สวัสดีค่าพ่อแม่พี่น้อง... เราพาน้องพายออกจากไหดองแล้วจ้าาาาาา...
นิยายรายเดือน แต่เรื่องนี้ปาเข้าไปสองเดือน เอิ่มมมม ไม่มีข้อแก้ตัวจริงๆ... ขออภัยนะคะ
เอาเป็นว่าไปอ่านกันเลยแล้วกันเนอะ... ยังคงมีคนรออยู่ไหมเอ่ย แหะๆ
ปล. คำผิดเดี๋ยวกลับมาแก้นะจ๊ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++ตอนที่ 41ช่วงนี้เราสองคนกลับคืนสู่ชีวิตนักศึกษากันอีกครั้ง จริงๆ แล้วผมกับพวกเพื่อนในวงควรจะเรียนจบกันตั้งแต่เทอมที่แล้วที่สิ้นสุดความเป็นซีเนียร์ ปี 4 ของเรา แต่พวกผมติดแค่โปรเจคจบ ซึ่งก็คืองาน Recital หรือการแสดงโซโล่เดี่ยวของตัวเองเป็นโปรเจคจบสำหรับนักศึกษาปี 4 คณะดนตรีทุกคน ก็เลยทำให้พวกผมต้องล่วงเลยเวลากันมาอีกหนึ่งเทอม ส่วนไอ้พายคณะมันเรียน 5 ปี ปีนี้ก็ถือเป็นปี 5 เทอมหนึ่งของมัน วิชาเรียนก็เหลือไม่มาก แต่ก็ต้องมาคร่ำเคร่งกับโปรเจคจบเหมือนกัน
“วันนี้มีคุยโปรเจคจบกับอาจารย์ แล้วก็ช่วงบ่ายๆ มีรับน้อง ตอนเย็นก็คงต้องพาพวกรุ่นน้องสายรหัสไปเลี้ยงที่ร้าน…แถวท่าพระอาทิตย์” ไอ้พายอัพเดทชีวิตประจำวันให้ผมฟัง เป็นกิจวัตรยามเช้าระหว่างกินข้าวที่เราสองคนต้องมาแลกเปลี่ยนตารางงานซึ่งกันและกันเสมอ วันนี้ไอ้พายใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีส้มจุดขาว คงเพราะมีเฟรชชี่รับน้องมันเลยใส่เสื้อสีประจำคณะมันไป
“ของกูวันนี้ไม่มีงาน มีแต่เรื่อง Recital ที่ต้องเข้าไปซ้อม แล้วก็นัดวันกับอาจารย์ บ่ายๆ เดี๋ยวแวะไปหาที่คณะ แล้วตอนเย็นกูนัดไอ้วีพาสายรหัสกูไปกินข้าวเหมือนกัน ตอนแรกยังไม่รู้ว่าจะแดกร้านไหนดี งั้นพาไปร้านเดียวกับมึงด้วยดีกว่าขี้เกียจคิด กูขอลอกข้อสอบมึงนะ” ไอ้วีคือน้องรหัสผม ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้วซีเนียร์สุดอย่างมัน ควรจะเป็นเจ้ามือครั้งนี้ แต่เนื่องด้วยผมเสือกยังไม่หลุดออกจากมหา’ลัยสักที ก็เลยกลายเป็นผมที่ต้องเลี้ยงน้องอีกปี และเพื่อไม่ให้เป็นการน้อยหน้าไอ้พาย ผมก็เลยใส่เสื้อสีชมพูช็อคกิ้งพิงค์ สีประจำคณะตัวเองไปประชันกับเด็กมัณฑณะเขาสักหน่อย
“อืม ตามสบาย ดีเลยมึงมาเลี้ยงกูด้วยนะ” ไอ้พายพูดขำๆ แต่ผมว่ามันเอาจริง!
