หลังจากวันที่ไปทำวีซ่า ผ่านไปสองอาทิตย์ผมก็ได้รับ และพอได้วีซ่า กำหนดการเดินทางของเราก็คืออีกสามวันข้างหน้า โชคดีที่กำหนกการเที่ยวของพาย อยู่ก่อนหน้าของผมแค่วันเดียว พายก็เลยจัดการพาผมไปช้อปพวกเสื้อกันหนาว กับลองจอน ผมต้องรีบกำชับว่าไม่เอาของแบรนด์และของแพง ไอ้พายก็เลยพาไปพวกร้านเอ้าท์เล็ท และมาบุญครอง
พอวันเดินทางมาถึง พวกผมเลือกที่จะใช้บริการของสายการบินเมืองแขก ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ ตอนแรกไอ้แจ็คจะเลือกสายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปเวียนนา จะได้ใช้ระยะเวลาแค่ 11 ชั่วโมง แต่พอผมได้ดูราคาเปรียบเทียบแล้ว ผมยอมใช้เวลานานกว่านั้นอีกสัก 7 – 8 ชั่วโมง เพื่อที่จะลดราคาตั๋วมาอีกหมื่นกว่าบาท เถียงกันไปมาอยู่พักใหญ่จนผมต้องแกล้งทำเป็นนิ่งและโกรธ ไอ้แจ็คเลยยอม แต่ก็บ่นอุบอิบเล็กน้อยตามประสามันนั่นแหละ
เที่ยวบินของพวกเราจะออกจากกรุงเทพฯ ตอนตีหนึ่งครึ่ง ผมกับไอ้แจ็คก็เลยตกลงกันว่าจะไปถึงกันสักสามทุ่ม
“เฮียแจ็ค…” ผมหันกับไอ้แจ็คหันไปตามเสียงเรียก ก็ได้เห็นเด็กผู้ชายตัวสูงประมาณไอ้แจ็ค ตาตี่ยิบหยี บ่งบอกสัญชาติ ในชุดกางเกงยีนส์ขาเดปสีเข้ม รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อยี่ห้อดัง เสื้อยืดแขนยาวลายทางสีน้ำเงิน ในมือขวาพาดเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์ตัวหนา และมือซ้ายลากกระเป๋าเดินทางใบโต เดินเข้ามาหาเราสองคน
“เออ… หวัดดีๆ ฟี่ นี่เจ๋งญาติกู… ส่วนนี้ฟี่ เพื่อนเฮีย” เท่าที่รู้ประวัติโดยคร่าวๆ จากไอ้แจ็คก็คือ เจ๋งเรียนอยู่ปี 2 คณะนิเทศศาสตร์ เอกภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง เจ๋งเป็นลูกเลี้ยงของอาโกวไอ้แจ็ค แต่ก็เป็นลูกเลี้ยงที่อาโกวมันรักมาก เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กๆ และอาโกวไม่มีลูกเป็นของตัวเอง
“หวัดดีครับพี่ฟี่…” ไอ้น้องเจ๋งหันมาส่งยิ้มให้ผมและยกมือไหว้
“ดีครับ” ผมยกมือขึ้นรับไหว้ เสร็จแล้วไอ้แจ็คก็เลยจัดการให้พวกเราไปเช็คอินโหลดกระเป๋า แล้วเข้าไปหาร้านนั่งดื่มกาแฟกันด้านใน
