ผมขับรถมาจอดที่หอพักของคีย์เพื่อมารับเนมโดยไม่ได้โทรมาบอกก่อน เพราะถ้าโทรมาหรือส่งข้อความมาเนมอาจจะหนีไปอยู่ที่อื่นหรือไม่ก็ไม่ยอมมาพบ แต่การเข้าหอนี้ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีคีย์การ์ดหรือโทรให้เนมหรือเจ้าของห้องลงมาเปิดประตูให้ ผมนั่งรอที่ม้านั่งใกล้ๆ เผื่อมีคนเข้าออกจะได้อาศัยจังหวะนั้นเข้าไปด้านในด้วย แต่รอสักพักก็ยังไม่มี กำลังชั่งใจว่าจะโทรไปหาเนม ก็มองไปเห็นเจ้าของห้องกำลังเดินมาทางนี้พอดี สายตาที่มองสบมาทันทีที่เห็นผมยังคงเหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่เป็นมิตรเลยสักนิด ผมเดินไปหาเพื่อเจรจาขอขึ้นไปหาเนมบนห้อง
“มาที่นี่ทำไม หรือว่าเอาของมาให้เนม”
“เปล่า มารับ”
“เนมไม่กลับไปอยู่กับคุณอีกแล้วไม่เข้าใจรึไง”
“เรื่องนี้ให้เนมเป็นคนพูดเองดีกว่า คนนอกไม่เกี่ยว”
“มึง!!”คีย์ผลักอกผมจนต้องก้าวถอยหลัง มันทำท่าจะไม่หยุดเลยต้องจับข้อมือมันเอาไว้
“อย่าดีกว่าน่า เริ่มก่อนแล้วแพ้จะขายหน้าเอานะ”
“คนอย่างมึงมีแต่ทำให้เนมร้องไห้ เนมไม่ต้องการมึงอีกแล้ว!! อย่ามาหาเนมอีก”
“ไปตามเนมมาพูดเอง ให้ฟังจากพวกหวังตีท้ายครัวคนอื่น ฟังยังไงก็เชื่อไม่ได้ว่ะ”
“เนมเป็นของกู!! กับมึงเนมแค่หลงผิดไปชั่ววูบแค่นั้น แต่ต่อไปนี้เนมจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว กูจะดูแลเนมเอง มึงไปซะ”
“ถ้าเนมมาพูดต่อหน้ากูตอนนี้ว่าเลือกมึง กูจะไป ไปตามมาสิ”
“....เนมไม่อยากคุยกับมึง”
“แสดงว่าเนมไม่ได้อยากเลิก หรือไม่ก็...ไม่ได้อยู่ที่นี่”
“เนมเลิกกับมึงแล้ว โง่หรือไงวะ ไม่เลิกแล้วเนมจะให้กูไปรับมาอยู่กับกูทำไม”
“แสดงว่าไม่อยู่ที่นี่...งั้นก็หมดเรื่องคุยกับมึงแล้ว”ผมสะบัดมือมันที่จับเอาไว้แล้วเดินกลับไปที่รถ ได้ยินเสียงตะโกนด่าตามหลังแว่วๆ แต่ไม่ได้ฟัง ดูจากท่าทางแล้วน่าจะมีปัญหา...หรือจะทะเลาะกับเนม
ผมขับรถเข้ามาในมหาฯลัย เผื่อเนมจะอยู่ในนี้ พยายามมองตามที่ต่างๆ ที่เคยมารับมาส่งแต่ก็ไม่พบ หยิบโทรศัพท์มาไล่มองชื่อเพื่อนเนมที่เคยบันทึกเอาไว้ เพื่อนคนเดียวที่ผมไว้ใจให้เนมคบด้วยมากที่สุด...ป้อง
ป้องบอกให้ผมมาหาที่หอโดยไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ แต่ผมเดาเองว่าเนมน่าจะอยู่กับป้อง หลังจากจอดรถและยืนรอสักพักป้องก็เดินมาหา
“เนมมันมีเรื่องเครียดมากนะพี่ช่วงนี้ ผมไม่รู้ว่ามันเห็นพี่แล้วจะเป็นยังไง แต่...ไม่รู้สิ ผมว่าคนที่น่าจะปลอบและแก้ปัญหาเนมได้คงไม่ใช่เด็กๆ แบบพวกผม แต่ถ้าเนมไม่ยังไม่อยากคุยกับพี่จริงๆ พี่ต้องยอมกลับไปนะ ผมยังไม่อยากให้เพื่อนประสาทแตกตอนนี้”
