคิดอยู่แต่ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันคือเรื่องจริงนะหรือ
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของแดง
เสียงร้องเรียก “แม่” อย่างสุดเสียง
แววตาที่เบิกโพรงก่อนจะสิ้นใจไปนั้น
ภาพเหล่านั้นตามหลอกหลอนผมอยู่ตลอดเวลา
“นอนพักผ่อนเถิดพ่ออัชย์ เจ้าแดงมันหมดเวรหมดกรรมแล้ว”
 

หมอปีย์นั่งอยู่ใกล้ๆเตียงที่ผมนอนด้วยความเป็นห่วง เขาจัดแจงล้างเนื้อล้างตัวให้ผม ก่อนจะใช้สมุนไพรบางอย่างทาฆ่าเชื้อ ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรกับผมบ้าง เพราะผมนอนนิ่งคล้ายกับคนที่สติเลอะเลือน ตาที่เบิกโพรงมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ในหัวสมองว่างเปล่า ใครไม่ได้มาเห็นคนที่เรารักตายไปต่อหน้าต่อตาย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นเป็นแน่ แดงตายในอ้อมกอดของผม เขาหลับใหลไปตลอดกาลในอ้อมกอดของผม
“เจ้าแดงมันอาจจักไปรอเจ้าอยู่ที่ภพหน้าก็ได้นะ  ทำใจให้สบายเถิด” หมอปีย์กำมือผมด้วยมือทั้งสองข้างของเขา

แต่ความร้าวลึกในใจนั้น ไม่อาจจางหายได้ด้วยคำปลอบใจเพียงสองสามคำ ถึงมันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้ แต่ก็เพียงชั่วครู่
ในขณะที่ผมนอนสติหลุดลอยอยู่นั่นเอง ในใจของผมพลันคิดถึงวันเวลาของภพปัจจุบันขึ้นมา ผมหลับตาและนึกถึงสภาพบ้านที่เคยอยู่ หน้าบ้านเป็นรั้วเหล็กฉลุเป็นลายเถาวัลย์ ประตูทางเข้าบ้านที่ลาดด้วยคอนกรีต สองข้างทางนั้นปลูกต้นพญาสัตบรรณเรียงรายตลอดแนว ผมนึกภาพตัวเองกำลังเดินอยู่บนสนามหญ้า เห็นโรงครัวอยู่ตรงนั้น ผมเดินไปยังโรงครัว
เปิดประตูครัว พบข้าวของที่วางไว้เหมือนเดิม เมื่อหันไปขวามือ ผมก็เจอนาฬิกาลูกตุ้มโบราณตั้งอยู่ที่เดิม

“ฮ่า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ผมสูดหายใจอย่างแรงจนหน้าอกแอ่นขึ้น รู้สึกเหมือนร่างถูกกระชากลงมาจากที่สูงด้วยความเร็วจนหายใจแทบไม่ทัน ท้องน้อยเสียวแปลบ รู้สึกคลื่นไส้และอยากจะอาเจียน

และเมื่อลืมตาขึ้น ผมก็พบตัวเองนอนแผหราอยู่ในโรงครัวเรือนคุณชั้น ไม่สิ ไม่ใช่เรือนคุณชั้นที่นี่มันบ้านของผมนี่
ผมกลับมาบ้านเหรอนี่
ด้วยความงุนงง ผมนอนแน่นิ่งตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง เหลือบตามองลอดผ่านช่องไม้เล็กๆเห็นรถพ่อจอดอยู่ ข้างๆกันนั้นมีคนงานกำลังเล็มต้นไม้ ผมหันกลับมา ตั้งสติอีกครั้ง แต่ก็เพียงครู่เดียว เพราะหลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกชื่อผม
“พ่ออัชย์ พ่ออัชย์” ผมเงี่ยหูฟังและรับรู้ได้ทันทีว่านั่นมันเสียงหมอปีย์นี่

