A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1117571 ครั้ง)

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
พรุ่งนี้มาต่อนะ ขอดูคนอวดผีก่อน แฮ่ๆ :really2:

ออฟไลน์ eaey

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 280
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

a-mee-ra

  • บุคคลทั่วไป
คุณพี่เซ็งเป็ดขาาาาา จะมีรวมเล่มมั้ยคะ อยากมีไว้ในครอบครองค่ะ ! ! !

 :z10:

aj_yj

  • บุคคลทั่วไป
คนอวดผีน่ากลัว  :sad4:

Mickii

  • บุคคลทั่วไป
จะได้เจอกันแล้วใช่มั้ย..... สิ้นสุดการรอคอยเสียที

น้ำตาคลอ... สงสารพ่อัชช์มาก

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
วันนี้มาไหมคะ?? ไม่ทำอะไรแล้วนอนรอ  :t3:

aj_yj

  • บุคคลทั่วไป
รอพี่เป็ด =3=

ออฟไลน์ Ciin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ชอบตอนของหน้า 91 มากๆ ที่อัชญ์มีชีวิตอยู่ต่อไปเพราะหมอปีย์

แล้วอัชญ์ย้อนเวลาไปแบบแก่ๆหลอ?? แล้วหมอปีย์ละคะตายแล้วนี่นา T^T

Zymphoniz

  • บุคคลทั่วไป
กลับมาแล้ว  :m15:

BlueFaith

  • บุคคลทั่วไป
และแล้ว.... ก็ยังไม่มา    :serius2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Zymphoniz

  • บุคคลทั่วไป
วันนี้จะมามั้ยน้ออออ อยากอ่านต่อแล้ว  :เฮ้อ:

Gallavardin_phen

  • บุคคลทั่วไป
 :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:
คิดถึงหมอปีย์มากกกกกกกกกกกกกกก มาต่อเร็วๆนะคร๊าบบบบบบบบบ
อ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึงทวิภพ

อ๊บๆ

  • บุคคลทั่วไป
ฉันยังรอคอยปาฏิหารย์............. :man1:

maxsextex

  • บุคคลทั่วไป
อยากอ่านต่อครับ  ขอบคุณนะครับ  หุหุ

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“เจ้าอัชย์ เป็นอันใด ยิ้มเหมือนคนบ้า” สนนั่นเองที่ย้ำความรู้สึกว่าผมกลับมาแล้ว ผมอยู่ที่นี่จริงๆไม่ได้ฝันไป
ช่วงวินาทีนั้น สมองยังสับสน ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อสลัดตัวเองออกจากความมึนงงที่อยู่ขณะนี้ มันยากจะแยกให้ออกว่าอันไหนคือความฝันอันไหนคือเรื่องจริง
แต่เมื่อได้ยินเสียงของสน ผมก็แน่ใจได้ทันทีว่ามันคือความจริง
เสี้ยววินาทีนั้นผมอยากจะลุกขึ้นสำรวจว่าตัวเองยังคงเป็นชายวัย 50 หรือว่ายังเป็นหนุ่มเหมือนเดิม แต่ไม่มีเวลาแล้ว เพราะทันทีที่ผมกลับมาผมก็เห็นหมอปีย์กำลังถือช้อนและจะตักขนมในถ้วยนั้นกิน
แรงอธิษฐานของผมเป็นผล
ผมได้กลับมาแล้ว
และผมจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก
“หมอ” ผมกระโจนตัวพุ่งข้ามสนไปหาหมออย่างแรง  “อย่ากิน” แล้วก็ปัดช้อนที่มีขนมในมือหมอหล่นพื้นได้ทันเวลา
มันเกิดขึ้นเร็วมาก เหตุการณ์มันมาแทบจะไม่ให้ผมได้ทันตั้งตัว จริงๆถ้าจะย้อนเวลาให้กลับมาก็น่าจะย้อนไปไกลกว่านี้หน่อย นี่อะไรย้อนมาซะเสี้ยววินาที ถ้าผมแก้ไขมันไม่ทันอีก ผมไม่ต้องทนทรมานไปชั่วชีวิตอีกเหรอ
แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆผมก็ห้ามหมอปีย์ได้ทันแล้ว
ช้อนหล่นลงบนโต๊ะ ทุกคนในโต๊ะ มองผมเป็นตาเดียวด้วยความงุนงง หมอจรัสเองก็ชะงักไป
“เป็นอะไรของเจ้า” หมอปีย์ถาม
“อย่ากินหมอ อย่ากินขนมนั่น” ผมละล่ำละลักตอบ
“ทำไมเราจักกินไม่ได้”
“กินไม่ได้ บอกว่ากินไม่ได้ก็ไม่ได้สิ ขนมนั้นมี  ยาพิษ!!!” ผมตอบ และทันใดนั้นทุกคนบนโต๊ะที่ฟังภาษาไทยออกก็วางช้อนลงและแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
“ขนมมียาพิษ อย่ากิน” ผมตะโกนร้องห้ามเสียงหลง พลางโบกไม้โบกมือ
เสียงมโหรีหยุดบรรเลง
“don’t eat that, it’s poisoned”
ผู้คนในงานต่างแตกตื่น หมอปีย์ลุกขึ้นปรี่เข้ามาจับแขนผมไว้
“ทำอันใดของเจ้า”
“หมอ เชื่อชั้น อย่าให้ใครกินขนม ในนั้นมียาพิษจริงๆ” ผมจับมือหมอเขย่าก่อนจะจ้องมองสายตาเว้าวอนให้เขาเชื่อในสิ่งที่ผมพูด
หมอปีย์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันไปทางหมอจรัสแล้วพยักหน้า
“สน ให้คนเก็บถาดขนมออกไป” หมอจรัสสั่ง
ทันทีที่หมอสั่งสน ท่านก็หันไปบอกคนของท่านให้รีบเข้ามาจับตัวผมไว้ทันที
“หมอขอรับ ท่านทำอันใดน่ะขอรับ” หมอปีย์ถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นคนมาลากผมออกไป
“ข้าขอสอบสวนมันก่อน เรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็กไม่” หมอจรัสตอบ
ผมนั้นไม่มีอาการตกใจแม้แต่น้อยเพราะคิดอยู่แล้วว่ามันต้องออกมาอีรูปนี้ ยินยอมให้บ่าวในเรือนจับโดยดี
แขกเหรื่อเริ่มมองมาที่ผมด้วยสายตาหวาดหวั่น พวกเขาซุบซิบกัน
ชงโครีบปรี่ไปหาพ่อของหล่อน ผมเห็นเขาทั้งสองคน คำว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรใช้ไม่ได้สำหรับผม
ผมมันพวกบาปหนา อาฆาตพยาบาท หากสองพ่อลูกนั้นไม่ได้รับกรรมในสิ่งที่ตัวเองก่อต่อหน้าผม ผมคงจะไม่มีวันสบายใจ บางครั้งกรรมเวรก็มาสนองช้าเกินไป ผมขอเป็นผู้ส่งกรรมให้แก่สองพ่อลูกนั้นเอง
“หมอจรัสขอรับ กระผมขอโทษนะขอรับ กระผมทำตามคำสั่งพระยาบริรักษ์น่ะขอรับ” ผมชี้ไปที่สองพ่อลูก ที่ตอนนี้ยืนไม่ติดพื้น
ทุกคนหันไปที่สองพ่อลูกนั่น หมอจรัสหันมามองผม เหมือนเขาก็คงรับรู้อะไรบางอย่าง เขาพยักหน้ากับผมเชิงเข้าใจ
“เจ้าแน่ใจนะ” เขาถาม
“ขอรับ” ผมพยักหน้ายืนยันหนักแน่น ไม่นึกเสียใจที่ทำแบบนี้ เพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้หมอจรัสเชื่อได้ ผมยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้เรื่องมันจบ หากแค่บอกความจริงว่าพระยาบริรักษ์และชงโคเป็นคนทำคงไม่มีใครเชื่อ และคนที่จะเดือดร้อนคือคุณชั้นที่เป็นคนปรุงอาหารขึ้นมา ผมนั้นไม่เป็นไรอยู่แล้วเพราะสุดท้ายหากโชคดีก็คงจะได้กลับยุคปัจจุบันของผม แต่หากโชคไม่เข้าข้าง ต้องมาทิ้งชีวิตเสียที่นี่ก็ไม่คิดเสียดาย
“ไปจับสองคนนั่นมา” เสียงหมอจรัสก้องกังวานและเด็ดขาด
พระยาและลูกสาวถูกลากเข้ามาในเรือนพร้อมผม ส่วนแขกคนอื่นๆนั้น สนและรำพึงทำหน้าที่แก้ปัญหาอยู่ข้างนอก
“บังอาจมาก พวกมึงเป็นไพร่ บังอาจมาแตะตัวกู ปล่อย” เสียงพระยาบริรักษ์คำรามอยู่ในลำคอ
“ปล่อยกูนะ ปล่อย กรี๊ดๆๆ” ส่วนลูกสาวตัวดีนั้นตอนนี้ดีดดิ้นอย่างหมดรูป

