=====
บทที่ 20
=====
เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ฉันออกจากบ้านมาแต่เช้า ซึ่งก็โชคดีที่คุณพ่อมัวแต่ยุ่งกับการต้อนรับแขกคนสำคัญซึ่งเป็นนักการเมืองอยู่ที่บ้าน เลยไม่ได้มาใส่ใจฉันเท่าไรนัก ฉันนั่งรถไฟมาที่อาซากุสะ และเดินตรงไปยังแมนชั่นเก่า ๆ อันเป็นที่พำนักอาศัยของเด็กหนุ่มที่ชื่อโคบายาชิ เรียว
ฉันกดออดประตูห้องอยู่สักพัก แต่ก็เงียบไม่มีวี่แววใครจะมาเปิด ฉันลังเลว่าจะยืนรอสักพักดีไหม พอดีก็มีผู้หญิงวัยกลางคนข้างห้อง เดินออกมาพอดี
“อ้าว พ่อหนู มาหาเรียวจังหรือจ๊ะ”
“เอ่อ ครับ เขาไม่อยู่หรือครับ” ฉันถามออกไป
“เรียวจังไม่อยู่หรอกจ้ะ เขาไปทำงานพิเศษตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เด็กคนนี้ขยันนะ พอเลิกเรียนก็กลับมาทำงานพิเศษ พอเสาร์ อาทิตย์ ก็ทำงานพิเศษ อยู่คนเดียวก็แบบนี้ล่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นเล่า แล้วก็ทำหน้าเวทนา ซึ่งฉันก็นึกได้ว่าเมื่อวาน หมอนั่นก็บอกกับฉันว่าเขาอยู่คนเดียวเหมือนกัน
“แล้วพ่อ กับแม่ของเขาล่ะครับ”
“พ่อกับแม่ของเรียวจังไม่มีหรอกจ้ะ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ไปตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่แล้ว เรียวจังก็ไม่มีญาติที่ไหน พอดีคุณเจ้าของบ้านเช่านี่เห็นใจ เลยให้เช่าต่อ และอีกอย่างเรียวจังเองก็ขยันทำงาน จ่ายเงินค่าเช่าบ้านตรงเวลา ก็เลยไม่มีปัญหา แถมเด็กคนนั้นยังเป็นคนมีน้ำใจ อัธยาศัยดี ใคร ๆ ก็รัก ...แล้วเธอไม่รู้เรื่องนี้หรอกหรือ ไม่ใช่เพื่อนกันหรือจ๊ะ”
หญิงสาววัยกลางคนเล่ายืดยาว ก่อนจะย้อนถามฉันอย่างสงสัย ฉันก็ยิ้ม และตอบออกไปตามความจริง
“เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่นานนี่เองครับ เขาช่วยชีวิตผมไว้”
ผู้หญิงคนนั้นทำท่ารับรู้ และสีหน้ายิ่งชื่นชมหนักเข้าไปอีกเมื่อพูดถึงโคบายาชิ เรียว
“โถ เรียวจัง เป็นเด็กดีจริง ๆ เลยนะ”
“เอ่อ แล้วผมจะเจอเขาได้ที่ไหนล่ะครับ” ฉันตัดสินใจถามถึงที่ที่เขาทำงานพิเศษ น่าแปลก ทั้ง ๆ ที่ความจริงฉันจะฝากเสื้อผ้าให้ผู้หญิงคนนี้คืนเขาก็ได้ แต่พอได้ฟังเรื่องราวของเขา ฉันก็รู้สึกอยากรู้จักเขามากขึ้นกว่านี้
“ถ้าเป็นตอนเช้าอย่างนี้ก็คงเจอตัวที่ร้านขายผักของคุณทาคุมิ ล่ะจ้ะ แต่ถ้าเป็นตอนกลางวันเรียวจังเขาจะไปช่วยส่งอาหารที่ร้านบะหมี่ของคุณทามะน่ะ เดี๋ยวฉันเขียนแผนที่ให้แล้วกัน เธอจะได้ไปถูก”
จากนั้นฉันก็เดินหาโคบายาชิ เรียวตามแผนที่ซึ่งได้รับมา ภาพที่ฉันเห็นก็คือหมอนั่นยกลังผักอย่างขันแข็ง และเรียกทักทายลูกค้าอย่างยิ้มแย้มร่าเริง โดยที่ไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายให้เห็น ฉันจ้องมองอยู่นาน จนเขาเป็นฝ่ายเห็นฉันก่อน
“อ้าว! นี่นาย มุราคามิ เซอิจิใช่ไหม มาทำอะไรแถวนี้น่ะ คุณทาคุมิครับ ผมขอตัวแป๊บนึงนะครับ”
เจ้าตัวหันไปขออนุญาตชายวัยกลางคนใกล้ ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มร่าเริงตอบรับ
“เพื่อนมาหาล่ะสิ ตามสบายเลยเรียวจัง คุยนาน ๆ ก็ได้ ตอนนี้คนเริ่มน้อยแล้วล่ะ”
“ขอบคุณครับคุณทาคุมิ”
หมอนั่นวิ่งตรงมาหาฉัน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย
“ไง! เป็นยังไงบ้าง มาถูกได้ยังไงเนี่ย”
“ฉันไปหานายที่บ้าน จะเอาเสื้อผ้ามาคืน แล้วคนข้างบ้านบอกว่านายอยู่ที่นี่”
“โธ่เอ๊ย! ไม่ต้องลำบากมาคืนเองก็ได้ อ๊ะ! แต่ก็ดีแล้วที่มา เดี๋ยวสักพักฉันก็เสร็จงานแล้วล่ะ ไว้จะพาไปเลี้ยงบะหมี่เจ้านี้อร่อยมากเลยนะ”
“เลี้ยงบะหมี่ เนื่องในโอกาสอะไร” ฉันถามกลับไปด้วยความงุนงง
“ก็ฉลองที่เราเป็นเพื่อนกันยังไงล่ะ รอแถวนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปขอคุณทาคุมิเลิกเร็วหน่อยก็ได้”
หมอนั่นพูดจบก็วิ่งกลับไปทำงานต่อ โดยทิ้งฉันที่ยืนอึ้งอยู่ตามลำพัง เพื่อนงั้นเหรอ? หมอนั่นยอมรับฉันเป็นเพื่อนแล้วนี่นะ ทั้งที่พวกเราเพิ่งพบกันเมื่อวานแท้ ๆ
ฉันยืนมองโคบายาชิ เรียว ทำงานอยู่พักใหญ่ ภาพที่หมอนั่นทำงานอย่างขยันขันแข็งและร่าเริง ทำให้ฉันเผลอลืมเวลาไปทีเดียว และเมื่อหวนคิดถึงตัวเอง ก็ทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ลงอีกครั้ง
“เฮ่! เป็นอะไรไป นายดูซึม ๆ ไปนะ”
ฉันสะดุ้ง ที่หมอนั่นมายืนอยู่ตรงหน้าฉันเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
“ฉะ...ฉัน ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
ฉันตอบตะกุกตะกัก หมอนั่นขมวดคิ้ว และยักไหล่ ก่อนจะเดินนำหน้า และกวักมือเรียกฉันให้ตามไป
“ช่างเถอะ ตามฉันมาสิ จะพาไปกินบะหมี่รสเด็ดที่สุดในย่านนี้เลยล่ะ”
ฉันเดินตามหมอนั่นไปต้อย ๆ น่าแปลกที่คนอย่างฉันยอมตามคำคนอื่นนอกจากพ่อได้ง่ายดายอย่างนี้
“สวัสดีครับ ขอแบบพิเศษ 2 ที่ครับ”
โคบายาชิ ตะโกนสั่งทันทีที่เดินเข้าไปในร้าน ซึ่งคนในนั้นก็ยกมือทักทายยิ้มแย้ม เมื่อได้เห็นเขา
“ไงเรียวจัง”
“เรียวจัง ทำไมวันนี้มาไวจังล่ะ”
“เรียวจัง สบายดีไหมจ๊ะ”
“สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมพาเพื่อนใหม่มากินบะหมี่ร้านอร่อยที่สุดในย่านนี้น่ะครับ”
เจ้าตัวตอบรับร่าเริง แถมยังดันฉันขึ้นหน้าแนะนำตัวให้คนอื่นรู้จัก เล่นเอาฉันพูดอะไรไม่ออก
“โฮ่! เพื่อนใหม่เรียวจังหรอกเหรอ ดีเลย งั้นวันนี้ฉันจะทำให้สุดฝีมือเลยล่ะ”
ชายวัยกลางคน ที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อครัวของร้านบอก โคบายาชิ ดึงฉันให้ไปนั่งตรงเคาท์เตอร์ร้าน ฉันเดินตามไปนั่งอย่างไม่ค่อยชิน เพราะเพิ่งเคยมาร้านแบบนี้เป็นครั้งแรก
“เสร็จแล้ว บะหมี่พิเศษสูตรของทามะจังเองจ้า”
“ขอบคุณคร๊าบ! คุณทามะ น่ากินจังเลย ว้าว! ใส่ให้พิเศษเสียด้วย”
โคบายาชิบอกพลางหยิบบะหมี่ชามหนึ่งเลื่อนให้ฉัน
“ไม่ต้องห่วงหรอก ที่ทำให้พิเศษนี่ไว้หักจากค่าแรงเรียวจังทีหลังนั่นล่ะ”
ผู้ชายที่ชื่อทามะหัวเราะพร้อมบอก ส่วนโคบายาชิฟังแล้วก็หัวเราะตามแห้ง ๆ แต่ฉันฟังแล้วกลับตกใจ เพราะเพิ่งรู้ว่านี่เป็นร้านที่หมอนั่นทำงานพิเศษ
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นทั้งสองชามนี่ผมจ่ายเองก็ได้ครับ”
ทั้งสองคนหันมามองฉัน ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาพร้อม ๆ กันดังลั่นเล่นเอาฉันงงไปชั่วครู่
“ล้อเล่นน่ะพ่อหนุ่ม ฉันเลี้ยงเองก็ได้ นาน ๆ เรียวจังจะพาเพื่อนมาที่ร้านสักที”
“จริงหรือครับคุณทามะ ถ้าอย่างนั้นเบิ้ลสองได้ไหมครับ”
โคบายาชิรีบหันไปบอก ซึ่งอีกฝ่ายก็ชูมะเหงกให้
“มากไป แค่ชามนี้กินให้มันหมดเสียก่อน เห็นอย่างนี้ฉันใส่เครื่องหนักนะ”
“ครับ ๆ ผมรู้ว่าบะหมี่ของคุณทามะ คุณภาพคุ้มราคาอยู่แล้ว”
โคบายาชิพูดพร้อมกับหัวเราะ และหันมาทางฉัน
“เอ้ารีบกินเข้าสิ เดี๋ยวเส้นก็อืดหมดหรอก บะหมี่มันต้องกินตอนร้อน ๆ นี่ล่ะถึงจะดี”
“อะ...อืม” ฉันตอบพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบเส้นเข้าปาก รสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มรส แม้จะไม่ใช่บะหมี่เลิศหรูเหมือนกับที่ฉันเคยกินตามภัตตาคารแต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันอร่อยมากที่สุด มากกว่าอาหารทุกชนิดที่ฉันเคยกินมาก็ไม่รู้
“นี่...พ่อหนุ่ม เป็นอะไรไปน่ะ” คุณทามะถามฉันด้วยสีหน้าตกใจ ฉันเองก็งง แต่พอรู้สึกถึงความเย็นของน้ำใส ๆ ที่ไหลรินผ่านใบหน้า ฉันเองก็ตกใจเช่นกัน
“เอ่อ...ผม” ฉันพูดอะไรไม่ออก ทว่าโคบายาชิกลับยิ้ม และใช้มือตบบ่าฉันเบา ๆ
“กินเถอะ เดี๋ยวมันจะอืดเสียนะ”
ฉันยกแขนปาดน้ำตา พร้อมกับพยักหน้าค่อย ๆ และกินบะหมี่ตรงหน้าต่อไป โดยที่คุณทามะก็ยิ้มน้อย ๆ คล้ายเข้าใจและปล่อยให้เราสองคนนั่งกินเงียบ ๆ เช่นนั้นจนกระทั่งบะหมี่หมดชาม
“คุณทามะครับ วันนี้ผมขอเข้าร้านช้าหน่อยนะครับ”
โคบายาชิบอกซึ่งคุณทามะเองก็โบกมือให้
“ตามสบายเลยเรียวจัง”
“ไปกันเถอะเซอิจิ” โคบายาชิหันมาเรียกชื่อฉัน และเดินจูงมือฉันให้ตามเขาไป ฉันเดินตามเขาไปสักพัก ก่อนจะขืนตัว และดึงมือออก
“เป็นอะไรไปล่ะ เซอิจิ” เขาถามฉันด้วยความสงสัย ฉันจึงตัดสินใจบอกสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไปให้คนตรงหน้าฟังอย่างที่ไม่เคยตั้งใจจะพูดออกมา
“ทำไมต้องทำเหมือนฉันเป็นเพื่อนนาย ทำไมต้องทำตัวสนิทสนมแบบนี้ และทำไมต้องทำดีกับฉันด้วย!”
หมอนั่นเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มแย้มอย่างจริงใจให้ฉัน
“แปลกตรงไหน ก็เพราะฉันคิดว่านายเป็นเพื่อนน่ะสิ”
“เพื่อน...ทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งพบกันเมื่อวานนี้นี่นะ” ฉันเถียงกลับ ซึ่งโคบายาชิก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบ
“ทำไมล่ะ การที่คนเราจะเลือกคบอีกคนเป็นเพื่อน มันจำเป็นต้องมีระยะเวลาเป็นเงื่อนไขด้วยงั้นหรือ? ฉันถูกชะตากับนาย อยากเป็นเพื่อนกับนาย นายว่ามันผิดมากงั้นหรือไง?”
“เหตุผลแค่นี้...” ฉันถามเสียงเบา ไม่เข้าใจคนตรงหน้ามากขึ้นทุกที
“ก็แค่นี้ล่ะ” หมอนั่นตอบง่าย ๆ และเดินนำหน้าไปอีก ฉันก็เดินตามเขาไป จนกระทั่งถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง มันช่างเงียบสงบ และร่มรื่นยิ่งนัก
“ฉันชอบมาที่นี่ เวลาเหนื่อย และนึกท้อกับชีวิต ฉันก็จะมานั่งมองต้นไม้ มองดอกไม้ พักผ่อนเรื่อย ๆ ให้หายเหนื่อย แล้วก็ลุกขึ้นสู้เผชิญหน้ากับปัญหาต่อไป”
โคบายาชิหันมาหาฉันและยิ้มให้
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายต้องผจญกับความทุกข์มามากขนาดไหน แต่ฉันคิดว่าไม่มีใครหรอกที่จะโชคร้ายไปเสียตลอด หากคนคนนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะมีความสุขในชีวิต สักวันก็ต้องสมหวังจนได้”
ฉันนิ่ง พูดไม่ออก ไม่เคยมีใครพูดให้กำลังใจกับฉันแบบนี้มาก่อน ไม่สิ ไม่เคยมีคนที่เข้าใจฉัน และฉันก็ไม่เคยที่จะแสดงความอ่อนแอให้ใครได้เห็นสักครั้ง จนกระทั่งได้พบกับหมอนี่...
“นายมันประหลาดชะมัด” ฉันบอกกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มจริงใจที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน
“เอ๋? จริงน่ะเหรอ? ฉันนี่นะ?” หมอนั่นทำหน้าเหรอหรา ซึ่งก็ทำให้ฉันหัวเราะออกมาได้เป็นครั้งแรก
“นายหัวเราะแล้วดูดีกว่าทำหน้าบึ้งตั้งเยอะ” หมอนั่นบอกยิ้ม ๆ ซึ่งฉันฟังแล้วก็ชะงัก ก่อนจะแกล้งทำเป็นพูดเรื่องอื่น กลบเกลื่อนแก้เขิน
“ฉันมีธุระต้องรีบกลับแล้วล่ะ เอ้านี่เสื้อผ้านาย ฉันกลับล่ะนะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ เซอิจิ” เขารั้งฉันไว้ก่อน ซึ่งฉันก็หันมาถามด้วยความสงสัย
“อะไร?”
“แล้วเจอกันอีกนะ” หมอนั่นบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย ทำให้ฉันเผลอพยักหน้าตอบกลับไปเช่นกัน
“อือ...แล้วเจอกัน”
และนับจากวันนั้น ฉันก็แวะเวียนไปหาหมอนั่นเสมอ หลังเลิกเรียนบ้าง วันหยุดเสาร์ อาทิตย์บ้าง โดยอ้างกับพ่อว่า ฉันออกไปเรียนพิเศษ หรือไม่ก็ไปหอสมุดเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบ จนกระทั่งสามเดือนผ่านไป ฉันก็ถูกพ่อจับได้ในที่สุด
“เซอิจิ! แกกล้ามากนักนะ โกหกฉันว่าไปเรียนพิเศษ แต่ก็ไปแอบคบกับเพื่อนกุ๊ย ๆ ของแกแทนงั้นเหรอ!”
พ่อฉันตวาดใส่ฉันอย่างเกรี้ยวกราด แต่ฉันในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ตั้งแต่ได้พบกับหมอนั่น ฉันตัดสินใจแล้วว่า ฉันจะเชื่อมั่นในหนทางที่ถูก ความฝันของฉันไม่ใช่สิ่งผิด สิ่งเลวร้าย และฉันก็จะไม่ทิ้งความฝันของฉัน แล้วปล่อยให้พ่อบงการอีกต่อไป
“อย่ามาเรียกหมอนั่นว่ากุ๊ยนะครับ โคบายาชิเป็นเพื่อนที่ดี และไม่เคยเอาเรื่องฐานะมาเกี่ยวข้องในการคบกัน เขาเป็นเพื่อนที่มีแต่ความจริงใจให้ ไม่เหมือนกับพวกที่พ่อเรียกว่าเพื่อน ทั้ง ๆ ที่มีแต่เรื่องผลประโยชน์ระหว่างกันนั่นหรอก!”
“เซอิจิ! แกบังอาจเถียงฉันงั้นเหรอ! นี่คงเป็นเพราะเพื่อนแกเสี้ยมสอนมาอย่างนั้นล่ะสิ!”
พ่อตวาดใส่ฉันหนักกว่าเดิม เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นพ่อฉุนเฉียวมากถึงขนาดนี้
“เพื่อนผมไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย! หมอนั่นน่ะ เฝ้าแต่บอกให้ผมเปิดอกพูดคุยดี ๆ กับพ่อ เรื่องความฝันของผม ความต้องการที่แท้จริงของผม แต่ผมไม่เคยกล้า เพราะผมรู้ว่าถึงพูดไป พ่อก็ไม่เคยคิดจะฟัง เพราะพ่อเป็นคนแบบนี้ แม้แต่แม่ก็ยังทนไม่ได้ ถึงได้หนีพ่อไปแบบนั้นไงล่ะ!”
ฉันเถียงออกไป นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกล้าพูดตามที่ใจปรารถนาต่อหน้าพ่อของฉัน พ่อฉันชะงัก และตวาดใส่ฉันสุดเสียง
“เซอิจิ!”
ฉันนิ่ง เผชิญหน้ากับพ่ออย่างไม่ไหวติง พอกันที! ฉันจะไม่ยอมเป็นตุ๊กตาของพ่ออีกแล้ว ฉันมีชีวิต มีจิตใจ ฉันเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ตุ๊กตา!
“ถ้าพ่อยังคงไม่ยอมรับฟังผม ผมก็จะขอออกจากบ้านหลังนี้ ไปตามทางของตัวเอง แม้จะต้องถูกตัดขาดจากมุราคามิไปตลอดชีวิตก็ตาม!”
ฉันตัดสินใจพูดออกไป พ่อฉันมีสีหน้าทั้งโกรธ และผิดหวังปะปนอยู่ในนั้นเป็นครั้งแรก ท่านชี้นิ้วมาที่ฉัน ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากนั้น ก่อนที่ท่านจะใช้มือกุมหน้าอก สีหน้าเริ่มผิดแปลก และทรุดลงไปกับพื้น สร้างความตกใจให้ฉันยิ่งนัก
“นายท่านอาการกำเริบ ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลทีเร็วเข้า!”
คาโต้คนสนิทของพ่อที่อยู่ด้วยกันที่นั่นรีบปราดเข้ามาดูอาการ และรีบสั่งให้คนงานในบ้านเรียกรถพยาบาล โดยที่ฉันยังคงนิ่งด้วยความช็อกไม่หาย
“คุณเซอิจิ! นายท่านขึ้นรถพยาบาลไปแล้ว คุณก็รีบตามไปเถอะครับ!” คาโต้เรียกฉันซึ่งตกอยู่ในภาวะตกตะลึงให้คืนสติ ซึ่งพอตั้งสติได้ ฉันก็รีบวิ่งตามคาโต้ไปที่รถทันที
“คาโต้ คุณพ่อเป็นอะไรไป ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!” ฉันถามคาโต้ระหว่างนั่งรถตามไปโรงพยาบาลด้วยความสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“นายท่านเป็นโรคหัวใจครับ แต่ท่านให้ปิดเงียบไว้ ท่านรู้ว่าชีวิตของท่านไม่แน่นอน อาจอาการกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้”
คำพูดของคาโต้ทำให้ฉันชาไปทั้งตัว พ่อป่วย...แต่ฉันไม่เคยได้รับรู้
“แล้วทำไมถึงไม่บอกฉันบ้าง”
ฉันถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแทบไม่พ้นลำคอ เพราะฉันทำให้อาการท่านกำเริบแท้ ๆ
“ท่านไม่อยากให้คุณเป็นกังวล...และที่ท่านเข้มงวดกับคุณ ก็เพราะอยากให้คุณได้ดี อยากให้คุณมีทางเดินชีวิตที่มั่นคง ก้าวหน้า หากวันใดท่านเสียไป อย่างน้อยท่านก็จะได้จากไปอย่างหมดห่วง ท่านรักคุณมากนะครับ คุณเซอิจิ”
คำพูดของคาโต้ฉันได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ ทว่าฉันไม่มีคำตอบใด ๆ สำหรับเรื่องนี้ ฉันนิ่งเงียบ ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอาบแก้มโดยไม่คิดจะห้ามมัน ฉันมันโง่เอง ...ถ้าฉันพูดดี ๆ กับท่านตั้งแต่แรกเหมือนที่หมอนั่นบอก พ่อก็คงไม่เป็นแบบนี้
...พ่อครับ ผมขอโทษ...
นั่นคือประโยคแรกที่ฉันอยากบอกกับพ่อยามนี้ ฉันที่เฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ด้วยความกระวนกระวาย จนกระทั่ง...
“พ้นขีดอันตรายแล้วครับ” คำพูดของหมอเปรียบเหมือนเสียงจากสวรรค์ ฉันโล่งอกนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ช่วยคุ้มครองพ่อให้ปลอดภัย หมอยังไม่ให้ฉันเข้าเยี่ยม และเตือนว่าให้ระวัง อย่าให้มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจเกิดขึ้นกับพ่ออีก เพราะคราวหน้าหากอาการกำเริบ หมอไม่รับประกันว่าจะสามารถช่วยเหลือได้เหมือนครั้งนี้อีกหรือไม่
ฉันไม่กลับบ้าน ฉันเฝ้ารอจนกว่าจะเข้าเยี่ยมพ่อได้ แม้คาโต้จะพยายามเกลี้ยกล่อม แต่ฉันก็ยังยืนกรานตามเดิม โชคดีที่อิทธิพลของมุราคามิมีมากพอ ที่จะทำให้ฉันพอมีสิทธิ์พิเศษอยู่บ้าง
ในที่สุด หมอก็ให้ฉันเข้าเยี่ยม แวบแรกที่ฉันเห็นพ่อ ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรมันจุกอยู่ในอกจนกระทั่งหายใจแทบไม่ออก ฉันไม่เคยมองพ่อชัด ๆ แบบวันนี้ พ่อดูซูบเซียว อ่อนแรง ผิดจากพ่อที่ฉันเคยเห็นทุกครั้ง... ไม่สิ ความจริง ฉันแทบไม่เคยมองพ่อชัด ๆ เลยต่างหาก ในความคิดของฉัน ท่านคือบุคคลที่ฉันหวาดกลัว ไม่กล้าขัดขืน ทั้งที่ความจริงแล้ว ท่านก็เป็นเพียงแค่ชายชราธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เป็นพ่อที่ฉันไม่เคยได้รับรู้ถึงความรัก ความห่วงใย ที่แฝงมากับความเข้มงวดของท่านเลยสักครั้ง
“พ่อครับ...ผมขอโทษ” ฉันเข้าไปซบอกและกอดพ่อ เฝ้าพร่ำขอโทษอยู่เช่นนั้น...พ่อผอมเหลือเกิน ผอมกว่าที่ตาเห็นด้วยซ้ำ พ่อผอมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
มือของพ่อโอบกอดตอบร่างของฉัน สิบเจ็ดปีที่อยู่ด้วยกันมา ฉันเพิ่งเข้าใจถึงความรักของพ่อก็วันนี้ เข้าใจเมื่อเกือบสายไปแล้วจริง ๆ
====
TBC
====