“เจ้าอยู่ไหนน่ะพ่อ”
หมอปีย์เรียกชื่อผม
“กลับมาหาเราเถิดพ่ออัชย์”
เขาพูด
สิ้นเสียงเพรียกของเขา ร่างของผมก็ถูกกระชากอย่างแรงอีกครั้งด้วยมือที่อุ่นไอ
,
.
.
.
“พ่ออัชย์”
ร่างของผมปรากฏขึ้นอีกครั้งที่เตียงนอนเรือนหมอปีย์ นี่มันอะไรกัน
ด้วยอำนาจอันใด หมอปีย์ถึงสามารถดึงผมข้ามภพกลับมาได้
ผมลืมตาขึ้นหันไปมองเขา ก่อนที่เขาจะโผเข้ากอดผมแน่น
“อัชย์ เจ้าอย่าทิ้งเราไปเยี่ยงนี้อีก นี่คือคำสั่ง” เขาพูดน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนที่สติผมจะขาดผึงและหมดสติไปในอ้อมกอดของหมอปีย์






๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑



หลังจากวันนั้น อาการผมก็ยังคงทรงๆ ไม่ร่าเริงเหมือนก่อน การจะพูดอะไรสักคำสำหรับตอนนั้นมันยากลำบากจริงๆ ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงตัวเอง ผมจะรู้สึกเหมือนว่าเหตุการณ์วันนั้นมันไม่ใช่ฝัน มันคือความจริง

ศพของแดงถูกเผาอย่างลวกๆเหมือนศพของผู้ป่วยคนอื่น ไม่มีการสวดบำเพ็ญกุศลใดๆทั้งสิ้น หมอปีย์เกรงว่าชาวบ้านแถวนั้นจะรู้เข้าและจะเอาไปฟ้องหลวง
เขาทำเพียงแค่พาผมไปวัด ทำบุญอุทิศส่วนกุศล และเอากระดูกของแดงไปลอยอังคาร นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าการสูญเสียนั้น มันเจ็บปวดแค่ไหน
 แต่ถึงประสบการณ์วันนั้นมันจะเลวร้าย แต่ผมก็ได้หมอปีย์ที่คอยปรับเปลี่ยนมุมมองความคิดที่เฝ้าคิดแต่มุมร้ายๆให้เห็นว่าในมุมที่เจ็บปวดนั้น ผมก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง
“ความตายมิใช่จุดสิ้นสุดของความทรงจำ แต่เป็นจุดสิ้นสุดของเวรกรรมต่างหาก”
“ไม่มีอะไรเจ็บปวดไปมากกกว่าการเห็นคนที่เรารักจากไป แต่ถ้าหากเรามัวแต่ติดภาพความเจ็บปวดช่วงสุดท้ายของชีวิตผู้ที่เรารักนั้น  เราจักหลงลืมช่วงเวลาที่ดีที่เราเคยมีให้กันในที่สุด”
“ไม่มีใครสั่งห้ามมิให้เจ้าหลั่งน้ำตา  ตัวเจ้าเองเท่านั้น  ที่จะรู้ว่า  เมื่อไหร่น้ำตาที่ไหลถึงจะสาสมกับความเศร้าใจที่เจ้ามี”
“หากแดงไม่จากไปในวันนั้น  เราก็คงยังคิดว่าเจ้ายังเป็นเจ้าบ้าที่ไร้หัวใจ.............เช่นเดิม”













ผมผ่ายผอมลงไปมาก เพราะกินอะไรไม่ค่อยลง ภาพของแดงยังฝังแน่นในมโนจิต ทุกครั้งที่หลับตาผมจะเห็นภาพแดง นั่งเล่นอยู่คนเดียวใต้ร่มกอไผ่ แต่พอจะเดินเข้าไปหา เขากลับตาเหลือกและล้มหงายหลัง  เลือดออก และร้องอย่างทรมาน
เป็นภาพอย่างนี้อยู่ร่ำไป

หมอปีย์พยายามที่จะมาดูแลผมให้บ่อยขึ้น แต่เขาก็ทำได้ไม่มากนักเพราะต้องวุ่นอยู่กับผู้ป่วยชาวบ้านคนอื่นที่ที่มักจะมาหาหมอไม่ขาดสาย เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงอากาศเปลี่ยน ผู้คนล้มป่วยได้ไข้กันมาก ไหนจะต้องเทียวไปหาไปเยี่ยมคู่หมั้นที่เรือนคุณชั้นอีก เวลาจะคอยมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของผมจึงน้อยลง

“อัชย์” เขาเดินมาหาผมขณะที่ผมนอนหลับตาอยู่อย่างสงบ
“นี่ก็ผ่านไปหลายเพลาแล้ว เจ้ามิดีขึ้นเลยหรือ” เขานั่งลงใกล้ๆ เอามือมาแตะที่หน้าผาก
“ผ่านไปกี่วันแล้วหล่ะ” ผมพยุงตัวเองขึ้นนั่ง ไม่รู้วันรู้คืน
“เกือบจักอาทิตย์นึงแล้ว เจ้าน่าจะทำใจได้แล้ว แดงมันไป.............”
“พอเถอะหมอ ชั้นรู้แล้ว ว่าแดงไปสบายแล้ว แต่ชั้นลืมมันไม่ได้ เข้าใจมั๊ย ชั้นพยายามแล้ว แต่ภาพวันนั้นมันติดอยู่ในหัวชั้น มันเอาไม่ออก” ผมขยี้ผมไปมาอย่างแรง จนหมอปีย์ต้องจับมือให้หยุด
“เอาเถิด เราเข้าใจ ทานยาแล้วพักผ่อนเถิด ไว้เราจักมาเยี่ยมเจ้าใหม่”







หลังจากที่หมอนั่นคล้อยหลังออกจากห้องไป ผมก็ไหลตัวเองลงไปนอนต่ออย่างไร้เรี่ยวแรง หันหลังให้ประตู หันหน้าออกหน้าต่าง มองออกไปสุดสายตา เห็นท้องฟ้าสีคราม ไร้วี่แววของก้อนเมฆ  เสียงนกกางเขนบ้านตัวผู้ร้องเกี้ยวตัวเมียคลอไปพร้อมกับเสียงลมพัดใบมะม่วงริมห้องไหวๆ กิ้งก่าสีสันจัดจ้านแผงคอสีฟ้า หัวสีแดงสด กำลังผงกหัวทักทายคู่ของมัน

ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะค่อยๆปิดตาลง

“แดงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

“พ่ออัชย์ ตื่นเถิด” เสียงของหมอปีย์ปลุกผมตื่นขึ้นมาจากผวังค์อีกครั้งในตอนเย็น ผมลืมตาขึ้นมองภาพใบหน้าของหมอนั่นเลือนลาง และค่อยๆชัดขึ้น
“อืม ว่าไงหมอ ชั้นหลับไปอีกแล้วเหรอ” ผมงัวเงีย
“ใช่ สงสัยเพราะฤทธิ์ยา ยาหมอฝรั่งนี้มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอนเยี่ยงนี้แหละ”
“แต่ก็ขอบใจมันนะ ที่ทำให้ชั้นหลับลงได้” ผมยิ้ม
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ค่อยๆลุก ประเดี๋ยวจะล้มคว่ำเอา” เขาค่อยๆผยุงผมให้นั่งตรง
“ปวดหัวตุบๆเลยว่ะหมอ หนักเหมือนมีคนเอาก้อนหินมาวางทับ”
“ก็เจ้านอนเสียตั้งแต่เช้ายันค่ำ มันก็เป็นเยี่ยงนี้แหละ มิลองออกไปเดินข้างนอกรับลมหนาวบ้างรึ”
ผมส่ายหัว
“งั้นเราจักให้บ่าวยกสำรับมาให้เจ้าในห้องนะ”
“ไม่ต้องหรอกหมอ ชั้นจะไปกินกับหมอข้างนอก หลายวันแล้วที่เราไม่ได้กินข้าวด้วยกัน” ผมยันตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก แต่เมื่อยืนสำเร็จแล้วหันไปมองหน้าหมอปีย์ กลับพบว่าเขาหน้าแดงก่ำ
“เป็นอะไรไปหมอ” ผมถามด้วยความสงสัย “หน้าแดงไม่สบายติดไข้ชั้นรึป่าว”
“เปล่าดอก เปล่า” เขารีบส่ายหัว แต่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่พยายามจะกลบเกลื่อน









