A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1118640 ครั้ง)

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
ใครก็ได้ ช่วยหมอปีย์กับเจ้าอัชด้วย :sad4:

ออฟไลน์ none_ny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
ลุ้นมากมาย มาต่อเร็ว ๆ น้า

ออฟไลน์ ๛゙★βra_11!☆゙

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 503
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-1
ไอ่หยา หมออ :a5:

ออฟไลน์ Ciin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
โอ้ยยย ตัดตอนอย่างนี้เอามีดมากระซวกกันดีกว่าาา T^T

กะลังไคลแมกซ์เลยค่ะ

ฮือออ หมออย่าตายนะๆๆๆ
สนก็ช่วยเป็นพยานให้อัชย์หน่อยว่าหมอเอาชามอัชญ์ไปกินเอง ฮือๆๆๆ :sad4:

ออฟไลน์ pkjoe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ทำไมถึงมาทำกับพ่ออัชย์ของข้าได้

ออฟไลน์ →Yakuza★

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-0
ทำไมทำกับเราอย่างนี้  :sad4: ทิ้งให้เราใจเสียอ๊าาาาา
ได้โปรดรีบๆมาต่อเถอะน๊ะ 

ออฟไลน์ คุณหมาหยอกไก่

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 877
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +90/-2
นังชงโค กะอีคำแก้ว  มรึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

อิชั่ววววววววววววววว  !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ออฟไลน์ kit

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-3

• เมื่อเสร็จแล้วจึงนำไปต้มรวมกับไก่ และเคี้ยวไปจนเนื้อเปื่อย
เมื่อได้ที่จึงให้บ่าวช่วยกันเลาะกระดูกไก่ เอาแต่เนื้อก่อนจะเคี้ยวต่อไป
ระหว่างที่เคี้ยวไก่อยู่นั้น ผมก็หันไปทำกับข้าวอย่างที่สองอย่างคล่องแคล่ว
ว้าย เถคนี้คของเชฟโอปอ....ท่าทางจะเปื่อยดีมาก
ทุ่มทุนสร้างจริงๆ....แต่กิต.คงไม่กล้าชิมนะคะ หุหุ

๔๒๘ + ๑ = ๔๒๙
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด


supery

  • บุคคลทั่วไป
งานนี้พ่ออัชย์ก็ทำไม่ถูก ในเมื่อรู้ว่าสองพ่อลูกมีแผนร้ายขนาดจะฆ่าหมอจรัสก็ไม่ควรจะเก็บเงียบเอาไว้ น่าจะเตือนให้เจ้าตัวได้รู้ แล้วก็อาจจะไม่เชิญมางานเลย คนระวังหรือจะสู้คนจ้องทำร้าย

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
จะเลิกดู ชิงร้อยชิงล้าน ก็บัดนี้แหละ ทุกครั้งที่กำลังขะเหมงเกรียว พี่นายต้องหาเรื่องแวบไปดู แก๊งสามช่าทุกที  :m16:
+1 ให้ตามธรรมเนียม พร้อมรอดูชะตากรรมของ เจ้าบ้า  :เฮ้อ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
 :serius2:
แล้วจะแก้ไขสถานการณ์ยังไงต่อไปละนี่  :z3:

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
อยาก :beat: นังชงโค กับนังคำแก้วจริงๆ
ร้ายมากเลย
สงสารพ่อัชย์ เป็นแพะรับบาปซะงั้น หมอปรีย์ :sad4:
อยากให้รักกันเหมือนเดิม :z3:

e_new

  • บุคคลทั่วไป
โอ้ยๆๆๆ ค้างๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
วันนี้เอามาด้วยน๊าาา TT^TT

eat2tea

  • บุคคลทั่วไป
ถึงเวลาของหนูวาดแล้วที่ต้องพูดความจริง ว่าเป็นฝีมือของนางคำแก้วและนางชงโค  :beat:

ช้านขอยืนยันเลยว่าหมอปีย์ไม่มีทางรักคนชั่วอย่างพวกนางหรอก  :angry2:

ออฟไลน์ Isuru

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 307
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ค้างได้อีกค่ะ อ๊ากกกกกกก หมอปีย์อย่าเป็นอะไรนะ
พ่ออัชย์จะโดนจับป่ะเนี่ย เกลียดยัยชงโคกับคำแก้วมากกกกก

รอตอนต่อไปจ้า

Mickii

  • บุคคลทั่วไป
ตัดฉับตอนนี้ทรมานจิตใจกันน่าดูเชียววว

ยัยสองคนนั้นมันร้ายจิงๆๆ แล้วหนูวาดจะไม่ช่วยพ่ออัชช์เลยรึเนี้ยยย

รู้สึกว่ายิ่งใกล้จบ ยิ่งเครียด ยิ่งดราม่า อย่าเยอะเลยอ่ะ ทำใจรับ บ่ ได้

cotone

  • บุคคลทั่วไป
อ....ฮืออออออออออออออ

เกลียดนังชงโคที่สุดเลย ทำอย่างนี้ได้ยังไง อร๊ากกกก อัชย์น่าสงสาร

หมอปีย์ไม่น่าหึงไม่เข้าท่าเลยนะหมอ ปกติจะชมว่าน่ารักอยู่หรอก แต่ทำตัวน่ารักแล้วโดนวางยานี่!! ไม่ได้เกลียดสนเป็นการส่วนตัวนะ แต่ให้สนกินไปน่ะดีแล้วววว อย่างน้อยก็ยังมีหมอปีย์รักษา