ผมและทั้งหมดถูกลากเข้ามาในห้องโถงบนเรือน หมอจรัสสั่งให้คนปิดประตูลงกลอนแน่นหนา
หมอปีย์นั้นบอกให้บ่าวเอามือออกจากผม เขาจะเป็นผู้คุมผมด้วยมือของเขาเอง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำ โทษมันรุนแรงมากนัก” หมอจรัสถาม
“เอ่อ ผม......” ตอนนี้เริ่มรู้สึกกลัว กลัวแววตาหมอจรัสขึ้นมาเสียแล้ว หมอปีย์เหมือนจะรับรู้ความกลัวนั่น เขาลูบมือผมเบาๆ
“ผมรู้ครับ แต่........” ในหัวตอนนี้พยายามคิดหาคำที่ดูน่าเชื่อถือที่สุด ผมไม่ได้โกหกใส่ความสองพ่อลูกนั่น สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง เพียงแต่ความจริงนั่นต้องอาศัยผมเป็นตัวสื่อเท่านั้น มันถึงจะปรากฏ ไม่อย่างนั้นคนชั่วก็ย่อมยังคงลอยนวล
“แต่พระยาบริรักษ์เป็นคนสั่งขอรับ”  หมอปีย์บีบมือผมแน่น เหมือนจะถามผมว่าผมกำลังคิดจะทำอะไร
“ไอ้ชาติชั่ว มึงเอาเรื่องอันใดมาพูด” พระยาบริรักษ์เต้น
“พระยาบริรักษ์ให้กระผมเอายาพิษไปใส่ในอาหารขอรับ หากกระผมไม่ทำ พระยาจักทำร้ายครอบครัวกระผมขอรับ”
หมอจรัสหันไปหาพระยานั่น
“จริงกระนั้นรึ ท่าน”
“จะบ้ารึ เราจักทำเยี่ยงนั้นไปไย หมอเชื่ออ้ายไพร่นี่กระนั้นรึ”
“จริงๆนะขอรับ ไม่เชื่อเรียกคำแก้วมาถามก็ได้ขอรับ คำแก้วเธอรู้ว่ากระผมเป็นคนทำ”
ผมโยนไปหาผู้ร่วมก่อการณ์อีกคน เพราะแน่ใจว่าสองคนนั้นคงไม่กล้าเรียกคำแก้วมาแน่ๆ

บรรยากาศภายในห้องเริ่มอึดอัดมากขึ้น รับรู้ได้ว่าสองพ่อลูกนั่นกำลังหวาดกลัวเพราะสีหน้าและแววตาวิตกกังวลอย่างชัดเจน แต่พวกเขายังไม่ยอมรับง่ายๆ
หมอจรัสเห็นว่าสุดกำลังแล้วจึงส่งตัวสองพ่อลูกให้กับทางการสอบสวนในเวลาต่อมา

ส่วนผมนั้นอันที่จริงต้องไปกับสองพ่อลูกนั้น แต่ด้วยเพราะหมอปีย์ขอร้อง
“หมอจรัสขอรับ กระผมขอให้อัชย์อยู่ที่นี่คืนนี้ได้มั๊ยขอรับ กระผมมีเรื่องจะสอบสวน”
“อืม แต่วันรุ่งขึ้น ทางการจักส่งคนมารับมันไป เจ้าช่วยเป็นธุระจัดการให้ที ข้ามีเรื่องจักต้องเข้าวัง”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2011 11:27:37 โดย เซ็งเป็ด »

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
เมื่อเหตุการณ์กลับสู่ความสงบ ความเงียบก็ครอบคลุม เวลาเกือบ สามทุ่ม ณ ขณะนั้น ผมยังคงสับสนว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นถูกหรือผิด
ผมไม่ได้ออกจากห้องนั้นอีกเลยหลังจากนั้น คุณชั้นฝากบ่าวมาถามไถ่ เพราะไม่เชื่อว่าผมจะทำเรื่องเลวร้ายพรรค์นั้น ส่วนหมอปีย์นั้น หลังจากคล้องกุญแจลงกลอนอย่างแน่นหนาก็หายไปกับหมอจรัส

ผมนั่งลงบนเตียงรับรู้ได้ว่า คืนนี้ตัวเองได้กลับมาอยู่ในโลกที่ใจเรียกร้องมาตลอดในสภาพที่ยังหนุ่ม แต่เพียงแค่กลับมาเพื่อมายอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ร้าย มันจะดีเหรอ
ผมคงทำให้ใครหลายต่อหลายคนผิดหวัง
คุณชั้นคงจะเสียใจที่อุตส่าห์ให้โอกาส และสั่งสอน
หนูวาดเองก็คงจะผิดหวังที่ผมไม่ได้เป็นพี่ชายที่ดีอย่างที่คิด
ที่สำคัญหมอปีย์ เขาคงจะ..................
“กริ๊ก”  เสียงไขกุญแจดังขึ้นหน้าห้อง คงไม่ใช่บ่าวที่หมอจรัสสั่งให้เฝ้าไว้แน่ เพราะพวกนั้นไม่มีกุญแจ
“แอ๊ดดด” เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมตะเกียงเจ้าพายุ แสงจากตะเกียงเผยให้เห็นใบหน้าของหมอปีย์ที่เต็มไปด้วยความกังวล
ทันทีที่เขาหันหลังลงกลอนประตู ผมไม่รอช้า ถลาตัวโผเข้ากอดเขาด้วยความคิดถึง
ผมรอคอยเวลานี้มากว่าสามสิบปี ถึงแม้มันจะเป็นความฝันหรือความจริงก็ตาม แต่มันก็ยาวนานมากสำหรับการรอคอยใครสักคน
สำหรับหมอปีย์ผมคงทำให้เขาแปลกใจ
แต่สำหรับผม กลิ่นกายและไออุ่นของเขาคือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดตอนนี้
“หมอ ชั้นคิดถึงนาย”  นี่คือคำพูดที่กลั่นกรองมาจากความคิดถึงที่สั่งสมมาถึงสามสิบปี ผมไม่รู้ว่าคำพูดไหนจะแทนความรู้สึกได้ดีเท่านี้อีกแล้ว
ผมกอดเขาแน่นราวกลับกลัวใครจะมพรากเขาไป
หมอปีย์ยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะดึงตัวผมออก
“เจ้ารู้ตัวมั๊ยว่าเจ้าทำอะไรลงไป” สีหน้าของเขาเคร่งเครียด
“รู้สิหมอ เพราะรู้ตัวชั้นถึงทำ” ผมพูดพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่หมอปีย์ล้มฟุบลงกับพื้นเพราะยาพิษ
“เจ้าโกหก เรารู้ว่าเจ้าโกหก ทำไมถึงทำเยี่ยงนี้”
มือทั้งสองข้างของหมอปีย์บีบแน่นที่ไหล่จนผมรู้สึกเจ็บแปลบ
“บอกเรามาสิว่าทำไม” เขาเขย่าตัวผม
“ทำไม อัชย์ ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้”
แล้วหมอปีย์ก็ทรุดลงไปกับพื้น เขาคุกเข่าก้มหน้า  ผมนั้นได้แต่ยืนแน่นิ่งตกใจกับภาพตรงหน้า ไม่คิดว่าหมอจะเป็นแบบนี้
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วสิ หมอปีย์หายไปไหนมากันแน่