“ห่า… สายใครสายมันดิว้า กูเอี่ยวอะไรด้วย” ผมแย้งแบบไม่จริงจังนัก
“ใครบอกไม่เกี่ยว… มึงเป็นเขยคณะกูนะ ไม่เกี่ยวได้ไง ถือว่าเป็นพี่เขยรหัสไง…” พูดจบมันก็ชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมหนึ่งที… อ้อนขนาดนี้ ดวงเสียตังค์กูลอยมาเห็นๆ
“ไม่ต้องมาอ้อนเลยห่านี่…” ผมด่ามันไปแต่ปากดันอดหุบยิ้มกับคำว่า ‘เขยคณะ’ ไม่ได้ หุหุ หรือกูควรไปเปลี่ยนเสื้อเป็นสีส้มเหมือนไอ้พายดี จะได้สมกับที่เป็นเขยมัณฑนะ
“ล้อเล่นน่า… แค่เลี้ยงน้องแค่นี้กูจ่ายเองก็ได้… งั้นก่อนเที่ยงโทรมาบอกกูหน่อยแล้วกันว่าจะไปกันทั้งหมดกี่คน จะได้โทรไปจองโต๊ะทีเดียวเลย” ร้านนี้ผมเคยไปเล่นดนตรีสมัยปี 1 ตอนนั้นยังไม่เป็นศิลปินโด่งดังอย่างทุกวันนี้ เล่นอคูสติกกีตาร์สองตัวไอ้วิน กับไอ้แจ็ค ส่วนไอ้บีมตีคาฮอง ผมก็ร้องนำ
“เดี๋ยวกูโทรจองให้ก็ได้ สมัยปี 1 พวกกูเคยไปเล่นดนตรีที่ร้านนี้ กูซี้กับเจ๊เจ้าของร้าน”
“เฮ้ยเหรอ! ดีเลย บอกให้เขาลดให้เยอะๆ ด้วยนะ ช่วงนี้กูจน” หราาาาาาาา จนเหี้ยอะไรครับ ช้อปกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ตลอดเวลา หลังจากที่เลิกร้องเพลงไอ้พายมันรับงานออกแบบ กราฟิกด้วย งานส่วนใหญ่ก็ได้มาจากลูกค้าของไอ้ฟี่มัน ไอ้ฟี่รับมาแล้วก็มาแบ่งกับไอ้พาย แต่ก็รับไม่เยอะมาก มีช่วงที่มันไปเมืองนอกก็ห่างๆ ไป พอกลับมาก็เริ่มมารับต่อ
“อย่างมากก็ลดให้ 15% ล่ะวะ เฮ้ย! แต่พูดแล้วห้ามคืนคำนะเว้ย เงินใครเงินมันนะงวดนี้”
“เออ! รู้แล้วน่า ไอ้ขี้งก… เลี้ยงน้องรหัสเอาเงินผัวตัวเองออกก็เกินไปและ” แหม ถ้ากูไม่พูดดักคอก่อน สาบานสิว่ามึงไม่ได้คิดจริงๆ ว่าจะให้กูช่วยออก
สิบโมงเช้าผมขับรถไปส่งไอ้พายที่คณะ ซึ่งรถไม่สามารถบุกรุกเข้าไปจนถึงด้านในได้อีกตามเคย เลยได้แต่จอดไฟกระพริบริมฟุตบาทล่อตาคุณตำรวจไว้ชั่วขณะ รอให้คุณชายเขาหยิบข้าวของหอบฟางลงจากรถเสร็จ ผมก็ขับไปที่คณะของตัวเอง
ถึงคณะ ผมก็เจอไอ้แจ็คมาถึงก่อนแล้ว ที่มันมาเร็วก็คงเหตุผลเดียวกับผมคือต้องทำหน้าที่เป็นสารถีไปส่ง ‘แฟน’ ที่คณะก่อน และเดาได้ว่า ‘แฟน’ ไอ้แจ็ค ก็คงมีนัดกับแฟนผมช่วงสิบโมงเช้าเช่นกัน ผมจึงได้เห็นหน้ามันก่อนใครเพื่อน เพราะปกติ ถ้าไม่ใช่คนสุดท้ายคุณชายแจ็คไม่มีทางโผล่หัวมาแน่ๆ
“แดกห่าอะไรมารึยังครับคุณแจ็ค” เอ่ยทักกันอย่างสุภาพเรียบร้อยตามแบบฉบับพวกผม
“แดกห่ามาแล้วครับคุณริว” แฟนคงคลุกข้าวให้รับประทานสินะ