ว่าแต่นี่หมอจรัสโดนวางยาด้วยมั้ยเนี่ย??? เป็นลูกตาลเหมือนกันนี่o.o แง๊... มาทำให้ลุ้นแล้วจากไปนะคะคุณคนเขียน

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
มันตั้งใจนี่หว่า !! ต่อไวๆนะคะ ขอไปอ่านหนังสือสอบก่อน

~@Alice@~

  • บุคคลทั่วไป
กริ๊ดดดดดดด  :a5:
มาต่อเร็วๆเถอะค้า ตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้ว~  :serius2:
ชอบหมอปีย์มากมายอ่ะ แอร๊ยยย ><
อย่าให้หมอปีย์เป็นอะไรน้าาาาาาาาาา
เจ้าอัชย์ก็อย่าเพิ่งกลับยุคปัจจุบันล่า ดูแลหมอปีย์ก๊อนนนนนน

กริ๊ดดด  นังชงโค กะ นังคำแก้วววววววว กร๊าซซซซซซ :m31:

ออฟไลน์ n2

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +113/-4
หมอปีย์จะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี้ย
แถมอัชย์ยังถูกใส่ร้ายอีกแย่จริงๆ :serius2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“ปอ ปอ” เสียงอบอุ่นที่คุ้นเคยดังขึ้นในความมืด
“ปอ ลูก ตื่นได้แล้วมานอนทำอะไรในเรือนเก่าอย่างนี้หล่ะลูก” ฉับพลันก็รับรู้ถึงมือที่อ่อนโยนสัมผัสที่ใบหน้า
“แล้วนี่เป็นอะไรหึ ฝันร้ายเหรอ ร้องไห้น้ำตาไหลเหมือนเด็กๆเลย”
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆอย่างยากลำบาก รู้สึกปวดหัวตุบๆเหมือนโดนของแข็งตี ตาทั้งสองข้างค่อยๆลืมขึ้น แต่แสงสว่างภายนอกทำให้ผมต้องหรี่ตา
“มาทำอะไรตรงนี้หล่ะ ปอ” ผมหันไปตามเสียงและก็พบว่าหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆนั้นคือแม่ผมนั่นเอง
“แม่!” ผมถลาเข้ากอดเธอจนร่างเซไปข้างหลัง สีหน้าของเธอแปลกใจที่จู่ๆผมก็โผเข้ากอดเธอแบบนี้
“ปอ เป็นอะไรรึเปล่าลูก”
“แม่ เกิดอะไรขึ้นกับปออ่ะ แม่ บอกปอทีเกิดอะไรขึ้นกับปอ” ผมกอดเธอพลางเขย่าตัว เสียงร้องโฮด้วยความตกใจ เพราะภาพหมอปีย์ยังตาตรึงในความคิด อีกทั้งเสียงสุดท้ายที่เรียกผมว่า “ไอ้ฆาตกร”ก็ยังดังก้องอยู่ในหู”
“ก็ปอหายไปไหนมาทั้งคืน ปอบอกแม่ว่าจะไปกับมุกไงลูก แล้วปอก็ไม่กลับบ้าน  ตอนเย็นแม่ได้ยินเสียงดังมาจากในเรือนครัวเก่าก็เลยเข้ามาดู เห็นปอนอนหมดสติอยู่ในนี้น่ะลูก” แม่อธิบาย
ผมนิ่งงัน ค่อยๆคลายมืออกจากร่างของแม่ ในสมองคิดเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้น
“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นชั่วคืนเองเหรอ  นี่เราแค่ฝันไปจริงๆเหรอ” ผมหันไปมองรอบๆ ข้าวของที่เคยหล่นกระจัดกระจายเพราะแผ่นดินไหว กลับถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเหมือนมันไม่เคยหล่นร่วงมาก่อน
นาฬิกาไขลานก็วางแน่นิ่งอยู่ที่เดิมในที่ของมัน
“ปอ  เข้าบ้านกันก่อนเถอะลูก ในนี้มันอึดอัด”

แม่พยุงผมออกมาจากเรือนครัว ทันทีที่ออกมาจากในนั้น ผมก็รับรู้ได้ว่าผมอยู่บ้านจริงๆ เรือนคุณชั้น เรือนหมอจรัส ท่าน้ำ โรงรถ เรือนหลังสวน บัดนี้หายไปจนหมดสิ้น
แสงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำทำให้รู้ว่าเวลานี้นั้นเย็นย่ำมากแล้ว ทุกคนในบ้านนั้นไม่มีท่าทีแปลกใจเลยที่เห็นผมเดินโซเซเข้ามาพร้อมบาดแผลจากการถูกอาทำร้าย เพราะพวกเขาคงเห็นผมกลับมาในสภาพนี้จนชินชา แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันนะ ครั้งนี้ผมไปเจออะไรมาพวกเขารู้บ้างมั๊ย
ความสับสนที่อยู่ในใจผมตอนนี้คือ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ตกลงมันคือความฝันหรือความจริงกันแน่
ผมเฝ้าคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่สนใจคำพูดของแม่ที่คอยซักไซ้เลย

“โอ้ย” แล้วจู่ๆผมก็รู้สึกปวดแปล๊บที่หัวเหมือนโดนเข็มจิ้มจนต้องเอามือกุมขมับ
แม่ถลาเข้ามาโอบผมไว้ ก่อนจะหันไปร้องขอยาแก้ปวดจากแม่บ้านมาให้ผม
ยาแก้ปวดสองเม็ดถูกกลืนกินเข้าไปอย่างยากลำบาก ผมล้มตัวลงนอนหลังจากนั้นไม่นาน และในที่สุดก็หลับไปอย่างอ่อนเพลีย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2011 21:51:04 โดย เซ็งเป็ด »

ออฟไลน์ หัวเเม่มือ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 804
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
ปวดตับเหลือเกิน

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“ไอ้ฆาตกร มึงมันฆาตกร”
 “เลี้ยงเสียข้าวสุกแท้ๆ”
“เสียแรงข้าไว้วางใจ”
“ป้า หนูวาดกลัว อย่าให้อัชย์เข้าใกล้หนูวาด”
เสียงจากประโยคสั้นๆเหล่านั้นวนเวียนไปมาซ้ำๆ เหมือนเทปที่ถูกกรอกลับไปกลับมา ผมไม่ได้ฝันถึงอะไร เพียงแต่ได้ยินเสียงเหล่านั้นแว่วมาตามลมในความมืด เสียงของชงโค หมอจรัส คุณชั้น หนูวาด
“ผมไม่ได้ฆ่าหมอ ผมไม่ได้ทำ” ปากที่ขมุบขมิบพอจับใจความได้ พยายามที่จะส่งสารไปให้พวกเขาเหล่านั้น แต่ดูเหมือนมันจะเบาเกินไป

“ครืดดดดดดดดดดดดดด”  เสียงผ้าม่านถูกเปิดออก พร้อมๆกับแสงสว่างจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอน
บัดนี้ผมรู้สึกตัวเองกำลังนอนอยู่ในผ้านวมผืนอวบอุ่น บนเตียงและหมอนที่อ่อนนุ่ม  เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆอยู่ภายนอก ยิ่งทำให้แน่ใจว่าผมได้กลับมาอยู่ในโลกปัจจุบันแล้ว
“กี่โมงแล้ว” ผมพยุงตัวเองขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน
“สิบเอ็ดโมงค่ะ คุณปอ เป็นไงบ้างคะ ดีขึ้นหรือยัง นอนไปเต็มอิ่มเชียว” เสียงแม่บ้านพูดเจื้อยแจ้วอย่างลืมตัว เธอพูดมากเกินไปสำหรับผมในตอนที่ผมเป็นปอคนก่อน เธอก็เหมือนจะรู้ตัวว่าไม่ควรพูดกับผมเกินกว่าห้าคำ จึงหันมาขอโทษด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ถ้าผมเป็นปอคนก่อน ผมคงตวาดเธอลั่นบ้านไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม
“นี่ชั้นนอนหลับไปกี่วัน” ผมบิดขี้เกียจพร้อมหาวโดยไม่สนใจจะฟังสิ่งที่แม่บ้านพยายามจะขอโทษ
“สองคืนค่ะคุณปอ” แม่บ้านทำสีหน้าแปลกใจที่ผมไม่แสดงอาการเกรี้ยวกราดเหมือนที่ผ่านมา แต่เธอก็รีบเปิดผ้าม่านและรีบออกจากห้องผมไป

ทันทีที่แม่บ้านคล้อยหลังไปจากห้อง ผมก็คิดขึ้นมาถึงเหตุการณ์ที่เรือนหมอจรัส คิ้วทั้งสองข้างเริ่มขมวด ผมระดมความคิดและสมองทั้งหมด พยายามกวาดเอาความทรงจำที่เรี่ยราดกลาดเกลื่อนเข้ามาให้เป็นรูปเป็นร่าง
ผมใช้เวลาครุ่นคิดอยู่บนเตียงเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็หาเหตุผลได้แล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง ผมไปที่นั่นมาจริงๆ และที่ผมได้กลับมายุคปัจจุบันก็คงเป็นเพราะอาการเจ็บท้ายทอยตนหมดสติครั้งนั้น


“แม่ เดี๋ยวปอขอออกไปหอสมุดนะ” ผมพูดหลังจากที่กวาดเอาอาหารบนโต๊ะยัดใส่ลงกระเพาะด้วยความหิวโหย


หอสมุดแห่งชาติในวันธรรมดานั้นเหมือนหอสมุดร้าง ผู้คนบางตา อาจเป็นเพราะว่าคนกรุงเทพฯนั้นต้องทำงานในช่วงเวลานั้น นักเรียนนักศึกษาก็ต้องเรียน การที่จะมานั่งอ่านหนังสือที่นี่คงทำได้ยาก
ผมเดินเข้ามาในห้องโถงชั้นหนึ่ง ภาพๆนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ผมรู้ทันทีเลยว่าอีกไม่กี่อึดใจผมจะเดินไปหาประชาสัมพันธ์สาวสวยคนนั้น เพื่อถามเธอว่า
“ขอโทษนะครับ หนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ ห้าอยู่ตรงไหนครับ”  และเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ผมเดินไปตามบันไดไม้ที่พาวนขึ้นไปบนชั้นสามตามคำแนะนำของประชาสัมพันธ์สาว อาคารของที่นี่เหมือนกับโรงเรียนเก่าแก่สมัยโบราณ หนังสือถูกจัดแยกไว้ในห้องต่างๆเรียงรายตามทางเดิน ด้านหลังนั้นกำลังก่อสร้างอาคารใหม่เพื่อรองรับหนังสือที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ

“302” ผมเอานิ้วไล่ชั้นหนังสือตามที่ประชาสัมพันธ์คนนั้นบอก
“เอ ไหนว่าอยู่ตรงนี้ไง ไม่เห็นมีเลย” ผมเปรยกับตัวเอง เมื่อไล่หาหนังสือที่ต้องการจนหมดทุกชั้น
เมื่อหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ผมจึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่ประจำชั้นอีกครั้ง เธอก็ยืนยันคำเดิมว่าหนังสือที่ผมต้องการอยู่ตรงนั้น
ผมกลับมาหาอีกครั้งอย่างตั้งใจ แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่พบ
“หาหนังสือเล่มนี้อยู่เหรอ” เสียงหญิงสูงอายุคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง ผมหันไปตามเสียงนั้นและก็ต้องแปลกใจ
หญิงคนนี้ผมเคยเจอเธอมาหนหนึ่งแล้วที่นี่ ผมจำได้ ครั้งนั้นเธอพูดอะไรบางอย่างกับผม ใช่เธอแน่ๆ
“รึเปล่า?” เธอถามย้ำอีกรอบเมื่อเห็นผมนิ่งไป ผมเลื่อนสายตามมาดูหนังสือในมือเธอ
“เหตุการณ์สำคัญในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”
“ใช่ครับ เล่มนี้แหละครับ” ผมพยักหน้ารับ “แต่เอ ป้าครับ เราเคยเจอกันที่นี่รึเปล่า” ผมแกล้งถาม
“ทำไมเหรอ” หญิงผู้นั้นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ผมรู้สึกว่าผมเคยเจอป้าที่นี่มาก่อน”
“โธ่ ฉันน่ะหน้าโหล เธอคงจำผิดคนแล้วหล่ะ” เธอวางหนังสือลง ก่อนจะหันหลังกลับและหยุด แล้วหันมาที่ผมอีกครั้ง
“อ้อ พ่อหนุ่ม สิ่งใดควรแก้ก็จงแก้ สิ่งใดแก้ไม่ได้ก็ปล่อยมันไปเถอะนะ” หญิงลึกลับยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินหายไปทิ้งความสงสัยไว้เบื้องหลัง
“โอ้ย อะไรกันเนี๊ยะชีวิตกู จะมีคนพูดให้กูเข้าใจง่ายๆสักคนมีมั๊ย” ผมนึกรำคาญที่ช่วงหลังมานี้เจอแต่ปมที่ขมวดแน่นในชีวิต
หลังจากที่พยายามเลิกสนใจในสิ่งที่หญิงคนนั้นพูดทิ้งไว้จนสำเร็จ ผมก็หันมาสนใจหนังสือที่อยู่ตรงหน้า
“มันต้องมีสิ ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงมันต้องมี” ผมภาวนาในใจให้สิ่งที่ผมคิดเป็นจริง หนังสือถูกเปิดค้างไปที่หน้าสารบัญ นิ้วมือไล่อ่านไปอย่างรวดเร็ว
“พระเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้น
พระนางเรือล่ม
ประหารนายทองอยู่”
และจนเกือบบรรทัดสุดท้ายนั่นเองที่ทำให้ผมหน้าซีดมืออ่อน
“วางยาหลวงพินิจ”
ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกอย่างบอกไม่ถูก ลังเลที่จะเปิดไปยังหน้านั้น
ในใจร่ำร้องเพียงแต่คำว่า ไม่จริง หมอปีย์ต้องไม่ตาย ไม่จริง
ผมกลัวที่จะเปิดหน้านั้น ผมคงใจสลายแน่หากต้องอ่านและพบว่าหมอปีย์ต้องตายจริงๆ
ตอนนี้มือของผมสั่นไปหมด เหงื่อซึมออกมือทั้งๆที่อากาศในห้องนั้นหนาวมาก เสียงหัวใจเต้นตุบๆอย่างหนัก
“ขออย่าให้เป็นหมอเลย” ผมภาวนาก่อนจะเปิดไปหน้านั้นและอ่านมันช้าๆอย่างระมัดระวังไม่ให้ตัวหนังสือตกหล่นไปเลยแม้แต่ตัวเดียว

“ข้าหลวงโรเบิร์ต ปานีย์ ได้บันทึกไว้ว่า ร่างของหลวงพินิจนั้นหล่นร่วงลงกับพื้นราวใบไม้เหี่ยวเฉาร่วงลงจากต้น ไม่นานนักผู้คนบริเวณนั้นก็กรีดร้องด้วยความตกใจ หญิงคนหนึ่งตะโกนร้องออกมาพลางชี้ไปที่ชายหนุ่มที่ประคองหลวงพินิจเอาไว้ บ่าวเรือนนั้นต่างกรูกันเข้าไปจับกระชากลากถูชายแปลกหน้าผู้นั้นออกไป ข้าพเจ้าหาได้ทราบชื่อชายผู้นั้นไม่ มิรู้ว่าเป็นผู้ใดมาจากไหน
 ร่างของหลวงพินิจถูกนำส่งโรงหมอ แต่หลวงพินิจได้สิ้นไปเสียก่อนจักถึง ข้าพเจ้ามิทราบเรื่องราวหลังจากนั้น ทราบแต่เพียงว่า หมอจรัสได้ถูกส่งตัวกลับมะริกัน แลส่วนคุณหญิงเยาวภาโสภณนั้น ทางการได้ตั้งข้อหาวางยา ทำให้คุณหญิงต้องโทษจำคุกแลถูกริบเรือน
ภายหลังจากคดีสิ้นสุด ทางการของบริเตนได้สรุปว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจเกิดขึ้นเพราะต้องการลอบฆ่าหมอชาวบริเตนที่มาร่วมงาน แลข้ออ้างนี้ได้ถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของข้ออ้างในการยึดดินแดนของสยามในเวลาต่อมา”