“หมอ” เมื่อได้สติ ผมจึงคุกเข่าลงใกล้เขา มือที่แตะบ่าเขานั้นทำไปโดยไม่รู้สึกตัว
“หมอฟังชั้นก่อนนะ ชั้นมีเหตุผล”  ผมประคองร่างหมอให้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
“ชั้นไม่ได้เป็นคนวางยา นายพูดถูก”
เขาเงยหน้าขึ้นมอง
“แต่ที่ชั้นทำไปก็เพื่อปกป้องนาย ปกป้องหมอจรัส ปกป้องคุณชั้น และปกป้องสยาม”
“เจ้าพูดเรื่องอันใดของเจ้า”
“หมอ ชั้นรู้แล้วว่าชั้นกลับมาที่นี่เพราะเหตุใด ฟังชั้นนะ นายจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่ชั้นจะพูดมันคือความจริง ในประวัติศาสตร์ที่ชั้นเพิ่งกลับไปเจอมา พระยากับชงโควางแผนจะฆ่าหมอจรัส และชั้น แต่นายกลับเป็นคนที่ต้องตายเสียเอง หลังจากนั้นพระยาก็โยนความผิดให้ชั้น และเอาเรื่องทั้งหมดไปแจ้งทางการและพวกอังกฤษ ทำให้ทางการสั่งเนรเทศหมอจรัส และริบเรือนคุณชั้น ส่วนอังกฤษเองก็อ้างเรื่องนี้เพื่อแบ่งดินแดนสยาม”
หมอปีย์แน่นิ่งไป
“ชั้นกลับภพปัจจุบันและต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างทุกข์ทรมาน  นายไม่รู้หรอกว่ามันทรมานแค่ไหน ชั้นเฝ้าภาวนาทุกค่ำคืนขอให้ได้กลับมาแก้ไขสิ่งเลวร้ายนี้อีกครั้ง จนวันนี้ซึ่งสำหรับนายมันสั้นแค่เสี้ยววินาที แต่สำหรับชั้นมันนานเกือบค่อนชีวิต แต่ชั้นก็ได้กลับมาอีก เพื่อแก้ไขมัน และนี่ชั้นคิดว่ามันเป็นทางเดียวที่ชั้นจะทำได้  นายเข้าใจชั้นมั๊ย”
ผมจ้องตาเขาต้องการเพียงแค่ให้เขาเชื่อมั่นในสิ่งที่ผมทำเพราะตอนนี้ผมแทบไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นใดๆในตัวเองอีกเลย
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลมันจักเป็นเยี่ยงไร” หมอบีบมือผมแน่น
“ชั้นไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าชั้นทำสำเร็จแล้ว ชั้นช่วยนายไว้ได้แล้ว หมอ” ผมโผเข้ากอดหมออีกครั้ง คราวนี้แน่นกว่าครั้งก่อน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ทันจะข้ามคืนนี้มากมายเสียจนผมเรียงลำดับความสำคัญไม่ถูก

“หมอ ชั้นบอกไปหรือยังว่าชั้นคิดถึงนาย”

หมอปีย์ยังคงเงียบ เขาคงยังกังวลกับผลที่กำลังจะตามมาที่ผมยังไม่รู้ แต่แล้วดูเหมือนหมอนั่นจะละทิ้งความกังวลใจนั้นไป เขากอดผมกลับอย่างแผ่วเบา
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า เจ้าให้เราเป็นแค่สหาย” หมอปีย์แหย่
ผมผละออกจากอ้อมกอดเขาแทบจะทันทีที่เขาพูด
มองจ้องไปที่ใบหน้าของเขา  ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
“ลืมมันไปเหอะว่ะ ถือว่าชั้นผายลมออกมาก็แล้วกัน ตอนนี้ คืนนี้ นาทีนี้ นายเป็นของชั้น ใครหน้าไหนก็เอาไปไม่ได้”  ผมยิ้ม
“เจ้าไม่สงสารคำแก้วแล้วเหรอ”
“ขอให้ชั้นได้สงสารตัวเองบ้างเถอะนะ ที่ผ่านมาชั้นรู้แล้วว่า การเป็นคนเห็นแก่ตัว บางครั้งมันก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไปหรอก”

ออฟไลน์ igaga

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
กรีดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ยังไม่ชบแบบนี้ใช่มั๊ยอะ

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“มันนานมากเลยเหรอที่เจ้าจากเราไป”
“นานสิหมอ นานมาก จนนายคาดไม่ถึงเลยหล่ะ”
เขาพยักหน้า
“แต่คราวนี้ ชั้นจะอยู่กับนายที่นี่ตลอดไปแล้วนะเว้ย ชั้นจะไม่กลับไปอีก”

หมอปีย์นิ่งไปจนผมอดสงสัยไม่ได้





“มีอะไรเหรอหมอ”
“เปล่าๆ” เขารีบบอกปัด แต่ผมเชื่อว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ
“หมอ โทษของชั้นมันหนักแค่ไหน ถึงขนาดต้องจำคุกเลยมั๊ย” ผมถาม
แต่หมอปีย์ก็ยังไม่ตอบอะไร เขาเอาแต่จ้องหน้าผมแล้วแน่นิ่งไป
“หมอเป็นอะไรรึเปล่า”
“อ๋อ เปล่าดอก” เขาเหมือนสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา
“ช่างเถอะนะ พรุ่งนี้จักเป็นอย่างไรก็ช่าง  คืนนี้เราขอนอนเป็นเพื่อนเจ้าที่นี่.....เป็นคืน...........”น้ำเสียงเขาขาดห้วง เสียงเรไรร้องระงม ผมแน่นิ่งไป เหมือนไม่แน่ใจในวันพรุ่งนี้


“นะ ยังไงก็เถอะ คืนนี้นอนเป็นเพื่อนหน่อยก็แล้วกัน ชั้นน่ะกลัวผีจะตายไป” ผมฝืนยิ้ม
“ถึงคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ได้นอนกับนาย ก็ขอให้นายทำดีกับชั้นหน่อยก็แล้วกัน คืนหลังจากนี้ คืนที่ต้องนอนคนเดียวในคุก ชั้นจะได้นึกถึงมัน” ผมยิ้ม เหมือนน้ำตาจะไหล
หมอปีย์คว้าผมไปกอดแน่น ร่างเขากระตุกเป็นระยะ
“หมอ” ผมลูบหลังเขาเบาๆ
“ชั้นแค่ติดคุกเองนะหมอ ไม่ได้ตายซะหน่อย อย่ามาทำเป็นร้องไห้หน่อยเลย” ผมปลอบใจหมอ ซึ่งอันที่จริงน่าจะเรียกว่าปลอบใจตัวเองเสียมากกว่า