“พี่ฟี่เรียนคณะเดียวกับเฮียแจ็คเหรอฮะ” หลังจากที่พวกเราได้เครื่องดื่มและที่นั่งในร้านกาแฟแบรนด์ดัง วงสนทนาย่อมๆ ก็เกิดขึ้น
“เปล่าหรอก… พี่เรียนมัณฑนศิลป์น่ะ แต่มหาวิทยาลัยเดียวกัน”
“โอโห เก่งจัง… ตอนเอนท์ฯ เจ๋งเลือกเป็นอันดับหนึ่งเลยคณะพี่ฟี่เนี่ย แต่ไม่ติด” ผมยิ้มรับคำชม… แต่ไม่ได้ตอบอะไรต่อ ปกติผมเป็นคนไม่ช่างพูดอยู่แล้ว ก็เลยเลือกที่จะตอบเฉพาะที่เป็นคำถามมากกว่า… แต่ที่หน้าแปลกใจก็คือ ไอ้คนข้างๆ ผมเนี่ย กลับเงียบผิดปกติ หรือมันจะง่วงนอน ก็ไม่น่าใช่ ปกตินอนดึกจะตาย… หรือว่ายังแอบไม่พอใจที่เจ๋งมาด้วยกับพวกเรา
“แล้วพี่สองคนไปสนิทกันได้ยังไงล่ะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้แจ็ค แต่ไอ้แจ็คกำลังมองหน้าไอ้น้องเจ๋งอยู่
“เฮ้ยเจ๋ง แม่เฮียยังไม่ถามเยอะขนาดนี้เลยนะเว้ย” ไอ้แจ็คพูดด้วยน้ำเสียงขำๆ เหมือนทีเล่นทีจริง แต่ผมรู้ว่ามันไม่ได้เล่นกับประโยคนี้
“แหม เฮียก็ ก็แค่ชวนคุยน่า… อะๆ คุยเรื่องทั่วๆ ไปก็ได้… พี่ฟี่แบกกล้องไปสองตัวเลยเหรอฮะ ใช้รุ่นไหนบ้างเนี่ย” แล้วมันก็เปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องกล้องของผม
“ใช้ Canon 5D น่ะ ตัวมาร์คทรี… ส่วนอีกตัวเป็นกล้องฟิลม์ทวิน เลนส์”
“โอโห ใช้มาร์คทรีด้วยสุดยอดอีกแล้ว... ปีที่แล้วเจ๋งก็ขอป๊าแต่ป๊าไม่ยอมซื้อให้บอกว่ามันแพงเกินไป แต่มันก็สมราคาแหละเนอะพี่… ตัวทวิน เลนส์นี่ก็โคตรเท่เลย แสดงว่าพี่ฟี่ต้องถ่ายรูปเก่งแน่ๆ” ใช่ครับมาร์คทรีของผมมันแพงหลักแสน แต่ผมซื้อตัวนี้ด้วยเงินเก็บที่ผมทำงานหามาเอง แม้ตอนซื้อ ส่วนต่างที่ขาดเหลือจากเงินเก็บ ผมจะยืมเงินพายก่อน แต่ผมก็ค่อยๆ ทยอยผ่อนจนครบแล้ว แม้พายมันจะบอกว่าไม่ต้องรีบก็ตาม
“ฟี่มันรับงานด้วย ก็ซื้อมาใช้ประโยชน์ แล้วมันก็เก็บเงินซื้อเอง ไม่เหมือนเรานี่หว่า โกวเตี๋ยไม่ซื้อให้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” สังเกตอะไรกันไหม… ตั้งแต่ไอ้น้องเจ๋งนี่มา ไอ้แจ็คก็ไม่มีบทสนทนาแบบกวนๆ ตามประสามันเลยสักนิดเดียว ทุกประโยคแฝงความไม่พอใจอย่างที่ถ้าคนไม่สนิทก็คงจับไม่ได้ แต่ผมดันรู้สึก
“โหเฮียก็… ป๊ารวยจะตาย ให้ลูกแค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก… เออ พี่ฟี่รับสอนถ่ายภาพไหม เจ๋งจะมาสมัครเป็นลูกศิษย์” มึงจะมาเรียนทำไมวะ ได้ข่าวว่ามึงเรียนเอกภาพยนตร์ ซึ่งมันก็ต้องเรียนถ่ายภาพนิ่งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
“ไม่รับหรอก… พี่ติดงานโปรเจคจบกับงานฟรีแลนซ์ที่รับทำน่ะ ไม่มีเวลา แล้วก็พี่ไม่ได้เก่งทฤษฏีขนาดสอนใครได้ เจ๋งเรียนภาพยนตร์น่าจะได้ทฤษฎีมากกว่าพี่อีกนะ”
“ก็เรียนที่มหา’ลัยเหมือนกันแหละพี่ แต่อยากเก่งกว่าเพื่อนไง” ไอ้เด็กนี่มันมีทัศนคติแปลกๆ อยากเก่งกว่าเพื่อน แต่หาที่เรียนเพิ่ม ทำไมไม่ขยันพยายามด้วยตัวเองก่อนวะ
“งานศิลปะทุกอย่างถ้าไม่ฝึกซ้อมมันก็ไม่มีทางเก่งขึ้นมาได้หรอก… อย่างเฮียของเจ๋งเนี่ย ซ้อมดนตรีวันละ 4 ชั่วโมงเชียวนะ ไม่งั้นจะเป็นศิลปินดังขนาดนี้ได้ยังไงถ้าไม่ขยันจนเก่ง”
“พี่ฟี่เจ๋งโคตรไปเลย! ทั้งเรื่องเรียน เรื่องสไตล์ แถมคำสอนก็ยังเจ๋งอีก… เจ๋งโคตรชอบคนแบบพี่เลย คิดถูกจริงๆ ที่มาทริปนี้ ชักไม่อยากอยู่ด้วยแค่สามวันแล้วสิ” อะไรของมันวะไอ้เด็กนี่ ทำท่าทางเหมือนเห่อของเล่นใหม่
“สามวันก็คือสามวันนะเจ๋ง… เพราะว่าอาโกวฝากไว้แค่นั้น” เสียงไอ้แจ็คเรียบมาก ทำเอาผมนึกถึงตอนที่เราเคยทะเลาะกันเรื่องน้องพาย ตอนนั้นมันก็ใช้น้ำเสียงแบบนี้แหละที่พูดตอนโมโห
“โอเคๆ เจ๋งก็แค่พูดเฉยๆ น่า เฮียก็ทำเป็นซีเรียสไปได้… อะไรกันปกติเฮียแจ็คไม่ใช่คนซีเรียสสักหน่อย ออกจะเฮฮา พูดเก่งจะตาย ใครอยู่ใกล้ๆ ก็รักเฮียกันทั้งนั้น… พี่ฟี่รู้ไหมว่าเฮียน่ะ เขาเป็นที่ภาคภูมิใจของวงตระกูลเลยนะ ทั้งโด่งดัง แฟนคลับก็ชื่นชม น่าอิจฉาจริงๆ” ประโยคที่เหมือนจะชื่นชมเหล่านี้ ทำไมถึงทำให้ผมรู้สึกว่าคนพูดกำลังพูดเพราะหมั่นไส้และอิจฉาไอ้แจ็คอยู่… หรือผมจะคิดมากไปเอง!
“ไปห้องน้ำไหมมึง” ผมหันไปสะกิดคนข้างๆ แล้วชวนไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน ผมว่าไอ้แจ็คกำลังอึดอัด และมันคงอยากคุยอะไรกับผมเป็นการส่วนตัว
“เจ๋งไปด้วยสิพี่ กำลังปวดฉี่อยู่พอดี” เฮ้ย ไอ้เด็กนี่ยังไงวะเนี่ย
“งั้นเจ๋งก็ไปก่อนเลย เดี๋ยวพี่สองคนเฝ้าโต๊ะให้ แล้วกลับมาค่อยผลัดกันไป” ไอ้เจ๋งทำหน้าผิดคาดไปแว้บนึง ก่อนที่จะพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้ผม และมันก็ลุกเดินออกไป