ผมทิ้งมือทั้งสองข้างลงข้างตัวอย่างหมดแรง นี่มันอะไรกัน เรื่องราวต่างๆมันจบลงเพียงแค่นี้หรือ ผมย้อนเวลากลับไปทั้งที แต่ทำอะไรไม่ได้เลย ผมช่วยชีวิตหมอปีย์ไว้ไม่ได้ ล้างมลทินให้คุณชั้นไม่ได้ ทำไม่ได้แม้แต่จะตะโกนออกไปว่าผมไม่ใช่ฆาตกร

ออฟไลน์ none_ny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
ตกลงมาแค่นี้เหรอคะ งั้นคนอ่านก็ใกล้จะหลับอย่างอ่อนเพลียเหมือนกัน ^^''

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
ด้วยสมองที่ว่างเปล่า หัวใจที่ล่องลอย ผมขับรถเลียบไปตามถนนราชดำเนิน ที่ที่สมัยก่อนถนนเส้นนี้เคยได้ชื่อว่าถนนที่สวยที่สุด ถนนข้าวสาร ถนนที่เรือสำเภาต่างแบกข้าวเป็นกระสอบมาเพื่อค้าขายกันละแวกนั้น   ถนนดินสอ ถนนเส้นที่ร้านตัดเสื้อที่รำพึงเคยทำงานเป็นลูกจ้างตั้งอยู่ แต่บัดนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป

 บนถนนที่รถติดอย่างหนักเพราะฝนที่ตกโปรยปรายนั้นเอง ที่ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาย
ผมไม่สะอึกสะอื้น
ไม่คร่ำครวญ
ไม่โวยวาย
ผมแค่นั่งนิ่งๆ ทอดสายตามองสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระ แล้วจู่ๆน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง
“หมอ ชั้นทำไม่ได้ ชั้นช่วยชีวิตนายไว้ไม่ได้”
น้ำตาทุกหยดหยาดไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างเหมือนกับน้ำที่ไหลมาจากภูเขาสูง แต่ละหยดล้วนกลั่นมาจากความเจ็บปวดภายใน ความคับแค้นใจ และความห่วงหาอาทรที่คนๆนึงซึ่งตั้งแต่เกิดมาไม่เคยห่วงใยใครนอกจากตัวเอง แต่บัดนี้ เขากำลังหลั่งน้ำตาให้กับคนที่อยู่ในอดีต คนที่ไม่มีทางมีตัวตนจริงๆในวันที่เราต้องการใครสักคนตอนนี้ได้

 น้ำตานี้ดูเหมือนจะไม่มีวันหยุด

“พอ พอได้แล้ว” ผมบังคับตัวเองให้หยุดการไหลบ่าของห่าน้ำตา
“ชั้นบอกให้พอไง พอได้แล้ว” แต่เหมือนยิ่งเร่งเร้าให้มันไหลมากขึ้นไปอีก
“หยุดซะที หยุด!!!” มือทั้งสองข้างกระแทกพวงมาลัยรถอย่างแรง พร้อมทั้งเหยียบเบรกรถจนเสียงดังเอี๊ยด
หลังจากนั้นผมจึงฟุบลงกับพวงมาลัยปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างสุดจะกลั้นอีกต่อไป
“พอเถอะ พอเสียที”
.
.
.
.
.
.
ผมปล่อยให้น้ำตานั้นไหลออกมาจนพอใจ เสียงฮือๆจากความเจ็บปวดที่สะอื้นให้ออกมาดังเป็นระยะๆ ตัวที่สั่นเทาจากความร้าวรานที่หาทางออกไม่ได้กำลังพลุกพล่านอยู่ข้างใน มือที่บีบพวงมาลัยแน่นจนนิ้วเกร็งชานั้นเสมือนว่ากำลังจะพยายามปลดปล่อยความทุกข์ใจที่ท่วมท้นออกมา
หยดน้ำตาหยดหนึ่งไหลหยดลงมาที่ตักก่อนจะซึมหายไป
แต่ความทรมานที่อยู่ข้างในไม่เป็นเช่นนั้น

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
รถยนต์จอดไว้ริมถนนที่สองข้างทางพลุกพล่านไปด้วยคนเดินกางร่ม ผมเดินลงจากรถโดยปราศจากร่ม จะไปกลัวอะไรกับอีแค่น้ำฝนประปราย สองเท้าพาสารร่างมุ่งหน้าไปวัดภูเขาทอง ที่ที่ผมกับหมอปีย์เคยมีความทรงจำดีๆด้วยกันที่นี่
ในที่สุดผมก็มาถึงเชิงบันไดทางขึ้นภูเขาทอง ก่อนเดินขึ้นไป ผมตั้งจิตอธิษฐานอย่างแรงกล้า
“ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมขอโอกาสอีกสักครั้ง ขอให้ผมได้กลับไปที่นั่นอีกสักครั้ง”
เมื่อตั้งใจแน่วแน่แล้ว ผมจึงค่อยๆก้าวย่างเท้าขึ้นบันไดทีละขั้น ๆ และแต่ละขั้นผมจะอธิษฐานเหมือนเดิมทุกครั้ง ว่าขอให้ผมได้กลับไปอีกสักครั้ง
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดผมจึงย้อนกลับไปในอดีต คงเป็นเพราะปมในใจ และแรงอธิษฐานอันแรงกล้าที่จะกลับไปแก้ไขอดีตนั่นเองที่ทำให้ผมกลับไป
ผมต้องกลับไปช่วยหมอปีย์ ล้างมลทินให้คุณชั้นและหมอจรัส อีกทั้งแก้ไขประวัติศาสตร์ที่ว่า ชาวสยามหมายจะลอบฆ่าหมอชาวอังกฤษเพื่อให้เกิดข้ออ้างทางการทูตเพื่อที่อังกฤษจะได้เอาข้ออ้างนี้ไปต่อรองเรื่องดินแดน

