ในที่สุดเราทั้งสองก็ถึงจุดหมาย นั่นคือเรือนหมอจรัส อาจคลาดเคลื่อนไปหลายวัน แต่เราก็มาถึง
เรือนตากอากาศของหมอจรัสเป็นเรือนไม้ยกใต้ถุนสูงตามแบบบ้านเรือนไทยของภาคใต้ หลังคาทรงจั่วที่ลาดเทมากกว่าปกติ ตัวบ้านโปร่งลมพัดเข้าออกได้รอบทิศ ลวดลายรอบบ้านล้วนแต่ฉะลุโปร่งเป็นลายกนกไม้ลวดลายวิจิตรสวยงาม ข้างๆบันไดมีต้นเล็บมือนางเลื้อยเลาะไปตามระเบียง ส่งกลิ่นหอมในเวลาเช้าพร้อมดอกสีขาว แต่เมื่อสายดอกจะค่อยๆเข้มขึ้น จนกลายเป็นสีแดงสดในบ่ายแก่จัด
ผมจำได้ เพราะเมื่อก่อน บ้านของยายหนูวาดมีต้นเล็บมือนางปลูกไว้ที่ศาลาริมรั้ว ยายหนูวาดมักจะเอาดอกเล็บมือนางมาเสียบร้อยยาวเป็นสร้อยให้ผมคล้องคอทำเป็นสร้อยบ้าง กำไลบ้าง
ขณะที่เรามาถึงเรือนหมอจรัสนั้นก็เย็นย่ำแล้ว แต่ยังพอมองเห็นรอบๆบ้านที่ขนาบด้วยต้นมะขามใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ดอกพุดซ้อนสีขาว ตัดกับดอกชบาและดอกเข็มสีแดง
ผมยืนมองเรือนหลังนั้นด้วยความดีใจ ที่ในที่สุดเราก็ไม่ต้องระหกระเหเร่ร่อนอีกต่อไป
อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นบ้านหลังนี้ และบรรยากาศของที่นี่ บางทีท่านอาจอยากยอมให้บ้านโดนยึด ร้านอาหารโดนโกง ทรัพย์สมบัติร่อยหรอหายไป เพื่อที่เราจะได้ครอบครัวกลับคืนมา
ผมยังจำความรู้สึกตอนที่รู้ว่าบ้านเรากำลังล้มละลายได้ดี มันไม่เชื่อหูตัวเองเป็นอย่างแรก และไม่เชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ผมเกิดมาก็มีเงินใช้ไม่ขัดสน แล้ววันหนึ่ง เราจะไม่มีอะไรเลย มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองต้องอยู่ต่อไปไม่ได้แน่ๆ สังคมวัตถุนิยมเหล่านั้นยอมรับเฉพาะคนมีเงินตราเป็นอาวุธเท่านั้น พวกเขานับถือคนมีเงินว่าเป็นคนดี คนมีเกียรติ และจะได้รับการปฏิบัติดั่งพระราชา
แล้วหากวันหนึ่งผมไม่มีเงินขึ้นมา .....................ผมจะเป็นยังไง
แต่มาวันนี้ วันที่ผมยืนอยู่หน้าบันไดเรือนตากอากาศหลังนี้กับหมอปีย์ เมื่อนึกย้อนกลับไป ผมกลับเห็นว่า ช่างน่าขันสิ้นดี ทำไมผมถึงได้สิ้นหวังกับวัตถุที่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็แค่กระดาษ