“แล้วนี่จะไปซ้อมรึยัง ไอ้บีมบอกกูว่าของมันซ้อมพรุ่งนี้ เพราะไอ้น้องเดี่ยวมือเปียโนมันว่างพรุ่งนี้” งานนี้ไม่ใช่งานรวมวงแล้วครับ แต่แต่ละคนต้องแยกไปจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองตามเครื่องดนตรีเอกที่เรียนมา มีทั้งการโซโล่เดี่ยวเพลงที่คัพเวอร์ เพลงที่แต่งเอง และสามารถให้เพื่อน พี่ น้อง นักดนตรีชิ้นอื่นมาร่วมแจมแสดงในเรซิทอลของตัวเองได้เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของโชว์มากที่สุด ของไอ้บีมมันให้ไอ้น้องเดี่ยวเด็กเอกเปียโนแจ๊สมาช่วยเล่นให้ ส่วนผมใช้บริการมือกลองจากไอ้ปุ้ยน้องรหัสไอ้บีม พวกผมไม่มีใครไปแจมในเรซิทอลของใครเลย เพราะเราอยากให้ตัวเอกคือพวกเราทั้งสี่คน จดจ่ออยู่กับงานของตัวเอง งานนี้ก็เลยต้องหยิบยืมรุ่นน้องมาช่วย
“ไอ้วินก็ซ้อมพรุ่งนี้ นี่กูรอน้องฝนมือไวโอลีน กับน้องแอมมือเปียโนอยู่” ของไอ้แจ็คมันเป็นสายคลาสสิคก็เลยมีพวกเครื่องสายเข้ามาแจมด้วย หนังหน้าอย่างไอ้แจ็คนี่เรียนเครื่องดนตรีเอกดับเบิ้ลเบสนะครับ และด้วยความที่ไอ้แจ็คเป็นสายคลาสสิค เรื่องโน้ตนี่ไม่ต้องพูดถึง มันเป๊ะมาก! ช่วงแรกๆ ที่เขียนเพลงกัน ต้องคอยกำชับให้มันเขียนคอร์ด หรือแท็บให้ด้วย ไม่งั้นพ่อคุณเขาตีบรรทัดห้าเส้นมาเลย เล่นเอาพวกสายแจ๊สอย่างผมหงายเงิบกันไปทีเดียว ไม่ใช่ว่าพวกผมอ่านโน้ตไม่ได้ อ่านได้แหละครับ เพราะยังไงก็ต้องเรียนพวกทฤษฏีดนตรีอยู่แล้ว แต่พวกสายแจ๊สมันจะไม่เล่นโดยใช้โน้ตกำกับแบบพวกคลาสสิค พวกเราก็เลยอ่านได้แบบช้าๆ
“กูรอไอ้ปุ้ยอยู่เมื่อกี้มันโทรมาบอกว่าจะถึงแล้ว คงกำลังจอดรถอยู่น่ะ เออ มึงอย่าลืมทำสูจิบัตรงานนะเว้ย” คือคนที่ทำเรซิทอลต้องจัดทำสูจิบัตรโชว์ของตัวเองด้วยว่ามีเพลงอะไร คัพเวอร์ของใครมา มีประวัติตัวเองย่อๆ แล้วก็มีรายชื่อนักดนตรีที่ร่วมเล่น จะเป็นแผ่นพับ A5 หรือขนาดไหนก็ได้ตามใจชอบ ออกแบบกันได้ตามสบาย
“เสร็จแล้วโว้ย! ของกูอย่างเท่อะ…” อ่อ ลืมไปสินะ ว่าแฟนมันเป็นใคร
“อ๋อ เหรอ… คิดว่าของมึงเจ๋งคนเดียวงั้นดิ คิดว่ามีเด็กมัณฑนศิลป์ไว้ในครอบครองคนเดียวเหรอ กูก็มีเว้ย! เมียกูก็เจ๋งไม่แพ้ของมึงแน่” บางทีเราก็ชอบข่มกันเป็นเด็กๆ แต่ที่แน่ๆ ผมไม่กล้าพูดว่า เมียกูก็เจ๋งไม่แพ้เมียมึง เพราะผมก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเมียใคร หรือใครเป็นผัวใคร แต่ที่รู้ๆ คือมันสองคนคบกัน!