สองเท้าพาผมเดินขึ้นมาถึงบันได้ขั้นสุดท้ายพร้อมกับคำอธิษฐานซ้ำๆ ผมหยุดยืนสูดหายใจ มองไปรอบๆ บัดนี้ฝนได้หยุดตกแล้ว แสงอาทิตย์ยามเย็นได้ถือโอกาสออกมาทำหน้าที่ของมัน กรุงเทพฯยามนี้ แตกต่างจากสยามเสียเหลือเกิน
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ ยกเว้นเวลา เวลาตัวเดียวที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะเวลา จึงทำให้ผมได้กลับไปหาคนที่ผมรัก และเพราะเวลาอีกเหมือนกันที่พรากผมออกมาจากเขา

ผมเดินเข้าไปภายในด้วยจิตที่สงบนิ่ง มีเพียงเรื่องเดียวที่คิดในหัวคือ ทำอย่างไรผมถึงจะสามารถกลับไปได้อีก
พระบรมสารีริกธาตุถูกบรรจุไว้ในแก้วครอบงามวิจิตร ผมคุกเข่าประนมมือ  ภาวนาในสิ่งที่ต้องการ ใช้เวลาไม่นานผมก็ต้องออกมาเพราะมีผู้คนมาต่อแถวสักการะอยู่เป็นจำนวนมาก
บันไดสีแดงที่มุมห้องนั้นเขียนป้ายว่าทางขึ้น ผมจึงเดินไปตามทาง และพบว่าบันไดนั้นพาผมขึ้นมาตรงจุดสูงสุดของภูเขาทอง

สายลมเย็นพัดโชยมาเบาๆ วิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯที่สวยงามเช่นนี้ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อน การอยู่บนนี้ช่างแตกต่างจากการอยู่ข้างล่างมาก ตรงนั้นผมรู้สึกอึดอัด ทุกอย่างดูเคลื่อนไหวตลอดเวลา ผู้คน รถรา ผิดกับตรงนี้ที่ดูเหมือนทุกอย่างจะสงบนิ่ง
สงบนิ่งพอที่จะทำให้ผมคิดถึงคืนนั้น.....


คืนนั้นหากหมอปีย์ไม่แย่งเอาถ้วยขนมผมไป เขาคงไม่ต้องมารับเคราะห์แทนผม
“แต่เอ  แสดงว่าคนที่คนร้ายอยากให้ตายไม่น่าจะใช่หมอปีย์ แต่ควรจะเป็น....ผม”  เมื่อคิดถึงตอนนี้  ผมก็ยิ่งพบเงื่อนงำมากขึ้น
ใครกันที่อยากให้ผมตาย ผมไม่ได้มีศัตรูที่ไหนที่นั่นนี่นา ยกเว้น.........

“คืนนั้น”  ผมค่อยๆเรียบเรียงความคิด “ชงโคยื่นอะไรให้คำแก้ว ก่อนที่หล่อนจะเดินไปที่เรือนคุณชั้นพร้อมหนูวาด และเราก็เห็นเธอกำลังสั่งให้หนูวาดทำอะไรกับขนมในถาด”
เมื่อผมคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็นึกขึ้นได้หมอปีย์ตายเพราะถูกวางยา เพราะฉะนั้น สิ่งที่ชงโคยื่นให้คำแก้วจึงน่าจะเป็น
“ยาพิษ”

“แล้วทำไมต้องให้หนูวาดเป็นคนใส่”

ผมสงสัย เพราะลำพังงานแค่นี้ คำแก้วคนเดียวทำก็น่าจะได้
“หรือการที่ให้ยายหนูวาดทำก็เพื่อจะโยนความผิดนี้ให้กับหนูวาด เอ  หรือไม่ก็....คุณชั้น”
เรื่องราวค่อยๆคลี่คลายทีละนิดๆ ผมก้มลงมองเบื้องล่างด้วยแววตาครุ่นคิด
“แล้วทำไมต้องฆ่าเราด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะฆ่าเรา  นอกจาก..............”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เงื่อนงำต่างๆก็คลี่คลายลง  แผนการนี้ต้องเป็นแผนการของสองพ่อลูกนั่นแน่ๆ ผมไม่ใช่เป้าหมายหลักในการลอบวางยาครั้งนี้ คนที่สองพ่อลูกนั้นหวังปลิดชีวิตก็คือหมอจรัสมากกว่า จากการที่ชงโคยกขนมลูกตาลกะทิสดมาให้หมอจรัสโดยจงใจ และขนมนั้นก็เป็นแบบเดียวกับที่ให้ผม เพราะจงใจจะฆ่าผมเหมือนกันโดยคิดไม่ถึงว่าหมอปีย์จะแย่งไป
การฆ่าหมอจรัสถือเป็นเป้าหมายของพระยาบริรักษ์เพื่อต้องการยึดอำนาจหมอหลวงและสร้างความแตกแยกระหว่างชาวสยามกับพวกอเมริกาที่เป็นเหมือนหอกข้างแคร่ของอังกฤษในยามนั้น นั่นแสดงว่าพระยาบริรักษ์ต้องเป็นหนอนบ่อนไส้ให้กับอังกฤษเป็นแน่
ส่วนการฆ่าผมน่าจะเป็นแผนที่เพิ่งคิดขึ้น และคนที่คิดแผนชั่วร้ายนี้คงไม่พ้นชงโคเป็นแน่ เธอคงอาศัยจุดอ่อนของคำแก้วที่หวาดระแวงเรื่องผมกับหมอปีย์มาตลอดเพื่อยุยงให้คำแก้ววางยาผมโดยหวังให้ผมออกไปจากชีวิตหมอปีย์
“เลวชาติ” ผมกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ คนสยามคิดอัปรีย์ขายชาติเช่นนี้ ไม่น่าจะมีโอกาสได้อยู่ในแผ่นดินสยามเลย

