มาแล้วค่ากับตอนใหม่~ พอโพสต์นี่เสร็จก็จะไปเคลียร์คุณตำรวจยอดรักบ้าง...
อยากเขียนนิยายเรื่องใหม่ด้วย เคยคิดจะเขียนแนว Y แบบลึกลับ แต่ก็ได้แต่คิด ยังไหาพล็อตถูกใจไม่ได้สักทีสำหรับนิยายเก่า ๆ ของปัดมีอยู่เรื่องนึงเป็นแนวแวมไพร์ แต่คาแรกเตอร์มันหื่นกามมาก ๆ ไร้เหตุผล แถมขี้หึงกว่าอีตาริวยะหลายเท่านัก (ก็แน่ล่ะ เพราะมันเป็นต้นแบบ) แหะ ๆ ผลงานแรก ๆ เวลาโพสแล้วก็เหมือนประจานตัวเองยังไงไม่รู้
ไว้เกลาสำนวนให้มันดูดีกว่านั้นแล้วอาจจะมาโพสให้อ่านนะคะ (หรือไม่ก็อาจจะเขียนใหม่ไปเลย...แนวผีดิบไทย ๆ ก็น่าสนใจดี อยากอ่านไหมคะ?)อ่ะ เมาท์นอกเรื่อง ไปตามอ่านตอนใหม่ของเรื่องนี้กันได้ต่อเลยค่ะ
=====
บทที่ 13
=====
ยูคิเดินงัวเงียออกมานอกห้องในตอนบ่ายของวันนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมาริวยะแทบไม่ยอมปล่อยให้เขาได้นอนพักเลยสักนิด จนกระทั่งเขาเผลอหลับไปเองในตอนเกือบรุ่งเช้า
“ฉันว่าจ้างครูมาสอนที่บ้านแล้วให้เธอไปสอบวัดระดับเพื่อเลื่อนขั้นทีหลังดีกว่านะ”
จากเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา ริวยะได้เสนอความคิด หลังจากที่เด็กหนุ่มโอดครวญว่า ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มีหวังเขาคงจะเรียนไม่ทันเพื่อนร่วมชั้นแน่ ๆ
“ไม่ดีหรอกครับ อย่างนั้นก็ไม่มีเพื่อนกันพอดี” ยูคิจำได้ว่าพอปฏิเสธออกไปแบบนั้น ริวยะก็มีสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนิด ๆ ก่อนจะยื่นคำขาดที่ทำให้เขาคิดหนักต่อมา
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต้องบ่นเรื่องเรียนไม่ทัน สมองอย่างเธอเรื่องเรียนไม่น่าจะเป็นปัญหาอยู่แล้ว อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่ผู้ปกครองที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องผลการเรียนสักเท่าไหร่นักหรอกนะ”
“แต่ถ้าเวลาเรียนไม่พอ ...” เขาบอกออกไปเบา ๆ แล้วก็ต้องเงียบกริบเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงห้วน
“ถ้าใครกล้าให้คนของมุราคามิซ้ำชั้นได้ ก็ลองดูสิ!”
“ใช้อำนาจในทางที่ผิดมันไม่ดีนะครับ” เด็กหนุ่มแย้งเสียงอ่อย
“เขาเรียกว่าใช้อำนาจที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ต่างหาก” ริวยะตอบหน้าตาย จนร่างบางต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เถียงกับคุณคงไม่มีทางชนะ”
“รู้อย่างนั้นก็เลิกเถียงสิ เอาเวลามาใช้ในเรื่องอื่นที่น่าสนใจดีกว่า”
พูดไม่พูดเปล่า เจ้าตัวเริ่มจับร่างบางกดนอนราบลงไปกับเตียงอีกครั้ง
“อ๊ะ...อย่าสิครับ เพิ่งจะพักได้แป๊บเดียวเองนะครับ”
ยูคิพยายามขัดขืน ใบหน้าหวาน ๆ ก็แดงก่ำไปหมด เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดประโยคถัดมา
“กอดเธอเท่าไหร่ก็ไม่เคยรู้สึกพอสักที...”
ริวยะบอกพลางใช้มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วผิวกายเนียนละเอียดของร่างบาง
“อืม...อา แต่ถ้าบ่อยเกินไป ...ระวังจะเบื่อเอานะครับ”
ยูคิตอบเสียงกระเส่า อารมณ์ปรารถนาที่ถูกชายหนุ่มกระตุ้น เริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ แต่นี่ยิ่งกอด กลับยิ่งต้องการมากขึ้นทุกที”
ริวยะบอกพลางจูบหนัก ๆ ไปทั่วร่างของเด็กหนุ่มอย่างไม่รู้จักเบื่อ ก่อนจะวนขึ้นไปจูบเบา ๆ ที่กลีบปากบางอีกครั้ง
“แล้วเธอเองก็ชอบให้ฉันทำแบบนี้กับเธอด้วยไม่ใช่หรือไง”
ยูคิหน้าแดงก่ำ หลบตาคมกริบของอีกฝ่ายทันทีด้วยความเขินอาย จนริวยะต้องหัวเราะเบา ๆ ในลำคอด้วยความเอ็นดู
“ถ้าไม่ตอบฉันจะถือว่าเธอชอบนะ”
“อะ...เอ่อ... ผม...ไม่... อื้ม!”
ยูคิอ้ำอึ้งเตรียมจะตอบออกไป แต่ก็ต้องถูกริมฝีปากหนาได้รูปประกบปิดเอาไว้ กักคำพูดเตรียมปฏิเสธของเขากลืนลงไปในลำคอ
“ขี้โกง...นี่นา...”
เด็กหนุ่มหายใจหอบ บ่นใส่อีกฝ่ายเบา ๆ หลังจากริมฝีปากได้รับอิสระแล้ว
“เพิ่งจะรู้เหรอ...”
ริวยะยิ้มเจ้าเล่ห์ และเตรียมลงมือเล้าโลมร่างบางอีกครั้ง โดยไม่ยอมฟังเสียงร้องขอนั่นแม้แต่น้อย
“อื้อ...เดี๋ยวก่อนสิครับ...ดะ...เดี๋ยว...อะ...อา…”
“อืม.. ยูคิ ฉันรักเธอนะ” ชายหนุ่มกระซิบคำรักแผ่วเบา สลับกับการรุกเร้าหนักหน่วง
“ผะ...ผม...ก็รักคุณครับ”
ยูคิสะอื้นตอบ เมื่อสัมผัสจากร่างสูงที่มอบให้ ทำให้เขาทั้งเร่าร้อน และเสียวซ่าน จนแทบจะขาดใจตายไปเสียเดี๋ยวนั้น
ยูคินั่งหน้าแดงอยู่ตรงระเบียงแถวสวนญี่ปุ่น เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อคืน ซึ่งเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตัวเองจะรักผู้ชายด้วยกันได้แบบนี้
เด็กหนุ่มนั่งเหม่อลอยอยู่สักพัก ก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อมีคนนำผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ มาคลุมให้เขา
“คุณยูคิ มานั่งตากลมอะไรแถวนี้กันครับ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกครับ”
“ทาคุ...”
ยูคิกระชับผ้าคลุมไหล่ของตนแน่น อมยิ้มเล็กน้อย รู้สึกเขินนิด ๆ ที่มีคนมาคอยห่วงใย เอาใจใส่ตนแบบนี้
เพราะอยู่กับบิดามาตลอด และเนื่องจากอาชีพนักข่าวของมาซายะ ทำให้เขามักต้องอยู่บ้านคนเดียวเสมอ จึงไม่ค่อยเคยชินกับการที่มีคนมาคอยเอาอกเอาใจอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“จริงสิ ทาคุ เห็นคุณริวยะบอกว่าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ของบริษัทใช่ไหม”
ทาคุพยักหน้ารับเบา ๆ แทนคำตอบ
“ต้องมาคอยตามฉันตลอด คงน่าเบื่อแย่สินะ”
ยูคิบอกยิ้ม ๆ ชักเริ่มชินกับการวางตัวที่ชายหนุ่มพยายามพร่ำสอนมากขึ้นทุกที
“ไม่หรอกครับ ผมยินดีรับหน้าที่นี้ด้วยความเต็มใจ”
ทาคุตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง เสียจนคนฟังต้องเกาแก้มด้วยความเขิน
“แหะ ๆ ขอบใจนะ ความจริงแล้ว ถ้าไม่ได้คุณคอยอยู่เป็นเพื่อนคงเหงาแย่”
ทาคุยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะช่วยฉุดข้อมือ ของร่างบางที่กำลังยันกายลุกขึ้นมา
“ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ อีกอย่างก็ต้องคอยแก้ไข การใช้คำพูดของคุณอีกด้วย บอกแล้วไงครับ สรรพนามแทนตัวผม ไม่ต้องใช้คุณ”
ยูคิเบ้ปากนิด ๆ ไม่ชอบทาคุอยู่อย่างก็ตรงที่ชอบคอยจุกจิกกับเขานี่ล่ะ
“รู้แล้วน่า ก็เผลอไปบ้างเท่านั้นเอง ต่อไปนี้จะเรียกชื่อเฉย ๆ แล้วก็เรียก นาย แทน คุณ พอใจไหม”
“ถ้าได้เช่นนั้นตลอดก็ดีครับ” ทาคุตอบยิ้ม ๆ ทำให้คนฟัง เผลอค้อนขวับเข้าให้อย่างลืมตัว
“หิวข้าวแล้วล่ะ!” ยูคิบอกพลางเดินลิ่ว ๆ นำหน้าไป แต่แล้วก็ต้องเข่าอ่อน เกือบล้มลงไปกองกับพื้น ถ้าไม่ได้ร่างสูงที่เดินตามหลังมา คว้าไว้ได้ทัน
“ระวังหน่อยสิครับ คุณไม่ได้พักผ่อนมาติด ๆ กันหลายวันแล้วนะครับ”
คำเตือนด้วยความปรารถนาดีนั้น ทำเอาคนฟังหน้าแดงก่ำ อยากจะวิ่งหนีไปให้พ้น ๆ ด้วยความอาย แต่ตอนนี้ขาแข้งมันกลับหมดแรงเอาดื้อ ๆ ไปเสียเฉย ๆ
“ห้องอาหารก็อีกไกล จะให้ผมลากคุณไปด้วยก็คงไม่เหมาะนัก”
ทาคุพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเบอร์ ๆ หนึ่ง
“คุณริวยะครับ ผมทาคุครับ คือคุณยูคิ แขนขาไม่มีแรงเอาดื้อ ๆ ตรงบริเวณสวนญี่ปุ่นน่ะครับ ถ้ายังไงผมขออนุญาตอุ้มคุณยูคิกลับห้องได้ไหมครับ”
ยูคิอ้าปากค้าง กับคำพูดหน้าตายของอีกฝ่าย และก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อทาคุยิ้ม และส่งโทรศัพท์มือถือมาให้เขา
“คุณริวยะ อยากพูดด้วยครับ”
“อ่ะ...เอ่อ คุณริวยะหรือครับ”
“เป็นยังไง ยูคิไหวไหม”
น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเป็นห่วง ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกปลื้มใจอยู่ไม่น้อย
“ไม่เป็นไรครับ ก็แค่วูบหมดแรงเฉย ๆ พักสักครู่คงจะเดินไหว”
“ไม่ต้องพักแถวนั้นหรอก ลมแรง เดี๋ยวจะไม่สบาย ให้ทาคุอุ้มกลับห้องไปก็แล้วกัน”