“อืม”ผมพยักหน้าให้ มีหลายเรื่องที่อยากถาม แต่อยากเจอเนมก่อนมากกว่า ป้องพาผมขึ้นมาที่ห้องตัวเอง หยิบลูกกุญแจไขแม่กุญแจที่คล้องไว้ด้านนอก คนในห้องจะรู้บ้างไหมว่าถูกเพื่อนตัวเองขังเอาไว้ ลูกกุญแจหนึ่งดอกสำหรับไขกลอนประตูถูกยื่นให้แล้วเจ้าของห้องก็ถอยไปยืนห่างๆ เพื่อกันเนมมองเห็น ป้องเองก็คิดคล้ายผม ว่าถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยเนมอาจจะหาที่พึ่งทางอื่นแทนผม ไม่ใช่ว่าเนมไม่ต้องการผม แต่มันเป็นนิสัยของเนมที่ชอบเลี่ยงปัญหาที่ตัวเองยังไม่พร้อม
ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เห็นเนมครั้งแรกเป็นยังไง หัวมันโล่งๆ ตัวเบาลงคล้ายอะไรบางอย่างที่ถ่วงเอาไว้จนหนักทั้งบ่าทั้งไหล่มันหายไป เนมร้องไห้....ผมเองก็อยากร้อง แต่ขณะเดียวกันก็อยากยิ้ม คำพูดสับสนไปมาทั้งที่ตอนแรกตัดพ้อว่ามาช้า แต่สักพักกลับต่อว่าที่ไม่เชื่อฟังที่บอกว่าอย่ามา
“ขอโทษ......แต่พี่ไม่อยากรอแล้ว”
เสียงร้องไห้ดังสะท้อนภายในห้องที่ปิดสนิท แขนสองข้างกอดเนมให้แน่นเท่าที่อยากกอด ชดเชยช่วงเวลาที่ไม่มีคนๆ นี้ในอ้อมแขน
“พี่ขอโทษนะ”ไม่รู้จะมีคำไหนชดเชยน้ำตาเหล่านี้ได้เท่าคำนี้ มือเล็กๆ กำเสื้อผมแน่น เสียงสะอื้นค่อยๆ เบาลง ซบหน้านิ่งอยู่บนไหล่ นานมากจนคิดว่าคงหลับไป แต่พอผ่อนแรงคลายอ้อมแขนเพื่อจะมองหน้าเนมกลับยิ่งรัดวงแขนตัวเองซุกหน้าบนบ่าไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็น เรานั่งกอดกันเงียบๆ อยู่บนพื้น ประตูห้องปิดลงโดยฝีมือเจ้าของห้องที่ย่องมาปิดแล้วเดินจากไปเงียบๆ ทั้งห้องเหลือเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ สลับเสียงสูดน้ำมูกเป็นบางครั้ง บางทีผมอาจไม่ปกติที่ได้ยินเสียงสะอื้นของเนมแล้วยิ้ม....แต่...มันดีใจจริงๆ
“ลุกไปนั่งบนเตียงมั้ย”ผมถามเนมหลังจากเรานั่งบนพื้นมาน่าจะนานเกือบชั่วโมง เนมหยุดร้องสนิทแล้ว
“....ไม่เอา”เสียงดังข้างๆ หู คางวางเกยบนบ่าพอๆ กับทั้งตัวที่มานั่งกองอยู่บนตัก
“ผอมลงใช่มั้ย ทำไมไม่กินข้าว”
“พี่โก้ก็ผอม โทรมด้วย เสื้อตัวนี้ก็ยับ”
“อืม....อยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนกินข้าว”
“เนมไม่ใช่เพื่อนซะหน่อย”
“ไม่มีแฟนกินข้าวด้วยโอเคมั้ย”
“....คิดถึงเนมมั้ย”
“คิดถึง”
“อืม.....แล้วพี่มาที่นี่ได้ไง ป้องโทรไปหาเหรอ”
“เปล่า พี่ไปดักรอเนมที่หอคีย์แต่ไม่เจอเลยโทรหาป้อง”
“......เหรอ”
“กลับห้องเราเถอะ”
“......เนมยังไม่อยากกลับ”
“จะไม่กลับไปกับพี่เหรอ”
“เนม...ไม่อยากอยู่ที่นั่น”
“เนม.....พี่ไม่ได้คิดอะไรกับตี๋แบบที่เนมกังวลเลยนะ”
“เนมไม่รู้ เนมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่เนมไม่อยากกลับไปที่นั่นอีก ไม่อยากไปอยู่ห้องนั้น ไม่อยากเห็นหรือได้ยินอะไรอีกแล้ว"เนมสะบัดตัวออกจากแขนผมแล้วลุกขึ้นยืนหันหลังให้ ผมลุกขึ้นดึงแขนเนมให้หันกลับมาแต่เนมเดินไปไปยืนอีกฝั่งของเตียง
“เนมรู้ว่าเนมงี่เง่า แต่เนมทนไม่ได้จริงๆ พี่เข้าใจมั้ย เนมยังไม่พร้อม...พี่กลับไปก่อนเถอะ”เนมหันหน้ามาทางผมแต่ก้มมองปลายเท้าตัวเองนิ่ง ผมเคยคิดว่าถ้าเนมรับผมที่เป็นแบบนี้ไม่ได้ ไม่มีความสุขที่จะอยู่ข้างผม ผมก็จะปล่อยเนมไป ให้เนมเลือกทางที่ตัวเองมีความสุขที่สุด สบายใจที่สุด แต่เมื่อหลายๆ คนย้ำแล้วว่าความคิดผมมันผิด สิ่งที่ผมทำมันผิด และผมยอมรับแล้วว่า...ผมไม่สามารถปล่อยเนมไปได้อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ต่อให้บอกกับคีย์ไปว่าถ้าเนมยืนยันว่าจะไป ผม...ก็คงพยายามรั้งไว้ให้ถึงที่สุดอยู่ดี.....อยากให้อยู่ด้วยกัน....นานกว่านี้
“พี่เองก็งี่เง่าเหมือนกัน แต่เนมเชื่อพี่อีกสักครั้งได้มั้ย ความรู้สึกของพี่กับตี๋มะ...”
“พอ!! พอแล้ว! เนมไม่อยากได้ยินพี่พูดชื่อนั้น ไม่อยากเห็นไม่อยากรู้อะไรเลย พี่ก่อนกลับไปเถอะ”เนมเดินผ่านผมไปที่ประตูเพื่อเปิดให้ผมออกไป
“เนม...”
“เอ๊ะ...ทำไมเปิดไม่ได้ ประตูติดอะไรอะ มันเปิดไม่ออกอะพี่โก้”เนมหันมามองผมแล้วพยายามดันประตูแต่เปิดออกไปไม่ได้ แต่ผมไม่ได้ขยับไปช่วยดู คนที่ช่วยไขข้อข้องไขคือเจ้าของห้องที่ยืนพูดจากด้านนอก
“คุยกันให้เคลียร์เลยมึงไอ้เนม ไม่งั้นกูล็อคไว้อย่างนี้ล่ะ อีกชั่วโมงเดี๋ยวกูมาดูใหม่ ถ้ายังไม่เคลียร์กูไม่เปิดให้นะ”เสียงฝีเท้าเดินจากไปทันทีที่พูดจบ
“ไอ้ป้อง!! ไอ้เพื่อนเวร! กลับมาเปิดประตูนะมึง ไอ้ป้อง!”
“เพื่อนคงเดินไปไกลแล้วล่ะน่า เรามาคุยกันให้จบดีกว่า ไหนๆ ก็ออกจากห้องไม่ได้แล้ว”ผมดึงไหล่เนมให้เดินถอยมาจากประตูห้อง เนมตวัดสายตาหันมามองตาโต
“พี่โก้บอกให้มันทำแบบนี้ใช่มั้ย”
“พี่เปล่า”ผมไม่ได้ทำจริงๆ ถึงแม้มันจะตรงใจและเป็นผลดีกับผมก็ตาม
“ไม่เชื่อ ต้องเป็นแผนพี่แน่ๆ เลย”
“อือๆ แผนพี่ก็แผนที่ จะคุยได้หรือยังล่ะ”ผมเดินไปนั่งบนปลายเตียง ปล่อยเนมยืนสะบัดตัวไปมาอย่างหงุดหงิด ส่วนตัวเองได้แต่นึกขอบคุณป้องอยู่ในใจ เห็นทีกลับไปต้องหาของสมนาคุณชุดใหญ่ให้สักหน่อย
“พี่อาจจะหลงคิดชอบตี๋มันจริง”
“พี่โก้!! เนมบอกว่าไม่อยากฟังไง”เนมยืนกอดอกสะบัดหน้าหนีให้รู้ว่างอนและใกล้จะโกรธ แต่ขอบตาที่เริ่มแวววาวคล้ายมีน้ำขังนั้นแสดงว่ามันเกินอารมณ์งอนหรือโกรธไปมากแล้ว....เสียใจ
“งั้นพูดเรื่องของเจก็ได้”