“เป็นอะไรรึเปล่า” ผมเอ่ยถามคนข้างๆ ทันทีที่ไอ้น้องเจ๋งลับสายตาไป
“กูรำคาญมัน” ไอ้แจ็คพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“ไม่สมกับเป็นมึงเลยนะ… ปกติน้องแจ็คเคยรำคาญอะไรซะทีไหน มีแต่คนรำคาญน้องแจ็คสิถึงจะถูก” ผมพยายามพูดให้มันได้ขำ แต่มันก็ยังทำหน้าเซ็งอยู่ดี
“ไม่เอาน่ายิ้มหน่อยนะ… เดี๋ยวสามวันมันก็ไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
“กูไม่ชอบที่มันมาฉอเลาะมึง ไม่ชอบที่มันมาทำเป็นชื่นชมมึง ไม่ชอบที่มันชอบชวนมึงคุย กูไม่ชอบให้ใครมาลั้ลลากับแฟนกูยกเว้นกู…” ไอ้คนเอาแต่ใจ… หึหึ อาการหมาแจ็คหวงก้างสินะ
“ก็มันเด็ก… มันก็แค่เห่ออะไรที่มันรู้สึกว่าโคตรเจ๋ง โคตรเก่ง โคตรแนวอะไรแบบนี้ มันไม่ได้อะไรกับกูหรอก” ผมก็หวังว่ามันจะแค่นั้นนะ
“เหี้ยเจ๋งมันเป็นเกย์นะ…”
“เฮ้ย! ถามจริง… แล้วมึงรู้ได้ยังไง” ผมตกใจนะเนี่ย ก็ดูจากภายนอกแล้ว มันก็เหมือนเด็กตี๋ที่แต่งตัวแนวๆ คนหนึ่ง แม้หน้าตามันจะขาวเนียนก็ตามเถอะ มันก็เป็นไปตามสัญชาติเฉยๆ ไม่ได้คิดว่าคนหน้าขาว ปากอมชมพูจะต้องเป็นเกย์ทุกคนหรอกนะ
“กูเคยเจอมันในผับ วันนั้นวงกูไปเล่นตอนหัวค่ำ เล่นเสร็จก็อยู่กินเหล้ากันต่อ แล้วตอนกูเดินไปเข้าห้องน้ำ กูเจอไอ้เจ๋งยืนดูดปากกับผู้ชายอยู่ในห้องน้ำ มันก็ตกใจที่เจอกู แล้วรีบมาขอร้องให้กูอย่าบอกเรื่องนี้กับป๊าและหม่าม้ามัน ถึงกูจะเป็นพวกขี้เสือก แต่กูก็ไม่ได้สนิทกับมันไง ก็เลยรับปากแล้วก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร มีมึงเป็นคนแรกนี่แหละที่รู้”
“ก็เลยกลัวว่ามันจะจีบกูงั้นสิ”
“กลัวดิ… ก็บอกแล้วว่าเมียพี่แจ็คยิ่งหล่อๆ อยู่ด้วย พี่แจ็คก็ต้องหวงเป็นธรรมดา” ไอ้แจ็คกระซิบเบาๆ คงเพราะกลัวใครจะได้ยินแล้วจะเป็นข่าว ปกติประโยคแบบนี้ของมันจะได้รับประโยคคำด่าจากผมเป็นการตอบแทน แต่ครั้งนี้ผมกลับยิ้ม เพราะไอ้แจ็คคนเดิมของผมกลับมาแล้ว!
“ตั้งแต่ที่มึงกับกูเป็นอะไรกัน… กูก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองชอบผู้ชาย หรือมองผู้ชายคนอื่นอยู่ดี… ก็เห็นจะมีก็แต่พ่อศิลปินใหญ่แถวนี้เท่านั้นแหละนะที่กูมอง!”
“รักน้องแจ็คสินะ”
“เออสิ… ก็รักมาตั้งนาน รักอยู่คนเดียวนี่แหละตอนนี้” หวานเอาใจเค้าสักหน่อย
“พูดจาน่ารักแบบนี้… พอถึงเวียนนาปุ๊บ ต้องให้้น้องแจ็คจ้ำจี้มะเขือเปาะกระเทาะหน้าแว่นเป็นรางวัลซะหน่อยนะ” จริงๆ กูควรปล่อยให้มันนั่งอึดอัด และเงียบต่อไปจะดีกว่า ไอ้ห่านี่กลับเข้าสู่โหมดปัญญาอ่อนอีกแล้ว
“กระเทาะหน้ามึงสิ… สัตว์! ไปเที่ยวไม่ได้ไปเปลี่ยนที่เอากัน…”
“ก็เค้าอยากเอากันต่างประเทศบ้าง… น้องแจ็คอยากมีประสบการณ์ในต่างแดน” เหี้ยนี่พูดเหมือนมาทัศนศึกษา แต่ใจความคือชวนเอากัน… เวียนหัวกับมันจริงๆ
“พอแล้วไอ้เหี้ย น้องมึงมาแล้ว!” โชคดีที่ผมเหลือบไปเห็นไอ้น้องเจ๋งกำลังเดินเข้ามาในร้านกาแฟพอดี เราเลยต้องหยุดบทสนทนาตามประสาผัวๆ เมียๆ ลง
หลังจากที่เจ๋งกลับมาผมกับไอ้แจ็คก็เดินไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน ไอ้นี่ก็ปรับโหมดกลับมาร่าเริงห่าเหวได้อีกครั้ง… ถึงแม้ปากผมจะด่าความเลื้อนของมันออกไป แต่ใจผมก็แอบยิ้มที่เห็นมันกลับมาเป็น ‘น้องแจ็ค’ คนเดิม
พวกเรานั่งคุยกันต่ออีกพักใหญ่ พอใกล้เวลาที่จะบอร์ดดิ้ง ก็พากันเดินไปที่เกต… ช่วงที่นั่งคุยกันต่อ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประเด็นอะไร ไอ้เจ๋งก็พยายามจะชวนผมคุยเรื่องกล้อง เรื่องโปรแกรมออกแบบ แต่ใช่ว่าจะมีแค่ไอ้เจ๋งที่ผูกขาดการสนทนา เพราะไอ้ห่าตัวข้างๆ ผมก็กลับมาสู่โหมดกวนส้นตีนอีกครั้ง มันก็พยายามหาเรื่องที่จะคุยกับผมแบบที่กันไอ้เจ๋งออกไปจากบทสนทนา เช่น เรื่องน้องเพลินหลานสาวไอ้ริว ที่ขึ้นมากรุงเทพฯ เพื่อจะเตรียมตัวไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัว คุยเรื่องเพื่อนในวงมันบ้าง คุยเรื่องเพื่อนในกลุ่มผมบ้าง ไอ้เจ๋งก็ถูกผลักออกไปเป็นคนนอกโดยปริยาย ซึ่งผมรู้ว่าไอ้แจ็คตั้งใจแน่นอนครับ!
พอขึ้นเครื่อง… เราได้ที่นั่งทางด้านปีกขวาเรียงสาม ไอ้เจ๋งก็กำลังจะเข้าไปนั่งด้านในตามที่นั่งตั๋วของมัน แต่ไอ้แจ็คร้องห้ามเอาไว้ก่อน…
“เดี๋ยวก่อนเจ๋ง… ขอให้ฟี่มันนั่งริมหน้าต่างได้ไหม แกขึ้นเครื่องบินมาหลายครั้งแล้ว ฟี่มันเพิ่งขึ้นครั้งแรก เฮียอยากให้มันได้นั่งริม…” ผมมองหน้าไอ้แจ็คอย่างแปลกใจ แต่ก็รู้สึกปลื้มใจชะมัดที่มันอุตส่าห์จำได้… ผมเคยคุยกับมันก่อนมาว่าอยากถ่ายรูปท้องฟ้าจากบนเครื่องบินจัง จริงๆ ผมแค่บ่นลอยๆ และมันก็เหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันทำให้ผมรู้แล้วว่า… แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ คนบ้าๆ บอๆ อย่างมันก็สนใจเป็นเหมือนกัน
“อ้าวเหรอ… อืมๆ ได้สิเฮีย เจ๋งไม่มีปัญหา พี่ฟี่เข้าไปเลย เดี๋ยวเจ๋งนั่งกลางก็ได้” ผมหันไปมองหน้าไอ้แจ็คแว้บนึง… อดเสียดายถ้าจะไม่ได้นั่งกับมัน และผมก็แอบเริ่มรำคาญไอ้น้องเจ๋งเล็กๆ ผมคิดว่าถ้ามันนั่งข้างผม คงชวนผมคุยไม่หยุดแน่ๆ
“แกนั่งริมทางเดินไปนั่นแหละ เดี๋ยวเฮียนั่งกลาง เฮียจะคุยเรื่องโปรแกรมเที่ยววันอื่นๆ กับฟี่มันด้วย” แล้วมันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง! ไอ้แจ็คของผม… มันน่ารักเนอะ!
“เฮียแม่งโคตรดูแลพี่ฟี่อย่างดีเลยอ่ะ… นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนกัน เจ๋งคิดว่าเป็นแฟนกันซะอีกนะ” ไอ้เจ๋งที่ตอนนี้นั่งลงในเบาะริมทางเดิน พูดขึ้นมาในขณะที่กำลังรัดเข็มขัด… มันเหมือนจะเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดาๆ แต่ก็เล่นเอาผมตกใจไม่น้อย… หรือว่าน้องมันจะรู้ ก็เห็นไอ้แจ็คบอกว่าน้องมันเป็นเกย์ หรือว่ามันจะดูออก… ตัวผมน่ะไม่กลัวหรอก ถ้าใครจะรู้ว่าคบผู้ชายด้วยกันเป็นแฟน เพราะผมมันโนเนม เป็นแค่ไอ้ฟี่ธรรมดาๆ แต่ไอ้แจ็คมันไม่ใช่ มันเป็นมือเบสวงเทอมินัล เป็นนักดนตรีโด่งดัง มีแฟนคลับทั่วทั้งประเทศ ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นมาอีก คราวนี้ทั้งวงคงโดนหาว่าเป็นวงร็อคเกย์แน่ๆ
“ไม่หรอก แจ็คมันก็ดูแลเพื่อนดีแบบนี้ทุกคนแหละ… มันเป็นคนชอบเทคแคร์คนอยู่แล้ว แล้วพี่ก็เพิ่งเคยไปเมืองนอกครั้งแรก ยิ่งเงอะๆ งะๆ ภาสงภาษาอะไรก็ไม่ได้ พี่ก็ย้ำไอ้แจ็คก่อนมาว่าอย่าทิ้งกูนะเดี๋ยวกูหลงตายอยู่ต่างประเทศ มันก็เลยต้องคอยเป็นไกด์จำเป็นนั่นแหละ” ผมที่ร้อนตัวก่อนไอ้แจ็ครีบหาเรื่องมาอธิบายยาวเหยียด แอบเห็นไอ้แจ็คนั่งยิ้มมุมปาก ทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้วอยากจะลุกขึ้นกระทืบจริงๆ ไอ้ห่านี่ ไม่รู้จักช่วยกันแก้ตัวเลย!
“ฮ่าๆ เจ๋งรู้ เฮียแจ็คแกดูแลคนอื่นดีจะตาย ที่บ้านอาม่าอากงถามหาเฮียตลอด เวลาเฮียอยู่ด้วยเฮียแกก็จะเอาใจคนนู้นทีคนนี้ที… เจ๋งหมายถึงเอาใจใส่น่ะ… ใครๆ ต่างก็เอ็นดูเฮียกันทั้งนั้น” น้ำเสียงขำๆ แต่ประโยคเหมือนกัดไอ้แจ็คเล็กๆ อีกแล้ว ทำให้ผมอดหงุดหงิดใจไม่ได้… แต่ก็มีส่วนถูกที่ไอ้น้องเจ๋งมันพูด… ใครๆ อยู่ใกล้ก็รักไอ้บ้านี่ทั้งนั้น มันเป็นคนคุยสนุก อารมณ์ดี เฟรนด์ลี่เรี่ยราด น้อยครั้งมากที่มันจะอารมณ์เสีย
“ไม่ต้องเยินยอเฮียมากหรอกเจ๋ง เฮียรู้ตัวว่าเฮียหล่อ เฮียเก่ง เฮียเป็นที่รักของเด็ก และสตรีมีครรภ์ ไม่เว้นแม้แต่วัยชรา หมาแมว ใครๆ ก็รักเฮียกันทั้งนั้น เฮียได้ยินจนชินแล้วล่ะ ของแบบนี้เลียนแบบกันยากหน่อยนะ คนมันมีเสน่ห์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด” หึหึ กวนตีนได้สมกับที่เป็นมันจริงๆ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนกำลังแอบเชียร์แฟนตัวเองในใจ ให้จัดการไอ้เด็กเจ๋งนี่ให้อยู่หมัดซะที และในที่สุดไอ้แจ็คก็ออกโรงจนได้ หลังจากที่นั่งหน้าอึน อึดอัดมาหลายชั่วโมง
“ฮ่าๆ… นอกจากเป็นที่รักแล้วนะพี่ฟี่ เฮียแกยังหลงตัวเองเก๊งเก่งแหละ” ไอ้เจ๋งพูดขำๆ อีกครั้ง
“คนเราพูดเรื่องจริง เขาไม่เรียกหลงตัวเองหรอกเจ๋ง… เขาเรียกรู้ตัวเอง ไม่ใช่คิดเอาเอง เอาเถอะ แกยังไม่รู้หรอกว่าการที่มีคนมาชื่นชมตัวเองเพราะตัวเองมีดีใช้ชื่นชมน่ะมันเป็นยังไง ถึงได้คิดเอาเองว่ามันคือการหลงตัวเอง เอาไว้รอแกมีดีก่อนนะไอ้หนุ่ม เดี๋ยวเฮียแจ็คจะเป็นคนชื่นชมแกคนแรกเลย” ไอ้แจ็คยักคิ้ว พร้อมยิ้มทะเล้นตบท้ายประโยคตามสไตล์ของมัน และผมก็ต้องรีบหันหน้าซ่อนรอยยิ้มไปทางริมหน้าต่าง… ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่ยิ้มชื่นชมแฟนตัวเองเท่านั้นแหละ!
“…เออ ว่าจะถามก็ลืมพี่ฟี่สักหรือเปล่าฮะ เจ๋งกำลังหาร้านสักอยู่เลย พี่ฟี่มีแนะนำไหม” แล้วไอ้น้องเจ๋งก็เปลี่ยนเรื่องไปซะอย่างนั้น มันชะโงกหน้าข้ามไอ้แจ็คมาคุยกับผมแทน
“ก็มีที่แนะนำให้ได้ เป็นของรุ่นพี่ที่รู้จักกัน…” ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถามเรื่องตัวเองสักรึเปล่า เพราะผมว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว นอกจากจะเห็นเองแล้วทักขึ้นมา
“ดีเลย… ไว้เจ๋งจะให้พี่ฟี่พาไปนะ”
“จะสักน่ะขออาโกวแล้วเหรอ…” ไอ้แจ็คถามขัดขึ้นมา
“ขอแล้วสิเฮีย ไม่มีปัญหาหรอก… เฮียไม่สักบ้างเหรอ วงร็อคนะเฮีย สักแล้วเท่”
“ไม่เอาหรอก ผิวเฮียดีอยู่แล้ว จะไปสักทำไม… ”
“เจ๋งชอบจะตายคนที่มีรอยสัก… ว่าแต่พี่ฟี่มีรอยสักตรงไหนบ้างฮะ” แล้วมันก็วกเข้าเรื่องนี้อีกจนได้
“หลังเท้า ต้นแขนซ้าย แล้วก็ไหล่ขวา” ผมจำใจต้องบอกออกไป
“โห!!! เท่ไปเลย… เอาไว้ตอนที่เราไปรอเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ พี่ฟี่เปิดให้เจ๋งดูหน่อยนะ”
“ไม่ใช่รอยเท่ๆ ที่น่าอวดหรอกเจ๋ง อย่าดูเลย…” ผมตัดปัญหาด้วยการปฏิเสธอย่างสุภาพ ปกติผมไม่ใช่คนช่างเถียงอยู่แล้ว ถ้าไม่อยากทำอะไรก็จะพูดไปตรงๆ
“ไม่เป็นไรฮะ แค่รู้ว่าพี่ฟี่สักก็โคตรเท่แล้ว เจ๋งชอบ…” ชอบอะไรวะ รอยสักหรือชอบกู!
“เฮ้ยฟี่… เอาแผนที่มาดูกัน”
หลังจากนั้นไอ้แจ็คก็ตัดบทมาเรื่องเที่ยว แล้วก็เลิกสนใจไอ้เจ๋ง แต่ไม่นานไอ้เจ๋งก็พยายามจะมีส่วนร่วมในบทสนทนาตลอด จนผมต้องตัดบทอีกครั้งโดยการนอนหลับ… แม้จะไม่หลับจริงๆ แต่อย่างน้อยก็จะได้ยุติเสียงของไอ้เด็กนั่นไปได้สักที ผมว่าไอ้แจ็คเองก็คงรำคาญมันไม่ใช่น้อย…
แปลกดีนะ… ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไอ้น้องเจ๋งมีบุคลิกหลายๆ อย่างที่เหมือนไอ้คนข้างๆ ผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพูดมาก ตื่นตัวตลอดเวลา เข้ากับคนอื่นง่าย ร่าเริง ยิ้มเก่ง เป็นกันเอง และมีความกวนจนน่าเวียนหัวอยู่ไม่น้อย แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกรำคาญไอ้น้องเจ๋งมากกว่าไอ้แจ็คหลายสิบเท่า หรือว่าจะจริงอย่างที่เขาว่า คนรักกัน อะไรๆ มันก็ดีไปหมด…
ไม่หรอก… แอบสารภาพเลยว่า ทุกวันนี้ ยังคงมีบางครั้งที่ผมรำคาญความพูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย และความกวนส้นตีนของไอ้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนผมอยู่นะ… แต่ ไม่รู้สิ! ผมรู้สึกชินกับไอ้แจ็คแบบนี้ซะแล้วมั้ง หรือผมจะไม่รู้ตัว ว่าตัวเองรักในความทะเล้นของมันเข้าให้แล้ว… ถ้ามันกลายเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อย ก็คงไม่ใช่น้องแจ็คน่ะสิ!
to be continue
++++++++++++++++++++++++++
Mercy Talk :
+ บ้าจริงพี่ชาย! ฉันทำสำเร็จแล้ว ฉันลงนิยายก่อนครบสองเดือนได้แล้ว... ฮ่าๆๆๆ คราวนี้มาเร็วนะคะเนี่ย ปรบมือให้ตัวเอง ^^ กะว่าจะลงเป็นของขวัญวาเลนไทน์ แล้วก็อยากลงก่อนวันเกิดตัวเองหนึ่งวัน ^^ (แอร้ยยยยย ไม่ใช่นิยายรายสองเดือนแล้วนะตัวเธอว์)
+ อย่่างที่บอกไป ตอนนี้พาฟี่แจ็คมาให้หายคิดถึงกันค่ะ ตอนนี้คู่นี้เค้าหนีเที่ยวแหละ
+ เอาจริงๆ อยากจะบอกว่าตอนนี้ก็แอบดูเรื่อยๆ เหมือนเป็นชีวิตของทั้งคู่นะคะ ไม่ได้มีอะไรหวือหวามากนัก จะมีก็ไอ้น้องเจ๋งนี่แหละ ที่โผล่มาสร้างสีสันบ้างเล็กน้อย...
+ เอาเป็นว่าตอนหน้าไปดูสองคนนี้เที่่ยว แล้วลุ้นว่าไอ้น้องเจ๋งจะทำให้เฮียแจ็คแกของขึ้นได้อีกไหม
+ แต่เราว่าตอนนี้พี่ฟี่น่ารักเนอะ!!!
+ ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์มากๆ เลยนะคะ ดีใจมากๆ เลยที่มีคนใหม่ๆ เข้ามาอ่านด้วย... ขอบคุณที่ยังคงตามเรื่องนี้กันอยู่แม้ว่าอีคนเขียนมันจะดองเปรี้ยว ดองเค็มขนาดไหนก็ตาม
+ คำผิดเดี๋ยวกลับมาแก้ค่า
+ ติดตามข่าวสาร หรือตอนสั้นๆ กันได้ในเฟสฯ ของเมอร์ซี่นะคะ