“คิดอะไรอยู่รึ” หมอปีย์เดินมาถามขณะที่กลับมาจากสำรวจความเรียบร้อยรอบเรือน
“ปล่าว ชั้นคิดถึงแม่น่ะ ถ้าแม่อยู่ที่นี่กับชั้น ท่านคงชอบ” หมอปีย์แตะบ่าเผาอย่างปลอบประโลม แต่ผมรู้ว่าที่เขาไม่พูดอะไรไม่ใช่ว่าไม่อยากพูด เพียงแต่เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรในเมื่อตัวเองไม่เคยมีแม่มาตั้งแต่เกิด
“ขึ้นเรือนกันเถอะ” เขาเดินนำหน้า “เรือนหลังนี้หมอจรัสให้ชาวบ้านแถวนี้เป็นคนดูแล เขาจักมาทำความสะอาดเช้าเย็น วันนี้คงมาปัดกวาดแล้ว เราค่อยรอพรุ่งนี้ แล้วค่อยหารือกันว่าจักทำเยี่ยงไรต่อ”
บนเรือนไม้น่าอยู่หลังนี้ มีของใช้อยู่เพียงไม่กี่ชิ้น หมอปีย์เดินสำรวจดูรอบๆ ส่วนผมเปิดประตูเข้าไปดูห้องนอนที่มีเพียงห้องเดียว
ห้องนอนหันหน้าให้ทะเล แต่ก็ยังสามารถเปิดหน้าต่างอีกฝั่งมองไปยังภูเขาได้ด้วย เตียงไม้กว้างขนาดนอนได้สองคน วางไว้กลางห้องโดยมีผ้าขาวคลุมไว้อย่างดี มุ้งสายพาดไว้ที่มุมเสาทั้งสองข้าง เบาะผ้าบางๆที่ทำจากนุ่น ผ้าห่มแพรผืนสีฟ้า แค่ผมเห็นเพียงเท่านี้ ผมก็แทบจะกระโดดลงไปนอนให้หายเมื่อยแล้ว
“พ่ออัชย์” ในขณะที่ผมกำลังล่องลอยไปกับจินตนาการในการนอนเตียงนุ่มๆนี้ จู่ๆหมอนั่นซึ่งปกติก็เดินเหมือนแมวย่องอยู่แล้วก็มาโผล่ประชิดหลังก่อนจะเรียกชื่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมหันหลังกลับเพื่อจะออกไปหาเขา
แต่เมื่อหันกลับไปใบหน้าของหมปีย์ก็แนบหน้า ผมผงะตกใจก่อนจะหงายหลังล้ม หมอปีย์คว้าแขนไว้
เราสองคนสบตากัน มันช่างเหมือนในละครน้ำเน่าตอนหัวค่ำเสียจริง ฉากที่พระเอกคว้านางเอกไว้ก่อนที่หล่อนจะล้ม นางเอกสบตาพระเอก ทั้งๆที่พยายามอย่างมากที่จะหลบเลี่ยงความรู้สึกที่มีต่อพระเอก แต่ทันทีที่ได้สบตา หล่อนก็เหมือนดั่งต้องมนต์สะกด
“พ่ออัชย์ พ่ออัชย์” หมอปีย์เรียกสติ ผมสะดุ้งเล็กน้อย นี่เราถูกหมอนั่นสะกดจิตหรือ
“เฮ้ย” ผมร้องเสียงดังข่มความเขินขาย “จับแขนทำไม ปล่อย” ผมบอก
“ปล่อยไปประเดี๋ยวเจ้าก็ล้มตึง”
“ช่างเหอะ ปล่อย เอ้ ปล่อยสิวะ” ผมดิ้น ทันใดนั้นโดยไม่ได้เตรียมตัวหมอปีย์ปล่อยมือเขาจากแขนผม จากท่าที่คว้างเคว้งอยู่แล้ว เมื่อไม่มีมือคอยดึง ผมจึงล้มลงบนเตียงอย่างแรงเสียงดัง ตึง!!!
“โอ้ยยยยยยย โอ้ยยยย ไอ้หมอ” ผมโอดครวญ “ปล่อยแม่มไม่ดูจังหวะกูเล้ย โอ้ย ริดสีดวงกูแตกซ่านแล้ว โอ้ย” ผมนอนร้องดินไปดิ้นมาบนเตียง จริงๆมันไม่ได้เจ็บมากหรอก แต่เพียงแค่เมื่อล้มตัวลงบนเตียงนุ่มๆแล้วนั้น กลับไม่อยากลุกขึ้นอีกเลย จึงหาข้ออ้างนอนดิ้นบนเตียงนุ่มๆ
“สำออยนัก เจ้านี่” เขายิ้มนั่งลงใกล้ๆผม ที่นอนพาดเตียงแผ่หลา
“เตียงนี่สบายจังเลยหมอ นุ่มอ่ะ ชั้นไม่ได้นอนเตียงนุ่มๆแบบนี้มาน๊านนนนนนมาก” ผมลากเสียงยาว
หมอปีย์ นั่งมองผมเหม่อมองเพดาน อมยิ้มอย่างมีความสุข
“ที่บ้านชั้นนะ เตียงนอนของชั้นกว้างกว่านี้อีก แถมนุ่มเด้งดึ๋งๆเลยหล่ะ แล้วบนเตียงก็มีหมอนข้าง หมอนอิง สารพัดหมอนเลยบนนั้น เพราะว่าชั้นกลัวผีมานอนด้วย เลยต้องหาอะไรมาสุมๆไว้บนเตียง” ผมหัวเราะขำในความไร้สาระของตนเอง แต่ในความคิด กลับมีภาพเตียงนอนนั้นอย่างชัดเจน
“อ้อ แล้วสมัยชั้นแตกเนื้อหนุ่มนะ ใต้เตียงชั้นเต็มไปด้วยหนังสือโป๊เลยแหละ”
“หนังสือโป๊?” หมอปีย์เอียงคอ
“อื้อ หนังสือโป๊ หนังสือที่มีรูปผู้หญิงแก้ผ้าน่ะ”
“แก้ผ้า?”
“ใช่ แก้ผ้า”
“เปลือยนะรึ”
“อืม”
“ไม่ใส่อะไรเลยรึ”
“ใช่ อล่างฉ่าง อะบะละฮ่า”
หมอปีย์กลืนน้ำลายดังเฮือก สีหน้าดูกระอักกระอ่วน
“บางทีก็มีรูปผู้ชายกับผู้หญิงซ่ำกันด้วยนะ” ผมนึกอยากจะล้อหมอปีย์
“ซ่ำ?”
“หมายถึง Featuring นะ”
เครื่องหมายคำถามปรากฏเต็มหน้าหมอปีย์
“เออๆ ช่างเหอะ” ไม่สนุกเอาเสียเลย
“หญิงในสมัยเจ้ามีหญิงงามเมืองมากกระนั้นรึ”
“ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะ “หญิงงามเมืองในความหมายนายเป็นไงหล่ะ” ผมยกขาชันเข่าขึ้นมาในท่าสบาย
“ก็ เอ่อ เอ่อ” หมอปีย์ก้มหน้านิ่ง นิ้วมือพันไปจนจะเป็นเกลียวอยู่แล้ว
“พูดมาเหอะหมอ ไม่งามชั้นรู้ แต่ว่า ไม่งามสักครั้งเหอะนะ”
“หญิงงามเมืองก็หมายถึง หญิงที่ปล่อยตัว เข้าหาชาย จับมือถือแขนชายในที่รโหฐาน แล้วก็ เอ่อ”
หมอปีย์ยังไม่ทันพูดจบผมก็แทรกขึ้น
“โอ้ย ถ้าหญิงงามเมืองคือหญิงแบบที่นายว่านะ สมัยชั้น ก็คงงามทั้งประเทศแล้วหล่ะ”
หมอปีย์ทำหน้าตกใจราวกับเห็นผี เขาอ้าปากค้าง จนผมต้องลุกขึ้นนั่ง เอามืองัดคางปิดปากเสียงดังกั๊บ
“ไม่ต้องตกใจไปหรอกหมอ สมัยชั้นน่ะ รับวัฒนธรรมตะวันตกมามาก การที่ผู้หญิงจับมือถือแขน กอดกัน หรือแสดงความรักต่อกันกับผู้ชาย ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้หญิงไม่ดี เพียงแต่มันเป็นการแสดงความรักในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น”
“ไหนเจ้าบอกว่าเรามิเป็นเมืองขึ้นพวกฝรั่งมังค้องไง ไฉนจึงรับเอาวัฒนธรรมบัดสีแบบนั้นมาได้” เขาส่ายหัว
“เอาไว้นายไปบ้านเมืองชั้นแล้วนายจะเข้าใจ” ผมตัดบทเพราะเหนื่อยใจจะอธิบายให้หมอนั่นฟัง
“ชั้นไปอาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวมาก” ผมลุกขึ้นหยิบผ้าผ่อนในตู้ก่อนจะเดินลงไปจากเรือน