สำรับกับข้าวถูกจัดวางรอท่าไว้ก่อนแล้ว เมื่อหมอปีย์มาถึงเขาจึงสั่งให้เพิ่มอีกที่สำหรับผม
กับข้าวมื้อนั้นเป็นอาหารของคนป่วยเสียส่วนใหญ่
มะระผัดไข่ ที่หมอปีย์บอกว่าสรรพคุณไล่ลมดีนัก
แกงเลียงสายบัวที่หอมกลิ่นใบแมงลัก  กลิ่นเผ็ดร้อนเป็นเอกลักษณ์ของพริกไทยดำ ที่หมอปีย์บอกว่าทานแล้วจมูกโล่งดี
อีกทั้งสายบัวอวบๆที่บ่าวอาสาลงไปถอนมาจากลำคลองฝั่งตรงข้ามนั้น ก็ดูน่ากิน
อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือน้ำพริกกะปิ ที่จัดวางมาอย่างสวยงาม โดยมีผักเคียงมากมายหาได้ริมรั้ว
“พอดีมีชาวบ้านเอากะปิดีจากเมืองแกรงมาฝาก เราเห็นว่าหอมดี เลยให้บ่าวตำน้ำพริก ”
ผักที่จัดวางข้างๆมี ยอดผักบุ้งที่ขึ้นริมคลอง ดอกผักตบชวา ยอดกระถิน ผักกูดลวก ดอกแค ดอกขจรลวก ที่เป็นหัวๆก็มีขมิ้นขาว หน่อไม้ต้ม หัวปรีต้มกะทิ ชะอมชุบไข่ทอด และที่ขาดไม่ได้คือ ปลาช่อนย่างเกลือ
“โห หมอ น่ากินจังเลย ชั้นรู้สึกหิวขึ้นมาเลยอ่ะ” ผมน้ำลายไหล
“เจ้าคงเบื่ออาหารคนป่วยเสียกระมัง หลายวันมานี้กินแต่ข้าวต้มข้าวแฉะ วันนี้ลองกินอาหารคนไม่ป่วยเสียงบ้าง เผื่อจะได้เจริญอาหาร” เขายิ้ม “อ้อ แต่ทานแค่น้อยๆก่อนนะพ่อ ทานมากไปเดี๋ยวท้องไส้จะลำบาก” เขาหัวเราะ
“ชั้นนี่แย่มากเลยนะ ต้องเป็นภาระให้นายดูแลอยู่ตลอด” ผมบ่นเซ็งตัวเอง
“อย่ากังวลให้มากไปเลย ที่เราดูแลเจ้า เพราะเราเต็มใจ อีกอย่าง หากวันหนึ่งวันใดเราได้ไข้ได้ป่วยขึ้นมา ก็หวังจักให้เจ้านี่หล่ะ ดูแลเราบ้าง” เขายิ้มแววตาเป็นประกาย
“แหม หมอ นี่มันหวังผลชัดๆ เออๆ ไว้นายป่วยลุกไม่ขึ้นเหอะ ชั้นจะดูแลอย่างดีเลย สัญญา” ผมหัวเราะขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน

บ่าวจัดแจงตักข้าวใส่จาน วันนี้หมอปีย์ ไม่ใช่ช้อนตามแบบฝรั่ง เขาให้เหตุผลว่า กินอาหารแบบนี้ จะให้ใช้ช้อนใช้ส้อมมันไม่ถึงใจ ของแบบนี้จะกินต้องใช้มือเปิบเท่านั้น
“เจ้าจักใช้ช้อนก็ได้นะ” เขาทักขึ้นเมื่อเห็นผมเก้เก้กังกังหยิบข้าวในจานด้วยนิ้ว
“มา ประเดี๋ยวเราจักสอนให้  ค่อยๆปั้นข้าวด้วยปลายนิ้ว อย่าให้ข้าวร่วงพรูลงมาเมื่อใส่ปาก ข้าวจักเปื้อนข้อนิ้วมือได้ข้อเดียวเท่านั้น” ผมทำตามหมอปีย์อย่างแข็งขัน ค่อยๆใช้ปลายนิ้วบีบข้าวให้เป็นคำ
“ตักกับใส่จานแต่พอคำ กินข้าวก่อนแล้วตามด้วยกับ อย่าให้ปากจานเลอะเทอะ ค่อยๆตะล่อมให้เม็ดข้าวไม่เลอะปากจาน ก้างปลา หรือเศษอาหารวางไว้ที่ขอบจานให้เรียบร้อย  เวลากินก็ให้แบ่งกินข้าวเป็นส่วนๆ อย่าให้เลอะเทอะดูไม่งามเป็นกุลีข้างถนน ต้องหมั่นเกลี่ยให้เรียบร้อย แล้วเวลาซดน้ำแกงก็ต้องค่อยๆ ไม่ซดโฮกๆ”

ผมนั่งยิ้มมองหมอนั่นสอนไป ดูเขาตั้งใจจะสอน แต่ขณะเดียวกันก็เอร็ดอร่อยกับกับข้าวมื้อนี้มาก คงเป็นเพราะวันนี้หมอปีย์ยุ่งทั่งวัน เลยไม่มีเวลากินข้าวเลย
“อันนี้อะไรเหรอหมอ” ผมหยิบหัวปรีต้มกะทิขึ้นมา
“หัวปรีต้มกะทิน่ะ พ่อ บ่าวมันไปตัดหัวปรีหลังเรือนมา เห็นว่ากล้วยออกหลายเครือ จะทิ้งไปก็เสียดาย ของกินได้ทั้งนั้น หลวงเจอราร์ทท่านไม่อยู่ อะไรที่พอจักช่วยกันประหยัดได้ก็ต้องประหยัด หัวปรีพวกนี้จะกินสดก็อร่อยดี แต่เรามิใคร่จะชอบเพราะกินแล้วฝืดคอ ลวกเสียหน่อยก็อร่อยขึ้นโข บ่าวมันเห็นว่าใส่กะทิแล้วตัดด้วยเกลือหน่อยเค็มปะแหล่มๆ อร่อยกว่าก็เลยทำมาให้ลองชิมกัน ติดใจ ทุกคราที่หัวปรีออกเราก็เลยสั่งให้บ่าวต้มกะทิมาให้ทุกคราไป” เขาเล่าไปพลางหัวเราะไปพลางอย่างมีความสุข ผมนั่งฟังเขาเล่าก็มีความสุขไปด้วย
“ถ้าไม่ใช้หัวปรี จักใช้เป็นผักอย่างอื่นก็ได้ ยอดเลียบต้มกะทิก็อร่อย” เขาว่าพลางหยิกเนื้อปลาช่อนที่ยังคงร้อนระอุ ควันลอยกรุ่นใส่จานให้ผม
“ลองกินแกล้มกับหัวปรีต้มกะทิสิ เข้ากันดีนัก”
ผมตักหัวปรีมาใส่จานก่อนจะค่อยๆใช้นิ้วมือตะล่อมๆข้าวสวยและบีบจนเป็นก้อน ส่งเข้าปากแล้วเคี้ยว
รสสัมผัสแรกที่ติดปลายลิ้นนั่นก็คือรสนุ่มละมุนของกะทิที่ข้นกำลังดี ตัดกับรสเค็มปะแล่มๆ อีกทั้งปลาช่อนย่างเกลือที่เนื้อแน่นหวาน ทานเข้าด้วยกันแล้วทำให้ผมเจริญอาหารขึ้นมากทีเดียว
“ทานเยอะๆนะพ่อ จักได้มีแรง หมู่นี้เจ้าซูบลงไปมาก คงมัวแต่คิดเรื่องแดง” เขาว่าพลางจุ่มนิ้วลงในชามกระเบื้องที่ใส่น้ำเปล่าไว้ข้างๆเพื่อล้างมือ ผมเห็นดังนั้นจึงทำตาม
“มันหลายอารมณ์ว่ะ คิดถึง ใจหาย ตกใจ กลัว มันปนกันไปหมด นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตา” ผมอธิบายก่อนจะเอื้อมไปหยิบชะอมทอดราดด้วยน้ำพริก
“กระนั้นรึ นับว่าเจ้าโชคดี” เขาบอก “เราเห็นคนตายมานักต่อนักแล้ว เลยพอทำใจให้แข็งได้บ้าง แต่กระนั้นก็เถอะ ทุกครั้งที่เห็นใครจากไป ก็อดเสียใจไม่ได้ ครั้งแรกที่เราเห็นคนตาย.................”เขาหยุดกลืนข้าวลงคอ
“ก็ตอนพ่อเราพาไปดูพิธีประหารนักโทษ” หมอปีย์หยิกปลาส่งให้ผม “ตามกฏมณเทียรบาลผู้ใดฆ่าผู้อื่นให้ถึงแก่ความตาย ผู้นั้น ต้องรับโทษให้ตายตกไปตามกัน”
“ยังไงเหรอ” ผมตั้งใจฟัง
“หากเจ้าฆ่าคน เจ้าก็ต้องโดนประหาร แม้เจ้าจักรับผิดก็ต้องถูกประหาร มิมียกเว้น”
“ถ้าหากชั้นไม่รับหล่ะ”
“ก็ต้องถูกเฆี่ยนจนกว่าจะยอมรับ แล้วจึงจะประหาร”
“อ่าว แล้วถ้ายอมรับหล่ะ”
“ก็ไม่ต้องถูกเฆี่ยนให้เจ็บหลัง ประหารเสียเลย”
“อ่าว อะไรวะ ไม่ให้อุธรณ์อะไรกันเลยเหรอ” ผมบ่น
“กฎมณเทียรบาลนี้โทษหนักนัก ผู้คนจึงเกรงกลัวมิกล้าทำบาป”
“อืม มันก็จริงนะ นายรู้หรือป่าวว่าสมัยชั้นน่ะ” ผมเงยหน้ามองหมอปีย์ เพราะนึกขึ้นได้ว่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดไป
“เอ่อ บ้านเมืองชั้นน่ะ ขนาดฆ่าคนมากมาย มีหลักฐานพร้อมนะ ถ้ารับผิดนะก็ลดโทษ บางทีก็กึ่งหนึ่ง จากประหารก็จำคุกตลอดชีวิต จากจำคุกตลอดชีวิตก็ลดเหลือ 20 ปี บางครั้งวันพิเศษๆเขาก็ลดโทษให้ ทำตัวดีเขาก็ลดโทษให้  ผู้ร้ายบางคนนะ เข้าออกคุกเป็นว่าเล่นเลย”
“แล้วผู้ใดจักไปเกรงกลัวกฎหมายกันเล่า” หมอปีย์ทำท่าตกใจ
“เอ ไม่รู้สิ ไม่มีมั้ง ก็เห็นทำผิดกันโครมๆ อยู่ในคุกนะ สบายจะตาย อยู่ฟรีกินฟรี บางคนนะ มีอาชีพรับจ้างติดคุกก็มีเล้ย” ผมติดลมพร่ามไปเรื่อย
“แล้วสมัยเจ้า เอ่อ เราหมายถึง”  หมอปีย์พูดแปลกๆ “บ้านเมืองเจ้ามีโทษประหารตัดหัวเสียบประจานหรือไม่” เขาทำหน้าสงสัย
“โอ้ย ไม่มีหรอก ขืนมีสิ พวกนักสิทธิมนุษยชนเล่นงานตายพอดี”
“ผู้ใดคือนักสิดทิบรรพชน” มันถาม
“เขาเรียกนักสิทธิมนุษยชน พวกนี้ก็พวกที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันประมาณนั่นแหละ”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า เรามิรู้ความ”
“เออ กูก็งงเหมือนกัน แหม กูก็ใช่จะคนเก่งซะที่ไหนเล่า  แล้วไหนนายเล่าว่าเคยเห็นคนถูกประหาร เป็นไงเหรอ” ผมสั่งให้บ่าวตักข้าวเพิ่มอีกสองทัพพีใหญ่ๆ
“อ๋อ ครั้งนั้นพ่อพาเราไปดูนักโทษฆ่าเมียตนเอง เราจำได้ว่าเขาฆ่าเมียเหตุเพราะเมียเล่นชู้กับเกลอ เขาจึงฆ่าเสียให้ตายตกไปทั้งคู่ ทางการจับตัวมาไต่สวน และรับสารภาพผิด เขาจึงไม่ถูกเฆี่ยนแต่โทษคือตัดหัวเสียบประจานวันนั้นพ่อพาเราขี่คอไปที่ลานวัดโคก ชาวบ้านมุงดูกันล้น เพชฌฆาตดื่มเหล้าย้อมใจ โดยมีนักโทษนั่งเหยียดขา หลังพิงหลักประหาร มือเท้าถูกมัดอย่างแน่นหนา ที่มือนั้น ถือดอกบัวและธูปเทียน มีดินเหนียวอุดหูไว้แน่น มิให้วอกแวก ถาหากนักโทษวอกแวกเหลียวหลังกลับมา เพชฌฆาตอาจฟันไม่โดน หรือฟันโดนแต่คอมิขาด”
ผมนั่งฟังกลืนน้ำลายเฮือก ตื่นเต้นไปด้วย
“เราจำได้ว่าวันนั้นชาวบ้านมากันมืดฟ้ามัวดิน บ้างปีนต้นโพธิ์ดู บ้างขี่คอกันดู บางคนจับจองที่นั่งเอาสำรับกับข้าวมากินพร้อมสรรพ  เมื่อถึงเวลา เพชฌฆาตรำดาบ และง้างดาบไปที่คอนักโทษเป็นระยะ ผู้คนก็ร้องหวีดลั่นลาน แต่นักโทษนั้นนั่งนิ่งมิไหวติง เราบีบหูพ่อแน่นด้วยความกลัว แต่อีกใจก็กระหายอยากรู้ พอถึงเวลาปี่พาทย์หยุด เพชฌฆาตก็ง้างดาบแลฟันฉับเดียวคอนักโทษขาดกระเด็นเลือดสาดพุ่งราวกับสายน้ำ”
มาถึงตรงนี้ผมอ้าปากค้าง ข้าวที่อยู่ในมือหล่นแหมะลงบนจาน
"คนที่อยู่บนต้นโพธิ์หล่นร่วงลงมาแข้งขาหัก คนที่เอาสำรับมากินต่างก็เทข้าวทิ้งกินมิลง  จากนั้นหลวงก็ให้นำหัวนักโทษผู้นั้นเสียบประจานเจ็ดวันเจ็ดคืนมิให้ชาวบ้านเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ชาวบ้านเห็นก็กลัวกันนัก มิกล้าจะทำผิด”
เขาพูดจบก่อนจะตักแกงเลียงใส่จาน ตามด้วยมะระผัดไข่ หน้าตาเฉยมากกกกกกกกก
“อ้าว อิ่มแล้วรึ พ่ออัชย์” เขาเงยหน้ามาถามผมขณะที่กำลังเคี้ยวข้าว ยังอุตส่าห์มีน้ำใจถาม  ไม่ได้อิ่มเว้ย แต่แมร่งใครจะแดกลง
“อ๋อ เอ่อ อิ่มแล้ว อิ่มมากด้วย แหะๆ” ผมยิ้มแหย มองสำรับกับข้าววันนี้อย่างเสียดาย แต่จะให้กินต่อนั้นก็กินไม่ลงเสียแล้ว



“อ่ำ ไปยกผลหมากรากไม้มา” หมอปีย์หันไปสั่งนังอ่ำ เขากินข้าวต่ออีกสองสามคำ ก่อนจะล้างมือในชามกระเบื้อง
“วันนี้ชาวบ้านเอาส้มมาให้ เราเห็นเจ้ามิสบาย กินส้มอาจช่วยให้หายกระอักกระอ่วน” เขาว่า
“พ่ออัชย์” หมอปีย์เรียกผม ขณะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับการปอกเปลือกส้ม
“ว่า”
“เจ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างหรือไม่” เขาอ้อมแอ้มถาม
“เปลี่ยนบรรยากาศอะไร” ผมถามพลางคายเม็ดส้มใส่มือ
“ก็เผื่อว่า เจ้าอยากจักไปทะเลดูบ้าง หมอเจอราร์ทท่านมีเรือนเล็กอยู่ที่ชะอำ เราเองก็ว่าจักพักผ่อนเสียหน่อย” เขายิ้ม
“ไปทะเลชะอำเหรอ  อืม ไปสิ ดีเหมือนกัน ชั้นก็อยากรู้ว่าชะอำสมัยนี้กับสมัยชั้นมันจะต่างกันสักแค่ไหน”

ออฟไลน์ pandorads

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ไปทะเลที่ชะอำ!!!
ชวนอัชย์ไปสวีทวี๊ดวิ๊วใช่ป่ะหมอปีย์!! >o<
.
.
.
อ้าวเฮ้ย เพิ่งรู้ตัวเองได้  :z13: ด้วยแฮะ
เย้ ครั้งแรกนะเนี่ย

ออฟไลน์ igaga

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
เมื่อไหร่เค้าจะหวานกันค่ะ อย่าให้อิฉันต้องลงหวาย นะพ่อ  o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KOWPOON

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
 :o8: :-[ :impress2:


ไปเที่ยวทะเลซะด้วย  โอ้ว!!  สวีทนะ


มีหมอเขินเจ้าบ้าด้วย หมอนี้นับวันยิ่งน่ารัก...

