^
^
^
ยินดีต้อนรับค่ะคุณMileson สำหรับสิ่งที่คิด แหะๆ มาอ่านตอนต่อไปกันดีกว่านะคะทุกท่าน
...................................
.............................................
..................................................................
ตอนที่๒๖ คนสำคัญ‘พี่หมอ.....เมื่อกี้น้องรุ่งได้ยินว่าอาทิตย์หน้าก็วันเกิดพี่หมอแล้วหรือคะ?’
‘ครับ ทำไมครับ น้องรุ่งมีของขวัญวันเกิดจะให้พี่รึเปล่า?’
‘ก็.....ก็แล้วพี่หมออยากได้อะไรล่ะคะ?’
‘พี่ขอแค่คำอวยพรวันเกิดจากน้องรุ่งก็พอแล้วครับ’ “พี่ไม่รู้เลย.....พี่หมอไม่รู้เลยว่าน้องรุ่งไม่อยู่แล้ว......” เมื่อชั่วโมงก่อนวัชระควบคุมสติเอ่ยลาคุณเอมอรที่รับไหว้พร้อมคำพูดทีเล่นทีจริงเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นว่าครั้งต่อไปที่เจอกันคงไม่ใช่ที่โรงพยาบาลนะพร้อมรอยยิ้มในหน้า
สองแม่ลูกเดินออกมาส่งนายแพทย์หนุ่มถึงประตูรั้วเก่าคร่ำตามอายุการใช้งาน สายตาสองคู่ลอบสบกันในความมืด ประกายบางอย่างในดวงตาของบัณฑิตหมาดๆสะกิดใจคนมอง แต่ถึงอย่างนั้น การที่มีคุณเอมอรอยู่ด้วยก็ทำให้วัชระไม่สามารถแสดงออกอะไรได้มากนัก
ชายหนุ่มเก็บความกังวลถึงประกายตาสีอ่อนที่ฉายแววสับสนอีกทั้งยังคำถามบางอย่างที่คนมองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรไว้ภายใน ระหว่างที่ขับรถกลับคอนโดกลางกรุงที่ขอแยกออกมาอยู่คนเดียวหลังเรียนจบข้อมูลที่เพิ่งได้รับรู้เกี่ยวกับน้องสาวผู้อ่อนหวานที่เคยคิดจะขยับขั้นความสัมพันธ์เข้าไปอีกนิดเมื่อนานมาแล้วก็หมุนวนอยู่ในสมอง ความคิดคำนึงถึงรุ่งอรุณทำให้ภาพเก่าๆย้อนกลับมา ที่คิดว่าลืมไปแล้ว....ก็กลับแจ่มชัดทุกบทตอน
เด็กชายวัชระได้เจอน้องตัวเล็กครั้งแรกตอนที่ตามแพทย์หญิงวิลาสินีมาโรงพยาบาลเพราะพี่เลี้ยงขออนุญาตลากลับบ้านต่างจังหวัดช่วงวันหยุดปีใหม่ หนุ่มน้อยวัยเจ็ดขวบหลบรอดอ้อมแขนของพี่ผู้ช่วยพยาบาลที่คุณหมอฝากให้ดูแลขณะมีคนไข้แล้วเปิดประตูวิ่งเข้าห้องตรวจตามประสาเด็ก แต่เมื่อเข้าไปในห้องได้ กลับมีคนแปลกหน้าอยู่ในห้องถึงสี่คน แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นฝรั่งผมทองตัวโตเสียด้วย