มือทั้งสองข้างกำรั้วเหล็กที่กั้นระหว่างเบื้องบนกับเบื้องล่างไว้ ผมตัวสั่นด้วยความโกรธเพราะรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ มันจบลงแล้ว ผมช่วยหมอปีย์ไว้ไม่ได้ ผมทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว











อากาศเริ่มอึมครึมขึ้นอีกครั้ง เมฆก้อนใหญ่ครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า สายลมจากที่พัดเอื่อยๆ กลับค่อยแรงขึ้นแรงขึ้น
ผู้คนบนนั้นต่างทยอยกันเดินกลับลงไปข้างล่าง แต่ผมยัง ผมยังไม่กลับ
จนกว่าผมจะได้วิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อีกครั้ง






“อ้าว ปอ ไปไหนมา” เสียงแม่ร้องทักในขณะที่เห็นผมกำลังเดินเปียกปอนเข้ามา
“ไปทำธุระหน่อยน่ะแม่”
“จะทานอะไรร้อนๆหน่อยมั๊ย เดี๋ยวแม่ให้นกไปทำอะไรมาให้รองทอง”
“ไม่หล่ะครับ ไม่หิว”
ความรู้สึกหิว ร้อน กระหาย หรือสัมผัสพื้นๆนั้นหัวใจผมไม่รับรู้อีกแล้ว เพราะสิ่งเดียวที่มันรับรู้ได้ตอนนี้คือความทรมาน

ผมล้มตัวจมลงไปกับความอ่อนนุ่มของเตียง เหมือนตัวเองกำลังจะหายไปจากโลกนี้และไปปรากฏตัวอีกโลกที่ใจถวิลหา นั่นมันความฝัน แต่ความจริงแล้วนั้นผมยังคงอยู่ที่นี่........ ที่เดิม
“นี่เราจะไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกแล้วเหรอ” ผมพร่ำบ่นกับตัวเองก่อนจะหลับตาและจมดิ่งไปพร้อมกับความทุกข์อันอึมครึม

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
หมอปีย์ T____________________T

ชงโค คำแก้ว พระยาบริรักษ์ แกเลวมากกกกกก!

ทำไมคุณชั้นต้องโดนแบบนั้นด้วย ทั้งๆที่ไม่ได้ผิดอะไรเลย

ขอให้ปอได้กลับไปอีกครั้งด้วยๆๆ TT

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
ทุกวินาที
ทุกนาที
ทุกลมหายใจ
ทุกความเป็นไป
ของที่นี่
มันช่างเนิ่นนานและเชื่องช้า ผมซึ่งกลับมาสู่โลกปัจจุบันแต่ตัว แต่หัวใจและวิญญาณกลับจมปลักอยู่กลับอดีตและดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น
ทุกเช้าของที่นี่นั้นก่อนผมจะลืมตาขึ้นมา จิตภาวนาขอให้ภาพแรกที่ผมเห็นคือหลังคามุงกระเบื้องดินเผาสีแดงสดของเรือนหมอจรัส  แต่เมื่อค่อยๆลืมตาขึ้นมากลับพบว่าผมกำลังจ้องมองเพดานคอนกรีตสีขาวอยู่
มันเหมือนเช้าของทุกวันไม่เปลี่ยนแปลง ที่ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่า
“มันจบแล้ว” เรื่องราวทั้งหลายที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ มันได้จบลงแล้ว
สวรรค์ได้ให้โอกาสผมหลายต่อหลายครั้งแล้วในการกลับไปแก้ไขอดีต แต่ผมละเลยที่จะทำมันอย่างจริงจัง ถึงตอนนี้มันคงสายไปเสียแล้วจริงๆ
ทุกๆเช้าเป็นอยู่อย่างนี้ จนกระทั่ง...........................





