การไปตากอากาศสมัยนั้น มันไม่ง่ายอย่างที่ผมคิดเลย เพราะมัวแต่นึกว่ามันก็คงแค่เก็บของแพคกระเป๋า เตรียมแว่นกันแดด ครีมกันแดด แล้วก็ออกเดินทาง
แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
หมอปีย์บอกผมในวันเสาร์ แต่มาพร้อมออกเดินทางจริงๆเกือบอีกอาทิตย์หลังจากนั้น
เพราะการไปตากอากาศสมัยก่อนนั้นไม่ได้ทำกันง่ายๆ เรือนที่ชะอำนั้น หมอจรัสได้สร้างไว้แต่ตัวเรือนเปล่าๆ มีแค่ห้องหับ ที่เหลือต้องเตรียมไปเองหมดเลย ทั้งที่นอนหมอนมุ้ง อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้าน เครื่องครัว อาหารแห้งของในครัว หยูกยา
ต้องเตรียมไปเองหมด เมื่อเรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้ หมอปีย์จึงจัดให้บ่าวไพร่เป็นคนตระเตรียม และนำบ่าวไปด้วยสองคน ผู้หญิงหนึ่งไว้ทำครัว ผู้ชายหนึ่งไว้คอยดูแลทั่วไป ส่วนสนนั้นได้รับมอบหมายให้ดูแลบ้านตอนหมอไม่อยู่
ผมเดินมาหาหมอปีย์ในบ่ายวันหนึ่งเขากำลังยืนชี้นู่นชี้นี้สั่งให้บ่าวไพร่ทำงาน
“เรายกเลิกไปชะอำกันดีมั๊ย ชั้นว่า มันวุ่นวายว่ะ” ผมส่ายหน้า
“วุ่นวายอย่างไร” เขาหันมาถาม
“ก็อย่างที่เห็น”
“ก็เป็นปกติ”
“ปกติอะไรวะ วุ่นกันทั้งบ้าน”
“แล้วเจ้าจักให้เราทำเยี่ยงไร”
“ก็ไปกันเงียบๆ กระเป๋าคนละใบ แค่นี้อ่ะ”
“ทำเยี่ยงนั้นมิได้ดอก ชะอำนั้นหาข้าวของลำบากนัก ของกินก็หายากหากมิถูกหอยถูกปูขึ้นมาเจ้าจักลำบาก ไหนจะหยูกยา เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะได้รีบรักษา” เขาอธิบาย
“ชั้นไม่คิดว่ามันจะเอิกเกริกขนาดนี้นี่นา เราไปพักผ่อนแต่ทำให้คนอื่นต้องลำบากกันขนาดนี้ มันจะสนุกตรงไหน”
ผมขยับตัวออกห่างจากหมอปีย์ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เข้ามาเพื่อสร้างความวุ่นวายให้กับพวกบ่าวไพร่ ผมเป็นใครที่จู่ๆโผล่มาในสภาพคนบ้าสติไม่ดีที่โวยวายอยากกลับบ้าน
แต่หมอปีย์กลับยกขึ้นมาเป็นแขกคนพิเศษ มีสิทธิเทียบเท่าเจ้าของบ้าน สามารถออกคำสั่งให้ใครในบ้านทำอะไรก็ได้
พวกบ่าวไพร่มักจะมองผมด้วยสายตาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าผมมาในฐานะอะไร เป็นญาติฝ่ายไหนของบ้าน และพวกเขาควรทำตัวยังไง พอผมเข้ามาทุกอย่างในบ้านก็วุ่นวายกันไปหมด
จากบ้านที่เคยเงียบสงบ กลับมีเรื่องเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน
“เฮ้อ” ผมเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หากเจ้ามิสบายใจที่จักไปกับเรา เรา เอ่อ............”เขาหลบสายตามองพื้นดิน “เราชวนคำแก้วกับสนไปด้วยกันก็ได้ ไปกันหลายๆคน เจ้าจักได้ไม่เบื่อ” เขาพูดน้ำเสียงไม่ชัดเจนนักก่อนที่จะหันหลังมุ่งหน้าเดินไปเรือนคำแก้ว
ผมยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ในใจเริ่มว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก ผมกำลังค้านความรู้สึกตัวเองอยู่ในใจ ระหว่าง
“ก็ให้คำแก้วไปด้วยกันสิ แม่งเอ้ย ก็เขาเป็นแฟนกัน มึงจะอะไรกับมันมากมายวะ”
และ
“ไม่ได้นะเว้ย จะให้คำแก้วไปขัดจังหวะไม่ได้ โอกาสมาถึงทั้งที”
“หมอ!!!” และความรู้สึกแรกที่ผมรู้สึกก็ทำให้ผมพลั้งปากเรียกชื่อหมอปีย์ขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอก เรา เอ่อ เราไปกันสองคนนี่แหละดีแล้ว” ผมพูด พลางรู้สึกเลือดสูบฉีดขึ้นหน้าอย่างแรงจนแก้มแทบระเบิด
หมอปีย์ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว แววตาของเขาเป็นประกาย เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินกลับมาหาผม
“ไหนๆจะไปเป็นแฟนกันแล้ว ก็ขอให้มีอุปสรรคสักหน่อยแล้วกันนะ คำแก้วนะ ยกให้ง่ายๆมันก็ไม่ตื่นเต้นนะสิ” ผมคิดในใจ
“หมอปีย์เจ้า จักไปตี้ใดกันหรือก่ะเจ้า”
เหมือนใจนึก นึกถึงคำแก้ว คำแก้วก็มา
หมอปีย์หยุดกึก มองหน้าผมก่อนจะหันหลังกลับไปหาคำแก้ว
“คำแก้วเห็นหมอเก็บข้าวเก็บของตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้ว” เธอกลับมาพูดภาษาภาคกลางก่อนส่งยิ้มหวานมาให้หมอปีย์ และเลยมาที่ผม ผมยิ้มตอบไปแบบเหยเก
“เอ่อ เรา เอ่อ” หมอปีย์กระอักกระอ่วน ผมเห็นมันไม่ตอบสักที นึกขัดใจ
แม่ง!!!
“อ๋อ เราจะไปตากอากาศกันที่ชะอำกันน่ะ กำแห้ว จะไปด้วยกันมั๊ย” ผมพูดเสียงดัง ไม่ได้ตั้งใจให้น้ำเสียงมันประชดประชันแบบนั้น แต่มันออกมาเอง
“คำแก้ว คะเจ้าชื่อคำแก้ว” หล่อนยิ้มหวานจนมดจะไต่ขึ้นหน้าไปกัดริมฝีปากที่บาง ชมพูระเรื่อๆนั่นอยู่แล้ว
“คะเจ้าไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ หมอ” หล่อนทำท่าตื่นเต้น นี่ถ้าเป็นสมัยผม ผู้หญิงแบบคำแก้วต้องเต้นระริกๆดีใจจนตัวสั่นเป็นแน่
หมอปีย์ไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“ไปได้สิ แหม ก็เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ จะเป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว ทำไมจะไปด้วยกันไม่ได้”
เฮ้ย พูดออกไปได้ยังไง นี่ผมไปกินรังต่อรังแตนที่ไหนมานี่ แต่ก็ช่างแม่งเหอะพูดไปแล้ว
หมอปีย์นั้นยืนเก้เก้กังกัง ทำตัวไม่ถูก ส่วนคำแก้วนั้นเขินจนบิดม้วนเป็นเกลียว
ผมเห็นแล้วหมั่นไส้ยิ่งขึ้นไปอีก
“ถ้าหมอชวน คำแก้วก็จักไปด้วยนะเจ้าคะ แต่ว่าคงต้องเป็นหลังจากวันพรุ่งน่ะเจ้าค่ะ ที่เรือนคุณชั้นเธอมีงานทำบุญบ้าน เสร็จจากงานบุญแล้ว คำแก้วจะเร่งตามไปนะเจ้าคะ” เธอยิ้มร่า ราวกับโลกนี้นั้นเต็มไปด้วยตัวการ์ตูน ว้าว ดิสนี่ย์ชวนฝันที่ทำให้จินตนาการเคลิบเคลิ้ม
“แหวะ” ผมเอี้ยวตัวไปข้างหลัง แลบลิ้นแผล็บๆเหมือนตัวเหี้ย
คำแก้วยืนคุยกับหมอปีย์อยู่พักใหญ่โดยที่มีผมยืนหัวโด่ฟังเขาคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่ใกล้ๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องยืนอยู่ด้วย จะไปขี้ไปเยี่ยว ไปทำอะไรซะก็ได้ แต่เสือกไม่ไป
“ไว้คำแก้วจะเร่งตามไปนะเจ้าคะ หมอ” เธอส่งยิ้มให้หมอนั่น ก่อนจะชะม้ายชายตาแลมาที่ผม ถ้าผมไม่รู้สึกไปเอง ผมว่าเธอมองผมด้วยสายตาเหยียดๆนะ
เมื่อคำแก้วจากไปก็เหลือแต่ผมกับหมอปีย์ยืนอยู่ที่ริมรั้วต้นเข็ม บ่าวไพร่นั้นจัดของเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะขอตัวไปทำงานอื่น
“เจ้านี่ปากดีได้มิเว้นจริงๆ” เขาด่า แต่ผมยืนนิ่งทำหน้าอึนๆ
“เจ้าจักพูดเยี่ยงนั้นไปเพื่อการณ์ใด สมัยเรามันมิใช่เรื่องดีเรื่องงามที่หญิงชายจักไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหนลำพัง”
“แล้วไปกับผู้ชายสองคน มันดีมันงามแล้วเหรอ” ผมตอกกลับเล่นเอาเขาไปไม่เป็นทีเดียว
“ชั้นรู้หรอกน่า ว่าที่จริงนายก็แค่แกล้งชวนชั้นไปเพื่อเป็นไม้กันหมาไม่ให้คนนินทา ใจจริงๆก็อยากจะไปกับแฟนของนายนั่นแหละ โธ่ อย่านึกว่าชั้นไม่รู้”
“อย่าทำมาเป็นอวดเก่ง รู้ดี เจ้ามันมิรู้อะไรเลยด้วยซ้ำ เจ้าบ้า” เขากลับมาเรียกชื่อผมแบบนี้อีกครั้ง
“เออ ชั้นมันไม่รู้อะไร ชั้นมันโง่ มันควาย มันบ้า พอใจรึยัง แต่ที่ชั้นเป็นแบบนี้ก็เพราะใครหล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะนา................”
อุ๊บส์ ผมเผลอพูดอะไรออกไป
หมอปีย์ผละไปเล็กน้อย เขาทำหน้าฉงน ก่อนจะค่อยๆเผยอยิ้มออกมา
“นั่นแน่ เจ้าจักบอกว่าที่เจ้าเป็นแบบนี้เพราะเรากระนั้นรึ” เขากระเซ้า
“บ้า “ ผมด่ามันกลับ กลั้นไม่ให้เขาเห็นรอยยิ้มจางๆ “ไม่ใช่นายหรอกโว้ย อย่าสำคัญตัวผิดไปหน่อย”
“ถ้ามิใช่เรา งั้นจะเป็นผู้ใดไปได้ ที่นี่เจ้าจักรู้จักใครสักกี่คนกัน” เขายังพยายามเค้นเอาความจริงจากผม
“เออน่า ไม่ใช่นายก็แล้วกัน” ผมเห็นท่าจะรับมือไม่ไหว เลยหมุนตัวกลับจะเดินขึ้นเรือน
“เจ้าหึงเราจริงๆด้วย” เขาเดินตามมาติดๆกระซิบที่หู ผมสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย” ก่อนจะถอยออกมาห่างจากหมอปีย์ “หึงเหิงอะไร ชั้นจะไปหึงนายทำไม ในเมื่อชั้นเป็นผู้ชายนะเว้ย ผู้ชาย นี่ไงดูสิ ชั้นเป็นผู้ชาย ชั้นไม่มีนม ผมไม่ได้ยาว ไม่มีนี่ด้วย” ผมเอามือจับเป้า
“แต่เจ้ามีนี่” หมอปีย์ก้าวเท้าเข้ามาชิดผมอีกครั้ง มือข้างขวาของเขาทาบลงบนอกข้างซ้ายที่ตอนนี้หัวใจผมเต้นตุบๆแทบจะระเบิดออกมานอกอก
ผมยืนแน่นิ่งราวกับถูกมนต์สะกด นี่ผมเป็นอะไรไป ไอ้ปอคนเก่งปากดี โมโหร้าย ขี้โวยวาย ทำตัวเฮงซวยไปวันๆคนก่อนหายไปไหนกัน ไอ้ปอคนนั้นใช่คนเดียวกับเจ้าอัชย์คนนี้จริงๆเหรอ
ทำไมตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่ามือของหมอปีย์กำลังเกาะกุมหัวใจที่เย็นชาของผม และค่อยๆพยายามกลับด้านของหัวใจให้สลับขั้ว จากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา จากหน้าไปหลัง เขากำลังทำให้ผมรู้สึกว่า ผมกำลังตกหลุมรักผู้ชาย
“เฮ้ย ผู้ชาย” เมื่อนึกถึงคำนั้นขึ้นมา สติที่เคลิบเคลิ้มไปกับน้ำเสียงที่นุ่มละมุน กลิ่นกายที่หอมเหมือนเด็กแรกเกิด แววตาที่อ่อนโยนแต่แฝงด้วยแรงปราถนาที่แรงกล้า ริมฝีปากที่เผยอโหยหา อุ้งมือที่อบอุ่นแต่หนักแน่น ก็กลับดีดผึงขึ้นมา
ดวงตาที่หรี่เล็กลงและเผลอยิ้มออกมาเมื่อครู่ บัดนี้ได้เบิกโพลงขึ้น ผมกระชากตัวเองออกจากหมอนั่นอย่างแรง
แต่
แต่
ไม่แรงพอที่จะสลัดเขาไปจากตรงนั้นและจากความคิดได้ หมอปีย์ดึงตัวผมกลับเข้าหาเขา ร่างของผมวืดเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วจนรู้สึกได้ถึงสายลมแผ่วเบาที่ไล้เลียใบหน้า
ผมมารู้สึกตัวอีกที บัดนี้ผมได้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสิโรราบแล้ว
ไม่มีเรี่ยวแรงจะต้านทาน
ไม่มีคำพูดจะเปล่งออกมา
ไม่มีความคิดที่จะผลักเขาออกไป
บัดนี้ ผมกำลังโดนผู้ชายกอด...........................................โดยสมยอม
...
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงปลุกแห่งรุ่งอรุณนั่นก็คือไก่ขัน ไก่ที่นี่จะขันเป็นเวลา ผมสังเกตมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว พอใกล้รุ่งจะมีไก่ตัวหนึ่งที่อยู่บ้านใครสักคนไกลออกไปจากเรือนหมอปีย์ขันขึ้นมาเป็นตัวแรก จากนั้นไก่บ้านถัดมาก็ขันตาม ตามด้วยบ้านถัดมา ถัดมา เรื่อยๆล้อกันมา จนถึงบ้านหมอปีย์ และจากบ้านหมอปีย์ก็เรื่อยไปจนถึงบ้านคุณชั้น และไปสุดที่คุ้งแม่น้ำปลายสายกระนู้น เป็นอย่างนี้อยู่ร่ำไป
เช้านี้น้ำค้างลงหนัก พื้นหญ้านั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยหยดน้ำค้าง ผมอาบน้ำแต่งตัวอย่างมีความสุข เมื่อนึกถึงหน้าของหมอปีย์ ไม่รู้ทำไม แต่หัวใจมันพองโตอย่างประหลาดทุกทีเวลาที่นึกถึงหมอนั่นเอามือมาแตะที่อกข้างซ้าย และเวลาอยู่ในอ้อมกอดเขา หัวใจมันพองโตทุกทีซิน่า
แต่ถึงจะมีความสุขเพียงใด ผมก็ยังไม่ลืมเจ้าแดง เจ้าแดงยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผม แต่ตอนนี้ ความทรงจำเหล่านั้นกำลังจะกลายเป็นสิ่งสวยงาม แทนเรื่องเลวร้ายน่ากลัว ด้วยฝีมือหมอปีย์
“Morning” ผมทักทายอย่างสั้นๆกับหมอปีย์ที่กำลังยืนกำกับให้บ่าวไพร่ยกสัมภาระใส่เกวียน
“good morning. How are you today?”
“ Excellent and you?”
“so am I”
เรายิ้มให้แก่กันอย่างเป็นมิตรกันมากขึ้นหลังจากวันนั้น ผมนั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไร หมอนั่นมันคงรู้ เพราะฤทธิ์เดชผมลดน้อยลงไปมาก ไม่รู้สิ ผมเดาเอานะว่าเขาจะรู้
“นายตื่นนานแล้วเหรอ” ผมเดินมาเกาะล้อเกวียนฝั่งตรงข้ามเขา
“ใช่ ตื่นนานแล้ว ไม่สิ อันที่จริงเราไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ” เขายิ้มไม่เห็นฟัน
“อ้าว ทำไมหล่ะ”
“เราตื่นเต้น”
ผมหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วก็ต้องหุบปากกระทันหันเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคำแก้วกำลังเดินตรงมาหาพร้อมกับหนูวาด ในมือของหนูวาดนั้นถือห่อบางอย่าง
“หมอปีย์ หมอปีย์” เสียงหนูวาดเจื้อยแจ้ว วิ่งตรงมาหาหมอปีย์ “พี่หมอจักไปชะอำหรือเจ้าคะ หนูวาดอยากไปด้วยจังเลย แต่คุณป้ามิอนุญาต” หน้าของหนูวาดเจื่อนไปทันที
หมอปีย์เห็นรอยยิ้มที่จางหายไปของหนูวาด เขาคุกเข่าลงใกล้ๆ “เอาไว้คราหน้าพี่หมอสัญญาว่าจักพาหนูวาดไป ครานี้หนทางไกล ลำบากนัก”เขายิ้มอย่างอ่อนโยนให้หนูวาด ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอยิ้มออกมาอีกครั้ง
ผมเห็นความอ่อนโยนในตัวหมอนั่นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ ความอ่อนโยนนั้นแสดงออกมาอย่างจริงใจไร้มารยา
ไม่เหมือนกับ
“หนูวาด หนูวาด” คำแก้วกระชากมือของหนูวาดให้ออกมาจากหมอปีย์ “เชื่อพี่หมอเถิด พี่หมอมิโกหกพกลมดอก” หล่อนว่าพลางปรายตามองหมอนั่น
ผมนั้นเห็นมารยาผู้หญิงแบบนี้มานักต่อนักแล้ว ตอนอยู่ยุคสมัยผม เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะมองไม่ออกว่าคำแก้วต้องการอะไร
“แต่เพลานี้ คำแก้วจักไปกับหมอด้วยนะเจ้าคะ คุณชั้นเธออนุญาตแล้ว อาจจักช้าไปสักสองวัน แต่ก็จักทันหมอเป็นแน่” เธอยิ้มอย่างมีจริต หันไปดึงห่อของในมือหนูวาด จนหนูวาดเซ
“ห่อสำรับเจ้าค่ะ คำแก้วลงมือปรุงตั้งแต่ไก่โห่ด้วยตัวเองเลยนะเจ้าคะ” เธอยื่นห่อข้าวให้หมอปีย์
“แต่พี่คำแก้ว ห่อสำรับนั้น คุณป้าเป็นคน.................”หนูวาดพลั้งปากพูดตามมาแต่ยังไม่ทันพูดจบ
“หมอเจ้าคะ” คำแก้วรีบพูดแทรกขึ้นมา “จัดเตรียมหยูกเตรียมยาไปแล้วหรือเจ้าคะ”เธอเบียดชิดหมอปีย์ มือทั้งสองข้างเกาะแขนหมอแน่น
ช่างไร้ยางอายผิดแผกจากสตรีในสมัยนั้นจริงๆ คิดถึงแม่รำพึงแล้ว คำแก้วนี่ไม่ได้สักครึ่งของความเป็นหญิงไทยในตัวแม่รำพึงเลย
ผมทนเห็นพฤติกรรมของคำแก้วไม่ไหว จะยืนดูอยู่เฉยๆมันก็คันไม้คันมือ ผู้หญิงมารยาเพียบอย่างงี้มันต้องเจอกับผู้ชายกร้านโลกอย่างผม
“เฮ้ย” ผมเบียดคำแก้วจนเธอกระเด็นออกไป “คำแก้วไม่ต้องเป็นห่วง หมอเนี๊ยะน่ะ” ก่อนจะคว้าคอหมอปีย์มากอด “ชั้นดูแลเอง ไม่ต้องห่วงนะ” พลางตบบ่าหมอปีย์เบาๆ
หน้าหมอปีย์ตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คำแก้วเองก็ดูจะมีสีหน้าประหลาดใจไม่น้อย
“หยูกยา อาหาร พร้อมสรรพ ถ้าหมอเหงา เดี๋ยวชั้นอาสาหาอีหนูๆให้หมอเอง” ผมยิ้มเยาะ ก่อนจะหันไปยักคิ้วกับหนูวาด ซึ่งดูเหมือนหนูวาดเองจะพอใจไม่น้อย
“ไปกันเถอะหมอ สายเดี๋ยวจะร้อน” หมอปีย์ถูกผมลากมาขึ้นเกวียน ส่วนคำแก้วนั้นยืนกัดฟันกรอดๆ
“ไปนะคำแก้ว หมอเนี๊ยะ ชั้นดูแลเอง”
เกวียนค่อยๆแล่นห่างออกไปเรื่อยๆ คำแก้วหันหลังเดินจ้ำอ้าวไปโดยไม่รอหนูวาด ซึ่งยังคงยืนโบกไม้โบกมือให้ผมกับหมอปีย์
“เจ้านี่ไม่เบาเลยนะ” หมอปีย์ยิ้มเหมือนรู้ทัน
“ไม่เบาอะไร”
“อย่ามาทำเป็นไขสือ”
“เฮ้ย อาราย พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”
“เราดีใจนะ ที่เจ้าหึงเรา” เขายิ้มกดใบหน้ามองหน้าผม ในขณะที่ผมก้มหน้าหลบตาเขา
“บ้า ไม่ได้หึงเว้ย ชั้นก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”
“ช่างเถิด ไม่ว่าจักอย่างไร เราก็สุขใจที่จะคิดว่าเจ้าหึง” แล้วเขาก็เงยหน้าทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
รถเกวียนค่อยๆแล่นมุ่งหน้าไปทางท่าเรือ เสียงก๊องแก๊งๆของเครื่องครัวที่กระทบกันเพราะแรงโยก เราทั้งคู่ต่างหันหน้าออกนอกหน้าต่าง ทอดสายตา อารมณ์ และความรู้สึกให้ล่องลอยไปโดยไร้ซึ่งกฏเกณฑ์ใดๆ......อีกเลย