“เรื่องพี่เจก็ไม่อยากฟังเหมือนกัน”คราวนี้หันหน้าหนีทิ้งตัวลงนั่งยองๆ ก้มหน้าซุกหัวเข่าชนบานประตู ผมเดินไปยืนด้านหลังก่อนจะก้มลงสวมก่อนจากด้านหลังจนถึงหน้าขาที่หนีบชิดสนิทแล้วลุกขึ้นยืนอุ้มมาทั้งท่านั่งอย่างนี้เนี่ยแหละ เนมร้องเสียงหลงด้วยความกลัวตก แต่ระยะทางระหว่างประตูกับเตียงใกล้กันนิดเดียว อุ้มเนมมาวางบนเตียงได้เจ้าตัวก็ทำท่าจะกลิ้งหนีไปลงอีกฝั่งเลยต้องรีบทิ้งตัวลงไปทับให้นอนนิ่งๆ จับพลิกตัวให้ขึ้นมานอนซ้อนด้านบนแล้วค่อยๆ เขยิบขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง ล็อคมือไว้ที่เอวเนมแน่น ถึงพยายามดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
“ตอนเด็กๆ พี่เคยคิดว่าพี่ชอบเจ”
“ไม่ฟังๆๆๆ”เนมยกมือปิดหูทั้งสองข้าง แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้พยายามปิดยังไง ถ้าพูดแนบหูขนาดนี้ก็ต้องได้ยิน
“พี่เคยคิดว่าตัวเองชอบคนสองคนพร้อมๆ กัน พี่ไปถามพ่อว่าจะทำยังไงดี พ่อพี่บอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่เราจะชอบอะไรเท่าๆ กัน มันจะต้องมีที่พิเศษกว่าเพียงหนึ่งเดียว อาจต้องใช้เวลาหรืออะไรหลายอย่างในการตัดสิน ตอนนั้นพี่ยังเด็ก ยังไม่ค่อยเข้าใจมาก แต่ไม่เคยคิดจะลองคบเพื่อชั่งน้ำหนักใจตัวเองว่าทุ่มให้ฝ่ายไหนมากกว่า”พอผมเริ่มเล่าโดยมีพ่อมาเกี่ยวเนมก็เริ่มสงบขึ้น หยุดดิ้น แต่ยังยกมือปิดหูอยู่
“พี่คอยตรวจสอบความรู้สึกตัวเองเงียบๆ ถามตัวเองว่าคนนี้ใช่รึเปล่า แต่....ก็คาดหวังกับอีกคนมากกว่า ถึงจะยังเด็ก ยังไม่รู้ประสา แต่ก็เป็นการปลูกฝังลงไปทีละน้อย....อยากเป็นที่หนึ่ง เป็นที่สุด คำตอบว่าชอบใครมากกว่ามันเกิดตั้งแต่ตอนนั้น....พี่คงไม่อยากเป็นที่สุดของใคร ถ้าคนๆ นั้นไม่ใช่คนที่พี่รัก แต่กว่าจะค้นคำตอบให้ตัวเอง มันก็มีหลายๆ อย่างทำให้ต้องวางทุกอย่างลง....พ่อแม่พี่เจตายพร้อมๆ กัน และทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าพี่...ส่วนหนึ่งเป็นความรับผิดชอบของพี่ คงเป็น...ความรู้สึกผิด ผิดมากที่สุดที่เคยทำในตอนนั้น....กับเจมันคือความสงสาร ความผิด ผสมรักและเอ็นดูแบบน้องปนๆ กันไป เนมอาจจะไม่เชื่อว่าพี่ไม่เคยคิดกับเจมากกว่าเพื่อนหรือพี่น้อง แต่พี่เชื่อในความสามารถตัวเองว่ามีมากพอที่จะเอาเจมาเป็นของพี่ ต่อให้มีพี่เอ็กซ์หรือไม่มีก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไรถ้าอยากจะทำ โอกาสที่จะทำให้เจชอบพี่มีตลอดเวลาไม่ใช่ไม่มี แต่พี่ไม่ได้ต้องการเจแบบนั้น......แต่ในระหว่างที่พี่ทุ่มเททุกอย่างรับผิดชอบความรู้สึกผิดของตัวเอง....เป็นอีกครั้งที่พี่เพิ่งรู้สึกว่าพี่ทำผิดที่สุดในชีวิตตัวเองไปแล้ว.....”
“อะไรเหรอฮะ”เนมปล่อยมือจากใบหูตัวเองมากุมมือสลับลูบปลอบเบาๆ ไม่ให้ผมรู้สึกผิดกับอดีตที่เกิดกับครอบครัวเจอีก
“....ที่ปล่อยเนมไป.....พี่ผิด...ที่ปล่อยเนมไปครั้งนั้น”
“อื้อ...มากด้วย”เสียงอู้อี้ๆ เหมือนจะร้องไห้แต่พยายามอั้นเอาไว้ ผมดันหน้าผากเนมให้เอนมาพิงอกตัวเองเอาไว้ นึกถึงวันนั้นทีไรความรู้สึกตอนนั้นก็ยังชัดเจนทุกที
“ตอนนั้นเจเริ่มคบกับพี่เอ็กซ์แล้ว อาจไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร แล้วพี่ก็เสียเนมไป..........พี่มีตี๋คอยอยู่ข้างๆ...ส่วนเจกำลังห่างออกไปทุกที มันเป็นนิสัยเสียๆ ของพี่ที่เผลอยึดติดกับเพื่อนมากไป ความรู้สึกที่เสียเนมไป และหมดหน้าที่ดูแลเจไปพร้อมๆ กันมันทำให้เคว้ง.....มันเหมือนหมดแล้ว....ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป แต่เพราะมีตี๋คอยอยู่ด้วยกันตลอด มีอารมณ์ร่วมกันหลายๆ เหตุการณ์ เห็นความทุกข์ของมันตลอด....มันยังอยู่ด้วยกัน เป็นเพื่อนที่รับรู้หลายๆ เรื่องราวด้วยกัน พี่เลยยึดติดกันมันมากไป พี่เอาเวลาที่เหลือทุกอย่างมาอยู่ที่ตี๋ คิดว่าต่อจากนี้ไปมีเพียงมันกับพี่แค่สองคนก็พอ เราจะไม่ทิ้งกันไปไหน อยู่ด้วยกัน แต่ทุกอย่างเป็นความเพ้อของพี่คนเดียว วันหนึ่งตี๋มันก็จากไป แต่ไปทั้งๆ ที่มันเข้าใจพี่ผิด และพี่ไม่คิดจะแก้ตัว มันจะเชื่ออย่างไหนก็ตามใจ ถ้ารู้จักกันมานานขนาดนี้ยังคิดว่าพี่เป็นคนแบบนั้นก็ช่างหัวมัน....ทุกคนไปหมด ตอนนั้นพี่ทำตัวเละเทะมาก ไม่ใช่ว่าอกหักนะ แต่มันเสียความรู้สึก แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองหมดแล้ว ไม่มีเจ ไม่มีตี๋ และเนมจากไปนานแล้ว.......นิ้งบอกพี่ว่าพี่เป็นโรคขี้ขลาด เป็นพวกไม่มีความมั่นใจถ้าไม่ยึดอะไรไว้สักอย่าง เหมือนไม่มีความฝันในชีวิต ซึ่งก็จริง พี่ไม่เคยรู้สึกว่าโตขึ้นอยากทำอะไรหรือเป็นอะไร ตอนเด็กดูแลเนม โตมาอีกหน่อยดูแลเจ ถัดมาดูแลตี๋ พอทุกคนจากไปพี่เลยเคว้ง พี่เคยคิดว่าต่อจากนี้จะไม่คอยดูแลใครอีกเพื่อจะได้ไม่มีใครเดินจากพี่ไป จะไม่ทุ่มเทให้ใคร ไม่ผูกพันกับใคร เพราะเวลาที่ใครสักคนจากไป....มันเจ็บมาก แล้วอาจเพราะทิฐิโง่ๆ ของพี่ที่ไม่เคยรั้งใครเอาไว้ ยอมเจ็บคนเดียวดีกว่าให้ใครสงสาร เพราะถ้าจะอยู่ด้วยกันมันต้องไม่ใช่เพราะสงสาร พี่ไม่เชื่อว่าความสงสารก่อให้เกิดรักได้ ความรักต่างหากที่ทำให้สงสารกัน พี่สงสารเจที่เสียครอบครัว แต่ไม่ได้รักเจ และสงสารตี๋ที่สูญเสียเจ แต่พี่ไม่ได้รักตี๋....และพี่ปล่อยเนมไปตอนนั้นไม่ใช่เพราะสงสารหรือไม่รัก หรือแม้แต่ที่กลับมาคบกับเนมใหม่ ทั้งหมดแค่เพราะพี่รักเนม....เนมเชื่อพี่รึเปล่า”
+++++++++++++++++