นับจากวันนั้น วันที่ผมฟื้นขึ้นมาในห้องครัวในสภาพน้ำตานองหน้า จนถึงวันนี้ เกือบจะ 20 ปีไปแล้ว
ความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆเลือนรางไปตามกาลเวลา มีบางเสี้ยววินาทีที่ผมรู้สึกถึงแววตาอันอบอุ่น เสียงเรียก”พ่ออัชย์”อันหวิวไหวมาตามสายลม สัมผัสได้ถึงอ้อมกอดและกลิ่นกายอันคุ้นเคยและระลึกถึง
แต่ผมก็ยุ่งเกินไปที่จะมีเวลามานั่งเรียกร้องอดีตที่ผมเดินทางห่างไกลออกมามากเกินที่จะกลับไปแล้ว

หลังจากวันที่ผมถูกพ่อกับแม่จับส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากมีอาการซึมเศร้าและซูบผอม เพราะไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ เอาแต่นอนซมอยู่ในห้องนอน ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
แม่นั้นมักจะแวะเวียนเข้ามาดูอาการด้วยความเป็นห่วง ส่วนพ่อนั้นนานๆจะกลับมาบ้านหลังนี้สักครั้ง
จนคืนหนึ่ง ขณะที่ผมนอนเบิกตาโพรงในความมืดนั้นเอง ผมได้ยินเสียงเขาคนนั้นลอยมาตามลม มาจากที่ไหนสักแห่งที่ไม่ไกลจากหน้าต่างบ้านผมมากนัก เสียงคุ้นเคยนั้นกล่าวทักทายผมด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน เขาถามผมว่า “ไยเจ้าจึงมัวแต่นอนซมอยู่เยี่ยงนี้เล่า ลุกขึ้นเถิด พ่ออัชย์ ลุกขึ้น เจ้ายังมีหลายอย่างที่จักต้องทำ” เสียงแผ่วเบานี้ลอยมาแล้วก็ลอยไปตามลม
ผมกระชากตัวลุกขึ้นอย่างแรงด้วยความหวังในแววตา ยังจำได้แม่นยำว่าเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นมันเสียงหมอปีย์ ดวงใจของผมแน่นอน
“หมอ” ผมลุกขึ้นจากเตียง เปิดประตูออกไปจากห้องครั้งแรกในรอบเกือบเดือน ก่อนจะเดินโซซัดโซเซ ไปตามระเบียงทางเดินห้องนอนและทางลงบันได
เมื่อมาถึงบันได ขาของผมเกิดอ่อนแรงทรุดลงและทันใดนั้นผมก็กลิ้งตกลงจากบันไดอย่างแรง จนต้องหามส่งโรงพยาบาล
และในคืนที่นอนให้น้ำเกลืออยู่ในโรงพยาบาลนั้นเอง ที่ผมได้สติ และคิดได้ว่า ทุกอย่างมันจบลงแล้ว ผมกลับมาแล้วจริงๆและไม่มีวันได้กลับไปแก้ไขอะไรที่นั่นอีก ในช่วงแรกผมอาจสับสนในอดีตกับปัจจุบันที่มันผูกพันกันจนยุ่งเหยิง แต่คืนนั้นผมคิดได้ ว่าผมควรจะจบมัน จบอดีตนั้นเสีย แล้วลุกขึ้นทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่ออนาคตเสียที

ทันทีที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมจึงได้สร้างความแปลกใจครั้งใหญ่ให้กับแม่ นอกจากที่ผมยอมลุกขึ้นมามีชีวิตปกติอีกครั้ง ผมยังสร้างความประหลาดใจให้กับแม่ด้วยการบอกเธอว่า ผมจะดูแลร้านอาหารไทยเอง

นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ 20 ปี ด้วยวัย 50 ปี ผมได้เป็นเจ้าของร้านอาหารไทยที่ขยายสาขาไปถึง12 แห่งทั่วโลก โดยที่แม่ได้อยู่ดูความสำเร็จของผมแค่สาขาที่ 6 แต่นั่นก็ทำให้เธอภูมิใจมาก ที่ร้านอาหารไทยที่ใกล้สิ้นลมหายใจของเธอถูกผมชุบชีวิตและเจริญเติบโตอย่างงดงาม

ผมอยู่คนเดียวหลังจากนั้น ไม่มีใครมาแทนที่หมอปีย์ได้ ผมไม่ได้พยายามมองหาใครมาเป็นคู่ชีวิต เพราะรู้สึกอยู่เสมอว่าคู่ชีวิตของผมเขากำลังรอผมอยู่ หรืออาจเดินทางมาหาผมจากที่ไหนสักแห่ง
บางห้วงเวลา เช่นระหว่างนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไป บอสตัน หรือระหว่างที่ผมกำลังนั่งรออาหารไทยที่คิดค้นขึ้นใหม่มาเสริฟ ผมจะนึกถึงเขา หมอปีย์
เพราะทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าของเขา ผมจะรู้สึกได้ทันทีว่าผมมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ที่ทนเหน็ดเหนื่อยและดิ้นรนทุกวันนี้เพื่ออะไร
ถึงความทรงจำเหล่านั้นจะเริ่มเจือจางในความทรงจำ แต่ยังคงเด่นชัดในความรู้สึกผมอยู่เสมอ
“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”  นี่คือคำพูดตามลมครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยิน และมาถึงวันนี้ผมทำได้ ผมมีชีวิตอยู่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ แม้หมอปีย์ คนที่ผมรักที่สุดจะไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ผมก็รู้ว่าเขารับรู้และยิ้มมาให้ผมจากที่ไหนสักแห่ง

ออฟไลน์ pandorads

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
นี่....เรื่องมันจะจบแล้วเหรอค่าา TT^TT
ไม่เอานะ  :z3: :sad4:
ยังไม่อยากให้จบเลยอ่ะ เศร้าเกิ๊นนน

ออฟไลน์ หัวเเม่มือ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 804
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
คิดว่าหมอคงมาเกิดใหม่ใช่ไหมอ่ะ หรือไม่อัชย์ตาแล้วย้อนไปกรุงศรี หรือไม่ไปเจอกันบนสววรค์ดาวดึง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด