กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 21 - 22 [จบ]+ตอนพิเศษ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 21 - 22 [จบ]+ตอนพิเศษ  (อ่าน 306774 ครั้ง)

ออฟไลน์ heefever

  • 영원히 그대만 사랑해
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-0
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 15-16
«ตอบ #270 เมื่อ09-11-2010 23:01:59 »

ฝีมือของบ้านใหญ่ใช่มั้ยเนี่ย  :angry2:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 15-16
«ตอบ #271 เมื่อ09-11-2010 23:14:39 »

ตายล่ะยูคิ คนของคุณริวยะไปไหนหมดเนี่ย อย่าพึ่งเป็นไรไปนะยูคิ
เห็นด้วยกับรีบน ฝีมือคนบ้านใหญ่แน่ๆเลย

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17
«ตอบ #272 เมื่อ10-11-2010 18:52:58 »

มาแล้วค่า ตอนที่ 17 หลายคนเดาออกแล้วว่า ใครกันแน่ที่อุ้มหนูยูคิไป ~ มาตามอ่านต่อกันได้แล้วค่ะ

-----------------

=====
บทที่ 17
=====


    “เฮ่! อารากิ ฉันว่ามันจะช้าเกินไปแล้วนะ”  
    คาสึกะตั้งข้อสังเกต เมื่อเห็นอารากิมาถึงเกือบสิบนาทีแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่ายูคิจะตามมาสักนิด
    “นั่นสิ ผมก็ว่าช้าเกินไปจริง ๆ นั่นล่ะ”  อารากิรับคำอย่างเป็นห่วง เมื่อยิ่งหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า เด็กหนุ่มก็ยิ่งกระวนกระวายใจเข้าไปใหญ่
    “ผมว่า ผมตามไปดูดีกว่า”
    เจ้าตัวบอกพลางเดินออกไปจากห้อง ทว่าคาสึกะกลับขอตามไปด้วยอีกคน
    “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ดูสีหน้านายไม่ค่อยดีเลยนะ”
    “เมื่อเช้ายูคิบอกว่า รู้สึกถึงสายตาคนมองมายังเขาแปลก ๆ แต่พอตอนกลางวัน เขาบอกว่าคงจะคิดไปเอง ผมก็เลยไม่ได้ใส่ใจ พอดีรีบ ๆ ในตอนเย็น ก็เลยปล่อยให้เขามาเอง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริง ๆ ล่ะก็ ...”
    อารากิหน้าซีดลงเล็กน้อยระหว่างเล่าเรื่อง จนคนที่เดินมาด้วยกันข้าง ๆ ต้องตบบ่าเขาเบา ๆ ให้กำลังใจ
    “อย่าเพิ่งคิดมากสิ บางทีอาจจะไม่เป็นอย่างที่นายคิดก็ได้นะ”
    “อืม...ก็หวังว่าอย่างนั้น”  อารากิรับคำด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม แต่เมื่อทั้งคู่เลี้ยวพ้นหัวโค้งมุมตึก แล้วพบกับกระเป๋าใบหนึ่งตกอยู่ โดยที่ไม่มีวี่แววเจ้าของให้เห็น ทั้งคู่ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดทันที
    “กระเป๋าของยูคิ”  อารากิพึมพำแผ่วเบา ด้วยน้ำเสียงแทบไม่พ้นลำคอ
    “อารากิ ติดต่อคนของยูคิที ดูท่าว่าเขากำลังเผชิญกับปัญหาอะไรบางอย่างเสียแล้วล่ะ!”
    คาสึกะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงและท่าทีเฉียบขาด จนอารากิสะดุ้ง ก่อนจะรีบตั้งสติอย่างรวดเร็ว
    “คุณทาคุ คงรออยู่ข้างนอก ผมจะไปตามเขามา!”
    “ดี! ส่วนฉันจะติดต่อคุณริวยะเอง”
    คาสึกะบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าอารากิกลับเป็นห่วงที่อีกฝ่ายตัดสินใจเช่นนั้น
    “แต่...คาสึกะ  จะดีเหรอ?”
    คาสึกะหันมายิ้มเครียด ๆ ก่อนจะตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
    “ฉันเป็นคนขอให้ยูคิอยู่ด้วยเย็นนี้ จนเกิดเรื่องขึ้น ฉันจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดเอง นายไปตามคุณทาคุมาเถอะ”
    อารากิ นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยใบหน้าจริงจังแทบไม่ต่างกัน จากนั้นเขาจึงรีบวิ่งออกไปหาทาคุข้างนอกทันที เหลือแต่คาสึกะอยู่เพียงลำพัง
    เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจกดเบอร์ ๆ หนึ่งลงไป
    “คุณริวยะหรือครับ  ผมเองนะครับ  คือว่า...”

    อารากิกลับมาพร้อมกับทาคุในเวลาไม่นานนัก ทั้งคู่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา และเห็นคาสึกะกำลังใช้โน้ตบุค กดคีย์อะไรบางอย่าง ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
    “คาสึกะ ทำอะไรน่ะ”
    อารากิถามด้วยความสงสัย  ซึ่งประธานนักเรียนหนุ่ม ก็ยกมือให้อีกฝ่ายหยุดซัก ก่อนจะก้มหน้าก้มตา เช็คอะไรบางอย่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อไปสักพัก แล้วจึงเงยหน้ามามองทั้งสองคน
    “คุณทาคุครับ ผมว่าผมพอจะรู้ที่อยู่ของยูคิแล้วล่ะ”
    “อะไรนะครับ”  ทาคุกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างตกใจปนดีใจ  ส่วนอารากิเบิกตากว้างมองประธานนักเรียนของเขาอย่างไม่เชื่อสายตา  ก่อนจะซักถามออกไปด้วยความสงสัย
    “นายรู้ได้ยังไง!”
    “กระดุมของเครื่องแบบโรงเรียน มีสัญญาณติดตามติดเอาไว้หมด”
    คำตอบเรียบ ๆ แต่ทำให้คนฟังตกใจ โดยเฉพาะอารากิ
    “หา! อะไรนะ!”
    “ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาอธิบายถึงรายละเอียดปลีกย่อย ตอนนี้ต้องตามไปช่วยยูคิก่อน”
    คาสึกะตัดบท แต่ทาคุกลับลังเล
    “ผมว่าผมไปคนเดียวดีกว่าครับ พวกคุณบอกตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันคุณยูคิมาก็พอ”
    คาสึกะยิ้มให้กับชายหนุ่มอายุมากกว่า ก่อนจะตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ
    “ไม่ได้ครับ ผมสัญญากับคุณริวยะแล้ว ว่าจะไปพาตัวยูคิกลับมาให้ได้ และที่สำคัญ ถ้าไม่ได้ใช้เครื่องมือที่ผมมีนี่ ก็ไม่สามารถสะกดรอย ตามยูคิไปได้หรอกครับ”
    ทาคุถอนหายใจ จนปัญญาจะรั้งเด็กหนุ่มไว้ เจ้าตัวพยักหน้ารับรู้ พร้อมกับนำทั้งคู่ไปที่รถยนต์ส่วนตัวอย่างรวดเร็ว
    “นายไม่เห็นจำเป็นต้องมาด้วยเลย อารากิ”  คาสึกะบอกคนข้าง ๆ ขณะที่วิ่งไปที่รถด้วยกัน
    “ไม่ต้องมากีดกันผมออกจากเรื่องนี้เลย ผมบอกประธานแล้วไง ว่านี่ก็เป็นความรับผิดชอบของผมด้วยเหมือนกัน”  
    อารากิตอบโต้อีกฝ่ายไปอย่างไม่ยอมแพ้ จนคนแย้งต้องสั่นศีรษะนิด ๆ ด้วยความระอา
    “ดื้อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนนะ นายน่ะ”  
    “ก็พอ ๆ กันนั่นล่ะ” อารากิตอบพลางเหยียดยิ้มให้  ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามทาคุไปติด ๆ