,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,

คืนนั้นอากาศร้อนอบอ้าว ผมจำได้ ผมขอร้องให้หมอปีย์พาไปอาบน้ำ เพราะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ อีกทั้งวันพรุ่งนี้ยังไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เลยต้องพร้อมไว้ก่อน
ครั้งแรกหมอปีย์ไม่เห็นด้วย เขาพยายามจะเกลี้ยกล่อมให้ผมอาบน้ำบนเรือน แต่ผมรับปากเขาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าผมจะไม่หนีเด็ดขาด เพราะไม่รู้จะหนีไปไหน
เขาถึงอนุญาต แต่ขอไปนั่งเฝ้าเป็นเพื่อน

“หมอ” ผมร้องเรียกเขาออกมาจากฉากไม้ที่กั้นระหว่างเรา “นายว่าพระจันทร์ข้างบนนู่นจะใจดีรึเปล่านะ” ผมถาม เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ทอแสงนวลตา
“ทำไมรึ”
“ก็ชั้นน่ะ ตอนที่จากนายไป ก็เอาแต่อธิษฐานกับพระจันทร์ขอให้ชั้นได้กลับมาหานายอีกครั้ง” ผมนึกย้อนวันที่ตัวเองต้องตื่นขึ้นมาในตอนดึกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงและพบว่าโลกที่กำลังหายใจอยู่นั้น ไม่มีหมอปีย์
“แต่พระจันทร์ก็ไม่เคยให้สนใจฟังชั้นเลยนะ ทุกคืนชั้นจะพูดกับพระจันทร์ดวงเดิมนั้น และถามว่า นายจะมองพระจันทร์ดวงเดียวกับชั้นอยู่หรือเปล่า” ผมนึกขันตัวเองอยู่ในที
“แต่พระจันทร์ก็ไม่ตอบ ชั้นว่าใจร้ายมากกว่านะ ฮ่าๆๆ” แล้วผมก็หัวเราะในความโง่เขลาของตัวเอง
“แต่เจ้าก็ได้กลับมาแล้วมิใช่รึ จักใส่ความว่าพระจันทร์ใจร้ายมิได้แล้วนะ” หมอปีย์หัวเราะในลำคอ
“ที่พระจันทร์มิยอมให้ดั่งเจ้าประสงค์ มิยอมตอบข้อกังขาของเจ้า อาจจักมีเหตุผลก็ได้นะ” หมอปีย์หยุดพูด
“เหตุผลอะไร” ผมถามออกมา
“ก็เหตุผลที่ว่า พระจันทร์คงอยากให้เจ้า รู้ใจตนเองเสียที”

คำตอบของหมอปีย์ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เวลา20 ปีในขณะนั้นได้ทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า ผมรักเขาคนนี้มากแค่ไหน





“เราขอแต่งตัวให้เจ้า ได้หรือไม่”
ผมกลับมาอยู่ในห้องๆเดิม กุญแจถูกคล้องและลงกลอนอย่างแน่นหนาอีกครั้งโดยที่หมอยอมให้ตัวเองถูกขังอยู่กับผมด้วย
ผมถามเหตุผลเขาว่าทำไมถึงต้องมาอยู่กับผมในนี้ด้วย พรุ่งนี้ก็ได้เจอกันอีก
เขาตอบมาเพียงสั้นๆแค่ว่า
“ไม่อยากจากกันไปไหนอีกแล้ว   แม้แต่วินาที”

เท่านี้ผมก็ไม่เซ้าซี้อะไร ปล่อยให้ห้องถูกลงกลอนและยินยอมถูกกักขังหากห้องนี้มีหมออยู่ด้วย
“ขอเราแต่งตัวให้เจ้านะ พ่ออัชย์” น้ำเสียงของหมอปีย์เศร้าสร้อย
เขาค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคอจีนสีขาวที่อบด้วยดอกปีบและเล็บมือนางจนมีกลิ่นหอมเย็น
หมอโอบผมไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ทันทีที่หน้าอกของเขาสัมผัสแผ่นหลัง ผมรู้สึกได้ถึงความรักที่เขามีให้ ความปลอดภัยและอุ่นใจที่ได้อยู่ใกล้เขา ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็ไม่กลัว
เสื้อถูกสวมอย่างช้าๆ เขาใช้มือค่อยๆลูบไล้ให้ผ้าแนบกับลำตัว ผมได้แต่ยืนแน่นิ่ง
“หมอ”
เสียงลมพัดใบมะม่วงไหวริกๆ
“ชั้นจะไม่ทิ้งนายไปไหนอีกแล้วนะ”

...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2011 21:25:28 โดย เซ็งเป็ด »

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
คืนนั้น ผมล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยอ่อน เหมือนการต่อสู้เพียงชั่วข้ามคืนนั้น ได้ดูดกลืนพละกำลังที่มีทั้งหมดไปชั่วพริบตา
ไม่มีใครรู้ว่าคนเลวจะได้รับกรรมอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าที่นี่จะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าผู้คนที่นี่จะดำเนินชีวิตกันไปอย่างไร
 
และที่สำคัญไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ผมกับเขา จะเป็นอย่างไร
 
ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลียที่สะสมมาจากการเดินทางอันยาวนานกำลังจะคร่าสติผมไปจากการตื่นรู้ ผมพยายามอย่างหนักหน่วงที่จะไม่หลับตาลง
เพราะกลัว กลัวเหลือเกินว่า เมื่อตื่นมาวันรุ่งขึ้น ผมจะไม่ได้เจอเขาอีก
 
ความกลัวนี้ทำให้ผมหวาดหวั่นมากกว่าโทษทัณฑ์ที่จะตามมาพรุ่งนี้เสียอีก ตามหลักความจริงในความคิดผม การที่ผู้ร้ายรับสารภาพ โทษมันคงไม่หนักไปกว่าการจำคุกหรอก
“ผมทนได้”
 
บางทีชะตาชีวิตของผมที่ถูกต้องมันควรจะจบแบบนี้ก็เป็นได้



 
“นอนไม่หลับหรือ” หมอปีย์ขยับตัวมาใกล้ๆ เมื่อเห็นผมขยับพลิกตัวไปมา
“นายหล่ะ” ผมถามกลับ
 
“มีเรื่องให้คิด”
“คิดเรื่องอะไรนักหนา อย่างน้อย นายก็...................”ผมเกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่า รอดตายมาได้ 
“หรือว่าคิดเรื่องพรุ่งนี้”
เขาไม่ตอบ แต่ผมแน่ใจว่าคงไม่พ้นเรื่องนี้แน่ๆ

 
“หมอ ช่างมันเถอะ เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ชั้นทำในสิ่งที่คิดว่าทำได้ อย่างดีที่สุดแล้ว  ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว” ความมืดในห้องนั้นเหมือนลอยอ้อยอิ่งไปมาอย่างเชื่องช้า นานๆครั้งถึงจะได้ยินเสียงใบไม้ไหวเพราะแรงลม
“แต่เจ้าก็ไม่น่าล้อเล่นเยี่ยงนั้น”
“ชั้นไม่ได้ล้อเล่น”
“ทำไม ถึงไม่คิดถึงหัวอกคนอื่นบ้าง”
“................................”
“หัวอกเรา”
“คิดสิวะหมอ คิดแล้ว ถึงได้ทำ คิดมากกว่านายด้วยซ้ำไป”
ผมนอนตะแคงข้างหันหลังให้เขา ในขณะที่เขานอนหงายมือก่ายหน้าผาก
 
“นายก็แค่ไปเยี่ยมชั้นที่คุกบ้าง หากมีเวลา เอาอาหารอร่อยๆฝีมือคุณชั้นไปให้ชั้นกินบ้างเวลาที่ร้องขอเพราะเบื่อข้าวแดง............”
“หยุดพูดแล้วนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”
 
เขาตัดบทก่อนจะพลิกตัวเอื้อมมือมากอดผมแน่น
 
ผมจึงหลับตาพริ้มลงได้ด้วยความอุ่นใจ

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
เสียงฟ้าร้องครืนๆปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ หลังจากที่เผลอหลับไปในอ้อมกอดหมอ ก่อนที่จะลืมตา ผมกลัว กลัวเหลือเกินว่าลืมตามาแล้วผมจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีก
แต่จะหนีความจริงไปตลอดก็ไม่ได้ ผมต้องตื่น
และลืมตา
และพบว่า
 
ผมยังอยู่........................
 
“ตื่นนานแล้วเหรอหมอ” ผมลุกขึ้นงัวเงีย บิดขี้เกียจ
หมอหันหน้ามายิ้ม รู้ได้แทบจะไม่ยากว่าเขาไม่ได้นอนเลยทั้งคืน
“นายไม่ได้นอนเลยเหรอ” ผมเดินมายืนใกล้ๆเขา ในห้องมีเพียงเราสองคน ภายนอกบ่าวไพร่หายไปไหนกันหมด บ้านเงียบจนผิดสังเกต ท้องฟ้าก็อึมครึมมาตั้งแต่เช้า
อาจเป็นเพราะร้อนอบอ้าวมาหลายวัน ถึงเวลาที่ฟ้าจะลาแดดแล้ว
 
“เรานอนไม่หลับ” หมอปีย์พูด เขายังคงนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าตาอย่างไร้จุดหมาย
“เป็นอะไรรึเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
 
เขาไม่ตอบ แต่กลับเอนหัวมาพิงที่เอวผม เขาดูหนักมากกว่าที่ผมคิด ผมทำได้เพียงแค่โอบไหล่เขา และอยู่เป็นเพื่อนเขาชั่วขณะที่ความคิดของหมอล่องลอย
 
 
 
“อัชย์”  ความเงียบถูกทำลายลงทันทีที่นกเขาคู่หนึ่งบินมาเกาะกิ่งมะม่วงที่ออกดอกรอฝน
“เราจักตายไปกับเจ้า”  จู่ๆหมอปีย์ก็กระชากผมอย่างแรงจากความเวิ้งว้าง
“ทำไมพูดแบบนี้”
 
หมอปีย์ยิ้ม
 
“ความตายไม่ได้น่ากลัวน้อยไปกว่าการพลัดพรากจากคนที่รักเลย เราอยู่ไม่ได้อีกเป็นแน่ หากเจ้าต้องจากไป”
 
“หมอ พูดความจริงมาเถอะ” ผมเริ่มไม่แน่ใจในชะตาชีวิตตัวเองต่อจากนี้ไปเสียแล้ว
 
น้ำตาจากเบื้องลึกของความรู้สึกที่หมอเก็บมาทั้งคืนเอ่อขึ้นมา ใบหน้าที่อิดโรย น้ำเสียงที่แหบพร่า
 
“โทษของเจ้าหนักนัก พ่ออัชย์ ข้อหากบฏมิใช่เรื่องเล็กดังเจ้าคิด พระยาบริรักษ์ถูกไต่สวนและมีหลักฐานว่าคิดคดกบฎกับพวกบริเตน ดังนั้น เจ้าจึงโดนร่างแหไปด้วย”
 
ผมยืนนิ่งราวกับถูกสายฟ้าฟาด มือแข็งตัวแข็ง เหมือนร่างกายนี้ไม่ใช่ของผมอีกต่อไป
 
“เจ้าจักถูกนำตัวไปประหาร เที่ยงนี้”
ผมเซทรุดลงทันทีที่หมอพูดจบหมอลุกขึ้นจับแขนผมไว้
 
คำพูดปลอบใจของหมอไม่เข้าหูผมอีกเลย เบื้องหน้าท้องฟ้ามืดครึ้ม แต่ยังไม่ดำมืดเท่าความรู้สึกในใจตอนนี้
มันเลวร้ายกว่าที่ผมคิดไว้ ผมไม่ได้ทำใจไว้สำหรับเรื่องนี้ มันชา ชาไปหมดทั้งตัว
 
“พ่ออัชย์  พ่ออัชย์”
...........................
“พ่ออัชย์”
ผมสะดุ้งเฮือก
“หมอ ชั้น  จะ  ตาย  เหรอ” น้ำเสียงที่ไร้อารมณ์นั้นบ่งบอกว่าผมกำลังช๊อก
 
หมอบีบแขนผมแน่น เขาเองก็ไม่รู้จะช่วยผมได้อย่างไร ถ้ามีทางจริงๆเขาคงช่วยไปแล้ว
 
“ชั้น ต้อง ตายเลยเหรอหมอ” ผมยังไม่คิดว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเรื่องจริง
 
“หมอ ชั้นจะต้องตายใช่มั๊ย” และแล้วผมก็ปล่อยโฮออกมาแทบจะทันทีที่หมอปีย์พยักหน้า หมอดึงร่างผมไปกอดแน่น
 
การร้องไห้ของผมครั้งนี้เป็นครั้งที่จริงจังที่สุดตั้งแต่เกิดมา ชีวิตผมต้องมาจบลงที่นี่อย่างนั้นหรือ ผมยังไม่อยากตาย
ยังไม่อยากตาย
ชั้นยังอยากอยู่กับนาย
ยังอยากนั่งคุยกับนายที่ริมน้ำ
ยังอยากอาบน้ำด้วยกัน
กินข้าวด้วยกัน
หัวเราะกัน
เดินข้างๆกัน
 
ชั้นยังอยากทำแบบนั้นอยู่นะ
 
“หมอ” ผมเงยหน้าขึ้นน้ำตานองหน้า แววตาของหมอก็ไม่ต่างกัน
 
“ชั้นยังไม่อยากตาย”
 
 
เขาดึงผมมากอดอีกครั้งและเราทั้งคู่ก็ปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลอยู่เนิ่นนาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2011 22:21:16 โดย เซ็งเป็ด »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“อิจฉานกมันนะหมอ” ผมพูดเมื่อในที่สุดกาลเวลาแม้เพียงชั่วครู่ได้พิสูจน์ว่ามันคือเรื่องจริงที่ผมต้องยอมรับมัน ผมคิดว่าหากการตายของผมจะเป็นประโยชน์แก่คนที่ผมรัก ประเทศที่ผมรัก ก็ไม่เสียดายชีวิต ไม่เสียชาติเกิดแล้ว
เพียงแต่ที่วิตกอยู่ภายในก็คือความกลัว ผมกลัว กลัวความตาย ไม่รู้มันจะเจ็บ จะปวด จะทรมาน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกับร่างกายและจิตวิญญาณของผม ไม่รู้ว่าโลกปัจจุบันผมจะเป็นอย่างไร และที่สำคัญไม่รู้ว่าวิญญาณของผมต้องไปไหน ถ้าหากวิญญาณจะต้องติดอยู่ในมิติแห่งเวลาไปตลอดกาล มันคงจะทรมานมากทีเดียว
 แต่เมื่อหมอปีย์บอกว่า เขาจะอยู่ข้างๆผมตลอดไป ผมถึงได้เบาใจ
“ทำไมรึ”
“มันมีอิสระ”
.
.
 
