=====
บทที่ 16
=====
ทันทีที่เด็กหนุ่มก้าวเท้าลงจากรถยนต์ส่วนตัวคันหรู เขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนในโรงเรียนทันที
...มุราคามิ ยูคิ บุตรบุญธรรม ของ มุราคามิ ริวยะ เด็กหนุ่มที่ย้ายมากลางเทอม แถมยังมาเรียนแค่วันสองวัน แล้วขาดเรียนไปเฉย ๆ อีกหลายวัน ...
แม้จะคิด จะสงสัย หรือกระทั่งสนใจ แต่เพราะบารมีของตระกูลมุราคามิ ก็ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่มย่าม พูดคุย สนทนาเป็นส่วนตัวกับเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย ยกเว้น ...
“ไง ยูคิ มาโรงเรียนได้แล้วเหรอ? ฉันนึกว่านายจะมาไม่ถูกแล้วเสียอีก”
ยามิคุระ อารากิ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในโรงเรียนเอกชนยามิคุระแห่งนี้ กล่าวทักทายมาแต่ไกล ทันทีที่เห็นว่าเพื่อนใหม่ของเขามาถึงโรงเรียนแล้ว
“อย่าแซวกันสิอารากิ วันนี้ฉันก็มาแล้วไงล่ะ” ยูคิทักตอบยิ้ม ๆ ยังไงเขาก็ยังอยู่ในวัย กิน เที่ยว เล่น การที่มาโรงเรียนแล้วมีเพื่อนคุยถูกคอ มันย่อมดีกว่าการต้องมานั่งเรียนอยู่กับบ้านเฉย ๆ อยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นผมจะมารับกลับนะครับ” ทาคุกล่าวกับเด็กหนุ่ม ก่อนจะโค้งอำลา ซึ่งยูคิก็พยักหน้าตอบ และยืนส่งจนทาคุขับรถกลับออกไป
“แล้วเป็นไง ช่วงสองสามวันที่หยุดไป คุณริวยะไม่ยอมให้พักเลยสิท่า”
อารากิกระซิบถามขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินขึ้นตึกเรียน
“บ้า!” ยูคิตอบกลับไปคำเดียว ใบหน้าก็พลันขึ้นสีเรื่อ อย่างห้ามไม่ได้ อารากิเห็นดังนั้นก็หัวเราะในลำคอ ก่อนกล่าวต่อ
“น่าอิจฉาจริงนะ อยู่บ้านเดียวกันแบบนี้ จะจี๋จ๋าเมื่อไหร่ก็ทำได้ทันที พวกฉันเองเสียอีกจะเจอกันก็ได้แค่ ตอนเย็นหลังเลิกเรียน กับวันหยุดเท่านั้นเอง”
อารากิบ่น พลางถอนหายใจยาว ซึ่งยูคิก็หันกลับมามองหน้าเพื่อนสนิท พลางยิ้มแหย ๆ
“ตกลงคบกันแน่นอนแล้วใช่ไหมนายกับอาจารย์... เอ่อ ‘เขา’ น่ะ”
อารากิยิ้มให้ยูคิอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับพยักหน้าตอบรับ
“ฮื่อ... ก็วันที่นายเห็นวันนั้นล่ะ ฉันเผด็จศึกเขาเรียบร้อย แล้วเราก็ตกลงคบกันเป็นเรื่องเป็นราว แหม! ถ้ารู้ว่าทำแบบนั้นแล้ว เขาจะยอมโอเค ฉันคงตัดสินใจทำไปนานแล้วล่ะ!”
อารากิบอกราวกับเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนฟังนี่สิ หน้าแดงก่ำไปหมด
“อ้าว! ไหงหน้าแดงอย่างนั้นล่ะ นายเองก็มีอะไรกับคุณริวยะออกบ่อยไม่ใช่หรือไง ยังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้อีกหรือ?”
คำถามที่มาพร้อมกับใบหน้าไม่รู้สึกรู้สานั้น ทำเอายูคิเหยียดยิ้มแค่นให้ ก่อนจะคิดในใจอย่างเซ็ง ๆ
...ไม่แปลกเลยสักนิด ที่อารากิจะชื่นชม คิดเอาคุณริวยะเป็นแบบอย่าง ก็แค่ความคิดเรื่องพรรค์นั้น ทั้งคู่ยังเหมือนกันขนาดนี้ น่าสงสารอาจารย์มิซาวะ จริง ๆ ที่ดันมาหลงชอบคนอย่างหมอนี่ได้ ...
กำลังคิดอะไรเพลินอยู่ดี ๆ เจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งเฮือก เสียววาบไปทั้งตัว
“เป็นอะไรไปยูคิ ทำไมหน้าซีดแบบนั้น”
อารากิถามด้วยความสงสัย ที่จู่ ๆ คนที่หน้าแดงอยู่ดี ๆ สีหน้าก็กลับพลันเปลี่ยนแปลงเป็นซีดเผือดคล้ายดังจะตกใจอะไรสักอย่าง
“อารากิ...ฉันรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองฉันอยู่จากที่ไหนสักแห่ง”
ยูคิบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทั้งนี้เพราะบางครั้งเขาก็ตื๊อตามบิดาไปทำงานด้วย จนทำให้ติดสัญชาตญาณระวังภัยจากอาชีพของบิดาติดตัวมาบ้าง
“มีคนมอง? นักเรียนคนอื่น ๆ หรือเปล่า?”
อารากิบอกพลางหันซ้าย หันขวา มองไปรอบ ๆ บริเวณนั้น
“ไม่รู้สิ แต่พอจะจับความรู้สึกได้ว่า ไม่ได้มาดีแน่ ๆ”
ยูคิตอบ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ และหันมาฝืนยิ้มให้กับเพื่อนสนิท
“ช่างเถอะ บางทีฉันอาจจะคิดมากไปก็ได้ ขึ้นห้องเรียนกันดีกว่า”
“เอางั้นก็ได้” อารากิรับคำง่าย ๆ แต่ก็เริ่มระมัดระวังตัว และสังเกตรอบข้างมากขึ้นกว่าเดิม เพราะปฏิกิริยาที่ยูคิมีนั้นไม่ค่อยน่าไว้วางใจสักเท่าไหร่นัก
เวลาเรียนในช่วงเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งเวลาพักกลางวันมาถึง ยูคิกับอารากิจึงลงมาที่โรงอาหาร และเลือกรับประทานอาหารกลางวันชุดเดียวกัน
“ฉันว่า อาหารกลางวันที่โรงเรียนก็ไม่เลวเลยนะ รสชาติก็อร่อยใช้ได้”
“ก็เพราะว่าพ่อครัวที่นี่เคยเป็นเชฟชื่อดังของโรงแรมใหญ่มาก่อนน่ะสิ”
อารากิบอกพร้อมกับตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ
“อืม ถึงว่าล่ะ” ยูคิพยักหน้ารับ พร้อมกับตักข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน
จะว่าไปแล้ว ฝีมือครัวของชิโนะนั้นอาจจะเยี่ยมกว่าที่นี่อยู่ก็จริง แต่ว่าการที่มีคนร่วมกินข้าวเป็นเพื่อน และพูดคุยสนทนาไปด้วยเรื่อย ๆ แบบนี้ ก็ทำให้อาหารมื้อนั้น มีรสชาติอร่อยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวได้เหมือนกัน
“แล้วเป็นไง ยังรู้สึกว่ามีคนแอบมองอยู่อีกหรือเปล่า”
อารากิถามขึ้นหลังจากที่จัดการมื้อกลางวันมื้อนั้นเรียบร้อย
“ไม่มีแล้ว ดูท่าทางเมื่อเช้าฉันคงจะคิดไปเองจริง ๆ นั่นล่ะ”
ยูคิตอบขณะรวบช้อนส้อมเก็บเรียบร้อย และยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม แล้วก็ต้องแทบสำลัก เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเดินตรงมายังพวกเขา
“ประธาน”
“ไง ยูคิ หยุดเรียนไปหลายวันเชียวนะ คิดถึงจัง....เฮ่ย!”
คาสึกะชะงักมือที่กำลังจะตรงเข้าโอบบ่าของเด็กหนุ่มลง เมื่อคนข้าง ๆ เขา ใช้ส้อมในมือจ่อเข้าที่คอของเขาอย่างน่าหวาดเสียว
“หยุดอยู่แค่นั้นเลยประธาน ก่อนที่ผมจะควบคุมมือของตัวเองไว้ไม่อยู่”
อารากิบอกด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม เพราะยังไม่หายฉุนที่ถูกขโมยจูบเมื่อคราวก่อนหน้านั้น
“โห! โหดชะมัดเลยนะ อารากิ ทั้ง ๆ ที่ฉันอุตสาห์ลงทุนลงแรงช่วยให้นายสมหวังในรักได้แท้ ๆ”
คาสึกะแสร้งรำพึงรำพันไปเรื่อย ๆ แต่คนฟังหน้าแดงวาบทันทีเมื่อได้ยิน
“ระ...รู้ได้ยังไง”
“มีอะไรในโรงเรียนนี้ที่ฉันอยากรู้แล้วไม่รู้บ้างล่ะ อารากิ”
คาสึกะบอกพร้อมยักคิ้วให้อย่างกวน ๆ ก่อนจะหันมาทางยูคิที่ทำหน้าตื่น ๆ แทน
“มาโรงเรียนก็ดีแล้วยูคิ พอดีเย็นนี้ฉันมีงานให้เธอทำหน่อย ในฐานะเลขานุการคนใหม่ของสภานักเรียนไงล่ะ”
เจ้าตัวรีบพูดดักคอ ก่อนจะได้ยินเสียงปฏิเสธของอีกฝ่าย
“เอ่อ...แต่ผม…”
ยูคิอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบยังไง อารากิเลยต้องอธิบายแทนเพื่อน
“ยูคิอยู่เย็นไม่ได้หรอก เขาต้องรีบกลับบ้าน ตามคำสั่งของคุณริวยะ”
คาสึกะเลิกคิ้ว ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“มุราคามิ ริวยะ น่ะเหรอ เขาเองตอนอยู่ที่นี่ก็เคยเป็นสมาชิกของสภานักเรียนมาก่อน ฉันว่าเขาคงจะเข้าใจนะ ว่าคนที่ทำกิจกรรมเพื่อโรงเรียนน่ะ บางทีก็ต้องเสียสละเวลาส่วนตัวให้โรงเรียนบ้าง”
คำตอบของคาสึกะ ทำเอาเด็กหนุ่มอีกสองคนเงียบกริบ เพราะไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรแย้งได้ โดยเฉพาะยูคิ เจ้าตัวถึงกับปวดขมับด้วยความกลัดกลุ้ม เพราะเขาเองลืมบอกริวยะไปเสียสนิทว่าตัวเองได้เข้าเป็นสมาชิกสภานักเรียนไปเรียบร้อยแล้ว
“ถ้ายังไงฉันคุยกับเขาให้ไหมล่ะ?”
คาสึกะหันมายิ้มให้กับยูคิ เพราะพอจะเดาสีหน้าของเด็กหนุ่มได้
“ตะ...แต่”
“ไม่เป็นไร เห็นแบบนี้ ฉันก็เคยติดต่องานกับเขามาก่อนนะ”
เจ้าตัวบอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ โดยไม่ได้สนใจสีหน้าตกใจ ปนประหลาดใจของอีกสองคนแม้แต่น้อย
“สวัสดีครับ คุณริวยะ ครับผมเอง คาสึกะ อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่วันนี้ สภานักเรียนมีประชุม ผมเลยมาโทรขออนุญาตผู้ปกครองของเลขานุการของผมสักหน่อย ...เอ๋ ? ไม่ทราบมาก่อนหรือครับ ผมเคยคุยกับเขาไปเมื่อวันจันทร์น่ะครับ …ใช่ครับ อ๋อ อยู่ด้วยกันแถวนี้ครับ จะคุยใช่ไหมครับ สักครู่นะครับ”
คาสึกะหันมาทางยูคิ แล้วสั่นศีรษะนิด ๆ อย่างระอา ก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายพร้อมถ้อยคำกระซิบแผ่วเบา
“แก้ตัวให้ดี ๆ นะ”
ยูคิชะงัก สีหน้าลำบากใจสุด ๆ เมื่อรับโทรศัพท์ของเด็กหนุ่มมา
“เอ่อ...ผมยูคิพูดครับ”
เสียงในโทรศัพท์เงียบไปสักครู่ ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มค่อนข้างเรียบ
“ทำไมไม่บอกเรื่องที่เธอเข้าเป็นสมาชิกสภานักเรียนกับฉันก่อนหน้านี้”
ยูคิสะดุ้งเฮือก พยายามตั้งสติ ซึ่งก็เป็นโชคดีที่นี่เป็นการโทรศัพท์ ไม่ใช่การพูดเผชิญหน้ากับเจ้าตัวโดยตรง ไม่เช่นนั้นป่านนี้เขาอาจจะกลัวจนลนลาน ไปแล้วก็ได้
“กะ...ก็ ไม่มีโอกาสบอกนี่ครับ ก็วันนั้นคุณนั่นล่ะที่ไม่ให้โอกาสผมพูดเลย...”
บอกไปแล้วก็หน้าแดงวาบ ชวนให้อีกสองคนมองด้วยความสงสัย
“แล้วหลังจากตอนนั้นก็มีโอกาสให้บอกไม่ใช่หรือไง?”
ริวยะเงียบไปสักพักก่อนจะแย้งกลับมาอีก ซึ่งคราวนี้ยูคิจึงตอบกลับไปเสียงอ่อย ๆ
“ก็...ลืมไปนี่ครับ”
เสียงถอนหายใจดังยาวมาตามสาย ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มค่อนข้างคาดคั้นจะสำทับตามมา
“วันนี้พอประชุมเสร็จแล้ว เตรียมหาข้อแก้ตัวที่มันดีกว่าประโยคเมื่อครู่ มาพูดกับฉันทีหลังด้วย แค่นี้นะ”
สัญญาณติดต่อถูกตัดไป ยูคิถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือส่งคืนคาสึกะ
“ไง เจ้าตัวอนุญาตใช่ไหม”
สีหน้าและน้ำเสียงร่าเริงที่ถามมา ทำให้ยูคิมองกลับไปด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ ก่อนถอนหายใจอีกครั้ง
“ครับ...อยู่ได้เย็นนี้”
“น่า ๆ อย่าทำสีหน้าแบบนั้นสิ ฉันว่ายังไงเขาก็คงไม่ฆ่า ไม่แกงอะไรเธอหรอก”
คาสึกะปลอบเพราะพอจะเดาสีหน้าของอีกฝ่ายได้
“ครับ...ไม่ฆ่า ไม่แกง” ยูคิบอกด้วยน้ำเสียงหมดอาลัยตายอยาก ใช่สิ ยังไงริวยะก็ไม่ฆ่าเขาอยู่แล้ว แต่ที่ชายหนุ่มจะทำนั่นมันอย่างอื่นต่างหาก
“ดีไม่ดี พรุ่งนี้ก็อาจจะต้องหยุดเรียนอีกใช่ไหม”
อารากิขัดขึ้นมา ทำเอายูคิสะดุ้งโหยง หันกลับมามองเพื่อนด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ซึ่งคาสึกะก็มองอาการนั้นอย่างงง ๆ สักครู่ ก่อนจะนิ่งเงียบ และเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา
“โอ๊ะ โอ๋! มันเป็นแบบนี้เองน่ะหรือ มิน่าล่ะ ถึงว่า อะไรมันจะหวงนักหนา กับแค่ลูกบุญธรรมเท่านั้น”
ยูคิใบหน้าแดงวาบหนักกว่าเดิม ส่วนอารากิถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ
“ทีเรื่องนี้น่ะ ไวนัก สมกับฉายาประธานจอมหื่นประจำโรงเรียนเชียวนะ”
คาสึกะสะดุ้งกับฉายาที่อีกฝ่ายเรียก ก่อนจะโพล่งออกไปคล้ายพูดกับตัวเอง
“เออ! ฉันมันหื่น แต่ก็ไม่เคยข้ามรุ่นไปยุ่งกับใคร เหมือนบางคนหรอกน่า”
คนมีชนักติดหลังสะดุ้งโหยง และหันขวับกลับมาประสานสายตากับอีกฝ่ายด้วยแววตาวาบวับ ชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร
“เอ่อ ทั้งสองคน คือว่า”
ยูคิแย้งขึ้น เพราะตอนนี้พวกเขาทั้งสามกำลังตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนทั้งโรงอาหารอยู่ ฝ่ายผู้เป็นประธานนักเรียนเห็นดังนั้น ก็ถอนหายใจ เบา ๆ ก่อนจะหันมากล่าวกับเด็กหนุ่ม
“ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นเจอกันนะยูคิ อ้อ! นายจะไม่มาก็ได้นะอารากิ”
คาสึกะยิ้มหวานกับยูคิ ก่อนจะหันมายักคิ้วกับอารากิ ซึ่งเจ้าตัวก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจะโต้ตอบไปอย่างเอาเรื่อง
“เชอะ! คิดหรือว่าฉันจะยอมส่งเพื่อนฉันไปหาหมาป่าอย่างนายตามลำพัง ฝันไปเถอะ!”
คาสึกะฟังแล้วก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโบกมือแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนที่อยู่ข้างหลังมองตามไปอย่างหงุดหงิด
“กวนประสาทไม่เปลี่ยนเลยเจ้าหมอนี่ นิสัยแบบนั้นเมื่อไหร่จะเลิกได้เสียทีก็ไม่รู้”
“อารากิสนิทกับประธานจังนะ”
ยูคิพูดคุยกับเพื่อนใหม่ด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ ซึ่งอารากิก็มองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าทะแม่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นถอนหายใจอย่างนึกเซ็ง
“เผอิญที่บ้านติดต่อธุรกิจกันอยู่ ฉันเลยรู้จักเขาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เล่นด้วยกันมาบ้าง แต่ถ้าจะบอกว่าชอบนิสัยหมอนั่นไหม ขอตอบว่าไม่เลยสักนิด!”
“อือฮึ ... แต่ฉันมองยังไงก็เหมือนเพื่อนซี้ คู่กัด กันเลยนะ”
ยูคิบอกด้วยสีหน้าซื่อ ๆ ซึ่งก็ทำให้อารากิต้องขมวดคิ้วยุ่ง
“ไม่อยากถูกมองแบบที่นายว่าเลยให้ตายสิ ให้ถูกมองเป็นคู่กัดอย่างเดียวยังจะดีเสียกว่าอีก”
“สรุปแล้วประธานนิสัยหาดีไม่ได้สักอย่าง?” ยูคิตั้งคำถาม ซึ่งคำถามนั้นก็ทำเอาคนฟังตีสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอก ถ้าไม่คอยกวนประสาทอะไรสักอย่าง หมอนั่นก็ถือว่าเป็นคนที่พึ่งพาได้อยู่หรอกนะ”
ยูคิอมยิ้ม ยังไงเขาก็เข้าใจไม่ผิดหรอกในเรื่องที่ว่า ทั้งสองคนนี้สนิทสนมกันพอสมควรทีเดียว
“แล้วตกลงเย็นนี้นายจะไปหาหมอนั่น?”
อารากิถามอีกฝ่าย ซึ่งก็ได้รับการพยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบรับ
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ก็ดันรับปากเข้าเป็นสมาชิกสภานักเรียนไปแล้วนี่”
“งั้นฉันไปเป็นเพื่อนด้วยก็ได้”
อารากิโพล่งขึ้น ซึ่งยูคิก็ยิ้มกว้างให้อย่างยินดี
“ขอบใจ”
“ไม่เป็นไร อีกอย่างฉันเองก็อยากรู้ด้วย”
ประโยคที่ตามมา ทำเอายูคิ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“รู้อะไร?”
“ก็ฝีมือที่แท้จริงของนาย ที่คาสึกะสนใจยังไงล่ะ”
คำตอบของอารากิ ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้ง ก่อนจะเกาศีรษะแกรก ๆ อย่างยุ่งยากใจ
“ไม่ได้มีอะไรมากหรอกน่า ก็แค่ความสามารถพื้น ๆ ทั่วไปนั่นล่ะ”
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ก็อยากรู้อยู่ดีนั่นล่ะ คนที่อาของฉันกับคาสึกะสนใจน่ะ ฉันคิดว่าคงไม่ได้มีอะไร แค่พื้น ๆ ทั่วไปหรอกนะ”
อารากิพูดพลางส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ ทำเอายูคิยิ้มแหย ๆ ทั้งนี้เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้วีรกรรมที่เขาเคยทำไว้เพิ่มขึ้นนั่นเอง
“เอ้า! ยูคิ เร็วเข้าสิ ขืนไปหาหมอนั่นสาย เดี๋ยวก็โดนหาเรื่องแกล้งเท่านั้นเอง เห็นแบบนั้นหมอนั่นเป็นคนที่ระเบียบและตรงต่อเวลามากเลยนะ!”
อารากิบ่นใส่ยูคิที่กำลังเก็บข้าวของ ใส่กระเป๋าหนังสืออยู่ แต่ยิ่งเจ้าตัวรีบเก็บเท่าไหร่ ก็เหมือนดังจะยิ่งลนลานจนทำให้ช้าเข้าไปอีก
“ง่า...ถ้าอย่างนั้นนายไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง”
ยูคิบอกขณะที่มือปัดหนังสือเรียนบนโต๊ะตกลงไปข้างล่างอีกรอบ
“นายนี่นะ เฮ่อ ถ้าอย่างนั้นฉันไปรับหน้าก่อนแล้วกัน ฉันก็ไม่ชอบเห็นเวลาหมอนั่นอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นักหรอก ยิ่งนิสัยงี่เง่าแบบนั้นอยู่ด้วย!”
อารากิตอบเซ็ง ๆ และเดินดุ่ม ๆ ไปอย่างเร่งรีบ ทั้งนี้เพราะชั่วโมงสุดท้าย อาจารย์ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์ สอนติดพัน จนทำให้พวกเขาต้องเลิกเรียนช้ากว่าห้องอื่น ๆ ไปกว่าสิบนาที
เป็นเวลากว่าห้านาที ที่ยูคิเก็บของเสร็จ ซึ่งเจ้าตัวก็ถอนหายใจตัวเองอย่างเซ็ง ๆ กับความซุ่มซ่ามผิดปกติของตนในวันนี้
“ต้องรีบแล้วล่ะสิ” ยูคิดูนาฬิกาข้อมือ แล้วก็วิ่งจ้ำอ้าวไปตามอาคารเรียนอย่างรีบร้อน แต่เพียงแค่หัวโค้งเดียวที่จะถึงห้องสภานักเรียน เขาก็ต้องชะงัก ที่จู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้าโผล่พรวดมาดักขวางทางเขาไว้
“ทานากะ ยูคิ สินะ!”
น้ำเสียงห้วน ๆ เอ่ยชื่อเขา ประกอบกับแววตาเย็นชาที่มองมาทำให้ยูคิตัดสินใจถอยหลังหนี เพราะความรู้สึกที่ได้รับจากอีกฝ่าย ดูยังไงก็ไม่เห็นว่า จะมาดีสักนิด
“ไปด้วยกันดี ๆ จะได้ไม่ต้องลงไม้ลงมือให้เจ็บตัว”
อีกฝ่ายกล่าวขึ้นมาอีก ซึ่งยูคิก็ยิ้มให้เครียด ๆ ก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋าใส่อีกฝ่ายทันที พร้อมกับรีบวิ่งหนีไปจากบริเวณนั้นให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
ชายผู้นั้นยกมือขึ้นมากันกระเป๋าของเด็กหนุ่มไว้ แล้วจึงรีบวิ่งตามไป ซึ่งก็ไม่มีปัญหา เพราะตัวเขาทั้งสูง และขายาวกว่ายูคิ เพียงแค่เร่งฝีเท้าไม่เท่าไหร่ ก็กวดตามทันเด็กหนุ่มแล้ว
... บ้าชะมัด! หมอนั่นเป็นใคร ทำไมถึงต้องการตัวฉัน หรือว่า? ...
ยูคิหยุดชะงักความคิดไว้แค่นั้น เมื่ออีกฝ่ายตามทันเขา และฉุดมือเขาไว้ ก่อนจะชกเข้าที่ท้องของเขาแรง ๆ หนึ่งหมัด
“อุ๊บ!”
ยูคิจุกจนตัวงอ และสลบไปในทันที ซึ่งชายผู้นั้นก็อุ้มร่างอันไร้สติของเด็กหนุ่มหายลับไปทางบริเวณประตูหลังของโรงเรียน โดยไม่มีผู้ใดพบเห็นระหว่างทางเลยแม้แต่คนเดียว
===
TBC
===