ไม่ใช่คุณฝรั่งผมทองหรอกที่ทำให้เด็กชายเพชรสนใจแต่คนที่ทำให้สนใจมากจนจ้องมองไม่วางตากลับเป็นน้องตัวเล็กๆเหมือนตุ๊กตาสองคนที่ถูกจับแต่งตัวด้วยชุดเอี๊ยมเหมือนกันจะผิดกันก็แค่คนหนึ่งผมยาวผูกรวบเป็นหางม้าที่กำลังนั่งอยู่บนตักแม่ของเพชร ส่วนอีกคนที่ผมสั้นกำลังนั่งอยู่ตรงมุมของเล่นเล็กๆในห้องตรวจ น้องเงยหน้ามามองตามเสียงเปิดประตูแวบเดียวแล้วส่งยิ้มโชว์ฟันซี่เล็กๆมาให้
ขณะที่แพทย์หญิงวิลาสินีส่งสายตาดุๆมาให้ลูกชายคนเล็ก น้องแก้มยุ้ยที่นั่งอยู่ตรงมุมของเล่นเมื่อกี้ก็เดินเตาะแตะเข้ามาหาเด็กชายที่ยังยืนแข็งอยู่หน้าปากประตู มือเล็กป้อมจับกำได้แค่สองนิ้วของเด็กชายก่อนจะเขย่าเบาๆแล้วออกแรงลากให้ก้าวตาม คำพูดแบบเด็กๆที่ยังเรียงประโยคไม่เป็นพร้อมกับท่าทางแบบนั้นก็ทำให้หมอเพชรในวัยเจ็ดขวบเข้าใจได้แล้วว่าน้องอยากให้ไปด้วยกัน
‘มา....พี่ มาซิ....ซิ’ เด็กชายวัชระเหลือบมองหน้าคุณหมอที่กำลังทำงาน เห็นแม่ส่ายหน้าน้อยๆแต่ก็ส่งยิ้มมาให้ ตอนนั้นเขาไม่รู้หรอกว่าแม่ยิ้มเพราะอะไร แต่ก็เบาใจว่าแม่ไม่ดุแล้ว แถมน้องตัวเล็กๆแก้มยุ้ยนี่ก็ดูกลมๆป้อมๆเหมือนตุ๊กตาเลย เสียงที่พูดเป็นประโยคสั้นๆนั่นก็เหมือนลูกแมวขี้เล่นที่ร้องเหมียวๆออดอ้อน ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นเด็กชายวัยเจ็ดขวบจึงนั่งขัดสมาธิพิงผนังอ่านนิทานประกอบภาพให้น้องตุ๊กตาที่นั่งบนตักฟังโดยมีเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของน้องดังขึ้นเป็นระยะ
‘Dawn, come on. We’ll go home now.’
‘ปะป๊า....’ วัชระเงยหน้าขึ้นมองไปทางโต๊ะคุณหมอแล้วก็เห็นว่าตอนนี้น้องหางม้าแก้มยุ้ยลงมายืนพิงอยู่กับผู้หญิงตัวเล็กๆอีกคนแล้ว และเด็กชายก็รู้สึกโหวงวูบขึ้นมาเมื่อเจ้าตัวเล็กกลมปุ๊กที่นั่งอิงอกอยู่จู่ๆก็ลุกขึ้นถลาเข้าไปหาอ้อมแขนกว้างใหญ่ที่เปิดรอของพ่อ เด็กชายเห็นผู้หญิงตัวเล็กคนนั้นกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูน้อง แล้วน้องที่เพิ่งจะรู้ว่าชื่อดอว์นก็โผไปกอดแม่ของเขาไว้ แม่ก็ก้มตัวมาให้น้องจุ๊บแก้มก่อนจะจุ๊บตอบ
จากนั้นขณะที่ปะป๊าของน้องกำลังจูงไปทางประตู น้องดอว์นตัวกลมก็สะบัดมือออกแล้ววิ่งมาทางเด็กชายที่ยังนั่งมองอยู่กับที่ พอมาถึงตัวจมูกแหลมเล็กก็จู่โจมกดลงมาบนแก้มแล้วหอมดังฟอดทั้งสองข้าง ก่อนเจ้าตัวเล็กจะโถมเข้ากอดไว้โดยทิ้งน้ำหนักลงมาทั้งตัวอีกครั้ง
‘บ๊ายบาย....พี่ บาย...’
‘บ๊ายบาย แล้วมาอีกนะ พี่จะอ่านนิทานให้ฟังอีก’
‘อือๆ’
‘แล้วมานะ....ดอว์น’ นับจากคราวนั้น เด็กชายวัชระไม่เคยเจอน้องดอว์นอีกเลย ได้แต่คลาดกันไปมา จนความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าตัวกลมนุ่มนิ่มนั่นเลือนหาย ยิ่งเมื่อโตขึ้นจนเข้าสู่วัยหนุ่ม ภาพของเด็กหญิงแก้มใสที่ส่งยิ้มอ่อนหวานมาให้ทุกครั้งที่ติดสอยห้อยตามแม่หรือพ่อมาโรงพยาบาลก็เข้ามาซ้อนทับ
น้องรุ่งน่ารัก อ่อนหวาน เป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ได้หวานแค่หน้าตา แต่น้องรุ่งอ่อนโยนและทำให้คนที่เริ่มรู้จักด้วยฐานะพี่ชายอย่างนายวัชระเกิดความรู้สึกอยากปกป้อง อยากทะนุถนอม
ด้วยความที่อายุห่างกันถึงห้าปี ทำให้เด็กชายในวัยมัธยมมักจะต้องหาเรื่องมาโรงพยาบาลหลังเลิกเรียน บางทีก็อยู่จนดึกดื่นรอเวลาพ่อกับแม่จะเลิกงาน และระหว่างนั้นเองที่วัชระจะเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนน้องรุ่งกับคุณอาผู้หญิงในห้องพักผู้ป่วย
ถึงจะมีบางช่วงบางตอนที่ห่างหายจากการได้พบปะพูดคุยกันไปบ้าง โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มเข้าสู่ปีที่เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยและมีปมอยู่ภายในใจเสมอมาว่าตัวเองไม่เก่งเท่าและไม่ดีเท่าพวกพี่ๆ ตลอดจนเข้าเรียนปีที่หนึ่งจนถึงปีที่สองในคณะแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆของประเทศ ประกอบกับน้องรุ่งเองก็เริ่มแข็งแรงจนไม่จำเป็นจะต้องมานอนโรงพยาบาลบ่อยๆอีกแล้ว
แต่ถึงกระนั้น เมื่อได้มาเจอกันอีกทีเมื่อวัชระเป็นหนุ่มเต็มตัว และรุ่งอรุณก็กำลังเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย ความรู้สึกเก่าๆก็หวนกลับมาอีกครั้งเมื่อน้องรุ่งไม่ได้เปลี่ยนไปจากภาพในความทรงจำเลย นอกจากจะดูเป็นสาวขึ้นเท่านั้นเอง สายตาที่มองมายังพี่หมอด้วยความชื่นชมกลับยิ่งทวีความชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ
‘ก็.....ก็แล้วพี่หมออยากได้อะไรล่ะคะ?’
‘พี่ขอแค่คำอวยพรวันเกิดจากน้องรุ่งก็พอแล้วครับ’ นายแพทย์วัชระถอดเสื้อผ้าโยนลงตะกร้า ใช้เวลาในห้องน้ำนานกว่าปกติ จงใจให้สายน้ำอุ่นจัดช่วยผ่อนคลายความรู้สึกเครียดเขม็งที่ได้รับรู้เรื่องราวของน้องรุ่ง.....ผู้หญิงคนแรกที่เกือบจะ ‘รัก’
ชายหนุ่มใช้ผ้าเช็ดตัวพันไว้รอบเอวก่อนจะลงมือซับหยดน้ำที่เกาะตามร่างกายช้าๆ เมื่อมองเข้าไปในกระจกเห็นแววตาสับสนของตัวเองก็พานนึกถึงแววตาอีกคู่ที่มองมาเมื่อหัวค่ำ วัชระตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ พร้อมทั้งด่าตัวเองในใจที่ปล่อยให้เรื่องเก่าๆและอารมณ์อ่อนไหวมาทำให้ละเลยความรู้สึกของคนสำคัญมาหลายชั่วโมงขนาดนี้
ทั้งที่ยังอยู่ในชุดผ้าขนหนูผืนเดียวคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าพลาดไปแล้วที่กะจะเซอร์ไพรส์คนรักด้วยการไม่พูดไม่บอกก่อนว่าที่จริงแล้วเราไม่ใช่คนอื่นคนไกลขนาดนั้นเลยรีบหยิบโทรศัพท์มากดเตรียมโทรออกหาอรุณรุ่งทันที
แต่แค่หยิบเครื่องขึ้นมาดูก็เห็นแล้วว่ามีสายไม่ได้รับสามสาย และพอกดดูก็เริ่มรู้สึกอยากพุ่งเอาหัวโขกกำแพง สามสายไม่ได้รับจากดอว์นแต่ละสายห่างกันสิบนาที และครั้งล่าสุดที่อีกฝ่ายเรียกมามันเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
คนที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มาตลอดกดโทรออกซ้ำๆ แต่ให้พยายามต่อสายเท่าไหร่คนที่เป็นห่วงความรู้สึกแทบแย่ก็ไม่ยอมรับสาย จะให้บุกไปหาถึงบ้านตอนนี้ กว่าจะไปถึงก็คงเกือบเที่ยงคืน แล้วจะอธิบายกับคุณเอมอรว่ายังไง ข้ออ้างอะไรก็ไม่เห็นจะน่าเชื่อสักอย่าง แล้วถ้าไปบอกตรงๆว่าผมเป็นห่วงคนรัก กลัวว่าเด็กน้อยขี้อ้อนของผมจะคิดมาก ก่อนจะได้พบหน้าได้อธิบายกับดอว์น ก็มีหวังว่าคุณอาผู้ใจดีคงตะเพิดออกจากบ้านหลังน้อยนั่นโดยยังไม่ทันได้ทำอย่างใจแน่ๆ
คุณหมอตัวโตนอนกระสับกระส่ายกระวนกระวายตลอดคืน.....ไม่ใช่เพราะเรื่องของน้องรุ่งที่รบกวนจิตใจเมื่อตอนหัวค่ำ แต่เพราะพี่ชายของน้องรุ่ง....คนคนแรกที่หมอเพชรมั่นใจว่ารักและพร้อมจะพาไปแนะนำกับทุกคนในบ้าน คนสำคัญทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตคนนี้ต่างหาก คืนนั้นมีคนสองคนนอนไม่หลับ แต่การนอนไม่หลับครั้งนี้ของอรุณรุ่งเจ้าตัวกลับไม่กล้าที่จะแอบเข้าห้องนอนใหญ่ไปนอนข้างแม่เหมือนเคย และแม้แต่สิ่งที่เคยทำอย่างการเขียนจดหมายหาน้องสาวคนเดียว.....พี่ดอนที่กำลังจมอยู่ในวังวนของความสับสนก็ทำไม่ได้
คำถามมากมายผุดขึ้นในห้วงความคิด และคำตอบที่เจ้าตัวพยายามหามาตอบตัวเองก็ล้วนแล้วแต่เป็นคำตอบที่ไม่ช่วยให้สบายใจขึ้นเลยสักนิด มีแต่จะยิ่งขมวดเกลียวปมในใจให้เพิ่มมากขึ้นและแน่นหนาขึ้นทุกที
‘เพชรรู้จักกับน้องรุ่ง....’
‘รู้จักกัน...แล้วความสัมพันธ์ล่ะเป็นแบบไหน?’
‘ลูกของหมอกับคนไข้.....พี่กับน้อง.....เพื่อน.........หรือว่า...มากกว่านั้น?’
‘ถ้าแค่ลูกของหมอกับคนไข้คงไม่มีทางแน่ที่ผ่านไปตั้งสี่ปีแต่ยังจำได้แม่น.....แล้วยิ่งถึงกับมีน้ำตา.....เพชร...มันหมายความว่ายังไง?’
‘แล้ว......พี่หมอของน้องรุ่งคนนั้น.....เพชร....พี่หมอ...ใช่รึเปล่า....ถ้าใช่...?’
‘ที่มองมาด้วยสายตาแบบนั้น....ตั้งแต่ครั้งแรก ผมไม่ได้รู้สึกไปเองสินะ....ที่คิดว่าคุณจำได้.....แต่คนที่คุณจำได้คือใครกันแน่? เป็นน้องรุ่งใช่มั้ย?’ หลังจากรวบรวมความกล้าโทรไปหา อยากจะคุย อยากจะถาม อยากได้คำอธิบาย แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับทั้งที่ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้อรุณรุ่งก็ถอดใจ
และทั้งๆที่ตั้งใจจะนอนให้หลับเพื่อจะลืมเรื่องที่รบกวนจิตใจแม้เพียงชั่วครู่ก็ยังดี แต่อรุณรุ่งกลับหลับไม่ลง เสียงสัญญาณสั่นของโทรศัพท์ที่เจ้าตัววางไว้ที่หัวเตียงดังขึ้นเพียงครั้งแรกอรุณรุ่งก็หยิบมาดูชื่อที่หน้าจอแล้ว แต่พอจะกดรับ ความกลัวในคำตอบบางอย่างก็กลับทำให้เรี่ยวแรงเพียงนิดสำหรับขยับปลายนิ้วหดหาย
เครื่องมือสื่อสารไร้สายถูกเจ้าของกำไว้ในมืออย่างนั้น ดวงหน้าซีดเซียวไร้น้ำตา หากแต่ความเจ็บปวดกลับฉายชัดในแววตาที่แห้งผาก สัญญาณสั่นจากเครื่องมือสื่อสารที่เคยทำให้ยิ้มได้ก่อนนอนทุกคืน เคยทำให้มั่นใจว่าจะหลับสบายฝันดีกลับคล้ายเป็นตุ้มถ่วงที่ทำให้หัวใจราวจะจมในห้วงทุกข์.....
อรุณรุ่งคิดวกไปวนมา ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน จนในที่สุดแน่ใจว่า ‘พี่หมอ’ คนที่น้องรุ่งตั้งใจจะไปอวยพรวันเกิดวันนั้นต้องเป็นคนเดียวกับหมอเพชรอย่างแน่นอน แวบแรกคนที่ทำหน้าที่ของพี่ชายมาตลอดฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้าวันนั้นน้องรุ่งไม่คิดจะออกจากบ้านตั้งแต่แรก....ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น
แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้นเหตุผลที่ว่าทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจอยากให้เกิดเรื่องแบบนั้น ไม่ใครตั้งใจจะทำร้ายใครก็กลับมามีน้ำหนักมากกว่า หากทว่า....ความรู้สึกที่ถูกกดเก็บมาตลอดกลับพลุ่งพล่านจนท่วมท้นใจ
.....ความรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจที่เชื่อมาตลอด....ว่าตนเป็นเพียงรูปเงา เป็นได้แค่ตัวแทนของน้อง
ทั้งๆที่รู้ดีว่าที่พ่อและแม่เป็นห่วงน้องรุ่งมากกว่าเพราะน้องเป็นผู้หญิงแล้วยังร่างกายอ่อนแอ มีโรคประจำตัว ทั้งๆที่ตัวเองรักน้องมาก ยอมทำให้น้องได้ทุกอย่าง.....แต่ภายในใจ เด็กชายอรุณรุ่งรู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองต้องมีชีวิตอยู่เพื่อน้อง ต้องดูแลปกป้องน้อง ทั้งหมดและทุกอย่างนอกจากเพื่อน้องรุ่ง ยังเป็นไปเพื่อแม่....
เมื่อไม่มีปะป๊า มือของหม่าม้าจะยื่นไปที่น้องรุ่งก่อนเสมอ แม้จะหลังจากที่กุมมือน้องรุ่งไว้แล้วไม่ถึงอึดใจมือข้างซ้ายจะยื่นมาถึงพี่ดอน แต่พี่ดอน.....ต้องมาทีหลังน้องรุ่งตลอดเวลา
.....น้องรุ่งน่ารัก น้องรุ่งน่าสงสาร.....
‘น้องรุ่งใช่มั้ยคือคนที่คุณมองหา.......’
‘......แล้วที่...กอดผม.......ที่จูบผม......นั่นคุณมองเห็นใคร....ใช่ผมรึเปล่า? เป็นผมคนนี้รึเปล่า....เพชร...เพชร ตอบผมที ตอบให้ผมมั่นใจทีได้มั้ย?’ '......ถ้าไม่มีอะไร ทำไมเพชรถึงไม่รับโทรศัพท์ตั้งแต่แรก....ถ้าไม่มีอะไร คงไม่ต้องโทรมาซ้ำๆขนาดนี้'
'......เพชร คุณพูดถูกที่บอกว่าตัวจริงของผมไม่ใช่คนเรียบร้อยที่จะยอมรับอะไรๆก็ได้.....ที่จริงแล้วผมก็แค่เด็กคนหนึ่ง แถมยังเป็นเด็กขี้อิจฉาเสียด้วย ผมกล้าพูดว่าผมรักน้องรุ่งมากที่สุด....แต่ถึงอย่างนั้น ตั้งแต่เกิดมา คนที่ผมอิจฉามากที่สุด ก็คือน้องสาวคนเดียวของผมเช่นกัน!'
........................................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล.ตอนนี้สั้น แต่ตั้งใจให้เนื้อหามาเท่านี้นะคะ
แล้วก็....สงสัยอ่านตอนนี้เรตติ้งพี่ดอนลูกแม่คงตกแหงๆเลย พี่ดอนก็แค่เด็กน้อยขาดความอบอุ่นคนนึงเท่านั้นเองนะคะ หงิงๆ