“ทำอวดเป็นเด็กๆ ไปได้นะครับคุณริว โตเป็นควายแล้วครับ… นั่น ไอ้เหี้ยปุ้ยเดินแบกกลองชุดมานั่นแล้ว” คนเหี้ยอะไรจะแบกกลองชุดมาได้คนเดียววะสัด เหี้ยปุ้ยมันแบกแค่กลองสแนร์ กับกระเดื่องมาเท่านั้นครับ เพราะส่วนใหญ่พวกมือกลองก็มักจะมีกระเดื่องกับสแนร์เป็นของตัวเอง อ่อ ไม้กลองด้วยครับ ของแบบนี้ ไม่สุดวิสัย เขาไม่ยืมกันหรอกมันถือว่าอาวุธใครอาวุธมัน ผิดมือแล้วมันจะแปลกๆ
เมื่อนักดนตรีของผมมา ก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปซ้อม ซึ่งก่อนไปผมก็ถามไอ้แจ็คว่าจะไปเลี้ยงสายรหัสที่ไหน ของผมไปเลี้ยงรวมกับไอ้พาย มันก็เลยบอกว่า ของมันจะเลี้ยงแถวนี้ ดูแล้วคงไม่ได้ไปรวมกับฟี่ เพราะพายบอกว่าฟี่พาน้องไปเลี้ยงแถวอุดมสุข (ไปไกลทำเหี้ยอะไร แต่ช่างแม่งเหอะ)
ผมซ้อมเสร็จก็ปาเข้าไปสี่โมงครึ่ง นัดพวกน้องๆ สายรหัสเอาไว้หน้าคณะ ขับรถวนมาก็เจอนั่งหน้าสลอนกันอยู่ 4 ตัว นำทีมโดยไอ้วีน้องรหัสผม เนื่องจากเป็นช่วงเปิดเทอมแรกๆ ไอ้ปี 1 ปี 2 ก็ยังใส่ชุดนักศึกษามาเรียนกัน โดยปีหนึ่งดูง่ายมาก เพราะมันต้องผูกไทค์ ส่วนไอ้พี่ปี 3 ปี 4 ก็เสื้อยืด ชุดไปรเวทกันไปตามถนัด
“เอ้าขึ้นรถๆ อัดๆ กันหน่อยนะเว้ย นักดนตรีมันไส้แห้ง มีปัญญาขับแค่รถญี่ปุ่นคันเล็กๆ” ยังไม่ทันที่พวกน้องๆ ผมจะขึนรถครบ ก็มีรถ SUV สัญชาติอเมริกันคันใหญ่บีบแตรไล่จากข้างหลัง ไม่ต้องให้ลงไปด่าก็รู้ว่าเป็นไอ้เหี้ยแจ็ค
“เฮ้ยไอ้รถกระป๋องคันหน้าน่ะ เมื่อไหร่จะขึ้นกันเสร็จวะ” ไอ้แจ็คเปิดกระจกชะโงกหน้าตะโกนด่ามาลอยๆ นักเลงนัก เดี๋ยวพ่อก็ลงไปกระทืบปากเลยนิ ไอ้สัด…
“ไอ้ควายคันหลังนั่นน่ะ เมียตายเหรอวะ จะรีบไปไหน” ผมเปิดกระจกชะโงกหน้าหันไปด่ากลับ พร้อมยักคิ้วใส่ ก่อนจะชูนิ้วกลางอวยพรกันไปมาอยู่พักใหญ่ ตอนแรกน้องๆ ก็เหวอๆ คิดว่าผมด่ากันจริง แต่ได้ยินเสียงไอ้วีแว่วๆ ว่า พี่เขาด่ากันด้วยความรัก แล้วไล่ให้น้องๆ ขึ้นรถ เลยเป็นอันยุติสงครามนิ้วกลางของผมกับไอ้แจ็ค
“สวัสดีครับ / สวัสดีค่า พี่ริว” พอรถออกไม่ทันพ้นรั้วคณะ ไอ้เด็กๆ ในรถต่างก็ยกมือขึ้นไหว้พร้อมส่งเสียงทักทายผมกันอย่างพร้อมเพรียง
“น้องปีหนึ่งชื่ออะไรนะครับ” ที่ต้องพูดจาไพเราะก็เพราะน้องเป็นผู้หญิงน่ะสิ แต่เรียนเอกกีตาร์แจ๊ส แมนดีจริงๆ น้องเอ๊ย
“ชื่อลูกแก้วค่ะ เรียกแก้วก็ได้ค่ะพี่” น้องแก้วเป็นเด็กสาวตัวเล็กหน้าตาออกแนวเกาหลีตาโต ไม่น่าหลงมาอยู่สายผมได้เลย เพราะตั้งแต่ไอ้วี ไอ้มีน ไอ้โจ ลงไปเนี่ย เถื่อน โหด หน้าเหี้ยมกันทุกตัว มีน้องลูกแก้วโผล่มาเป็นนางฟ้าประจำสายซะงั้น
“ฮิ้ว!!!!” ไอ้พวกในรถก็โห่รับกันลั่น น้องแก้วที่ได้รับอภิสิทธิ์ได้นั่งเบาะหน้าเพราะเป็นหญิงเดี่ยวก็พยายามเอี้ยวตัวหันไปแลบลิ้นใส่อย่างน่ารักน่าชัง ที่ผมเห็นเหตุการณ์ก็เพราะรถมันติดไฟแดงอยู่ครับ ไม่ใช่ไม่ตั้งใจขับรถ
“พี่ริวมีแฟนแล้ว จีบไม่ได้นะน้องแก้ว แฟนเฮียแกดุยิ่งกว่าเสืออีก” ไอ้วีรีบเบียดตัวยื่นหน้ามาเสนอทันที จริงๆ ผมว่าไอ้วีนี่อาจเป็นสายไอ้พาย เพราะเวลาผมพาไอ้พายมาที่คณะทีไร ไอ้วีจะเป็นคนกุลีกุจอมาหาน้ำหาท่าให้ไอ้พายกินตลอด
“แก้วไม่ได้จะจีบพี่ริวสักหน่อย พี่วีใส่ร้ายแก้ว แก้วรู้หรอกน่า ว่าคู่พี่ริวพี่พายน่ารักกันขนาดไหน แก้วเป็นแฟนคลับทั้งคู่ตั้งแต่ก่อนจะคบกันอีก แล้วพอตอนมีข่าวแก้วกับเพื่อนนี่กรี้ดกันกระจาย ตามไปไลค์ทุกแฟนเพจเลยด้วย” แฟนเกิร์ลอีกหนึ่งคนของคู่ผมแล้วสินะเนี่ย ที่แท้น้องแก้วก็เป็นสาววายสินะ
“ผมว่าโลกนี้มันงงๆ นะพี่ สาวๆ สมัยนี้ดีใจที่ผู้ชายรักกันซะแล้ว” ไอ้มีนหลานรหัสเสนอหน้ามาแทนไอ้วี ออกความเห็นบ้าง
“พี่มีนไม่เข้าใจหัวอกสาววายหรอก มันไม่ใช่แค่ผู้ชายรักกัน มันไม่ใช่แค่เกย์ แต่มันคือความรักที่น่ารักมากๆๆๆ พวกเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ จนกว่าจะได้มารักกัน โอ๊ย โรแมนติก!!!” น้องลูกแก้วท่าทางจะเป็นวายขั้นเทพครับ แม้ผมจะไม่ได้หันไปเห็นสีหน้าตอนน้องบรรยายความรู้สึกเรื่องชายรักชาย แต่น้ำเสียงน้องบ่งบอกได้เลยว่าน้องเคลิ้มมากกกกกก
“โหยยยยยยย สงสัยพี่มีนต้องจีบน้องโจ เผื่อน้องลูกแก้วจะหันมาสนใจพี่มีนบ้าง” ไอ้มีนตรรกะการจีบสาวมึงเกรียนมาก อย่าได้ลองนะมึงของแบบนี้ได้ลองแล้วมึงกู่ไม่กลับแน่ๆ
“ลูกแก้วมีหนุ่มในสเป็คแล้วค่ะ ไม่ใช่แบบพี่มีนหรอก” ดับฝันกันกลางอากาศเลยทีเดียว
“ฮ่าๆๆๆ สมน้ำหน้ามึงเลยไอ้มีน โดนสาวปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มจีบ” ไอ้วีซ้ำเติมน้องรหัสตัวเองทันที
“โหยยย น้องลูกแก้ว… พี่มีนไม่ดีตรงไหน สู้หนุ่มของน้องแก้วไม่ได้ยังไงครับเนี่ย”
“พี่มีนก็หล่อค่ะ แต่ลูกแก้วชอบคนที่ฮาๆ กวนๆ น่ารักๆ มากกว่า”
“นี่พี่ยังไม่ฮา และกวนพออีกเหรอครับเนี่ย… ว่าแต่หนุ่มของน้องแก้วนี่อยู่คณะเรารึเปล่า”
“คณะเราค่ะ… อิอิ… ถ้าแก้วบอกไป พี่ริวห้ามไปแพร่งพรายนะคะ แก้วเขิน” อ้าว แล้วทำไมผมถึงต้องเอาไปบอกใคร หรือห้ามไปบอกใคร เอ๊ะยังไง…
“เออ… ครับ พี่สัญญาว่าจะเหยียบกันอยู่แค่ในรถคันนี้แหละ… ใช่ไหมพวกมึง”
“ช่ายยยยยยย!!” ขานรับกันเป็นทอดๆ ขอให้เหยียบกันเงียบจริงๆ เหอะนะพวกมึงน่ะ
“คือ… อิอิ ลูกแก้วแอบชอบพี่แจ็ค พี่แจ็คเทอมินอล เพื่อนพี่ริวน่ะค่ะ… เมื่อกี้ตอนพี่แจ็คบีบแตรไล่รถพี่ริว แล้วชะโงกหน้ามาตะโกนด่า โหยยย ลูกแก้วใจเต้นตึกตักเลย แอบชอบมานานแล้วค่ะ ตั้งแต่เป็นแฟนเทอมินอลเลยนะ วันนี้เพิ่งได้เจอตัวจริงแบบใกล้ๆ ไม่ใช่แบบในคอนเสิร์ตด้วย ปลื้มมากกกกกก” ตายโหงงงงง น้องลูกแก้วจ๋า… พี่ว่าน้องเตรียมตัวเป็นสาววายถาวรเถอะหนา ปกติแค่หลงรักไอ้แจ็คก็ผิดมากแล้วนะ แถมตอนนี้ไอ้แจ็คมันยัง… เออ… เข้าสู่วงการเดียวกับพี่อีกต่างหาก น้องลูกแก้วท่าจะไม่มีแฟนแล้วล่ะชาตินี้
“เหอะๆ คิดยังไงชอบไอ้แจ็ค”
“นั่นดิ… เฮียแจ็คแกก็หล่ออยู่หรอกนะ แต่เฮียแกแม่งโคตรจะกวนตีนเลย แถมขี้แกล้งโคตรๆ คุยกับแกแล้วปวดหัว ขนาดพี่เป็นคนกวนๆ แล้วนะ มาเจอเฮียแจ็คเข้าไป พี่ยกมือไหว้สามที แล้วหนีก่อนเลย” รุ่นน้องรักมันมากครับไอ้แจ็คเนี่ย ไม่มีใครไม่เคยโดนไอ้แจ็คแกล้ง หรืออำ ผมยังงงๆ อยู่เลยว่าเป็นเพื่อนมันเข้าไปได้ยังไง
“แบบนี้แหละที่แก้วชอบ น่ารัก มีเสน่ห์ เป็นตัวของตัวเองจะตาย” อยากจะเอาตีนก่ายหน้าผาก คนอย่างไอ้เหี้ยแจ็คมันเสน่ห์แรงใช่เล่น อย่าได้ประมาททีเดียว
“เหอะๆ เหรอ…” ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ก็ได้แต่ขำๆ ออกไป
“แก้วแอบถามได้ไหมคะ พี่แจ็คมีแฟนรึยังคะพี่ริว” ยังไงดี กูจะต้องตอบยังไงดีวะ
“ก็… มีที่มันชอบๆ อยู่แหละ” ตอบแบบดาราไปก่อนแล้วกันกู
“โหยยยยยย อกหักเลยทันที… แต่ถ้ายังไม่มีเป็นตัวเป็นตนก็น่าลุ้นนะคะ”
“อย่าลุ้นเลยน้องแก้ว… เอาเป็นว่า น้องแก้วไม่ใช่สเป็คไอ้แจ็คมันหรอกนะ เชื่อพี่เถอะ ปลื้มมันน่ะได้ แต่ถ้าจะเอาเป็นแฟนพี่ว่า คิดใหม่ทำใหม่คนใหม่เถอะน้อง” ควรตัดไฟซะแต่ต้นลม เพื่อทั้งสองฝ่าย เฮ้อออ เป็นกูนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ ไหนจะเพื่อน ไหนจะรุ่นน้อง…
“… เศร้าเลยอะ… กลับบ้านร้องไห้แน่เลย… แต่ก็นะ… แก้วจะพยายามแค่ปลื้มแล้วกันนะคะ… เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า เนอะๆ” อืม จริงๆ แล้วก็ดูเป็นเด็กอะเลิ้ทแบบประหลาดๆ ไม่แพ้ไอ้แจ็คเหมือนกันนะ เอาเถอะครับน้อง หาผู้ชายอื่นดีๆ ที่ไม่มีผู้ชายเคียงข้างแล้วกัน
ตลอดทางเสียงไอ้พวกรุ่นน้องผมก็ไม่เงียบเลยแม้แต่วินาที ดังแข่งกับเสียงเพลงในรถ กูอุตส่าห์เปิดเพื่อให้พวกมึงเงียบ แต่หาได้สำเหนียกไม่ เออกูยอมแพ้ ฟังพวกมึงบ่นเรื่องซ้อมบ้าง เรื่องเรียน เรื่องสาว เรื่องหนุ่ม (อันนี้น้องแก้วบ่น) เรื่องเพื่อน เรื่องคณะนั่นนี่ไปเรื่อย จนถึงร้าน… ผมวนมาส่งไอ้พวกนี้ลงที่ร้านก่อนเพื่อเอาโต๊ะ เพราะถึงแม้จากถนนบรมราชชนนี มาถึงแถวท่าพระอาทิตย์ จะไม่ใช่ระยะทางที่ไกลนัก แต่ช่วงเวลามนุษย์เงินเดือนเลิกงานแบบนี้ รถติดเอาการ กว่าผมจะถึงร้านก็ห้าโมงครึ่งเข้าไปแล้ว
ผมส่งพวกน้องรหัสตัวเองเสร็จก็วนไปรับศรีภรรเมียที่คณะ จากท่าพระอาทิตย์ ไปท่าช้าง ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่ปกติควรจะไม่เกิน 10 นาทีด้วยซ้ำ แต่คนกรุงเทพฯ มันรวยครับ รถจะเยอะไปไหน…
“ฮัลโหล เสร็จยังพาย” รอดใต้สะพานพระปิ่นเกล้ามาแล้วเลยหยิบโทรศัพท์กดโทรหาเมียที่รัก เสียงที่รอดมาก่อนเสียงไอ้พาย คือเสียงเพลง เสียงกลองสันฯ เสียงตะโกนโหวกเหวกดังลั่น ไม่ต้องให้มันตอบก็รู้ว่ายังไม่เลิก
“ยังเลย มาถึงแล้วเหรอ”
“อืม จะถึงแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวกูไปหาที่จอดก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวเดินไปหา”
“มึง… ซื้อหนมมาให้กินหน่อยดิ หิวอ่ะ…” หึ เสียงอ้อนมาเชียวนะ
“เดี๋ยวก็กินข้าวแล้ว จะกินขนมก่อนทำไม” ผมแย้งไป แต่ในใจก็รู้แหละว่าต้องซื้อไปประเคนคุณท่านเค้าแน่นอน
“ก็มันหิวขนม ไม่ได้หิวข้าว นะๆๆ ซื้อโตเกียวตรงท่าพระจันทร์มาให้หน่อย เอาไส้ไข่ กับไส้ครีมอย่างละ 5 ชิ้นนะ อ่อๆ เอาลูกชิ้นปลาทอดด้วย 30 ราดน้ำจิ้มมาเลย แล้วก็โค้กซีโร่เย็นเจี๊ยบในเซเว่นด้วยนะ แทงค์กิ้วที่รัก…” สั่งเสร็จแล้วมันก็กดวางสายไปเลย ห่าาาาา ลูกชิ้นปลานี่มึงเรียกว่าขนมเหรอ แล้วจะแดกโค้กซีโร่ทำไม ในเมื่อโตเกียว 10 ชิ้น กับลูกชิ้นปลาถุงใหญ่มันไม่ได้ศูนย์แคลลอรี่อยู่แล้ว… แต่อย่าไปเถียงนะครับ เพราะมันจะเถียงสู้เราขาดใจ ถ้าเถียงสู้ไม่ได้ พ่อโมโห ก็สู้ด้วยกำลัง ชีวิตกูหนอชีวิต!
ผมจอดรถในมหาวิทยาลัยเพื่อนบ้าน วนอยู่สามรอบกว่าจะได้ที่จอด แอบแอ๊บทำตัวเป็นนักศึกษาป.โท (ซึ่งหน้ากูคงให้) พอลงจากรถ ก็ตามสไตล์ศิลปินดัง สาวๆ มองกันตรึม (หรือกูเหยียบขี้หมา) แต่ด้วยความดังนี่แหละ ทำให้ความจริงเปิดเผยว่า… กูแอบมาจอดรถในมหา’ลัยเค้า ซึ่งกูเรียนมหา’ลัยใกล้เคียงก็จริง แต่คณะกูไม่ได้อยู่แถวนี้… แต่ช่างเหอะ ผมหน้าด้านจะตายห่า กลัวอะไร เดินเท่ๆ เข้าไว้
พอเดินพ้นรั้วมหา’ลัย (ขอคนอื่น) โผล่ออกมาฝั่งทางท่าพระจันทร์ ผมก็มองหาร้านโตเกียว แล้วก็เจอจอดอยู่ไม่ไกล มีคนยืนรอคิวอยู่สามคน
“ลุงครับเอาโตเกียวไส้ไข่ 10 ชิ้น แล้วก็ไส้ครีม 10 ชิ้นครับ” ผมดับเบิ้ลของตัวเองเข้าไปด้วย ตอนแรกว่าจะไม่กิน แต่พอมาได้กลิ่นแป้งโตเกียวหอมๆ ก็อดใจไม่อยู่ ถ้าไม่เพิ่มเข้าไป แล้วขืนไปแย่งมันกิน จะเกิดศึกกลางมหา’ลัยซะเปล่าๆ
“พี่ริว!! พี่ริวจริงๆ ด้วย… ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ” น้องหนึ่งในสามคนที่ยืนรอคิวอยู่ หันมาเจอผมก็เลยเกิดอาการแฟนคลับขึ้นมา ขอถ่ายรูปกันไปตามระเบียบ ซึ่งผมก็ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ยิ้มรอเลยครับ
“ได้เลยครับ…” ผมก็ยิ้ม น้องสามคนก็ผลัดกันมาถ่าย ผลัดกันไปถ่ายจนเป็นที่พอใจ และโตเกียวน้องเสร็จพอดี
“พี่ริววันนี้มีเรียนที่วิทยาเขตนี้เหรอคะ” น้องทั้งสามเป็นสาวมหา’ลัยเพื่อนบ้าน เธอคงไม่รู้ว่าคณะผมไม่มีเรียนที่นี่
“อ๋อ เปล่าครับ… มารับเด็กมัณฑนะน่ะ” เพียงเท่านี้ก็ได้รับเสียงกรี๊ดเบาๆ แบบพยายามกลั้นเอาไว้ จากสามสาว คงจะเข้าใจความหมายของผมน่ะครับ ว่าเด็กมัณฑนะ หมายถึงใคร…
“มารับพี่พายแน่ๆ เลย กรี๊ดดด แกฟินมากกก น่ารักอะแก ถ้าได้เจอพร้อมๆ กันฉันจองตั๋วบินไปฟินแลนด์เลย” สาวๆ หันไปเม้าท์ใส่กัน ทิ้งผมเลยทันที
“อุ๊ย ขอโทษค่ะพี่ริว แอบเม้าท์นิดนึง… งั้นพวกเราไปก่อนนะคะ ขออนุญาตโพสต์รูปนี้ในเฟสฯ แฟนคลับริวพายนะคะพี่”
“ได้ครับ… โชคดีนะครับ” ผมส่งยิ้มหล่อส่งท้าย แล้วน้องๆ ก็จากไปกับความฟิน
“หนุ่ม หนุ่มเป็นดาราเหรอ… ลุงขอถ่ายรูปเก็บไว้บ้างสิ เดี๋ยวจะไปให้ลูกสาวมันเอาไปอัดมาแปะหน้ารถโตเกียว จะได้เรียกแขก” เฮ้ยลุง ผมไม่ใช่นางกวักนะ
“เออ เป็นนักร้องน่ะครับลุง ไม่ใช่ดาราหรอก… จะถ่ายก็ได้ครับ แต่ผมไม่ได้ดังขนาดนั้นนะลุง” ถ่อมตัวไว้ก่อน จริงๆ ผมก็ไม่ได้ดังขนาดทุกคนทั้งประเทศรู้จักหรอกครับ ส่วนมากก็จะวัยรุ่นนั่นแหละที่รู้ แล้วมาช่วงหลังที่เพิ่มจำนวนคนรู้จัก ก็เพราะข่าวกับไอ้พายนี่แหละ
“เฮ้ย… นักร้องมันก็ดารานี่แหละ ไม่ดังได้ยังไง อีหนูสามคนนั้นเห็นกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่”
“อ่า… ครับๆ ถ่ายได้เลยครับลุง เอามุมไหนดี…” ลุงแกก็ควักโทรศัพท์มือถือที่ไม่ใช่ยี่ห้อดัง แต่ก็มีกล้องถ่ายรูปและจอสีเหมือนกันออกมาถ่ายรูปผมยืนคู่กับรถโตเกียวของแก ผมก็เลยแถมบริการแอคท่า ชี้นั่นนี่ไปที่โตเกียวแกด้วย ประหนึ่งว่าโฆษณาให้อะไรแบบนี้
ต่อข้างล่างนะคะ
V
V
V