    “อืม...”
    แสงไฟจากเพดาน ทำให้คนที่เพิ่งฟื้นสติ กระพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะรับรู้ถึงความจุกเสียดเล็กน้อย ที่ยังคงหลงเหลืออยู่
     “ฟื้นแล้วหรือ?”  น้ำเสียงทุ้ม ทรงอำนาจดังขึ้น จนเด็กหนุ่มต้องปรือตาขึ้นมอง ก่อนจะขมวดคิ้วนิ่ง เมื่อได้เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงชัดเจน
    “คุณ ...คุณพ่อของคุณริวยะ?”
    ใบหน้าที่แทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน ผิดแผกไปแค่วัยของเจ้าตัวเท่านั้น ทำให้ยูคิพอจะเดาได้ไม่ยากว่าคนผู้นี้เป็นใคร
    “ใช่  เก่งนี่ ที่รู้จักฉันด้วย”
    “...ก็เหมือนคุณริวยะออกนี่ครับ ... ว่าแต่ คุณหรือ ที่ให้คนไปพาตัวผมมาแบบนั้นน่ะ”
    ยูคิที่พอจะยันกายลุกนั่งไหว เริ่มโต้ตอบสนทนากับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น จนคนฟังแปลกใจ
    “ฉันนึกว่าเธอจะกลัวจนลนลาน หรือโวยวายตกใจเสียอีก แต่นี่กลับยังใจเย็น และสรุปเรื่องราวได้ดีจนฉันแปลกใจเลยนะนี่”
    “ก็พอเดาได้นั่นล่ะครับ อีกอย่างก็ได้ยินมาจากคุณริวยะบ้างเหมือนกันเรื่องที่คุณไม่ชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่”
    ยูคิตอบเรียบ ๆ ซึ่งก็ทำให้ชายสูงอายุ เหยียดยิ้มมุมปากนิด ๆ ก่อนจะมองมายังเด็กหนุ่มด้วยแววตาเย็นชาและดูหมิ่น
    “ดี! ถ้ารู้เรื่องแล้วจะได้พูดกันง่าย ๆ หน่อย  ฉันขอบอกตรง ๆ เลยนะ  เลิกยุ่งกับลูกชายฉัน และออกไปจากชีวิตเขาสักที”
    ยูคิยิ้มน้อย ๆ ให้ ดีที่เขาพอจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว เจอแบบนี้เลยพอจะรับได้ แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ กับคำพูดของอีกฝ่ายอยู่บ้างเหมือนกัน
    “คงจะยาก อีกอย่างผมไม่ใช่ฝ่ายเข้าไปยุ่งก่อน ถ้าคุณสืบเรื่องมาดีแล้วก็น่าจะรู้”
    แม้จะเข้าใจอีกฝ่ายดี แต่เพราะโดนปฏิบัติแบบดูถูกแบบนี้ ก็อดจะโต้ตอบแก้เผ็ดกลับไปไม่ได้เหมือนกัน
    “ปากดีนัก! ริวยะคงตามใจมากล่ะสิ ถึงท่าทางไม่กลัวใครแบบนี้!”
    “ผมก็เป็นของผมแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ใครมาดีก็ดีด้วย แต่ถ้าใครมาร้าย ถ้าเป็นคุณเอง คุณจะยังยิ้มรับ โต้ตอบกลับอย่างสุภาพไหวหรือครับ  ผมคนหนึ่งล่ะที่ทำไม่ได้!”
    ...เอ้าเป็นไงเป็นกันสิ! ถึงยังไงเขาก็ไม่ยอมให้มาข่มกันง่าย ๆ แบบนี้หรอกนะ  ถ้าขอร้องดี ๆ ให้เขาไปจากชีวิตคุณริวยะ ตั้งแต่แรก เขาก็อาจยอมทำตามที่ขอหรอก แต่มาวางอำนาจข่มกันแบบนี้เรื่องอะไรจะยอมกันเล่า! ...
    แววตาเด็ดเดี่ยว จริงจัง ชนิดที่ไม่ยอมแพ้ใคร ทำให้ชายสูงอายุ มองเด็กหนุ่มใหม่อีกครั้ง  พลางพิจารณาอีกฝ่าย นิ่งนานกว่าเดิม
    “แววตาเด็ดดี ...เหมือนแววตาของใครบางคนที่ฉันเคยรู้จัก หมอนั่นก็แบบนั้น ทั้งอำนาจ ทั้งบารมี ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เว้นแต่เรื่องใจสู้นั่นล่ะ ที่มันไม่เคยยอมแพ้ใคร”
    ชายสูงอายุ กล่าวเบา ๆ เหมือนกำลังรำลึกความหลัง ยูคิขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงใคร แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อคนที่พาตัวเขามายังที่นี่ ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง
    “ท่านเซอิจิครับ  ทาคุกำลังตามมาที่นี่ครับ”
    ชื่อของทาคุทำให้ยูคิ เบิกตากว้างด้วยความดีใจ  ทว่า มุราคามิ เซอิจิ กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมลง
    “มันตามมาที่นี่ถูกได้ยังไง แถมยังใช้เวลาเพียงแค่ไม่นานอีกด้วย”
    เพราะบ้านพักตากอากาศของตระกูลมุราคามิมีมากมาย เซอิจิจึงมั่นใจว่า ฝ่ายริวยะคงจะใช้เวลาตามหาอยู่นานทีเดียวถึงจะรู้ว่า พวกเขาอยู่ที่ไหน แต่เหตุการณ์ผิดคาดดังเกิดขึ้น ก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผนใหม่จากเดิมที่เคยวางไว้
    “ทีแรกฉันคิดว่าฉันจะเกลี้ยกล่อมเธอให้ไปให้พ้นจากริวยะด้วยตัวเธอเอง แต่เห็นทีฉันคงต้องเปลี่ยนแผนใหม่”
    เซอิจิหันมาบอกกับยูคิด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย็นชา จนเด็กหนุ่มต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดหวั่น
     “จะ...ทำอะไรผม?”
    เด็กหนุ่มถามเสียงสั่น เมื่อหวนนึกถึงข่าวลือต่าง ๆ ของตระกูลนี้ที่เข้าหูเขา เจ้าตัวก็เริ่มคิดในทางร้าย ๆ ยิ่งขึ้นไปอีก
    “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ทำให้เธอหายไปจากชีวิตของริวยะเท่านั้น”
    เซอิจิบอกพลางเหยียดยิ้ม และหันไปพยักหน้ากับลูกน้องของเขา ซึ่งเจ้าตัวก็โค้งรับก่อนจะเดินตรงมายังยูคิ ที่นั่งตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
    ...หรือว่าเขากำลังจะถูกฆ่าทิ้ง ...
    ความกลัวทำให้เด็กหนุ่มเริ่มบ้าบิ่น เจ้าตัวเหลียวซ้ายแลขวา มองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วก็สะดุดเข้ากับดาบญี่ปุ่นเล่มยาวที่แขวนประดับไว้ตรงผนังห้อง
    เสี้ยววินาทีก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้ามาถึงตัว ยูคิกลิ้งม้วนหลบไปยังผนังนั้น และดึงดาบยาววาววับ ออกมาจากฝัก และชี้ดาบไปยังอีกฝ่ายด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว
    “ใครจะยอมให้ฆ่ากันง่าย ๆ ล่ะ!”
    ท่าทางขึงขังและแววตาดุดัน รวมไปถึงท่าที่จับดาบนั้น ทำให้ มุราคามิ เซอิจิ ขมวดคิ้วนิด ๆ เมื่อเห็นภาพของใครบางคนซ้อนทับกับภาพของเด็กหนุ่มอย่างพอดิบพอดี
    “โคบายาชิ  เรียว...”  
    เสียงพึมพำเรียกชื่อนั้นอย่างลืมตัว ทำให้ยูคิชะงัก ก่อนจะหันมามองหน้าชายสูงอายุ อดีตผู้นำตระกูลมุราคามิ ด้วยแววตาประหลาดใจ
    “คุณรู้จักชื่อตาของผมได้ยังไงกัน!”
    คำพูดนั้นของเด็กหนุ่ม ทำให้เซอิจิเองถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน  จนกระทั่งลูกน้องของเขาเรียกชื่อตน  ชายสูงอายุจึงได้รู้สึกตัว
    “พอแล้ว ทาคาอิ ไม่ต้องแล้วล่ะ”  
    เซอิจิ ออกคำสั่ง ซึ่งลูกน้องของเขา ก็มีสีหน้าสงสัยเล็กน้อย แต่ก็โค้งให้และรับคำสั่งจากนายอย่างเคร่งครัด
    “โลกมันกลมจริง ๆ หลานของหมอนั่นเองหรอกหรือ”
     ยูคิงุนงงกับพฤติกรรมของอดีตผู้นำตระกูลมุราคามิ แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยดาบ และมองคนทั้งคู่ด้วยความหวาดระแวงไม่หาย
    “วางดาบเถอะ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอหรอก ทีแรกก็แค่จะจับตัวเธอไปปล่อยไกล ๆ ให้ห่างจากริวยะเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดฆ่าแกง อย่างที่เธอระแวงหรอก”
    เซอิจิกล่าวดักคอ ทำเอายูคิสะดุ้ง แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยดาบอยู่ดี
    “แล้วตอนนี้ล่ะ คุณคิดจะทำยังไงกับผมต่อไป”
    ยูคิถามขึ้นด้วยความสงสัย ซึ่งเซอิจิก็ยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง ก่อนจะพึมพำตอบเบา ๆ
    “ตอนนี้น่ะหรือ ไม่รู้สิ แต่ถ้าเธอเป็นหลานของหมอนั่นจริง ๆ ฉันก็คงทำอะไรเธอไม่ได้หรอก...เพราะฉันติดหนี้หมอนั่นมากมายเหลือเกิน มากจนไม่รู้ว่าต่อให้ชาตินี้ทั้งชาติ ฉันจะชดใช้ได้หมดหรือเปล่าก็ไม่รู้”
    ยูคิจ้องมองชายสูงอายุด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้น
    “ยูคิ! นายอยู่ไหนน่ะ ตอบด้วยสิ!”
    “อารากิ”  เด็กหนุ่มจำได้ดี ว่าเสียงดังกล่าวเป็นเสียงของเพื่อนเขาเอง และหลังจากเสียงตะโกนนั้นไม่นาน ร่างของคนสามคนที่คุ้นเคยก็ปรากฏต่อหน้าของเขา
    “คุณยูคิ!”  ทาคุเรียกชื่อของเด็กหนุ่มด้วยความยินดี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่าทางเย็นชา เมื่อหันไปเห็นทาคาอิ ซึ่งเหยียดยิ้มส่งให้เมื่อเห็นชายหนุ่ม
    “มาไวกว่าที่คิดนะ แสดงว่าลูกน้องของฉันเอานายไม่อยู่เลยสักคนล่ะสิท่า”
    ทาคุไม่ตอบคำถาม แต่หันไปทางเซอิจิแทน พร้อมกับโค้งให้ชายสูงอายุอย่างสุภาพ
     “ท่านเซอิจิ ผมมาขอรับตัวคุณยูคิคืนครับ ได้โปรดคืนให้แต่โดยดีด้วยเถอะครับ”
    เซอิจิหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะย้อนอีกฝ่ายไป
    “แล้วถ้าฉันไม่คืนให้ล่ะ”
    ทาคุเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
     “ถ้าเช่นนั้นผมคงต้องขอล่วงเกินแล้วล่ะครับ”
    ทั้งอารากิ กับคาสึกะ ที่มาด้วยกัน เงียบกริบ เด็กหนุ่มทั้งสองได้เห็นฝีมือการต่อสู้ของทาคุ ซึ่ง ๆ หน้า มาแล้ว ซึ่งทั้งสองคนสาบานไว้เลยว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่คิดจะทำให้ผู้ชายคนนี้โกรธเด็ดขาด
    “งั้นหรือ?  ถ้าอย่างนั้นก็เอาคืนไปเลยแล้วกัน”
    ประโยคถัดมาของเซอิจิ ทำเอาทุกคนในห้องอึ้งกันถ้วนหน้า  ชายสูงอายุหัวเราะเบา ๆ กับปฏิกิริยาของทุกคน ก่อนจะเดินไปหายูคิ ซึ่งยืนกำดาบไว้ป้องกันตัวแน่น
    “ไว้ฉันจะไปเยี่ยมเธอที่บ้านของริวยะวันหลัง มีเรื่องจะถามอีกหลายเรื่องทีเดียว เกี่ยวกับเธอและตาของเธอ”
    คำพูดทิ้งท้ายก่อนเจ้าตัวจะเดินออกไปจากห้อง พร้อมกับทาคาอิ ทิ้งให้ยูคิ และทุกคนในห้องนั้น มองตามไปด้วยความสงสัย ระคนประหลาดใจอย่างเป็นที่สุด
 

====
TBC
====

ออฟไลน์ N.T.❁

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17
«ตอบ #273 เมื่อ10-11-2010 19:00:55 »

 :confuse:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17
«ตอบ #274 เมื่อ10-11-2010 19:04:56 »

 
 
โอ.. ยูคิขอเราไม่ธรรมดานะเนี่ย จวนตัวมาก็เอาเรื่องเหมือนกัน

anajulia

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17
«ตอบ #275 เมื่อ10-11-2010 19:05:16 »

โฮ่ มีความหลังติดหนี้บุญคุณกันมาตั้งแต่รุ่นคุณตา
คริคริ ทางสะดวกแล้วเจ้าข้าเอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

pinkky_kiku

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17
«ตอบ #276 เมื่อ10-11-2010 19:07:16 »

โอ้ว โลกช่างกลมยิ่งนัก ดีแล้วหล่ะ เหมือนจะยอมรับอ่ะ  :z2:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 18
«ตอบ #277 เมื่อ10-11-2010 19:07:47 »

แปะต่อ ๆ ใกล้จบละ~  

ระวัง! สำหรับตอนนี้ มี..
. :-[



=====
บทที่ 18
=====


    ยูคินั่งคิดหนักไปตลอดทางหลังจากที่ไปส่งอารากิ และคาสึกะที่บ้านแล้ว  เด็กหนุ่มรู้สึกฉงนว่าทำไมตนถึงถูกปล่อยกลับมาอย่างง่ายดายขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น ชายสูงอายุยังทำท่าทางรังเกียจปนดูหมิ่นเขาเสียเต็มประดาแบบนั้น
    “คุณยูคิครับ ถึงบ้านแล้วนะครับ”
    ทาคุซึ่งลงมาเปิดประตูรถให้เด็กหนุ่มบอกเบา ๆ ยูคิสะดุ้งจากภวังค์ก่อนหันไปมองซ้าย มองขวา อย่างงง ๆ
    “อ๊ะ...เหรอ ถึงแล้วหรือเนี่ย”
    เด็กหนุ่มก้าวลงจากรถ ก่อนจะชะงักเท้า ไม่กล้าเข้าบ้านเสียอย่างนั้น
    “เป็นอะไรไปหรือครับ”
    ทาคุหันมาถามอย่างสงสัย ซึ่งพอเห็นสีหน้าของยูคิ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจพลางยิ้มให้น้อย ๆ
    “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณริวยะไม่โกรธคุณหรอก  อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของคุณนี่ครับ”
    ยูคิมองชายตรงหน้าอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่ก็พยักหน้าหงึก ๆ ยอมเดินเข้าบ้านไปแต่โดยดี จนกระทั่งมีสาวใช้มาบอกว่า ริวยะรอเขาอยู่ที่ห้องนั่งเล่น และให้เขาตามเข้าไปพบด้วย

    ยูคิมาหยุดยืนหน้าประตูห้องด้วยใจเต้นระทึก ขณะที่กำลังลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือเปล่า เสียงทุ้มข้างในก็ดังขึ้นเสียก่อน
    “ถ้ามาถึงแล้วก็เข้ามาสิยูคิ ยืนอยู่แถวนั้นทำไมล่ะ”
    น้ำเสียงฟังดูเรียบเฉย ไม่มีวี่แววโกรธ หรือเป็นห่วงอะไรให้จับได้ ซึ่งยูคิก็รู้สึกโล่งอก แต่ก็น้อยใจนิด ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้คิดเป็นห่วงอะไรเขามากมายอย่างที่คาดไว้
    “ครับ...ขออนุญาตนะครับ”
    เด็กหนุ่มเลื่อนประตูเปิดออกมา และเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าหน้าคนที่นั่งรออยู่บนเบาะนั่งก่อนหน้านี้แล้ว
    “ปลอดภัยกลับมาสินะ”  ชายหนุ่มในชุดสูท เอ่ยถามเหมือนไม่ได้ใส่ใจ อาจจะเป็นเพราะรับรู้จากรายงานที่ทาคุโทรรายงานไปแล้วในตอนขากลับมา แต่ว่าทั้งน้ำเสียงและท่าทางเช่นนั้น ก็ทำให้ยูคิน้อยใจมากยิ่งขึ้น
    “ครับ...ไม่ได้เป็นอะไร ...เอ่อ ถ้าไม่มีธุระอะไรผมขอตัวกลับไปพักผ่อนได้ไหมครับ รู้สึกเพลียเหลือเกินวันนี้”
    ริวยะเงียบ ไม่ได้ตอบอะไร แต่นั่นจึงทำให้ยูคิเหมาว่าชายหนุ่มอนุญาตแล้ว เจ้าตัวรีบลุกขึ้นเพื่อกลับห้อง เพราะรู้สึกเหมือนว่าน้ำใส ๆ มันจะเริ่มก่อตัวขึ้นรอบนัยน์ตาของเขาเสียแล้ว
    ทว่าก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินไปถึงประตู ร่างสูงที่ลุกตามขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ก็โอบร่างบางมากอดจากด้านหลัง  ริวยะซบหน้าลงกับไหล่ของเด็กหนุ่มคนรัก มือก็โอบกอดร่างบางจากด้านหลังแน่นขึ้นไปอีก
    “คะ...คุณริวยะ”  ยูคิเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกใจ พยายามจะพลิกร่างกลับไปหา แต่ก็ถูกอีกฝ่ายกอดแน่นไม่ยอมให้เขาขยับไปไหน
    “ขอโทษนะยูคิ ...ฉันขอร้อง ช่วยอยู่แบบนี้อีกสักพักได้ไหม”
    เด็กหนุ่มเงียบและเลิกต่อต้าน เขายืนสงบนิ่งตามคำขอนั้นสักพัก แต่ภายในหัวใจกลับเต้นแรงมากขึ้น มากขึ้นทุกขณะ
    ริวยะเงยหน้าขึ้นและจับร่างบางพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้าเขา ยูคิมองร่างสูงด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะบรรยายได้ เพราะสีหน้าของชายหนุ่มยามนี้ เป็นสีหน้าที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลย นับตั้งแต่ได้รู้จักกับผู้ชายที่ชื่อ มุราคามิ  ริวยะ คนนี้
    ...สีหน้าที่บ่งบอกถึงความรัก ความห่วงใย ยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดว่าจะได้เห็นสีหน้าเช่นนี้ด้วยซ้ำไป ....
    “คุณ...ริวยะ”
    “ยูคิ...ฉันคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติ ฉันจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเธออีกแล้ว”
    คำพูดนั้นทำให้ร่างบางโผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่น ก่อนจะกระซิบตอบอุบอิบกับแผ่นอกกว้างนั้น
    “ผมกลับมาแล้วยังไงล่ะครับ ถึงยังไงผมก็จะไม่มีวันเป็นฝ่ายจากคุณไปก่อนแน่นอน”
    ...ยกเว้นเสียแต่ว่า คุณจะเป็นฝ่ายทิ้งผมก่อนเท่านั้น ...
    เด็กหนุ่มคิดต่อในใจ ก่อนจะสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั่นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว  เพราะยามนี้ เวลานี้ เขากำลังมีความสุขกับคนที่เขารัก  รักมาก จนเขารู้สึกกลัวว่า หากความรักนี้ต้องสูญเสียไป เขาจะอยู่ได้อย่างไร...
    ริวยะรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่แผ่นอก ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน และดันร่างบางออก ก่อนจะก้มลงจูบที่เปลือกตาทั้งสองข้างของคนรักแผ่วเบา
    “ร้องไห้อีกแล้วนะ...”
    “ขะ...ขอโทษครับ” ยูคิรีบปราดน้ำตาออกทันที จนริวยะต้องหัวเราะในลำคอเบา ๆ
    “ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย หน้าเธอตอนร้องไห้ก็น่ารักดี”
    เด็กหนุ่มหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะก้มลงอุบอิบถาม
    “ละ...แล้ว หน้าตาตอนปกติล่ะครับ”
    “หึ! ตอนปกติก็น่ารัก  ยิ้มก็น่ารัก  โกรธก็น่ารัก”
    คนที่หน้าแดงน้อย ๆ อยู่แล้วยิ่งแดงใหญ่ เพราะคำหวานของอีกฝ่ายที่ไม่ค่อยจะพูดให้ฟังบ่อยนักนั่นเอง
    “แต่ว่า หน้าตาตอนถูกทำอย่างนั้น น่ารักที่สุด”
    ถ้อยคำกระซิบประโยคสุดท้าย ทำเอายูคิหน้าแดงก่ำ เด็กหนุ่มรู้สึกอายจนอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้น ๆ แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะยามนี้เขาถูกชายหนุ่มช้อนร่างอุ้มขึ้นไว้เสียแล้ว
    “คะ...คุณ ริวยะ จะพาผมไปไหนกันครับเนี่ย”
    ยูคิถามเสียงสั่น ใบหน้าแดงก่ำ รู้ดีอยู่แล้วว่า อีกฝ่ายมีเจตนาเช่นไร แต่ก็ยังอดเขินอายไม่ได้อยู่ดี
    “ก็ห้องนอนฉันน่ะสิ ...เพราะตอนนี้ฉันอยากเห็นหน้าตาแบบที่น่ารักที่สุดของเธอจะแย่อยู่แล้วรู้ไหม?”
     ยูคิซุกหน้ากับอกกว้างด้วยความอาย เด็กหนุ่มยามนี้ก็มีความต้องการที่ไม่ต่างจากชายคนรักเท่าไหร่ ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้แต่เงียบไปตลอดทาง จนคนที่อุ้มไปต้องอมยิ้มด้วยความพอใจ เพราะนาน ๆ  อีกฝ่ายจึงจะยอมว่าง่ายด้วยแบบนี้สักที

    ประตูถูกเปิดออก พร้อมกับร่างของคนสองคนที่ก้าวเข้ามาในห้อง ยูคิมองเตียงใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ก่อนจะซุกหน้ากับอกกว้างด้วยความเขินอาย
    “ถึงแล้วนะ ยูคิ พร้อมหรือยังล่ะ”  ริวยะกระซิบถาม พลางยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นสีหน้าแดง ๆ ของคนในอ้อมกอด
    “คะ....ครับ”  เสียงรับคำตะกุกตะกักดังขึ้นแผ่วเบา ริวยะก้มลงจูบหน้าผากเนียนเกลี้ยงเบา ๆ อย่างแสนรัก ก่อนจะค่อย ๆ บรรจงวางร่างในอ้อมกอดไปบนเตียงนอนของตนอย่างอ่อนโยน
    “ยูคิ ...”  ริวยะเรียกชื่อเด็กหนุ่มคนรัก ขณะที่ค่อยใช้ริมฝีปากลากไล้แผ่นอกขาวเนียนตามมือที่จัดการปลดกระดุมเสื้อของเด็กหนุ่มออกทีละเม็ด
    “อื้ม...”  ยูคิครางเบา ๆ สัมผัสอ่อนนุ่มจากริมฝีปากนั้นทำให้เขารู้สึกเสียวสะท้านไปทั่วร่าง
    ไม่นานนัก ร่างบอบบางของเด็กหนุ่มก็ถูกร่างสูงปลดเปลื้องให้เปลือยเปล่าอวดความงดงามต่อสายตาคนมอง
    “ยูคิ...คราวนี้ถึงตาเธอแล้วนะ”  
    ริวยะบอกกับร่างที่นอนหลับตาพริ้มรอคอยเขา  ซึ่งก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องลืมตาขึ้นมามองชายหนุ่มอย่างสงสัย
    “ผม...ทำอะไรหรือครับ?”
    ร่างสูงยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะยืดตัวขึ้นนั่งและใช้มือจับเสื้อผ้าของตัวเอง พร้อมกับส่งสายตาบอกความหมายมาให้อีกฝ่าย
    “อะ..เอ่อ...ก็ได้ครับ”  ยูคิซึ่งเข้าใจ ในสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจะสื่อ รับคำอาย ๆ เขายันกายลุกขึ้น และค่อย ๆ ถอดเสื้อสูทตัวนอกของอีกฝ่ายออก ก่อนจะพับเก็บอย่างช้า ๆ ซึ่งก็สร้างความขัดใจให้คนรอทันที
    “ไม่ต้องไปพับเก็บซะเรียบร้อยขนาดนั้นหรอก มาถอดชิ้นต่อไปได้แล้ว”   คนเจ้าอารมณ์ออกคำสั่ง  ยูคิทำเสียงฮึในลำคอเบา ๆ แต่ก็ต้องยอมทำตามอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้อยู่ดี
    เด็กหนุ่มเลือกถอดเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายก่อน เขาค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อของชายหนุ่มทีละเม็ด เผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งของบุรุษวัยฉกรรจ์  แผ่นอกกว้างที่เขามักจะอาศัยไออุ่นยามหลับ และพักพิงยามไม่สบายใจ  
    ริวยะมองคนที่ก้มหน้าก้มตาปลดกระดุมเสื้อให้เขาอย่างเอ็นดู เพราะแม้ไม่เห็นใบหน้า แต่ใบหูขาว ๆ นั้น ยามนี้มันก็แดงก่ำ จนสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย
    เสื้อเชิ้ตถูกถอดออกไปแล้ว คราวนี้เหลือก็แต่กางเกงขายาว ที่ยูคิต้องกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะมองหน้าชายหนุ่มที่ยืนขึ้นให้เขาถอดกางเกงอย่างลังเล แต่ก็ได้รับเพียงแค่แววตาคมกริบออกคำสั่ง ตอบกลับมาเท่านั้น
    เด็กหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงค่อย ๆ ปลดซิบกางเกงอีกฝ่ายออกช้า ๆ และค่อย ๆ รูดกางเกงลง ซึ่งคราวนี้ริวยะคงรำคาญที่เด็กหนุ่มงก ๆ เงิ่น ๆ ทำอะไรไม่ถนัด เขาเลยช่วยโดยการดึงกางเกงตนเองออกและโยนไปห่าง ๆ เตียง ไม่คิดจะรอให้ยูคิเก็บนั่งพับให้เรียบร้อย เหมือนเสื้อนอก และเสื้อเชิ้ต
    “ทีนี้ ก็ตัวสุดท้ายแล้วนะ...”  ริวยะบอกด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ จนยูคิที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า อายจนหน้าแดงก่ำ มือที่เอื้อมจะไปถอดผ้าชิ้นสุดท้ายจากร่างสูงก็สั่นเทาไปหมด
    ทันทีที่กางเกงชั้นในถูกรูดลงไป ความเป็นชายของอีกฝ่ายก็ผงาดขึ้นมาตรงหน้า ยูคิหน้าร้อนวาบ เตรียมที่จะถอยออกไป แต่แล้วก็ถูกชายหนุ่มจับล็อกศีรษะของเขาไว้ไม่ให้ไปไหน
    “ทำอย่างที่ฉันเคยทำให้เธอสิ...ยูคิ”  
    ร่างสูงออกคำสั่ง ซึ่งก็ทำให้ใบหน้าหวาน ๆ แดงหนักขึ้นไปอีก มือเรียวบางสั่นเทา ค่อย ๆ เอื้อมไปจับสิ่งนั้น ปากเล็ก ๆ ก็ไล่จุมพิตวนไปรอบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เผยอปากขึ้นอมสิ่งนั้นเข้าไปทีละน้อย ซึ่งก็เรียกเสียงครางค่อย ๆ ด้วยความพึงพอใจได้จากอีกฝ่าย
    “อา...แบบนั้นล่ะ  ดีแล้ว ...เธอเป็นลูกศิษย์ที่หัวไวใช้ได้เชียวล่ะ”
    ริวยะบอกเด็กหนุ่มด้วยเสียงครางกระเส่า ขณะที่ยูคิกำลังทดลองใช้ลิ้นไล้วนเล่น กับจุดที่อ่อนไหวที่สุดของเขา  อย่างที่เคยได้รับการสอนมาก่อนหน้านี้ …
    “อือ...”  จู่ ๆ ยูคิก็ถูกอีกฝ่ายผลักให้เงยหน้าขึ้น ริวยะดันร่างบางให้นอนราบไปกับเตียง ก่อนที่ตัวเขาจะขึ้นคร่อมตามมา
    “วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน...”  ริวยะบอก  จากนั้นจึงจูบที่ริมฝีปากเผยอน้อย ๆ ของอีกฝ่ายอย่างอดใจไม่อยู่
    “ส่วนที่เหลือ...” ชายหนุ่มเว้นวรรค ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปกระซิบเบา ๆ กับอีกฝ่าย
    “ฉันจะเป็นคนช่วยทำให้เธอมีความสุขแทนเอง”
    ยูคิหน้าแดงวาบ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกสุดตัว เมื่อสะโพกถูกยกขึ้น และถูกอีกฝ่ายสอดใส่ความเป็นชายเข้าไปภายในร่างของเข้าอย่างช้า ๆ
    “อ๊ะ...คะ..คุณริวยะ! ...คุณริวยะ!”  
    เด็กหนุ่มครางเรียกชื่ออีกฝ่ายลั่น เมื่อร่างสูงเริ่มขยับกายเข้าออกเป็นจังหวะ
    “ขยับเข้าสิยูคิ...อย่าเอาแต่อยู่เฉย ๆ แบบนั้น”  น้ำเสียงดุอย่างไม่จริงจังนะ ยูคิโอบคอร่างสูงเอาไว้ และขยับสะโพกเป็นจังหวะสอดคล้องกับชายหนุ่มอย่างว่าง่าย
    “ดีมาก ... วันนี้น่ารักจริง ๆ เลยนะ  ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีรางวัลพิเศษให้”
    ริวยะบอกด้วยน้ำเสียงหอบ ๆ อย่างพึงพอใจ ก่อนจะดึงร่างบางขึ้นมาจากเตียง และเปลี่ยนให้มานั่งเผชิญหน้ากับเขาบนตัก โดยที่ความเป็นชายของตนยังคงค้างคาอยู่ที่ปากทางเข้าของเด็กหนุ่ม
    “คืนนี้ทั้งคืน ฉันจะบริการเธอให้ถึงใจเลยนะยูคิ”
    “อา...คุณริวยะ”
    ยูคิจับบ่าคนตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ขยับสะโพกของตนเอง เบา ๆ และเมื่อคนซึ่งอยู่เบื้องล่างตอบสนองกลับมาอย่างหนักหน่วง เจ้าตัวก็ยิ่งเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก
    “อ๊ะ...ดีจัง....แบบนั้นล่ะ”   เด็กหนุ่มครางพร้อมกับขยับสะโพกไม่หยุด ซึ่งร่างสูงก็ตอบสนองมาอย่างเร่าร้อนแทบไม่ต่างกัน
    “เยี่ยมมาก...ยูคิ...วันนี้เธอยอดจริง ๆ”  ริวยะเอ่ยชม  ใบหน้าหล่อเหลามีเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ผุดขึ้นทั่ว ร่างบางหอบคราง  พลางก้มลงเป็นฝ่ายจูบร่างสูงก่อนอย่างดูดดื่ม
    “อื้ม...”   ริวยะสอดลิ้นเข้าไปแสวงหาความหวานภายในอย่างกระหายหิว ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่า เหตุใดคืนนี้ยูคิจึงตอบสนองเขาอย่างเร่าร้อนนัก เขารู้แต่เพียงว่า ขอแค่ได้กอดร่างบางตรงหน้า ไว้ในอ้อมแขนตลอดเวลาแบบนี้ เขาก็พอใจมากแล้ว

    สำหรับเด็กหนุ่ม ... วันนี้เขาได้ปลงตกแล้วว่า คงจะไม่มีโอกาสได้กลับมาหาคนอันเป็นที่รักอีกแน่ แต่เมื่อสถานการณ์กลับพลิกผันเช่นนี้ เด็กหนุ่มจึงตั้งปณิธานไว้ว่า ขอเพียงแค่ให้ชายคนรักมีความสุขยามอยู่กับเขา เขาก็พร้อมจะยอมทำทุกอย่างโดยไม่คิดจะเกี่ยงงอนอันใดอีกต่อไป
    “อ๊ะ...คะ...คุณริวยะ ...ผมจะไม่...ไหว...แล้ว”
    ยูคิบอกด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วง ๆ  ขณะที่เร่งขยับสะโพกเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
    “อา....ยูคิ”  ร่างสูงเองก็แทบไม่ต่างกัน และหลังจากนั้นไม่นาน เสียงกรีดร้องของยูคิพร้อมกับเสียงครางทุ้มของริวยะ ก็ดังสอดประสานในเวลาไล่เลี่ยกัน
    เด็กหนุ่มหอบสะท้านไปทั่วกาย ศีรษะซบกับอกกว้างอย่างหมดแรง ก่อนที่ริวยะจะค่อย ๆ จับร่างของเด็กหนุ่มนอนเอนราบไปกับเตียงอีกครั้งหนึ่ง
    “เป็นยังไงบ้าง”
    น้ำเสียงทุ้มนุ่มของคนที่เอนนอนลงเคียงข้างเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
    “รู้สึกดีมากเลยครับ...” ยูคิตอบอย่างเพลีย ๆ แต่ก็ยังคงส่งยิ้มหวานให้ชายคนรัก
    “วันนี้ทำไมถึงน่ารักแบบนี้ล่ะ หือ?”  ริวยะถามยิ้ม ๆ เพราะรู้สึกได้เหมือนกันว่า อีกฝ่ายค่อนข้างจะตามใจเขา แถมยังเป็นฝ่ายบริการเขาอย่างถึงใจแทนเสียอีก
    “แล้วไม่ชอบหรือครับ” คำตอบที่ไม่ตรงคำถาม ทำให้อีกฝ่ายมันเขี้ยว ก่อนจะชะโงกหน้าไปจูบริมฝีปากบางนั้นอีกครั้งหนึ่ง
    “ทำไมจะไม่ชอบล่ะ ถ้าเป็นไปได้ อยากจะกอดเธอแบบนี้ตลอดไม่ต้องออกจากห้องไปไหนด้วยซ้ำไป”  ริวยะบอกหลังจากถอนริมฝีปากออกมาแล้ว ซึ่งก็ทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงระเรื่อนิด ๆ อย่างเขินอาย
    “ถ้าเป็นอย่างนั้นเห็นทีจะไม่ไหวหรอกครับ...ถ้านาน ๆ ที ก็ว่าไปอย่าง”
    บอกแล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อร่างสูงเริ่มพลิกกายขึ้นมาคร่อมทับร่างของเขาอีกครั้ง
    “คุณริวยะ?”
    “เมื่อครู่ฉันยังไม่ทันได้บริการเธอเลย แต่เธอดันเป็นฝ่ายบริการฉันจนถึงใจแทนเสียก่อน ยังไงรอบนี้ฉันขอแก้ตัวแล้วกันนะ”
    คำพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้น ทำให้ยูคิถอนหายใจอย่างระอา สังหรณ์ใจว่าคืนนี้ทั้งคืน เขาคงจะไม่ได้พักผ่อนแน่ ๆ เผลอ ๆ พรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันเสาร์และเขามีเรียนแค่ครึ่งวัน ก็คงจะไม่ได้ไปอีก  คิดดังนั้น เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจอีกครั้งอย่างนึกปลง ก่อนจะส่งยิ้มหวานที่ติดเจ้าเล่ห์นิด ๆ ตอบอีกฝ่ายไปเช่นกัน
    “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอดูแล้วกันนะครับ ว่าคุณจะแก้ตัวได้ดีขนาดไหน ...และถ้าไม่ถูกใจ ผมคงต้องเป็นฝ่ายทำโทษคุณบ้างล่ะ”
    ริวยะขมวดคิ้วกับคำพูดนั้นของคนรัก
    “ทำโทษ?”
    “ก็จะไม่ยอมมีอะไรกับคุณไปสักอาทิตย์เลยยังไงล่ะครับ”  เด็กหนุ่มตอบพร้อมฉีกยิ้มหวาน แต่ริวยะสังเกตเห็นแววตาซุกซนนิด ๆ แฝงมากับประกายตาที่จ้องมองเขา
    “หึ! ถ้าอย่างนั้นฉันขอยื่นเงื่อนไขบ้างสิ”
    “เงื่อนไข?”  คราวนี้ยูคิกลับเป็นฝ่ายแปลกใจแทน และเมื่อริวยะเฉลย เด็กหนุ่มก็หน้าแดงนิด ๆ ทันที
    “ก็ถ้าฉันทำให้เธอพอใจในคืนนี้ได้ ฉันก็จะขอจองคิวในอาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์เลยแล้วกันนะ”
    “แล้วคุณ...จะไหวหรือครับ”  ยูคิตอบพลางหน้าแดงระเรื่อ เพราะมือใหญ่ของอีกฝ่ายเริ่มซุกซนเสียแล้ว
    “เธอคอยดูแล้วกัน”  ชายหนุ่มตอบโดยไม่ยอมให้เสียเวลาทำคะแนนไปแม้แต่นาทีเดียว มือใหญ่เลื่อนลงไปเกาะกุมแก่นกายของเด็กหนุ่ม ที่ถูกปลุกเร้าจนตั้งตระหง่านขึ้นมาอีกครั้ง
    “อย่าเพิ่ง....ด่วนสรุปสิครับ...อื้ม...คุณยังไม่ชนะ....สักหน่อย”
    คำพูดพร้อมกับเสียงครางนั้น ทำให้ริวยะเหยียดยิ้ม ถึงยังไงเด็กหนุ่มก็ยังอ่อนชั้นเชิง ต่างจากเขามากนัก การที่จะทำให้อีกฝ่ายเคลิบเคลิ้มจนตอบสนองอย่างลืมตัวนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับเขา
    “แต่ฉันว่า น่าจะรู้ผลกันแล้วล่ะ”  
    เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะเอ่ย เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความพึงพอใจในการถูกเล้าโลมยามนี้
     “จะชนะฉันน่ะ  รอไปอีกสิบปีดีกว่านะยูคิ”
    ร่างสูงกระซิบบอกเบา ๆ ขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้อะไรอีกแล้ว นอกจากความหฤหรรษ์ที่ถูกปรนเปรอด้วยฝีมือของชายหนุ่ม ตลอดค่ำคืนอันยาวนานนี้นั่นเอง ...

 

=====
TBC
=====

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17
«ตอบ #278 เมื่อ10-11-2010 19:08:16 »

โห! ข้างบนนั่นไวมาก หุ ๆ อ่านต่อกันได้เลยจ้า ไม่ให้ขาดช่วง ~~

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17
«ตอบ #279 เมื่อ10-11-2010 19:10:55 »

เฮ้อออ  โล่งอก   :เฮ้อ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17
« ตอบ #279 เมื่อ: 10-11-2010 19:10:55 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






pinkky_kiku

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #280 เมื่อ10-11-2010 19:21:39 »

หวานได้อีกอ่ะ  :impress2: :impress2:
 คู่นี้ โอ๊ย อิจฉาอ่า  :z3:

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #281 เมื่อ10-11-2010 19:36:07 »

อ่า เหตุการพลิกผันกลายเป็นดี เฮ้อ
ลุ้นนึกว่าจะนั่งเศร้าแล้ว

ออฟไลน์ heefever

  • 영원히 그대만 사랑해
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-0
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #282 เมื่อ10-11-2010 20:06:43 »

หึหึ  :z1:



เอ่ออออ หนูยูคิจ๊ะ เวลาแบบนี้ หนูยังห่วงพับผ้าอีกเหรอจ๊ะ :laugh:

ออฟไลน์ N.T.❁

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #283 เมื่อ10-11-2010 20:32:42 »

:m25:

เห็นเงื่อนไขแล้วเหนื่อยแทนเลย หุหุ  :o8: :-[

anajulia

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #284 เมื่อ10-11-2010 20:45:03 »

^
^
^
ลอกๆ ลอกกันง่ายๆ
คริคริ

ริวยะซามะอ้ะ บร้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แต่ตอนนี้ยูคิจังก็โซ ฮอท นะคะ กร้ากกกกกกกกกกกกกส์

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #285 เมื่อ10-11-2010 20:47:39 »

ขอทิชชู่ซับเลือดด่วนค่า คริ ๆ  :pighaun:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #286 เมื่อ10-11-2010 20:55:54 »

 :L2:

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #287 เมื่อ10-11-2010 21:15:40 »

ใกล้จะจบแล้วหรอ

น่าจะต่อยาวๆๆ นะครับ

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #288 เมื่อ10-11-2010 21:19:46 »

ในที่สุดก็อ่านทันสักที
ริวยะนี่หื่นจริงๆนะยูคิจอนหลังๆก็ไม่ใช่ย่อยนะ
+1 นะคะ

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #289 เมื่อ10-11-2010 21:26:06 »

ดีจังที่เรื่องร้ายกลายเป็นดี
งานนี้ผู้ใหญ่ก็ต้องไฟเขียวแล้วแน่ๆ
หลังเรื่องร้ายๆผ่านไปก็หื่นแล้วนะท่าน
หวังว่าอาทิตย์ต่อไปจะไหวนะจ๊ะ  :haun4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
« ตอบ #289 เมื่อ: 10-11-2010 21:26:06 »





ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #290 เมื่อ10-11-2010 21:34:20 »

^-^  very  like

tawan

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #291 เมื่อ10-11-2010 21:47:37 »

เร้าร้อนกันจริง ๆ เลย

ทั้งสองคนนั้นแหละ  :haun4:

 :call:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #292 เมื่อ10-11-2010 22:21:19 »

ปลอดภัยจากคุณพ่อ แต่กลับบ้านไม่รอดจากริวยะเลยเนอะยูคิ :haun4:
จริงๆแล้วริวยะต้องแอบไปโด๊ปยามาทุกวันเลยใช่มะ คนอะไร้  :oo1: ได้ทุกวี่ทุกวัน
+1 ขอบคุณค่า หวานขึ้นเรื่อยๆเลยคู่เนี้ย

ปอลอ. จิ้มอีโมนี้- - >  :oo1: ทีไรเขินทุกที >///<

JipPy

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #293 เมื่อ10-11-2010 23:14:39 »

อ่านแล้ว เลือดโชก เต็ม โต๊ะ คอมเลยยยย



กระ ฉูด จิงๆ

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #294 เมื่อ10-11-2010 23:32:41 »

และแล้วก็แฮปปี้เอ็นดิ้ง เอ๊ยยยยยยยยย ยังนี่นะ  :laugh:

ความหลังของคุณพ่อ(ของริวยะ)กับคุณตา(ของยูคิ) น่าจะเป็นความผูกพัน ลึกซึ้งสินะคะ
อาจจะจบลงด้วยความเศร้า แล้วก็มาสมหวังตอนรุ่นลูกรุ่นหลานนี่ละ

บวกอีก 1 แ้ต้มนะคะ ตอนนี้เลือดหวานมากเลยค่ะ  :o8:


ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #295 เมื่อ11-11-2010 13:43:53 »

น้ำตาลปนเลือด

นี่เป็นสีชมพูเลยแฮะ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 19
«ตอบ #296 เมื่อ11-11-2010 16:53:38 »

ทยอยแปะจ้า ตอนนี้มาย้อนอดีตของคนแก่กันบ้าง~

----------------------------------------------

=====
บทที่ 19
=====

    ยูคิปรือตาตื่นขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เขารู้สึกปวดเมื่อยร่างกายไปหมดอย่างน่าประหลาด มือเล็กคลำสะเปะสะปะหานาฬิกามาดูเวลา 
   “อืม...กี่โมงแล้วนะ” 
   เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจที่ตำแหน่งของนาฬิกาไม่ตั้งอยู่ตรงที่เดิม แล้วก็ต้องชะงักเมื่อหวนคิดขึ้นมาได้ว่า ตนไม่ได้นอนอยู่ที่ห้องของตัวเอง  ยิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อคืน ก็ทำให้เด็กหนุ่มใบหน้าแดงซ่าน เลิกหาสาเหตุอาการปวดเมื่อยของตนโดยสิ้นเชิง
    เจ้าตัวมองไปรอบ ๆ ด้าน ก็ไม่เห็นเงาของร่างสูง จึงเข้าใจเอาเองว่า ริวยะคงออกไปทำงานแล้ว
   “ฮึบ! …แย่จัง แถมอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ยังต้อง...” 
   เด็กหนุ่มยันกายขึ้นนั่ง แล้วก็ต้องหน้าแดงก่ำเมื่อหวนนึกถึงสัญญาที่เขาแพ้พนันเมื่อคืนที่ผ่านมา
    “ก็ถ้าฉันทำให้เธอพอใจในคืนนี้ได้ ฉันก็จะขอจองคิวในอาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์เลยแล้วกันนะ”
   ก็นั่นล่ะ ... มีหรือที่เทคนิคและลีลาของริวยะ จะเคยทำให้เขาไม่พอใจได้ สรุปเขามันบ้าไปเอง ที่รับพนันแบบนั้น
   ... แต่ถึงแม้จะเสียเปรียบ ก็ใช่ว่าเขาจะรังเกียจกับผลที่ตามมาหรอกนะ…
   ยูคินั่งคิดอะไรเพลิน ๆ  ก่อนจะกอดอกตัวสั่นน้อย ๆ เพราะเขานั่งเปลือยแบบนั้นมาได้สักพักแล้ว
   “อาบน้ำดีกว่า”  เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้น เดินกะโผลกกะเผลก ไปหาผ้าขนหนูในตู้ พร้อมกับเหลียวไปเห็นชุดเสื้อผ้าของเขาที่พับเรียบร้อยวางไว้บนเก้าอี้ทำงานของริวยะ
   “คุณชิโนะล่ะสิท่า” ยูคิกล่าวกับตัวเองยิ้ม ๆ แล้วจึงหยิบชุดที่แม่บ้านชิโนะเตรียมไว้ให้เข้าไปห้องน้ำ

   เด็กหนุ่มใช้เวลาพักใหญ่ ก็ออกมาพร้อมชุดแต่งกายเรียบร้อย  ชำเลืองมองนาฬิกา ซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของริวยะ ก็ถอนหายใจเบา ๆ เพราะขณะนี้เป็นเวลาสามโมงเช้า ซึ่งเลยเวลาเข้าเรียนไปแล้ว
   “เฮ่อ  ไปหาข้าวกินดีกว่า”
   เจ้าตัวพยายามปลงไม่คิดมาก และเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินของเรือนพัก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนคุยกันรอดออกมาจากห้องรับแขกแบบญี่ปุ่นข้างหน้า
   …เสียงคุณริวยะ กับ  ....
   ยูคิไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่ก็คิดว่าตนฟังไม่ผิด เสียงอีกเสียงนั่นมันน่าจะเป็นเสียงของ มุราคามิ  เซอิจิ พ่อของริวยะ คนที่เขาพบเมื่อวานนั่นเอง

   “แล้วคุณพ่อจะตกลงยังไงเรื่องของยูคิกับผม แต่บอกไว้ก่อนนะ ไม่ว่าคุณพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่ ผมก็ไม่มีวันเลิกกับยูคิเด็ดขาด!”
   คำพูดของริวยะทำเอายูคิสะดุ้ง เจ้าตัวพยายามเดินเข้าไปใกล้ เพื่อฟังให้ชัด ๆ ว่า เซอิจิจะตอบว่ายังไง แต่เพราะแข้งขาที่มันค่อนข้างอ่อนแรง ทำให้เขาเผลอสะดุดขาตัวเองล้มโครมอยู่แถวนั้น
   “โอ๊ย!”  เด็กหนุ่มอุทานเบา ๆ แต่ก็ดังพอที่จะทำให้เสียงในห้องรับแขกเงียบกริบ
   ยูคิสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเลื่อน พร้อมกับการปรากฏกายของชายคนรัก
   “ยูคิ มาทำอะไรที่นี่ แล้วนั่นเป็นอะไร?”  ริวยะถามพร้อมกับไปช่วยฉุดให้เด็กหนุ่มคนรักลุกขึ้นยืน ยูคิยิ้มแหย ๆ พลางตอบอุบอิบเบา ๆ
   “ขอโทษครับ พอดีผมหิวข้าว เลยจะเดินมาที่ห้องครัวหาข้าวกิน แต่ดันสะดุดขาตัวเองล้มน่ะครับ”  เด็กหนุ่มไม่ยอมบอกว่าตัวเองหยุดแอบฟัง เพราะกลัวถูกริวยะดุ ซึ่งริวยะก็ไม่ได้ซักอะไร แต่หันกลับไปหาทาคุ ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันในห้องรับแขกนั่นแทน
   “ทาคุ พายูคิไปห้องอาหารหน่อยสิ”
   “ครับ”  ทาคุรับคำ และหันมาโค้งให้กับเซอิจิเพื่ออำลา ทว่า
   “เดี๋ยวก่อน ยังไม่ต้องไป เรียกเด็กนั่นเข้ามาก่อน”
   ชายสูงอายุกล่าวด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งกลาย ๆ ริวยะจ้องมองบิดาของตนเขม็ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ และโอบประคองยูคิที่หน้าตาตื่น ๆ เข้ามาในห้อง และให้นั่งลงใกล้ ๆ กับตนเอง
   “ไม่ต้องระวังขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ทำอะไรเด็กคนนี้ต่อหน้าแกหรอก”
   เซอิจิบอกเมื่อเห็นท่าทีที่ริวยะมีต่อเด็กหนุ่ม และเมื่อจ้องมองใบหน้าหวานตื่น ๆ นั่น เจ้าตัวก็ยิ้มอ่อนโยน ชนิดที่ ริวยะ ทาคุ รวมไปถึง ทาคาอิ ผู้เป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของชายสูงอายุ ต่างตกตะลึงไปตามกัน
     “เธอบอกว่าเธอเป็นหลานของ โคบายาชิ เรียว ใช่ไหม”
   ยูคิ พยักหน้ารับเบา ๆ ซึ่งเซอิจิก็ถอนหายใจน้อย ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ
   “ใช่จริง ๆ นั่นล่ะ พอรู้เรื่องเมื่อวานฉันก็ให้คนไปสืบดูจากประวัติของตระกูลเธอ ... หมอนั่นตายแล้วสินะ”
   คราวนี้ ยูคิเริ่มมองหน้าคนพูดเต็มตา พลางกล่าวตอบออกไปเต็มเสียงขึ้น
   “ครับ คุณตาตายตั้งแต่ผมยังห้าขวบ”
   “เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วหรอกหรือ...มิน่า ถึงไม่มีข่าวคราวอะไรให้ตามตัวได้เลย ...หมอนั่น คงยังโกรธแค้นฉันอยู่สินะ ถึงไม่ยอมให้พบ และหนีไปแบบนั้น”
   เซอิจิพูดเหมือนกำลังรำลึกความหลัง ทำให้ทุกคนในที่นั้นสงสัย โดยเฉพาะยูคิเขารู้สึกขัดใจเหลือเกิน เรื่องที่อีกฝ่ายพูดเหมือนตาของเขาไปมีความแค้นอะไรกับตนเอง
   “ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไงกันครับ แล้วเรื่องโกรธแค้น ที่ว่ามันหมายความว่ายังไงครับ”
   เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถาม ซึ่งเซอิจิ ก็ยิ้มน้อย ๆ ให้เขา แล้วจึงหันไปหาทาคุ
   “พาเขาไปทานข้าวก่อนก็ได้”
   “เดี๋ยวสิครับ เล่าเรื่องให้ผมฟังก่อนเถอะครับ ผมอยากรู้เรื่องตาของผม ว่าเกี่ยวข้องยังไงกับคุณกันแน่!”
   ยูคิโพล่งออกมาอย่างขัดใจ ที่อีกฝ่ายเดี๋ยวก็ให้เขาเข้ามาหา พร้อมพูดเรื่องที่ทำให้เขาสนใจขึ้นมา แต่จู่ ๆ ก็กลับเหมือนจะไล่ให้เขาออกไปเสียนี่
   “เอาเถอะ ฉันจะเล่าให้ฟัง แต่เรื่องเล่าของคนแก่มันยาวนะ เธอเองก็บอกว่าหิวข้าวไม่ใช่หรือไง ไปทานให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับมาฟังก็ได้”   
   เซอิจิบอกยิ้ม ๆ โดยไม่ใส่ใจท่าทีฮึดฮัดเล็กน้อยนั่น ซึ่งข้อนี้ก็ทำให้ริวยะ และคนอื่น ๆ สงสัยมากขึ้น เพราะน้อยครั้งนักที่คนอย่าง มุราคามิ  เซอิจิ จะทำดีกับใคร แม้ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนก็ตาม
   “แต่ผม...” ยูคิทำท่าจะแย้งต่อ ทว่าริวยะก็ตบบ่าเขาเบา ๆ และใช้สายตาแกมบังคับให้อีกฝ่ายทำตาม
   “ก็ได้ครับ...” เด็กหนุ่มรับคำเสียงอ่อย และจึงยอมออกไปนอกห้องพร้อมกับทาคุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

   “ตกลงคุณพ่อ กับตาของยูคิ มีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่  แล้วที่มาหาผม บอกว่ามีธุระสำคัญเกี่ยวกับยูคิ นี่มันเรื่องนี้งั้นหรือครับ”
   เมื่อลับร่างเด็กหนุ่มไปแล้ว ริวยะก็หันกลับมาเปิดฉากคำถามรุกผู้เป็นบิดาต่อ ซึ่ง เซอิจิก็นั่งจิบชาอย่างใจเย็น โดยไม่ใส่ใจนัก
   “ทำไมแก ไม่รอฟังพร้อมเด็กนั่นทีเดียวเลยล่ะ ฉันจะได้ไม่ต้องพูดซ้ำซ้อนหลายรอบ”
   ริวยะถอนหายใจแรง ๆ เรื่องหัวรั้นไม่ยอมใครของผู้เป็นบิดานั้น เขาย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นเช่นไร  และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดมาร้ายในเรื่องของเขากับยูคิ ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะนิ่ง รอฟังผลอยู่เงียบ ๆ แทนดีกว่า
   
   ยูคิได้รับการบอกเล่าจากทาคุ ว่าเซอิจิมาหาริวยะ  ก่อนชายหนุ่มจะไปทำงาน ริวยะจึงให้อากิระไปดูงานที่บริษัทแทนตน และนั่งสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของชายหนุ่มและยูคิ ซึ่งตอนแรกเขาก็ค่อนข้างแปลกใจที่ เซอิจิเหมือนจะพูดอ้อมไป อ้อมมา ไม่เข้าเรื่องสักที แต่พอมาหวนคิดดู  บางทีชายสูงอายุอาจจะถ่วงเวลาเพื่อรอยูคิตื่นขึ้นมาก่อนก็ได้
   “แสดงว่าคุณพ่อของคุณริวยะ อยากจะคุยกับผมโดยตรง”
    ยูคิสรุป ขณะที่กำลังทานอาหารเช้าชนิดแทบไม่ต้องเคี้ยว
   “ครับ คิดว่าเป็นอย่างนั้น เอ่อ คุณยูคิ ช่วยกรุณาเคี้ยวข้าวก่อนกลืนครับ เดี๋ยวติดคอ แล้วเรื่องคำสรรพนามแทนตัวเวลาคุยกับผมน่ะ ลืมอีกแล้วนะครับ”
   ทาคุร่ายยาว ชนิดที่ยูคิฟังแล้วแทบสำลัก ก่อนจะเหลือบตามองคนตรงหน้าที่ทำตัวขี้บ่นจู้จี้ ราวกับแม่เขาเข้าไปทุกที
   “ครับ ๆ รับทราบแล้วครับ”
   ยูคิบอกประชด พลางเคี้ยวตุ้ย ๆ ด้วยใบหน้างอ ๆ อย่างที่ทาคุเห็นแล้วต้องแอบอมยิ้มเพราะความเอ็นดู
   
   ยูคิและทาคุ เดินเข้ามาในห้องรับแขก เด็กหนุ่มโค้งน้อย ๆ ให้กับเซอิจิ ก่อนจะเลือกนั่งลงใกล้ ๆ กับริวยะตามเดิม
   “เรียบร้อยแล้วสินะ พร้อมจะฟังเรื่องของฉัน กับตาของเธอหรือยังล่ะ”
   เซอิจิเอ่ยปากถาม ซึ่งยูคิก็รีบพยักหน้าทันทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเอ่ยซ้ำ
   “ดีเหมือนกัน ... ฉันเองก็เก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองมานานแล้ว ยังไม่เคยได้เล่าให้ใครฟังสักครั้ง ไม่คิดเหมือนกันว่าจะต้องมาเล่าความหลังให้กับ หลานของหมอนั่นฟังแบบนี้”
   เซอิจิเปรยกับตัวเอง ใบหน้าดูอ่อนโยนลงยามเมื่อเจ้าตัวหวนคิดถึงอดีต ผิดกับภาพลักษณ์เคร่งขรึม ดูน่าเกรงขามอย่างที่เคย
   “แล้วเรื่องมันเป็นยังไงหรือครับ”
   เสียงอ่อย ๆ ของยูคิขัดขึ้นมาอย่างเกรงใจ เมื่อเห็นว่าผู้สูงอายุชักจะรำลึกความหลังกับตัวเองนานไปหน่อย
   “ฮ่า ๆ ใจร้อนเหมือนหมอนั่นไม่มีผิดเชียวนะ เอาเถอะฉันจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้ล่ะ”
   เซอิจิหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องเมื่อครั้งอดีต สมัยที่ตนยังอายุเพียง 17 ปี ให้อีกฝ่ายฟัง


   ตอนนั้น ฉันอายุได้ 17 ปี กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ฉันถูกทางบ้านบังคับให้เรียนต่อในสาขาวิชาที่ตัวเองไม่ชอบ เพื่อสืบทอดต่อกิจการทางบ้าน  คุณพ่อของฉัน ปู่ของริวยะ เป็นคนที่หัวแข็งและเจ้าระเบียบมาก ทุกคนในปกครองของคุณพ่อ ต้องอยู่ในกรอบที่ท่านวางไว้เสมอ แม้แต่คุณแม่ของฉันเอง ท่านถูกบีบคั้นจนทนไม่ได้ และได้หนีออกจากบ้านไปตั้งแต่ฉันอายุเพียง 8 ปี   หลังจากนั้นชีวิตฉันก็ถูกคุณพ่อบงการมาตลอด ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ราวกับตุ๊กตาชักใยของท่าน ไม่เคยสักครั้งที่ฉันจะต่อต้าน เพราะฉันรู้ดีว่าไม่มีวันที่คุณพ่อจะยอมรับฟังในตัวฉันอย่างแน่นอน
   “คุณพ่อครับ ผมได้รับรางวัลชนะเลิศประกวดวาดภาพ ระดับมัธยมปลาย ของเขตคันโตครับ”
   ฉันบอกกับคุณพ่อเรื่องที่ฉันได้รางวัลชนะเลิศวาดรูป แต่ท่านก็เฉย ฉันจึงพูดต่อ
   “คุณพ่อครับ เรื่องเรียนต่อน่ะครับ”
   “มีอะไร”  ท่านถามเสียงห้วน
   “ผม...อยากเรียนทางด้านศิลปะแทนได้ไหมครับ”
   ฉันตัดสินใจบอกออกไปหลังจากลังเลมานาน ที่สำคัญฉันรู้ตัวดีว่า ฉันรักการวาดรูปมากกว่าที่จะเลือกเรียนเกี่ยวกับการบริหารอย่างที่พ่อต้องการให้เรียน
   “เซอิจิ!”  เสียงคุณพ่อตะโกนลั่นราวฟ้าผ่า จนฉันสะดุ้ง
   “ฉันไม่สนใจว่าแกจะชอบอะไร แต่เรื่องอนาคตของแก แกไม่มีสิทธิ์เลือก! แกเป็นทายาทของมุราคามิ แกก็ต้องทำเพื่อมุราคามิ และทำตามที่ฉันสั่งเท่านั้น!”
   ฉันฟังแล้วถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ หัวสมองว่างเปล่าไปหมด ใช่...ฉันรู้ว่าคุณพ่อท่านต้องพูดแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ถึงจะรู้ ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า ท่านเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่ ลูกชาย หรือแค่ผู้สืบทอดตระกูล ต่อจากท่านเท่านั้น
   ฉันจำสภาพตัวเองตอนจำยอมทำตามคำสั่งนั้นไม่ได้ แต่ฉันพอจะเดาออกว่าสภาพฉันตอนนั้น มันก็คงไม่ต่างอะไรกับหมาขี้แพ้ตนหนึ่ง ที่ยอมปล่อยให้เจ้าของลากจูงไปตามแต่เขาจะชอบใจ ไม่มีสิทธิ์ขัดขืน หรือโต้แย้งอันใดแม้แต่น้อย
   ฉันซึ่งตอนนั้นได้แต่เฝ้าคิดว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ และกำลังท้อแท้ สิ้นหวังอย่างถึงขีดสุด จนกระทั่งเกือบคิดสั้น ลงไป  ทว่าฉันกับได้พบหมอนั่น ...โคบายาชิ  เรียว  เด็กผู้ชายอายุเท่าฉัน แต่กลับมีชีวิตที่แตกต่างกับฉันราวฟ้ากับดิน 

    “เฮ่ย! นั่นนายจะทำอะไรน่ะ! แม่น้ำนั่นเชี่ยวมากนะ เดี๋ยวก็จมน้ำตายหรอก!”
   มือใหญ่ของเด็กผู้ชายที่ไม่รู้จัก ฉุดฉันซึ่งกำลังเดินไร้สติลงแม่น้ำขึ้นฝั่ง เจ้าตัวนั่งหอบใกล้ ๆ  และเมื่อฉันหันไปมองหน้าเขาว่าเป็นใคร เขาก็ตวาดสวนด้วยเสียงอันดังจนฉันสะดุ้ง
   “นายจะบ้าหรือไง! ชีวิตนายพ่อแม่นายให้มานะ นายจะมาทำลายลงง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ! คิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้านายเป็นอะไรไป พ่อกับแม่นายจะเสียใจขนาดไหน นายอยากให้พ่อกับแม่นายร้องไห้หรือยังไง!”
   ฉันอึ้ง ก่อนจะตามมาด้วยความโมโห ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีใครกล้ามาตวาดใส่หน้าฉันนอกจากพ่อ แล้วหมอนี่ถือดียังไงถึงมาตวาดใส่ฉันแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็นั่นล่ะ ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบโต้อะไรไป หมอนั่นก็ทำให้ฉันแปลกใจซ้ำสองในเวลาต่อมา
   “เฮ่อ ...แต่ก็โชคดีรู้ไหม ที่ฉันผ่านมาน่ะ นายจะเจอปัญหาทุกข์ใจขนาดไหนฉันไม่รู้หรอก แต่อย่างน้อยปัญหาทุกอย่างมันก็มีทางแก้นะ ไม่ควรจะมาคิดสั้นแบบนี้ รู้ไหม?”
   จู่ ๆ หมอนั่นก็เปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแย้มอ่อนโยนแทน แถมคำพูดปลอบโยนที่ตามมาทำเอาฉันพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่
   “จริงสิ ตัวเปียกแบบนี้ระวังเป็นหวัดนะ บ้านนายอยู่ไหนน่ะ?”
   เขาถามพร้อมกับยันกายลุกขึ้นยืน และยื่นมือมาให้ฉัน ซึ่งลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะยอมจับมือนั้น และให้เขาฉุดฉันลุกขึ้นด้วยกัน
   “ชินจูกุ”
    ฉันตอบสั้น ๆ หมอนั่นฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
   “แล้วมาทำอะไรตั้งอาซากุสะนี่ล่ะ”
   ฉันเงียบไม่ตอบ อันที่จริงฉันก็คงตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะตอนออกจากบ้านมาก็เบลอ ๆ เดินทางไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ในตอนนั้น
   “ช่างเถอะ ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร แต่นายต้องรีบไปทำตัวให้แห้งแล้วล่ะ ขืนเป็นหวัดไปจะแย่เอานะ ไปบ้านฉันก่อนก็แล้วกัน”
   เจ้าตัวบอกก่อนกึ่งจูงกึ่งลากฉันไปโดยไม่ถามความสมัครใจฉันสักนิด คิดแล้วก็แปลกที่คนอย่างฉันยอมตามหมอนั่นไปได้ง่าย ๆ บางทีอาจเพราะแววตาจริงใจ ไร้ผลประโยชน์แอบแฝง ไม่เหมือนกับคนรอบตัวฉันทุกวันนี้ก็ได้
   “บ้านรกหน่อยนะ ฉันอยู่คนเดียวน่ะ”
   หมอนั่นบอกร่าเริง ในขณะที่พาฉันเข้ามายังบ้านเช่าซอมซ่อของตัวเอง ดูสภาพแล้วคนที่อาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้ ไม่น่าจะมีสุขภาพจิตดีอย่างที่หมอนี่เป็นอยู่เลย
   “เอ้า! เสื้อผ้าของฉัน เปลี่ยนซะสิ”  เจ้าตัวโยนชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มมาให้ฉัน ซึ่งยืนลังเลไม่กล้าเปลี่ยน
   “ใส่ไปเถอะ ชุดพวกนั้นซักหมดแล้วน่า”
   เขาบอกยิ้ม ๆ ฉันเงียบไป ไม่ได้แก้ตัวว่าที่จริงแล้วฉันไม่ได้รังเกียจ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม คนที่เพิ่งรู้จัก ถึงต้องทำดีกับฉันด้วยแบบนี้
   “เออ จริงสิ! คุยกันมาตั้งนานแล้วฉันยังไม่รู้จักชื่อนายเลย นายชื่ออะไรล่ะ อ้อ ฉันชื่อ โคบายาชิ เรียว นะ”
   เขาแนะนำตัวกับฉันอย่างร่าเริงตามเคย ฉันเงียบอีกพักใหญ่จนเขาคิดว่าฉันคงไม่ยอมพูดเช่นเคย และเมื่อเขาหยิบเสื้อผ้าของตัวเองเพื่อจะเปลี่ยนชุดบ้าง ฉันก็หลุดปากแนะนำตัวไปอย่างที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
   “เซอิจิ...ฉันชื่อ มุราคามิ  เซอิจิ”
    
    ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หมอนั่นให้มาเรียบร้อย และเดินตามเขาไปยังร้านซักแห้ง ซึ่งเจ้าตัวเอาเสื้อผ้าของทั้งฉันและเขามาซัก  ซึ่งพวกเราทั้งคู่ก็คอยอยู่ที่นั่นได้พักใหญ่ชุดก็อบแห้งพอดี
   “เอ้า! เรียบร้อย เสื้อผ้านาย”
   โคบายาชิ ยื่นชุดนักเรียนของฉันส่งคืนให้ ฉันมองเขาและถามด้วยสายตา ว่าจะให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าคืนเขาที่ไหน หมอนั่นก็หัวเราะพร้อมกับทำให้ฉันประหลาดใจอีกครั้ง
   “บ้าน่า เสื้อผ้าถึงมันจะแห้งแต่ก็ไม่ได้รีด นายจะใส่กลับยับ ๆ แบบนั้นเหรอ ใส่ชุดฉันกลับไปนั่นล่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
   “แล้วค่าซักเสื้อผ้า”  ฉันถามและหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา เงินถึงมันจะเปียกน้ำ และชื้นไปบ้าง แต่ก็ยังใช้ได้อยู่
   “บ้าน่า! กับอีแค่ค่าซักชุดแค่นี้ ฉันออกให้ก็ได้”
   ฉันเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก  ถ้าหมอนี่เรียกร้องเงินทองกับฉัน ทั้งค่าที่ช่วยชีวิต ค่าที่ให้ยืมเสื้อผ้า ค่าที่ซักเสื้อผ้าให้ ฉันคงจะสบายใจเสียกว่า แต่หมอนี่กลับทำในสิ่งที่คนรอบข้างที่ฉันรู้จักไม่เคยปฏิบัติต่อฉันเลยสักครั้ง ...การให้ โดยไม่หวังผลตอบแทน เช่นนี้
    “ทำไมต้องทำดีกับฉันด้วย ทั้ง ๆ ที่ตัวนายไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยด้วยซ้ำ”
   ในที่สุดฉันก็หลุดปากถามไปจนได้ เพราะไม่เข้าใจ และไม่เคยพบเจอคนแบบเขามาก่อนเลยในชีวิตของฉัน
   “ประโยชน์? อ๋อ ประโยชน์น่ะเหรอ ต้องมีอยู่แล้วล่ะ”
   เขาตอบยิ้ม ๆ ฉันชะงัก ...จริงสิ ไม่มีใครคนไหนหรอกที่จะไม่หวังผลประโยชน์จากคนอื่น หมอนี่ก็ไม่ต่างจากคนอื่นนักหรอก....ฉันคิดในใจ แต่ก็อดเจ็บแปลบลึก ๆ ไมได้ ทว่า ...
   “ก็เพราะทำแล้ว มันทำให้ฉันสบายใจน่ะสิ นี่ล่ะประโยชน์ที่ฉันช่วยนายไงล่ะ”
   คำตอบพร้อมรอยยิ้มร่าเริง และแววตาจริงใจไร้การเสแสร้ง ทำให้ฉันนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ไม่อยากจะเชื่อสายตา ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แต่ลึก ๆ ในใจแล้วฉันรู้ดีว่าตัวเองกำลังยินดีเพียงใด ยินดีในสิ่งที่ตัวฉันเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใด
   “พรุ่งนี้ฉันจะเอาชุดนายมาคืนให้”
   ฉันบอกก่อนจาก ซึ่งโคบายาชิ ก็ยิ้ม และเดินมาส่งฉันขึ้นรถไฟ หมอนั่นโบกไม้โบกมืออำลาฉันเหมือนเด็ก ๆ ทำกับฉันเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง....เพื่อน ถ้าฉันได้เป็นเพื่อนกับคนแบบนี้จะดีเพียงใดหนอ ...ตอนนั้นฉันคิดแบบนั้น โดยไม่รู้เลยว่า พวกเราจะได้กลายมาเป็นเพื่อนรักกันได้จริง ๆ

 
====
TBC
====


ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 20
«ตอบ #297 เมื่อ11-11-2010 16:55:07 »

 

=====
บทที่ 20
=====

 

     เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ฉันออกจากบ้านมาแต่เช้า ซึ่งก็โชคดีที่คุณพ่อมัวแต่ยุ่งกับการต้อนรับแขกคนสำคัญซึ่งเป็นนักการเมืองอยู่ที่บ้าน เลยไม่ได้มาใส่ใจฉันเท่าไรนัก  ฉันนั่งรถไฟมาที่อาซากุสะ และเดินตรงไปยังแมนชั่นเก่า  ๆ อันเป็นที่พำนักอาศัยของเด็กหนุ่มที่ชื่อโคบายาชิ  เรียว
    ฉันกดออดประตูห้องอยู่สักพัก แต่ก็เงียบไม่มีวี่แววใครจะมาเปิด ฉันลังเลว่าจะยืนรอสักพักดีไหม พอดีก็มีผู้หญิงวัยกลางคนข้างห้อง เดินออกมาพอดี
    “อ้าว พ่อหนู มาหาเรียวจังหรือจ๊ะ”
   “เอ่อ ครับ เขาไม่อยู่หรือครับ”  ฉันถามออกไป
    “เรียวจังไม่อยู่หรอกจ้ะ เขาไปทำงานพิเศษตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เด็กคนนี้ขยันนะ พอเลิกเรียนก็กลับมาทำงานพิเศษ  พอเสาร์ อาทิตย์ ก็ทำงานพิเศษ  อยู่คนเดียวก็แบบนี้ล่ะ”
    ผู้หญิงคนนั้นเล่า แล้วก็ทำหน้าเวทนา ซึ่งฉันก็นึกได้ว่าเมื่อวาน หมอนั่นก็บอกกับฉันว่าเขาอยู่คนเดียวเหมือนกัน
   “แล้วพ่อ กับแม่ของเขาล่ะครับ”
   “พ่อกับแม่ของเรียวจังไม่มีหรอกจ้ะ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ไปตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่แล้ว เรียวจังก็ไม่มีญาติที่ไหน พอดีคุณเจ้าของบ้านเช่านี่เห็นใจ เลยให้เช่าต่อ และอีกอย่างเรียวจังเองก็ขยันทำงาน จ่ายเงินค่าเช่าบ้านตรงเวลา ก็เลยไม่มีปัญหา แถมเด็กคนนั้นยังเป็นคนมีน้ำใจ อัธยาศัยดี ใคร ๆ ก็รัก ...แล้วเธอไม่รู้เรื่องนี้หรอกหรือ ไม่ใช่เพื่อนกันหรือจ๊ะ”
   หญิงสาววัยกลางคนเล่ายืดยาว ก่อนจะย้อนถามฉันอย่างสงสัย ฉันก็ยิ้ม และตอบออกไปตามความจริง
    “เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่นานนี่เองครับ เขาช่วยชีวิตผมไว้”
   ผู้หญิงคนนั้นทำท่ารับรู้ และสีหน้ายิ่งชื่นชมหนักเข้าไปอีกเมื่อพูดถึงโคบายาชิ เรียว
   “โถ เรียวจัง เป็นเด็กดีจริง ๆ เลยนะ”
    “เอ่อ แล้วผมจะเจอเขาได้ที่ไหนล่ะครับ”  ฉันตัดสินใจถามถึงที่ที่เขาทำงานพิเศษ น่าแปลก ทั้ง ๆ ที่ความจริงฉันจะฝากเสื้อผ้าให้ผู้หญิงคนนี้คืนเขาก็ได้ แต่พอได้ฟังเรื่องราวของเขา ฉันก็รู้สึกอยากรู้จักเขามากขึ้นกว่านี้
    “ถ้าเป็นตอนเช้าอย่างนี้ก็คงเจอตัวที่ร้านขายผักของคุณทาคุมิ ล่ะจ้ะ  แต่ถ้าเป็นตอนกลางวันเรียวจังเขาจะไปช่วยส่งอาหารที่ร้านบะหมี่ของคุณทามะน่ะ เดี๋ยวฉันเขียนแผนที่ให้แล้วกัน เธอจะได้ไปถูก”
    จากนั้นฉันก็เดินหาโคบายาชิ เรียวตามแผนที่ซึ่งได้รับมา ภาพที่ฉันเห็นก็คือหมอนั่นยกลังผักอย่างขันแข็ง และเรียกทักทายลูกค้าอย่างยิ้มแย้มร่าเริง โดยที่ไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายให้เห็น ฉันจ้องมองอยู่นาน จนเขาเป็นฝ่ายเห็นฉันก่อน
    “อ้าว! นี่นาย มุราคามิ เซอิจิใช่ไหม มาทำอะไรแถวนี้น่ะ  คุณทาคุมิครับ ผมขอตัวแป๊บนึงนะครับ”
    เจ้าตัวหันไปขออนุญาตชายวัยกลางคนใกล้ ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มร่าเริงตอบรับ
    “เพื่อนมาหาล่ะสิ ตามสบายเลยเรียวจัง คุยนาน ๆ ก็ได้ ตอนนี้คนเริ่มน้อยแล้วล่ะ”
    “ขอบคุณครับคุณทาคุมิ”
    หมอนั่นวิ่งตรงมาหาฉัน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย
    “ไง! เป็นยังไงบ้าง มาถูกได้ยังไงเนี่ย”
    “ฉันไปหานายที่บ้าน จะเอาเสื้อผ้ามาคืน แล้วคนข้างบ้านบอกว่านายอยู่ที่นี่”
    “โธ่เอ๊ย! ไม่ต้องลำบากมาคืนเองก็ได้  อ๊ะ! แต่ก็ดีแล้วที่มา เดี๋ยวสักพักฉันก็เสร็จงานแล้วล่ะ ไว้จะพาไปเลี้ยงบะหมี่เจ้านี้อร่อยมากเลยนะ”
    “เลี้ยงบะหมี่ เนื่องในโอกาสอะไร” ฉันถามกลับไปด้วยความงุนงง
    “ก็ฉลองที่เราเป็นเพื่อนกันยังไงล่ะ รอแถวนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปขอคุณทาคุมิเลิกเร็วหน่อยก็ได้”
    หมอนั่นพูดจบก็วิ่งกลับไปทำงานต่อ โดยทิ้งฉันที่ยืนอึ้งอยู่ตามลำพัง เพื่อนงั้นเหรอ? หมอนั่นยอมรับฉันเป็นเพื่อนแล้วนี่นะ ทั้งที่พวกเราเพิ่งพบกันเมื่อวานแท้ ๆ
    ฉันยืนมองโคบายาชิ  เรียว ทำงานอยู่พักใหญ่ ภาพที่หมอนั่นทำงานอย่างขยันขันแข็งและร่าเริง ทำให้ฉันเผลอลืมเวลาไปทีเดียว และเมื่อหวนคิดถึงตัวเอง ก็ทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ลงอีกครั้ง
    “เฮ่! เป็นอะไรไป นายดูซึม ๆ ไปนะ”
    ฉันสะดุ้ง ที่หมอนั่นมายืนอยู่ตรงหน้าฉันเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
    “ฉะ...ฉัน ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
    ฉันตอบตะกุกตะกัก หมอนั่นขมวดคิ้ว และยักไหล่ ก่อนจะเดินนำหน้า และกวักมือเรียกฉันให้ตามไป
    “ช่างเถอะ ตามฉันมาสิ จะพาไปกินบะหมี่รสเด็ดที่สุดในย่านนี้เลยล่ะ”
    ฉันเดินตามหมอนั่นไปต้อย ๆ น่าแปลกที่คนอย่างฉันยอมตามคำคนอื่นนอกจากพ่อได้ง่ายดายอย่างนี้

    “สวัสดีครับ ขอแบบพิเศษ 2 ที่ครับ”
    โคบายาชิ ตะโกนสั่งทันทีที่เดินเข้าไปในร้าน ซึ่งคนในนั้นก็ยกมือทักทายยิ้มแย้ม เมื่อได้เห็นเขา
    “ไงเรียวจัง”
    “เรียวจัง ทำไมวันนี้มาไวจังล่ะ”
    “เรียวจัง สบายดีไหมจ๊ะ”
    “สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมพาเพื่อนใหม่มากินบะหมี่ร้านอร่อยที่สุดในย่านนี้น่ะครับ”
    เจ้าตัวตอบรับร่าเริง แถมยังดันฉันขึ้นหน้าแนะนำตัวให้คนอื่นรู้จัก เล่นเอาฉันพูดอะไรไม่ออก
    “โฮ่! เพื่อนใหม่เรียวจังหรอกเหรอ ดีเลย งั้นวันนี้ฉันจะทำให้สุดฝีมือเลยล่ะ”
    ชายวัยกลางคน ที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อครัวของร้านบอก โคบายาชิ ดึงฉันให้ไปนั่งตรงเคาท์เตอร์ร้าน ฉันเดินตามไปนั่งอย่างไม่ค่อยชิน  เพราะเพิ่งเคยมาร้านแบบนี้เป็นครั้งแรก
    “เสร็จแล้ว บะหมี่พิเศษสูตรของทามะจังเองจ้า”
    “ขอบคุณคร๊าบ!  คุณทามะ น่ากินจังเลย ว้าว! ใส่ให้พิเศษเสียด้วย”
    โคบายาชิบอกพลางหยิบบะหมี่ชามหนึ่งเลื่อนให้ฉัน
    “ไม่ต้องห่วงหรอก ที่ทำให้พิเศษนี่ไว้หักจากค่าแรงเรียวจังทีหลังนั่นล่ะ”
    ผู้ชายที่ชื่อทามะหัวเราะพร้อมบอก ส่วนโคบายาชิฟังแล้วก็หัวเราะตามแห้ง ๆ แต่ฉันฟังแล้วกลับตกใจ เพราะเพิ่งรู้ว่านี่เป็นร้านที่หมอนั่นทำงานพิเศษ
    “เอ่อ ถ้าอย่างนั้นทั้งสองชามนี่ผมจ่ายเองก็ได้ครับ”
    ทั้งสองคนหันมามองฉัน ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาพร้อม ๆ กันดังลั่นเล่นเอาฉันงงไปชั่วครู่
    “ล้อเล่นน่ะพ่อหนุ่ม ฉันเลี้ยงเองก็ได้ นาน ๆ เรียวจังจะพาเพื่อนมาที่ร้านสักที”
    “จริงหรือครับคุณทามะ ถ้าอย่างนั้นเบิ้ลสองได้ไหมครับ”
    โคบายาชิรีบหันไปบอก ซึ่งอีกฝ่ายก็ชูมะเหงกให้
    “มากไป แค่ชามนี้กินให้มันหมดเสียก่อน เห็นอย่างนี้ฉันใส่เครื่องหนักนะ”
    “ครับ ๆ ผมรู้ว่าบะหมี่ของคุณทามะ คุณภาพคุ้มราคาอยู่แล้ว”
    โคบายาชิพูดพร้อมกับหัวเราะ และหันมาทางฉัน
    “เอ้ารีบกินเข้าสิ เดี๋ยวเส้นก็อืดหมดหรอก บะหมี่มันต้องกินตอนร้อน ๆ นี่ล่ะถึงจะดี”
    “อะ...อืม”  ฉันตอบพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบเส้นเข้าปาก รสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มรส แม้จะไม่ใช่บะหมี่เลิศหรูเหมือนกับที่ฉันเคยกินตามภัตตาคารแต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันอร่อยมากที่สุด มากกว่าอาหารทุกชนิดที่ฉันเคยกินมาก็ไม่รู้
    “นี่...พ่อหนุ่ม เป็นอะไรไปน่ะ”  คุณทามะถามฉันด้วยสีหน้าตกใจ ฉันเองก็งง แต่พอรู้สึกถึงความเย็นของน้ำใส ๆ ที่ไหลรินผ่านใบหน้า ฉันเองก็ตกใจเช่นกัน
    “เอ่อ...ผม”  ฉันพูดอะไรไม่ออก ทว่าโคบายาชิกลับยิ้ม และใช้มือตบบ่าฉันเบา ๆ
    “กินเถอะ เดี๋ยวมันจะอืดเสียนะ”
    ฉันยกแขนปาดน้ำตา พร้อมกับพยักหน้าค่อย ๆ และกินบะหมี่ตรงหน้าต่อไป โดยที่คุณทามะก็ยิ้มน้อย ๆ คล้ายเข้าใจและปล่อยให้เราสองคนนั่งกินเงียบ ๆ เช่นนั้นจนกระทั่งบะหมี่หมดชาม
    “คุณทามะครับ วันนี้ผมขอเข้าร้านช้าหน่อยนะครับ”
    โคบายาชิบอกซึ่งคุณทามะเองก็โบกมือให้
    “ตามสบายเลยเรียวจัง”
    “ไปกันเถอะเซอิจิ” โคบายาชิหันมาเรียกชื่อฉัน และเดินจูงมือฉันให้ตามเขาไป ฉันเดินตามเขาไปสักพัก ก่อนจะขืนตัว และดึงมือออก
    “เป็นอะไรไปล่ะ เซอิจิ”  เขาถามฉันด้วยความสงสัย ฉันจึงตัดสินใจบอกสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไปให้คนตรงหน้าฟังอย่างที่ไม่เคยตั้งใจจะพูดออกมา
    “ทำไมต้องทำเหมือนฉันเป็นเพื่อนนาย ทำไมต้องทำตัวสนิทสนมแบบนี้ และทำไมต้องทำดีกับฉันด้วย!”
    หมอนั่นเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มแย้มอย่างจริงใจให้ฉัน
    “แปลกตรงไหน ก็เพราะฉันคิดว่านายเป็นเพื่อนน่ะสิ”
    “เพื่อน...ทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งพบกันเมื่อวานนี้นี่นะ” ฉันเถียงกลับ ซึ่งโคบายาชิก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบ
    “ทำไมล่ะ การที่คนเราจะเลือกคบอีกคนเป็นเพื่อน มันจำเป็นต้องมีระยะเวลาเป็นเงื่อนไขด้วยงั้นหรือ? ฉันถูกชะตากับนาย อยากเป็นเพื่อนกับนาย นายว่ามันผิดมากงั้นหรือไง?”
    “เหตุผลแค่นี้...” ฉันถามเสียงเบา ไม่เข้าใจคนตรงหน้ามากขึ้นทุกที
    “ก็แค่นี้ล่ะ” หมอนั่นตอบง่าย ๆ และเดินนำหน้าไปอีก ฉันก็เดินตามเขาไป จนกระทั่งถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง มันช่างเงียบสงบ และร่มรื่นยิ่งนัก
   “ฉันชอบมาที่นี่ เวลาเหนื่อย และนึกท้อกับชีวิต ฉันก็จะมานั่งมองต้นไม้ มองดอกไม้ พักผ่อนเรื่อย ๆ ให้หายเหนื่อย แล้วก็ลุกขึ้นสู้เผชิญหน้ากับปัญหาต่อไป”
     โคบายาชิหันมาหาฉันและยิ้มให้
    “ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายต้องผจญกับความทุกข์มามากขนาดไหน แต่ฉันคิดว่าไม่มีใครหรอกที่จะโชคร้ายไปเสียตลอด หากคนคนนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะมีความสุขในชีวิต สักวันก็ต้องสมหวังจนได้”
    ฉันนิ่ง พูดไม่ออก ไม่เคยมีใครพูดให้กำลังใจกับฉันแบบนี้มาก่อน ไม่สิ ไม่เคยมีคนที่เข้าใจฉัน และฉันก็ไม่เคยที่จะแสดงความอ่อนแอให้ใครได้เห็นสักครั้ง จนกระทั่งได้พบกับหมอนี่...
    “นายมันประหลาดชะมัด”  ฉันบอกกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มจริงใจที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน
    “เอ๋? จริงน่ะเหรอ? ฉันนี่นะ?” หมอนั่นทำหน้าเหรอหรา ซึ่งก็ทำให้ฉันหัวเราะออกมาได้เป็นครั้งแรก
    “นายหัวเราะแล้วดูดีกว่าทำหน้าบึ้งตั้งเยอะ”  หมอนั่นบอกยิ้ม ๆ ซึ่งฉันฟังแล้วก็ชะงัก ก่อนจะแกล้งทำเป็นพูดเรื่องอื่น กลบเกลื่อนแก้เขิน
    “ฉันมีธุระต้องรีบกลับแล้วล่ะ เอ้านี่เสื้อผ้านาย ฉันกลับล่ะนะ”
    “เดี๋ยวก่อนสิ เซอิจิ”  เขารั้งฉันไว้ก่อน ซึ่งฉันก็หันมาถามด้วยความสงสัย
    “อะไร?”  
   “แล้วเจอกันอีกนะ”  หมอนั่นบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย ทำให้ฉันเผลอพยักหน้าตอบกลับไปเช่นกัน
    “อือ...แล้วเจอกัน”
    และนับจากวันนั้น ฉันก็แวะเวียนไปหาหมอนั่นเสมอ หลังเลิกเรียนบ้าง วันหยุดเสาร์ อาทิตย์บ้าง โดยอ้างกับพ่อว่า ฉันออกไปเรียนพิเศษ หรือไม่ก็ไปหอสมุดเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบ จนกระทั่งสามเดือนผ่านไป ฉันก็ถูกพ่อจับได้ในที่สุด

    “เซอิจิ! แกกล้ามากนักนะ โกหกฉันว่าไปเรียนพิเศษ แต่ก็ไปแอบคบกับเพื่อนกุ๊ย ๆ ของแกแทนงั้นเหรอ!”
    พ่อฉันตวาดใส่ฉันอย่างเกรี้ยวกราด แต่ฉันในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ตั้งแต่ได้พบกับหมอนั่น ฉันตัดสินใจแล้วว่า ฉันจะเชื่อมั่นในหนทางที่ถูก ความฝันของฉันไม่ใช่สิ่งผิด สิ่งเลวร้าย และฉันก็จะไม่ทิ้งความฝันของฉัน แล้วปล่อยให้พ่อบงการอีกต่อไป
    “อย่ามาเรียกหมอนั่นว่ากุ๊ยนะครับ  โคบายาชิเป็นเพื่อนที่ดี และไม่เคยเอาเรื่องฐานะมาเกี่ยวข้องในการคบกัน  เขาเป็นเพื่อนที่มีแต่ความจริงใจให้ ไม่เหมือนกับพวกที่พ่อเรียกว่าเพื่อน ทั้ง ๆ ที่มีแต่เรื่องผลประโยชน์ระหว่างกันนั่นหรอก!”
     “เซอิจิ! แกบังอาจเถียงฉันงั้นเหรอ! นี่คงเป็นเพราะเพื่อนแกเสี้ยมสอนมาอย่างนั้นล่ะสิ!”
    พ่อตวาดใส่ฉันหนักกว่าเดิม เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นพ่อฉุนเฉียวมากถึงขนาดนี้
    “เพื่อนผมไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย! หมอนั่นน่ะ เฝ้าแต่บอกให้ผมเปิดอกพูดคุยดี ๆ กับพ่อ เรื่องความฝันของผม ความต้องการที่แท้จริงของผม แต่ผมไม่เคยกล้า เพราะผมรู้ว่าถึงพูดไป พ่อก็ไม่เคยคิดจะฟัง เพราะพ่อเป็นคนแบบนี้ แม้แต่แม่ก็ยังทนไม่ได้ ถึงได้หนีพ่อไปแบบนั้นไงล่ะ!”
    ฉันเถียงออกไป นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกล้าพูดตามที่ใจปรารถนาต่อหน้าพ่อของฉัน พ่อฉันชะงัก และตวาดใส่ฉันสุดเสียง
    “เซอิจิ!”
   ฉันนิ่ง เผชิญหน้ากับพ่ออย่างไม่ไหวติง  พอกันที! ฉันจะไม่ยอมเป็นตุ๊กตาของพ่ออีกแล้ว ฉันมีชีวิต มีจิตใจ ฉันเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ตุ๊กตา!
    “ถ้าพ่อยังคงไม่ยอมรับฟังผม ผมก็จะขอออกจากบ้านหลังนี้ ไปตามทางของตัวเอง แม้จะต้องถูกตัดขาดจากมุราคามิไปตลอดชีวิตก็ตาม!”
    ฉันตัดสินใจพูดออกไป พ่อฉันมีสีหน้าทั้งโกรธ และผิดหวังปะปนอยู่ในนั้นเป็นครั้งแรก ท่านชี้นิ้วมาที่ฉัน ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากนั้น ก่อนที่ท่านจะใช้มือกุมหน้าอก สีหน้าเริ่มผิดแปลก และทรุดลงไปกับพื้น สร้างความตกใจให้ฉันยิ่งนัก
    “นายท่านอาการกำเริบ ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลทีเร็วเข้า!”
    คาโต้คนสนิทของพ่อที่อยู่ด้วยกันที่นั่นรีบปราดเข้ามาดูอาการ และรีบสั่งให้คนงานในบ้านเรียกรถพยาบาล โดยที่ฉันยังคงนิ่งด้วยความช็อกไม่หาย
    “คุณเซอิจิ! นายท่านขึ้นรถพยาบาลไปแล้ว คุณก็รีบตามไปเถอะครับ!” คาโต้เรียกฉันซึ่งตกอยู่ในภาวะตกตะลึงให้คืนสติ ซึ่งพอตั้งสติได้ ฉันก็รีบวิ่งตามคาโต้ไปที่รถทันที
    “คาโต้ คุณพ่อเป็นอะไรไป ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!” ฉันถามคาโต้ระหว่างนั่งรถตามไปโรงพยาบาลด้วยความสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  
    “นายท่านเป็นโรคหัวใจครับ แต่ท่านให้ปิดเงียบไว้ ท่านรู้ว่าชีวิตของท่านไม่แน่นอน อาจอาการกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้”
    คำพูดของคาโต้ทำให้ฉันชาไปทั้งตัว พ่อป่วย...แต่ฉันไม่เคยได้รับรู้
    “แล้วทำไมถึงไม่บอกฉันบ้าง”
    ฉันถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแทบไม่พ้นลำคอ เพราะฉันทำให้อาการท่านกำเริบแท้ ๆ
    “ท่านไม่อยากให้คุณเป็นกังวล...และที่ท่านเข้มงวดกับคุณ ก็เพราะอยากให้คุณได้ดี อยากให้คุณมีทางเดินชีวิตที่มั่นคง ก้าวหน้า หากวันใดท่านเสียไป อย่างน้อยท่านก็จะได้จากไปอย่างหมดห่วง ท่านรักคุณมากนะครับ คุณเซอิจิ”
    คำพูดของคาโต้ฉันได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ ทว่าฉันไม่มีคำตอบใด ๆ สำหรับเรื่องนี้  ฉันนิ่งเงียบ ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอาบแก้มโดยไม่คิดจะห้ามมัน  ฉันมันโง่เอง ...ถ้าฉันพูดดี ๆ กับท่านตั้งแต่แรกเหมือนที่หมอนั่นบอก พ่อก็คงไม่เป็นแบบนี้  

    ...พ่อครับ ผมขอโทษ...
     นั่นคือประโยคแรกที่ฉันอยากบอกกับพ่อยามนี้ ฉันที่เฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ด้วยความกระวนกระวาย จนกระทั่ง...
    “พ้นขีดอันตรายแล้วครับ” คำพูดของหมอเปรียบเหมือนเสียงจากสวรรค์ ฉันโล่งอกนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ช่วยคุ้มครองพ่อให้ปลอดภัย  หมอยังไม่ให้ฉันเข้าเยี่ยม และเตือนว่าให้ระวัง อย่าให้มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจเกิดขึ้นกับพ่ออีก เพราะคราวหน้าหากอาการกำเริบ หมอไม่รับประกันว่าจะสามารถช่วยเหลือได้เหมือนครั้งนี้อีกหรือไม่
    ฉันไม่กลับบ้าน ฉันเฝ้ารอจนกว่าจะเข้าเยี่ยมพ่อได้ แม้คาโต้จะพยายามเกลี้ยกล่อม แต่ฉันก็ยังยืนกรานตามเดิม โชคดีที่อิทธิพลของมุราคามิมีมากพอ ที่จะทำให้ฉันพอมีสิทธิ์พิเศษอยู่บ้าง
     ในที่สุด หมอก็ให้ฉันเข้าเยี่ยม แวบแรกที่ฉันเห็นพ่อ ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรมันจุกอยู่ในอกจนกระทั่งหายใจแทบไม่ออก ฉันไม่เคยมองพ่อชัด ๆ แบบวันนี้ พ่อดูซูบเซียว อ่อนแรง ผิดจากพ่อที่ฉันเคยเห็นทุกครั้ง... ไม่สิ ความจริง ฉันแทบไม่เคยมองพ่อชัด ๆ เลยต่างหาก ในความคิดของฉัน ท่านคือบุคคลที่ฉันหวาดกลัว ไม่กล้าขัดขืน ทั้งที่ความจริงแล้ว ท่านก็เป็นเพียงแค่ชายชราธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เป็นพ่อที่ฉันไม่เคยได้รับรู้ถึงความรัก ความห่วงใย ที่แฝงมากับความเข้มงวดของท่านเลยสักครั้ง
    “พ่อครับ...ผมขอโทษ”  ฉันเข้าไปซบอกและกอดพ่อ เฝ้าพร่ำขอโทษอยู่เช่นนั้น...พ่อผอมเหลือเกิน ผอมกว่าที่ตาเห็นด้วยซ้ำ พ่อผอมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
    มือของพ่อโอบกอดตอบร่างของฉัน สิบเจ็ดปีที่อยู่ด้วยกันมา ฉันเพิ่งเข้าใจถึงความรักของพ่อก็วันนี้  เข้าใจเมื่อเกือบสายไปแล้วจริง ๆ


 
====
TBC
====


ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 17-18
«ตอบ #298 เมื่อ11-11-2010 16:58:12 »

พรุ่งนี้จะมาโพสสองตอนสุดท้ายนะคะ ~ และถ้ามีเวลาว่างจะมาแต่งตอนพิเศษหวาน ๆ ให้สักตอนค่ะ ^ ^"

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะคะ ผลงานเขียนสมัยเข้าวงการ(Y) มาใหม่ ๆ เลยอาจจะขาดตกบกพร่องไปบ้าง ต้องขออภัยอย่างสูง มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ


และถ้าเลยวันที่ 15 พ.ย. ไปแล้วจะเริ่มว่าง จะมาเคลียร์ คุณตำรวจยอดรักต่อ และอยากเริ่มต้นเขียนแนวไทย ๆ ลึกลับสักเรื่อง (แต่ไม่เน้นน่ากลัว)


แล้วพบกันกับตอน 21 - 22 พรุ่งนี้ค่ะ

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
Re: กรงรัก...พันธนาการใจ >>> บทที่ 19-20
«ตอบ #299 เมื่อ11-11-2010 17:22:42 »

เรื่องราวเป็นเยี่ยงนี้นิเอง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด