“ปั่ก!!”
“โอ้ย หมอ เจ็บ” ผมแอ่นหลังซี๊ดปากทันทีที่ฝ่ามือของหมอนั่นฟาดลงบนหลัง
“เราขอโทษ เราขอโทษ หนักมือไปหน่อย” หมอปีย์ทำหน้าตกใจ
“เพื่อนเล่นเหรอ ห๊ะ ยอมหน่อยละเอาเชียว” โดนผมดุแบบนี้เข้า หมอนั่นถึงกับหน้าเจื่อน ผมกลั้นหัวเราะอยู่ครู่ใหญ่
ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
“ล้อเล่น แหม ทำหน้าจะร้องไห้” เราทั้งคู่หัวเราะ
รอยเท้าของเราทั้งคู่ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อย่ำบนพื้นทรายขาวละเอียด ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากชายสองคนที่เดินเคียงข้างกันไปยังจุดหมายที่ ณ ตอนนี้เรายังไม่รู้้เลยว่ามันอยู่ไหน รู้เพียงแต่ว่าจุดหมายจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอแค่ข้างๆของเรานั้น
มีกันและกัน................ก็พอ
“หมอ ร้อนเน๊อะ” ผมพูดในมือถือกิ่งไม้หวดอากาศไปมา “ถ้ามีน้ำแข็งใสขายก็คงจะดี” แดดยามบ่ายของที่นี่ค่อนข้างร้อนระอุ เหงื่อซึมไหลเป็นทาง แต่ยังดีที่ลมทะเลช่วยพัดพาลมเย็นๆมาบ้าง
“น้ำแข็งกระนั้นรึ” หมอปีย์ทำท่าครุ่นคิด “ที่นี่จักไปหาน้ำแข็งได้จากหนใด สยามสั่งน้ำแข็งมาจากสิงคโปร์เท่านั้น”
ผมหันหน้าขวับไปมอง ก่อนจะถอนหายใจอย่างหมดแรง
“สั่งน้ำแข็งไปตอนนี้ กว่าจะได้กิน ไม่ละลายหมดแล้วเหรอ”
“ไม่ดอก เขาอัดมาใต้ท้องเรือ เอาแกลบ ขี้เลื่อยโรยทับอีกหลายชั้น” หมอปีย์อธิบาย “แต่เราไม่ยักกะชอบน้ำแข็ง กินแล้วเสียวฟัน สู้น้ำโอ่งน้ำฝนเรามิได้ดอก”
“คนแก่ก็งี้แหละ นี่รู้เปล่าที่บ้านเมืองชั้นนะ เรามีเครื่องทำความเย็น มีตู้เย็น ทุกอย่างต้องเย็น แตงโมแช่เย็น น้ำแช่เย็น หมู ไก่ ไข่ แม้แต่คนยังอยู่ในห้องเย็นๆเลย” ผมพูดข่มมือก็หวดอากาศไปเรื่อย
“บ้านเมืองเจ้านี่ดีนัก บ้านเมืองเราอยากกินแตงโมเย็นๆก็เอาแช่ตุ่ม อยากกินน้ำเย็นก็ตักในโอ่งน้ำฝน หมู ไก่ คลุกเกลือตากลมไว้กินได้หลายวัน นี่แหละบ้านเมืองเรา”
“ไว้ว่างๆชั้นจะพานายไปเที่ยวบ้านชั้นนะ รับรองนายจะต้องร้อง โอ้โฮ นี่หรือบางกอก ผิดกับบ้านนอกตั้งหลายศอกหลายวา” ผมร้องเพลงพุ่มพวงพอถูๆไถๆ แต่ก็ทำให้หมอนั่นหัวเราะออกมาได้
“นายปวดหัวบ้างหรือเปล่า”
เขาส่ายหน้า
“หิวข้าวมั๊ย”
ส่ายหน้า
“หิวน้ำรึเปล่า”
ส่ายหน้า
“เมื่อยมั๊ย ร้อนมั๊ย”
หมอปีย์ไม่ตอบเอาแต่ส่ายหน้า แต่คราวนี้มีรอยยิ้มเปื้อนมาด้วย
“เราดีใจนะ ที่เจ้าเป็นห่วงเรา”
“ชั้นก็ดีใจ ที่เป็นห่วงใคร...................เป็นกับเขาซะที” ผมยิ้มตอบกลับ
รอยเท้าของเราเคียงคู่บนหาดทรายสีขาว ร่องรอยเหล่านั้นกลายเป็นอดีตไปเพียงแค่เสี้ยววินาที อดีตที่ชัดเจนนั้น ช่างแตกต่างกับอนาคตของเราที่เป็นเพียงเงาที่พาดผ่านลงบนหาดทราย....เท่านั้น
ตะวันคล้อยหลังเรามามากแล้วเงาของเราทั้งสองทอดยาวออกไปจนเกือบมองไม่เห็น อากาศที่เคยร้อนอบอ้าวเมื่อครู่กลับถูกแทนที่ด้วยไอเย็นจากลมทะเลที่หอบเอากลิ่นทะเลอ่อนๆลอยมาตามลม หมอปีย์บอกผมว่าถ้าเราเดินเลียบชายหาดไปจนสุดทาง เราจะเห็นภูเขาเตี้ยๆอีกลูก และที่ชายเขานั้นเองจะเป็นบ้านพักตากอากาศของหมอจรัส
ผมนั้นไม่แน่ใจนักว่าที่นั่นจะปลอดภัยมากแค่ไหน เพราะคนของพระยาบริรักษ์อาจตามเรามาได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้แล้ว เรายังไม่เห็นวี่แววคนของพระยา เราก็เลยคิดว่าพวกเขาคงเลิกล้มแผนการณ์ที่จะติดตามเราแล้วก็เป็นได้
“เจ้าว่ามันจักผิดวิสัยหรือไม่ที่ ผู้ชายสองคนจักอาศัยนอนในห้องเดียวกัน” หมอปีย์ถามเล่นเอาผมไปไม่เป็น
“คงไม่มั้ง ก็เราเอ่อ” ผมอ้ำอึ้งที่จะพูดคำหลังจากนี้ “บริสุทธิ์ใจต่อกันไม่ใช่เหรอ”
“คงงั้นกระมัง” เข้าอ้อมแอ้ม
“ชั้นได้ข่าวมาว่า สมัยนายผู้ชายกับผู้หญิงเขาไม่อยู่ด้วยกันสองต่อสองเหรอ” ผมถามเพราะเคยอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์มา
“เป็นเช่นนั้น ชายหญิงมิบังควรอยู่ด้วยสองต่อสองในที่ลับตาคน”
“งั้นนายเคยจับมือผู้หญิงป่าว”
“พูดกระไรเยี่ยงนั้น” ใบหน้าหมอปีย์แดงก่ำ ราวกับสาวแรกรุ่น
“อย่าบอกนะ ว่าโตขนาดนี้ยังไม่เคยได้จับนมผู้หญิง” ผมรุกหนัก
“เจ้านี่มัน บ้าเสียจริง” เขามองซ้ายขวา “เรื่องเยี่ยงนี้มิควรนำมาพูด มันไม่งาม”
“โห ไม่งามอะไรกันหมอ ไม่มีใครสักหน่อย เราก็ผู้ชายทั้งคู่ ไม่มีใครว่าหรอก”
“สมัยเราเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องต้องห้าม สตรีมิควรออกนอกเรือนนอกห้องตัวเอง มิควรแวะเวียนเรือนชายอื่น มิควรชะม้ายชายตาทอดสะพานให้ชายอื่น เรื่องจักมาถูกเนื้อต้องตัวยิ่งเป็นไปมิได้” เขาก้มหน้าก้มตา
“ส่วนบุรุษเพศนั้นก็ควรให้เกียรติสตรี เราจักไม่แสดงออกในเรื่องชู้สาว มิฉกฉวยล่วงเกินสตรีให้เสียหาย แม้แต่เป็นสามีภรรยาก็จักไม่ประพฤติตนรุ่มร่ามให้ชาวบ้านติฉินนินทาเอาได้”
“โห อะไรวะ ถามแค่นี้ตอบซะยาวเชียว ชั้นไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้นหรอก ชั้นแค่อยากรู้ว่านายเคยจับเนื้อตัวผู้หญิงบ้างมั๊ย”
ผมยังไม่ลดละความพยายาม
หมอปีย์ก้มหน้านิ่งไม่ยอมพูด ผมจึงหยุดไม่ยอมเดินเช่นกัน
“ถ้านายไม่ตอบนะหมอ ชั้นจะไม่เดิน จะนั่งมันตรงนี้แหละ” ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทราย หมอปีย์หันหลังกลับมามอง เขาส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา
“เจ้านี่มันรั้นเสียนี่กระไร เฮ้อ” เขาถอนหายใจ “แต่เหตุอันใดเราถึงต้องยอมเจ้าอยู่ร่ำไป” ว่าแล้วเขาก็นั่งลงข้างๆ
“เราเป็นหมอ เจ้าอย่าลืมสิ” เขาเอ่ยปากพูด
“เป็นหมอแล้วไง”
“เราแตะเนื้อต้องตัวสตรีมานักต่อนัก ทั้งหญิงสาวชาวบ้าน ข้าทาส นางใน ด้วยความสัตย์จริงเรามิเคยรักใคร่สิเน่หาพวกนางเหล่านั้นเลย”
“เหรอ” ผมทำตาโต
“แต่เจ้าอยากรู้หรือไม่ ว่าผู้ใด ที่ทำให้จิตใจของข้าโลดแล่นเหมือนโคถึก”
เขาเว้นจังหวะหายใจ
“ทุกครั้งที่เราเห็นใบหน้าเขา เห็นแววตาของเขา ริมฝีปากของเขา อยู่ใกล้เขาจนลมหายใจเราสัมผัสกัน เมื่อเนื้อกายสัมผัสเนื้อกายกันและกัน เมื่อนั้นจิตใจของเรากลับร้อนรุ่มเหมือนอยู่ในเพลิงแห่งความสุข” แววตาของหมอปีย์เหม่อมองออกไปนอกทะเลสุดสายตา
“จนเราแทบอยากจะหยุดหายใจ”
....
...
......
....
.....
......
เสียงคลื่นกระทบฝั่งเป็นจังหวะพร้อมๆกับที่เสียงของหัวใจผมเต้นตึกๆอยู่ภายใน ผมพยายามสงบพายุที่อยู่ในใจผมที่ตอนนี้กำลังคลุ้มคลั่งด้วยน้ำคำที่แสนจะเชยเฉิ่ม แต่เพราะเหตุใดคำพูดเหล่านั้นถึงทำให้ผมนั่งแทบไม่ติด
“เจ้าจะไม่ถามหรือว่าเขาผู้นั้นเป็นใคร” เขาหันมามองหน้าผม
ผมเหล่ตาไม่กล้าสบตาหมอปีย์ เพราะกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมพายุที่อยู่ในใจได้อีกต่อไป
“ไม่เห็นจะอยากรู้สักหน่อย” ผมตอบ
หมอปีย์นิ่งไปครู่หนึ่ง ส่วนผมนั้นเงยหน้ามองฟ้าสุดหายใจลึกๆเข้าปอด ผมไม่อยากรู้ ไม่อยากคิดไปเองว่าคนที่หมอนั่นพูดจะเป็นผม เพราะหากเกิดไม่ใช่ขึ้นมา ผมกลัว กลัวว่า ผมจะต้องเสียใจ
“เราไปนะ” จู่ๆหมอปีย์ก็ลุกขึ้นปัดเนื้อตัวแล้วเดินไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้ผมนั่งแกร่วอยู่ลำพัง
แต่ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นเดินตามหมอปีย์ไป สายตาพลันเหลือบไปเห็นพื้นทรายที่ที่หมอนั่นนั่ง
“เจ้านั่นแหละ เจ้าบ้า” ลายมือขยุกขยิกปรากฏขึ้นบนพื้นทราย ผมอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ ก่อนจะค่อยๆเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“หมอ รอด้วยสิวะ”