ยูคิหน้าแดง เมื่อได้ยินคำสั่งดังกล่าว
“ตะ...แต่ ผมเดินเองได้”
“อย่าดื้อสิ! แล้วให้ทาคุมาพูดกับฉันแทนด้วย”
ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุ ๆ ทำเอาคนฟังหน้ามุ่ย แต่ก็ยังทำตามคำสั่งนั้นแต่โดยดี
“ครับ รับทราบครับ เดี๋ยวผมจะดูแลคุณยูคิเองครับ”
ทาคุกดตัดสาย และหันมาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้กับคนที่เขายืนประคองอยู่
“ขออภัยนะครับ คุณยูคิ” บอกแล้วก็ช้อนร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ยูคิหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ที่ต้องมาถูกอุ้มเหมือนเด็กผู้หญิงแบบนี้
“เดี๋ยวผมจะพาคุณกลับห้อง และให้คนยกสำรับอาหารไปให้ที่ห้องเองครับ”
“อะ...อืม” ยูคิพยักหน้ารับ เพราะรู้ว่าถึงจะปฏิเสธไป คนในบ้านนี้ ไม่ว่าเจ้านาย หรือลูกน้อง ก็ไม่ค่อยจะฟังคำพูดของเขาอยู่แล้ว สู้ปล่อยเลยตามเลยไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาคอยปวดหัวในภายหลังอีก
ยูคิรู้สึกว่าการที่ตนเองถูกปฏิบัติราวกับเป็นเด็กสาวผู้บอบบาง ทำอะไรเองไม่ไหว มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ฉันไม่ใช่คนป่วยใกล้ตายเสียหน่อย!”
เจ้าตัวบอกกับทาคุ ที่ยกสำรับมาให้เขาถึงเตียง แถมทำท่าเหมือนจะช่วยป้อนข้าว ป้อนน้ำให้เขาอีกต่างหาก
“ขออภัยครับ ที่ทำให้คุณหงุดหงิด ผมก็แค่เป็นห่วงเท่านั้น”
ทาคุตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนน่าใจหาย เล่นเอาคนฟังรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“อะ...เอ่อ ผม เอ๊ย ฉันหมายความว่า ฉันไม่เป็นอะไรเท่าไหร่นักหรอก แค่ได้กิน ได้พักผ่อนเพียงพอ ก็หายดีแล้ว”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นก็ทานข้าวเสียก่อนนะครับ”
ชายหนุ่มบอกด้วยสีหน้ายิ้มนิด ๆ ซึ่งก็ทำให้ยูคิถอนหายใจอย่างโล่งอก และรับจานข้าวและกับที่อีกฝ่ายช่วยตักให้มากินอย่างเงียบ ๆ เวลาไม่นานนักกับข้าวสำรับนั้นก็หมดเกลี้ยง
“ทานเสร็จก็นอนพักเสียนะครับ” ทาคุบอกขณะที่ยกสำรับจะไปเก็บ
“เฮ่! กินเสร็จแล้วนอนได้ยังไง จุกตายน่ะสิ!” ยูคิโวย แต่คนฟังอมยิ้ม และตอบกลับในประโยคที่ทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดง
“แต่ถ้าไม่ฉวยโอกาสพักผ่อนให้มาก ๆ เดี๋ยวคุณริวยะกลับมา อาจจะไม่มีโอกาสได้พักนะครับ”
“ระ...รู้แล้วน่า นอนก็ได้...”
ยูคิบอกออกไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ และรีบดึงผ้าห่มมาคลุมโปงนอนทันที
“ถ้าอย่างนั้น ผมไม่รบกวนแล้วครับ พักผ่อนให้มาก ๆ นะครับ”
ทาคุโค้งน้อย ๆ และเดินปิดประตู ออกไปจากห้อง เหลือเพียงร่างบางที่แม้อยากจะหลับ แต่ถ้อยคำที่ชวนให้หวนคิดไปถึงเรื่องอย่างว่า ก็ทำให้เขารู้สึกเขินอายจนหลับไม่ลงอยู่ดี
====
TBC
====