.
.
“อีกไม่กี่เพลา เจ้าก็จักมีอิสระเหมือนดั่งนกแล้ว”
ผมยิ้ม เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร


“เราจักตายพร้อมเจ้า” หมอปีย์พูดคำนี้อีกครั้ง
 
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะหมอ นายจะตายได้ยังไง”
“ทำไมจะตายมิได้ เจ้าไม่อยู่ เราก็ไม่อยากจะอยู่อีกต่อไป หากเราตาย บางครา ฟ้าอาจจักเห็นใจให้ชาติหน้า เราได้เกิดมาคู่กันจริงๆเสียที”
“ชั้นห้ามนายตายนะหมอ” ผมเอาจริง “คนเราเกิดมาต้องทำประโยชน์ให้คนอื่น หากไม่เช่นนั้นก็เท่ากับเกิดมาเสียชาติเกิด ชั้นตายก็ได้ทำประโยชน์ให้บ้านให้เมือง ให้นายแล้ว ชั้นพอใจ
แต่ถ้านายตายตอนนี้ ผู้คนอีกมายที่อยู่ข้างหลัง หมอจรัส คนป่วย ใครต่อใครที่นายจะทำประโยชน์ให้เขาได้ จะทำยังไง”
 
หมอปีย์นั่งฟังนิ่ง
 
“อยู่ต่อเถอะนะหมอ  มีชีวิตอยู่ต่อ.........อย่างสง่างาม”
หมอปีย์น้ำตาไหลริน
“สักวันเราจะได้เจอกันอีก  ชั้นเชื่อ และนายก็ต้องเชื่อด้วย” ผมกำมือหมอปีย์แน่น
“แต่  แต่เราไม่รู้จักอยู่ต่อไปได้อย่างไร”
 
“ก็อยู่ต่อด้วยความหวังไงหมอ  หวังว่าสักวันเราจะได้เจอกันอีก”
 
ผมยิ้ม ยิ้มทั้งน้ำตา รู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ได้มาเจอผู้ชายคนนี้ คนที่ทำเพื่อผมมาทั้งชีวิตของเขา  ดีใจที่ได้กลับมาอีกครั้ง แม้เพียงเพื่อบอกแค่คำลา

 “ถึงเวลาที่ชั้นจะทำเพื่อนายบ้าง” ผมคิด
 
“ชั้นรักใครไม่ได้อีกแล้วนะหมอ..............”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2011 22:21:52 โดย เซ็งเป็ด »

ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5
เพลง เพราะ จังเรยยย เพลงมาจากไหนคับบ เพราะมากก

ออฟไลน์ igaga

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

ออฟไลน์ pandorads

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
นะ น้ำตาไหลท่วมจอแล้วนะคะ TT^TT
เศร้าเนื้อหา แถมมาฟังเพลงน้ำตาทะลักเลย

ว่าแต่..เพลงนี้คือเพลงอะไรหรอคะ ขอชื่อได้หรือเปล่า เพราะมากกก >.<


ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
 เสียงเคาะประตูดังขึ้น นั่นหมายถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินทางสู่การรับโทษทัณฑ์มาถึงแล้ว
ทั้งๆที่ทำใจไว้แล้ว แต่ก็ยังก้าวขาแทบไม่ออกทันทีที่ประตูเปิด ความรู้สึกที่ค้างคาในใจยังมีมากมาย คำถามต่างๆ ที่ยังไม่ได้คำตอบ หรือแม้แต่ยังทำใจให้เชื่อหมดหัวใจไม่ได้ว่านี่คือเรื่องจริง
หากแค่การหันหลังแล้วปิดประตูขังตัวเองอยู่แต่ในห้องจะทำให้หลุดพ้นจากความตายที่กำลังจะมาถึงได้ ผมคงทำมันทันทีโดยไม่ลังเล

แต่ความจริงมันไม่เป็นเช่นนั้น
ผมไม่โทษใครที่ต้องมาเจอเรื่องน่าเศร้าอย่างนี้
หากความผิดทั้งหมดจะต้องมีคนรับไว้ คนคนนั้นก็น่าจะเป็นผมคนเดียว
ชีวิตของผู้ชายโหลยโท่ย เฮงซวยไม่เอาไหนคนหนึ่ง เดินทางผ่านเรื่องราวมามากมายจนกลายเป็นผู้ชายคนใหม่ที่มีหัวใจ รักคนอื่นนอกจากตัวเองเป็น
ผมถือว่ามันคุ้มค่ากับการได้เกิดมาชาติหนึ่งแล้ว

“ไปกันเถอะ พ่ออัชย์” หมอปีย์ดูสงบนิ่งกว่าเมื่อครู่มาก เขายังคงเป็นหมอปีย์ที่สุขุม และรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ดีเสมอ ผิดกับผมที่ตอนนี้นั้น เหงื่อได้ไหลผ่านแผ่นหลังและฝ่ามือจนชุ่มโชก


ตำรวจยืนอยู่ลานหน้าบ้านประมาณ 5-6 คน พวกเขาแต่งตัวด้วยชุดกางเกงขาสามส่วนและเสื้อสีเขียวขี้ม้า ใส่หมวก และถุงเท้าที่ยาวเหนือเข่า ดูเคร่งขรึม และทะมึงทึงใส่ผม จนผมแทบอยากจะตะโกนบอกความจริงไปว่าผมไม่ได้ทำ ผมโกหก

แต่มันสายเสียไปแล้ว
หนึ่งในพวกนั้นเดินขึ้นมาบนเรือนหวังจะลากผมไป แต่หมอปีย์เดินออกมา
“อย่าแตะต้องเขา เราจักจัดการเรื่องนี้เอง ทำเรื่องที่พวกเจ้าควรจักทำ” ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและท่าทีที่น่าเกรงขามเอาจริงเอาจังนั้น ทำให้ตำรวจนายนั้นถึงกับถอยกรูดออกไป

ผมเดินตามหมอปีย์ลงมาจนถึงลานบ้าน ท้องฟ้ามืดหนัก เมฆฝนตั้งเค้าจะตก ลมพัดกระหน่ำแรงขึ้นจนใบไม้ปลิวร่วง บ่าวไพร่ในเรือนออกมาแอบดูตามซอกมุมแล้วพากันซุบซิบ
ผมเดินก้มหน้านำหน้าโดยมีหมอปีย์เดินเคียงข้าง ตำรวจที่เหลือเดินประกบตามหลัง ทุกย่างก้าวของผมมีความหมาย เพราะทุกครั้งที่เท้าเหยียบย่างลงดิน ผมจะรู้สึกพร้อม พร้อมที่จะเดินไปสู่ความตายอันใกล้เข้ามามากขึ้น

ดอกปีบสีขาวร่วงเต็มพื้นหญ้าสีเขียว กลิ่นดอกลั่นทมโชยมาเหมือนอาลัย เสียงหวิวๆของใบไผ่ลู่ลมยิ่งทำให้ความรู้สึกหม่นหมองลงไปอีก
“เจ้าอัชย์” เสียงเล็กแหลมของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมา
“ยายหนูวาด” หนูวาดยืนเกาะอยู่ริมรั้วใกล้ๆคุณชั้น เธอร้องไห้น้ำตาไหล
“เจ้าอัชย์ อย่าไปนะ อย่าไป” เธอร้องเสียงดัง จนคุณชั้นเอ็ด เธอเองสีหน้าก็ดูอ่อนเพลียเหมือนไม่ได้นอน
เธอเดินตรงมาหาผมก่อนจะกระซิบเบาๆ
“เรามิเชื่อว่าเจ้าจักทำเช่นนั้น เราจักเข้าวังเพื่อหาทางช่วยเจ้า”
“อย่าเลยครับคุณชั้น แค่คุณชั้นเชื่อใจและมีจิตห่วงใยจะช่วยเหลือ กระผมก็ซาบซึ้งจนเกินจะพูดแล้วขอรับ ให้กระผมทำแบบนี้เถอะนะขอรับ”
“เจ้าทำเหมือนครั้งที่ช่วยหนูวาดมิได้รึ หายตัวไปน่ะ” คุณชั้นหมายถึงตอนที่ผมจมน้ำครั้งก่อน
“กระผมทิ้งปัญหาไว้เบื้องหลังไม่ได้หรอกขอรับ  ผลที่จะตามมามันร้ายแรงมาก”
สีหน้าคุณชั้นดูวิตกกังวล
“ผมลานะขอรับคุณชั้น” ผมยกมือไหว้ก่อนจะหันไปยิ้มให้หนูวาด
“อย่าลืมเรื่องที่ผมขอไว้นะครับ ยาย”
หนูวาดพยักหน้าก่อนซบหน้าลงที่มือคุณชั้นและร้องไห้โฮ

บัดนี้ ผมถูกคุมตัวมาอยู่ที่ศาลาริมคลอง เรือจอดเทียบท่าอยู่สามลำ มันโคลงเคลงไปมาตามแรงลมที่พัดน้ำจนเป็นคลื่น ฝนเริ่มลงเม็ด ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ยิ้มให้ท้องฟ้าที่อุตส่าห์ยังมีใจหลั่งน้ำตาให้ผม
“แม่ครับ พ่อครับ ลาก่อนนะครับ ชาตินี้ปอไม่มีโอกาสตอบแทนบุญคุณ ชาติหน้าขอให้ปอได้เกิดเป็นลูกแม่กับพ่อ อีกนะครับ ปอรักแม่กับพ่อเท่าชีวิตปอเองนะครับ” ผมน้ำตาไหลปนไปกับสายฝน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2011 09:46:50 โดย เซ็งเป็ด »

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“ลงเรือบัดเดี๋ยวนี้ ชักช้าฝนตกหนักเข้าจักเสียกาล” ตำรวจนายหนึ่งพูด เขาตรงดิ่งมาจับมือผมแล้วดึงลงเรือลำที่จอดใกล้ที่สุด

“ช้าก่อน เราขอติดตามพวกเจ้าไปด้วย” หมอปีย์ไม่รอช้า ก้าวขาลงเรือและนั่งลงตรงข้ามผม
ตำรวจนายที่เหลือต่างทยอยลงเรือ และเร่งพายออกไป

เรือพายผ่านบ้านของผม ไม่สิ บ้านของคุณชั้น ที่ดูเหมือนจะเงียบงันและปิดหน้าต่างเกือบทุกบาน
ผมใจหายทันทีที่เห็นเรือนครัว มันรู้สึกเหมือนว่าผมจะไม่ได้กลับมาอีกแล้วไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน ผมจะต้องจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ

เรือนหมอจรัสค่อยๆ  เลือนหายไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักจนแทบจะมองไม่เห็นทาง ฟ้าร้องคำรามดังลั่นราวกับพยายามร้องห้ามไม่ให้ผมไป

หมอปีย์นั่งนิ่งไม่พูดอะไรตั้งแต่ตอนก้าวออกจากเรือน เขามองหน้าผมไม่ละสายตา ดวงตาที่แดงก่ำและบวมช้ำนั้น บอกให้รู้ว่าเขาเสียใจแค่ไหน

ณ สยามเวลานี้ ผมมีเพียงสิ่งเดียวที่อยากจะบอกหมอ ว่าผมไม่เคยเสียใจเลยที่ได้ย้อนอดีตกลับมา เจอเขา การเจอกับหมอปีย์เป็นเหมือนการได้เจอแสงสว่างท่ามกลางอุโมงค์ที่มืดทึบ ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ
ครั้งแรกที่ผมเจอหน้าเขา ผมรู้ได้ทันทีว่าชายผู้นี้มีบางอย่างที่พิเศษ ถึงแม้ผมจะพยายามหลีกหนีความรู้สึกที่แท้จริงด้วยการกระทำที่ทำร้ายจิตใจเขาสารพัด แต่หมอก็ยังยืนยันที่จะรักผมอย่างแน่วแน่ โดยไม่สนกรอบประเพณีใดๆทั้งสิ้น

ภาพความทรงจำเก่าๆแล่นเข้ามาอย่างชัดเจน
ภาพที่ผมโวยวายเหมือนคนบ้าที่เรือนคุณชั้น
ภาพตัวเองตอนนอนอยู่ในคุก
ภาพที่เราวิ่งหนีโจรอั่งยี่
ภาพเราทั้งคู่ที่งานภูเขาทอง
ภาพหิงห้อย
ภาพผมในอ้อมกอดเขา
ภาพที่ชะอำ
ภาพทุกภาพชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้น
 มันมีความสุขมาก มากเสียจนผมต้องหลั่งน้ำตาให้น้ำฝนชะล้างไปเสียบ้าง

การลาจากหมอปีย์ และใช้ชีวิตอยู่คนเดียวถึง 20 ปีตอนนั้น มันทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เรารู้ว่าเรารักใคร และรู้ว่าเขาก็รักเราอย่างสุดหัวใจ แต่ไม่มีทางที่จะได้อยู่ร่วมกัน พูดคุยกัน หรือแม้แต่จ้องตากัน มันทรมานสุดจะบรรยาย
ผมเฝ้าอ้อนวอนให้ได้กลับมาหาเขาอีกครั้งอย่างเอาเป็นเอาตาย
จนในที่สุดก็ได้กลับมา ทันทีที่ผมกลับมาเห็นหมออีกครั้ง ผมแทบจะถลาเข้าไปกอดเขาด้วยความคิดถึง รู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ผมได้กลับมา

แต่นั่นมันก็เป็นเวลาสั้นๆ ความจริงที่รอผมข้างหน้านี่สิ คือความจริงที่เจ็บปวดและทรมานจริงๆ

หมอปีย์ยังคงจ้องหน้าผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เขากำลังคิดอะไรอยู่ผมไม่รู้ แต่ด้วยริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้น มันทำให้ผมเป็นห่วง

“หมอ” ผมตะโกนแข่งกับสายฝน
“ชั้นกลัว”
หมอปีย์ขยับมานั่งใกล้ๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอก ไว้ใจเรานะ พ่ออัชย์” เขากระซิบ
ผมมองหน้าเขา คำถามเกิดขึ้นในใจ

และแล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้น หมอปีย์เม้มปากแน่น ก่อนจะถลาเข้าใส่ร่างผม
“ตูมมมมม”
ด้วยแรงที่เขาถาโถมใส่นั้น ทำให้เราทั้งคู่ตกลงไปในคลองด้วยกันอย่างแรง

ผมดิ้นทุรนทุรายอยู่ในน้ำนั้น เสียงฝนดังอยู่รอบๆ ไหนจะเสียงตะกุยน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายของผมยิ่งทำให้เหตุการณ์อลม่านมากขึ้น
หมอปีย์พยายามใช้แขนล๊อคไว้ที่คอ ถึงตอนนี้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร ผมดิ้นรนสุดกำลังเพื่อไม่ให้หมอทำเช่นนั้น เขาอาจตายได้ หรือไม่เช่นนั้นหากรอด ก็อาจถูกดำเนินคดี
“หมออย่า” ผมตะโกน มือทั้งสองข้างตะเกียกตะกาย
แต่พละกำลังของเขามากมายเหลือเกิน ในที่สุด ผมก็หมดแรงปล่อยให้หมอปีย์ลากผมดำดิ่งลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่าง
ภาพความฝันในคืนนั้นผุดขึ้นในหัว ภาพที่หมอปีย์พยายามกดให้ผมจมน้ำ ภาพที่เขาปล่อยมือและทิ้งให้ผมจมดิ่งสู่ความมืดมิด มันคือความจริงหรือนี่

เราทั้งคู่กำลังดำลึกลงไป ยิ่งลึกลงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเงียบสงัดมากขึ้นเท่านั้น ลมหายใจที่ผมกลั้นไว้ บัดนี้กำลังจะหมดลง ผมกำลังจะขาดใจ สติกำลังจะหลุดลอย เห็นแสงสีขาวนวล สลับกับความมืดมิดของท้องน้ำ

นี่เรากำลังจะกลับสู่โลกปัจจุบันใช่ไหม

หมอยังคงลากผมให้ดำลึกลงไปอีก ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมปล่อยจนกว่าผมจะหายไปต่อหน้าต่อตาเขาเป็นแน่
หมอปีย์ คนที่เคยอ้อนวอนไม่ให้ผมทิ้งเขาไป บัดนี้ ต้องกลายเป็นคนผลักไสให้ผมไปเสียเองด้วยความจำใจ เขาจะรู้สึกอย่างไร จะทรมานแค่ไหน

น้ำตาของเขาจะไหลรวมกับน้ำในลำคลองไปมากมายเท่าไหร่ ผมมิอาจรู้
ผมรู้แต่เพียงว่า ด้วยสติที่น้อยนิดและกำลังที่ยังพอมีเหลือ ผมจะไม่ยอมให้หมอปีย์ต้องเป็นอะไรไปแน่ๆ

“หมอ ปล่อยชั้น” ผมนึกในใจ รวบรวมกำลังทั้งหมดไปที่มือ แล้วจิกไปที่แขนของหมอ สลัดตัวเองอย่างแรง จนหลุด ก่อนจะผลักเขาขึ้นไปเหนือน้ำพร้อมกับฟองอากาศเฮือกสุดท้ายที่ลอยขึ้นคู่กับร่างของหมอ
“จงมีชีวิตอยู่ต่อนะหมอ” ผมร่ำร้องในใจ ก่อนจะมองภาพของหมอที่ลอยขึ้นไปเหนือน้ำอย่างช้าๆ พร้อมๆกับเหล่าตำรวจหลายนายที่ดำดิ่งลงมาช่วย

“ชั้นจะรอนายนะหมอ”

และทันใดนั้นลมหายใจของผมก็ขาดห้วง สติดับวูบ แล้วแสงสีขาวนวลก็ปรากฏ

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
แสงสีขาวจ้าดับวูบลง
ความมืดเข้าครอบคลุม
ไม่นานหลังจากนั้นแสงสีทองค่อยๆแหวกว่ายเข้ามาแทนที่
ผมรู้สึกตัวแทบจะทันทีที่เห็นแสงสว่างสีทอง
แต่ยังไม่อยากลืมตา
เสียงหัวใจเต้นตึกตัก ความหวาดกลัวยังไม่จางหาย จิตเบื้องลึกรู้ว่านี่คือบ้าน ผมกลับบ้านมาแล้ว แต่จิตอีกส่วนก็ยังเว้าวอนขออย่าให้สิ่งที่คิดเป็นจริง
ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับผมว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กลับไปหาหมอปีย์
ผมควรจะร้องไห้ที่รู้สึกเช่นนี้ แต่แปลกที่คราวนี้น้ำตาไม่ไหล มีเพียงแต่ความอิ่มเอิบใจอย่างประหลาด
ความรู้สึกเหมือนหมอปีย์กำลังพูดผ่านสายน้ำที่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันได้ มาบอกผมว่า เขาจะอยู่ต่อ จะอยู่รอผมอย่างสง่างามอย่างที่ผมบอก จะทำประโยชน์ให้ผู้คนและ สยามประเทศ
ผมได้ยินเช่นนั้นจริงๆ


ไม่นานนักเมื่อรู้ตัวเองว่าพร้อมที่จะตื่นขึ้นมารับความจริงแล้ว ผมจึงค่อยๆลืมตาขึ้น

และไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
ผมกลับมาที่บ้านจริงๆ
ทุกอย่างเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา ผมชินชาไม่สิ เฉยชากับการกลั่นแกล้งของโชคชะตาเสียแล้ว บางครั้งรู้สึกเหมือนชีวิตตัวเองกำลังถูกล้อเล่น ถูกจับโยนไปโยนมาเหมือนของเล่น

ผมปวดใจ
ทุกข์ทรมานใจ
เสียใจ
เศร้าโศก
อาวรณ์
ใดๆเหล่านี้ล้วนไม่ได้ทำให้คนบนฟ้าเห็นใจ
มาถึงตอนนี้ผมเหนื่อย เหนื่อยเต็มที
ถึงผมจะยอมรับว่าผมรักหมอปีย์จนสุดหัวใจ
แต่ก็เข้าใจดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมเข้าใจดี
และพร้อมที่จะยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นตอนนี้ ตอนที่หัวใจผม..........แตกละเอียดไปแล้ว

ผมมองไปที่ชั้นวางหนังสือ หยิบหนังสือเล่มที่คุ้นเคยก่อนจะเดินออกมาจากห้องนั้นอย่างเงียบๆ

“โครม!!!”

ทันทีที่คล้อยหลัง เสียงโครมคล้ายของหล่นจากที่สูงก็ดังขึ้น ผมหันหลังกลับไปมอง
และพบว่า นาฬิกาลูกตุ้มนั้น จู่ๆก็ล้มคว่ำหน้าลงกับพื้น จนกระจกแตกละเอียด เหลือเพียงภาพของหมอปีย์ที่ยังแขวนไว้ไม่ไหวติง
ผมยืนแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ภาพที่เห็นนั้นตอกย้ำว่าทุกอย่างจบแล้ว มันจบลงจริงๆแล้ว ความร้าวรานเกิดขึ้นภายใน ร่างกายแทบจะแตกเป็นเสี่ยง
ภายในมันทรมานจนแทบจะกรีดร้องออกมา
มันเจ็บปวดจนแทบจะกระชากเนื้อตัวเองให้สาแก่ใจ
หัวใจร่ำไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด แต่น้ำตาภายนอกกลับไม่มีให้ไหล
หากได้ร่ำร้อง
หากได้ฟูมฟาย
หากได้กรีดร้อง
หากให้น้ำตาชะล้างความเจ็บปวดในใจ
หากเป็นเช่นนั้น
คงจะดีกว่าที่ต้องเจ็บอยู่ข้างในอย่างนี้
ทำไม ทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับผม
ผมอยู่ของผมดีๆ ทำไมต้องทำให้ผมต้องพบกับรักจริงๆแล้วพรากมันไปจากผม
จะให้ผมเกิดมาทำไม
จะให้ผมมาเจอเรื่องแบบนี้ทำไม

ผมทรุดลงกับพื้น กำหมัดแน่น ตัวสั่นเทิ้ม
“ปัง!!”
กำปั้นที่กำแน่นทุบลงกับพื้นอย่างแรง
“ปัง ปัง ปัง” และอีกหลายต่อหลายครั้งจนความเจ็บปวดแล่นผ่านหัวใจเข้ามา

ผมก้มหน้าอยู่อย่างนั้นพักใหญ่
ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ
ลุกขึ้นยืน หันหลังให้ภาพตรงหน้าเมื่อครู่
คิดเสียว่า
“มันจบแล้ว มันจบแล้ว”
ก่อนจะเดินหันหลังออกจากห้องไป และจะไม่มีวันกลับมาห้องนี้อีก

ออฟไลน์ igaga

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 :sad4: :o12: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:
เศร้ามากๆๆ
 :sad4:

Monkzaa

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ TANYAjip

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-4
น้ำตาไหลออกมาเป็นทางเลยคะ   มันตันอยู่ในอกจริงๆตอนนี้ :m15:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด