แทบไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างผมจะยอมสยบให้กับคนอย่างหมอนั่น แล้วโดยเฉพาะมันเป็นผู้ชายด้วยแล้ว
แรงต้านอย่างมหาศาลเกิดขึ้นในใจ เมื่อแรก ผมยังจำคำที่พี่หมอเคยสบประมาทผมไว้เมื่อครั้งที่เราทะเลาะกันเพราะเขาแย่งมุกของผมไปว่า “ปอหนีตัวตนของตัวเองไม่พ้นหรอก” เมื่อนึกถึงคำพูดและน้ำเสียงเหล่านั้น ยิ่งทำให้ผมไม่อยากให้สิ่งที่พี่หมอพูดเป็นจริง แต่ตอนนี้ เมื่อยิ่งใกล้ชิดกับหมอปีย์มากเท่าไหร่ ในใจก็เริ่มกร่อนลงเพราะความผูกพันและห่วงใยของหมอนั่น
ครั้งหนึ่งผมเคยมีรักอันดูดดื่มกับสตรีเพศ แต่แล้วสตรีนางนั้นก็ทำให้ผมผิดหวังแทบไม่เป็นผู้เป็นคน เรารักเขาเท่าชีวิต แต่เขากลับรักเราไม่มากพอที่จะเลือกเราแล้วเมินเฉยกับเหตุผลหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มุกบอกว่า มันจำเป็น หลายต่อหลายครั้งที่ผู้หญิงมักมีเหตุผลมากมายเมื่อหมดรัก
แต่ผมเองไม่โทษเธอหรอก ใครๆก็ต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเองทั้งนั้น
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผมเริ่มตระหนักแล้วว่า หากจะรักใครสักคนด้วยเหตุผลมากมายขนาดนั้น ผมว่า อยู่คนเดียวและรักตัวเองไปดีกว่า
ตอนนี้ผมยอมรับจริงๆว่าผมเริ่มมีจิตผูกพันรักใคร่หมอนั่นไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร รู้เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขาหัวใจผมเหมือนจะบีบรัดเล็กลงๆเรื่อยๆ..................เหมือนกับหัวใจหมอนั่นมาเบียดพื้นที่เล็กๆในหัวใจ.....ของผม
ผมจะไม่โทษฟ้าดิน จะไม่โทษโชคชะตาที่พัดพาผมมาไกลถึงยุคที่ห่างจากเวลาปัจจุบันร้อยกว่าปี เพื่อมารักกับผู้ชายอีกคนที่อายุแก่กว่าผมร้อยกว่าปี
มันต้องมีเหตุผลสิ การย้อนเวลามาเพื่อให้รู้ตัวเองว่าเป็นเกย์ คงไม่ใช่เหตุผลใหญ่หรอก ผมเชื่ออย่างนั้น มันต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ที่ผมอยู่ที่นี่ ได้มาเจอกับหมอปีย์ มันต้องมีอะไรมากกว่า “การรักกัน”
“พ่ออัชย์” เสียงหมอปีย์เรียกผมอยู่เบื้องหน้า “เกรงว่าคืนนี้เราจักต้องพักแรมที่นี่เสียกระมัง”
เราทั้งคู่มาหยุดพักอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งที่ทรุดโทรม มีเพียงศาลาเก่าๆทำด้วยไม้มุงด้วยกระเบื้องสีแดงเก่า ภายในศาลานั้นมีองค์พระประธานตั้งอยู่พร้อมแจกันดอกไม้ที่โรยรา ข้างๆศาลา มีกุฏิไม้เล็กๆเก่าทรุดโทรมอยู่หลังหนึ่ง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลย
“หลวงพ่อขอรับ พวกเราพลัดถิ่นมา อยากจักขออาศัยพักแรมที่นี่สักคืนนะขอรับ” หมอปีย์คุกเข่าพนมมือไหว้พระที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ผมนั่งลงใกล้ๆเขา พระรูปนั้นมองมาที่ผม เรียกว่าจ้องเขม็งมาที่ผมจนผมรู้สึกอึดอัด
“น่าเวทนายิ่งนัก” จู่ๆ พระรูปนั้นก็พูดขึ้นมา พลางส่ายหัว ใบหน้าที่ดำกร้าน ริ้วรอยที่บ่งบอกให้รู้ว่าท่านแก่พรรษาเพียงใด จีวรที่ดูแทบไม่ออกว่าเคยเป็นสีเหลืองมาก่อน ยิ่งทำให้พระรูปนั้นดูขลัง และน่าเกรงขาม
“จัดที่จัดทางเอาเองเถิด”หลวงพ่อพูดก่อนจะเดินจากเราสองคนไป
“ทำไมต้องน่าเวทนาด้วยวะหมอ ชั้นเหมือนคนจรจัดมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมก้มลงมองสภาพตัวเอง
“ไม่ดอก บางทีท่านอาจเวทนาชะตากรรมของเราสองคนก็เป็นได้” หมอปีย์ยิ้ม
ผมจัดแจงปัดกวาดพื้นศาลาด้วยผ้าเก่าๆ พระรูปนั้นยกมุ้งเก่ามาให้เราพร้อมหมอน ผมนั่งยิ้มให้กับตัวเอง ลมอะไรหนอถึงพัดพาชีวิตคนอย่างผมมาตกระกำลำบากอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้หนักใจอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะผมเริ่มทำใจได้แล้วว่า ที่แท้คนเราสุดท้ายจะเหลือแค่อะไร
“เราขอไปอาบน้ำก่อนนะ เหนอะหนะเต็มที” หมอปีย์เดินมาบอก เขาหอบเสื้อผ้าที่ป้าหนูห่อมาให้ไปเปลี่ยนด้วย
ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอำไพ
“จะให้ชั้นอาบให้อีกมั๊ย” ผมแซว แต่กลับโดนหมอนั่นดุ บอกว่าให้สำรวมกริยาเสียหน่อย อยู่ในวัดในวา
“อะไรวะ แค่พูดเล่น”