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
หมอปีย์  ชายในฝัน

t-unseen

  • บุคคลทั่วไป

Zymphoniz

  • บุคคลทั่วไป
เปลี่ยนบรรยากาศ หุหุ ดีเหมือนกัน
เผื่อพ่ออัชย์ จะเปลี่ยนใจ ยอมรับรักหมอปีย์เสียที  :z1:

ออฟไลน์ O[]OVampire

  • เพียงเธอสบตา...แทบลืมหายใจ เพียงเธอ...จากไป...ตราบชั่วลมหายใจ ...ไม่ลืม
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-0
ทะเลจะหวานกันรึเปล่านะ...รออ่านต่อ
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมสมัยโดนหาว่าเป็นพวกบ้านป่าเมืองเถื่อน กฎหมายยังไม่เจริญ
แถมยังถูกกดดันมากจนต้องไปก็อปประมวลของประเทศญี่ปุ่นที่ไปรับของเยอรมันมาอีกที

ป.ล.อ่านหนังสือนิติปรัชญาอยู่พอดีเลยขอเพ้อหน่อย กำลังอิน

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
 :L2: หวานริมทะเล อิอิ (หวังว่านะ)

bow55

  • บุคคลทั่วไป
ไปสวีทกันเต๊อะ อิอิ :m3:

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
แก้ให้นะพี่นนนะ  หรือพี่จะแก้เอง ไม่เป็นไร ยังไงปลายทางก็เหมือนกัน คิคิ เขิลลล 5555

อ้างถึง
แววตาที่เบิกโพลงก่อนจะสิ้นใจไปนั้น
อ้างถึง
และเมื่อลืมตาขึ้น ผมก็พบตัวเองนอนแผ่หราอยู่ในโรงครัวเรือนคุณชั้น ไม่สิ ไม่ใช่เรือนคุณชั้นที่นี่มันบ้านของผมนี่
อ้างถึง
“พ่ออัชย์ ตื่นเถิด” เสียงของหมอปีย์ปลุกผมตื่นขึ้นมาจากภวังค์อีกครั้งในตอนเย็น ผมลืมตาขึ้นมองภาพใบหน้าของหมอนั่นเลือนลาง และค่อยๆชัดขึ้น
อ้างถึง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ค่อยๆลุก ประเดี๋ยวจะล้มคว่ำเอา” เขาค่อยๆพยุงผมให้นั่งตรง
อ้างถึง
“พอดีมีชาวบ้านเอากะปิดีจากเมืองแกลงมาฝาก เราเห็นว่าหอมดี เลยให้บ่าวตำน้ำพริก”
อ้างถึง
“อันนี้อะไรเหรอหมอ” ผมหยิบหัวปลีต้มกะทิขึ้นมา
อ้างถึง
“อ่าว อะไรวะ ไม่ให้อุทธรณ์อะไรกันเลยเหรอ” ผมบ่น

โอ้วๆๆๆ จะไปทะเลแล้ว วี้ดวิ้วววว ยืนดูพระอาทิตย์ตกน้ำ  โฮ้ยๆๆๆ โรแมนติกได้อีก


ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
รู้สึกคุ้นๆฉากประหารชีวิตค่ะ เหมือนเคยอ่านที่ไหนมาก่อน เดาว่าคงประมวลมาจากหนังสือเล่าเรื่องเก่าๆหลายๆเรื่องแล้วมาเรียบเรียงเป็นนิยายพีเรียดที่สนุกมากๆ เวลาบรรยายฉากกินข้าวทีไรรู้สึกหิวทุกทีค่ะ เป็นคนที่ชอบอาหารไทยอยู่แล้ว (จำพวกน้ำพริก ผัก ต้ม แกง) น้ำลายสอตลอดเลย  :laugh:
อยากให้มีตอนหวานๆกันบ้างอ่ะ สงสารพ่อหมปีย์ที่แสนดี :o8: ส่วนอัชย์นี่ก็ซึนตลอด  :z6:

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
ไปทะเลกัน :impress2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด