................
.........................
.....................................
.............................................................
ตอนที่๒๗ ‘รัก’
“เดี๋ยวนี้ละครเรื่องไหนไม่มีบทพวกตุ๊ดพวกเกย์นี่กลับเป็นดูแปลกๆไปเลยเนอะพี่ดอน....ไม่รู้คนเขียนบทกลัวละครจะขายไม่ออกรึเปล่า”คุณเอมอรที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ดูซิทคอมเรื่องดังที่ฉายมาข้ามปีพูดขึ้นโดยที่สายตายังจับอยู่กับเรื่องราวในจอ ไม่ได้หันมารับรู้ว่าลูกชายที่นั่งเยื้องออกไปไม่ห่างและกำลังจัดเอกสารใส่ซองเป็นชุดๆถึงกับสะดุ้ง
เธอและลูกมีกันแค่สองคน แต่ตอนอรุณรุ่งยังเรียน วันธรรมดาลูกชายของเธอมักกลับถึงบ้านก็หมกมุ่นอยู่กับตำราและคอมพิวเตอร์ ส่วนเสาร์-อาทิตย์ เด็กขี้เกรงใจแถมคิดเสมอว่าตัวเองเป็นภาระและไม่อยากให้แม่เหนื่อยก็รับจ้างสอนพิเศษ....ทั้งที่คุณเอมอรไม่ได้รู้สึกว่าลูกคนเดียวที่ไม่เคยก่อปัญหาให้เลยสักครั้งจะเป็นภาระแท้ๆ แต่ถึงเธอจะพูดเป็นเชิงห้ามกี่ครั้ง อรุณรุ่งก็ตั้งหน้าตั้งตาหางานพิเศษทำอยู่ดี
เย็นวันอาทิตย์ของสัปดาห์แรกที่พี่ดอนเรียนจบจึงแทบจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอและลูกได้มานั่งดูละครพร้อมกัน
“หม่าม้า...ไม่ชอบพวกนี้หรือครับ?”
“อืม......จะว่าไงดีล่ะ หม่าม้าก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนะคะลูก ให้ทำงานร่วมกันก็ยังไหว แต่พอลองคิดถึงหัวอกคนเป็นแม่ดูก็คงจะเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อย่างคุณลำเพาเจ้าของสำนักพิมพ์ที่หม่าม้ารับตรวจบัญชีอยู่ พี่ดอนจำได้มั้ยคะ? ที่พี่ดอนเคยไปรับงานให้หม่าม้าสองสามครั้งที่ตึกตรงสาธร......”
คุณเอมอรเห็นลูกชายหยุดมือจากเอกสารตรงหน้าแล้วพยักหน้าน้อยๆจึงพูดต่อ
“...อื้ม นั่นแหละ ลูกชายของแก จู่ๆก็พาแฟนที่เป็นผู้ชายเหมือนกันเข้าบ้าน ตอนนั้นน้องเบนซ์ยังม.ต้นอยู่เลย แกเล่าไปก็เครียดไปน้ำหูน้ำตาไหล ตอนนั้นแกคงไม่รู้จะระบายให้ใครฟังแล้วจริงๆนะคะ พอดีหม่าม้าที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยเข้าไปที่สำนักงานพอดี.....เฮ้อ....คิดแล้วก็สงสาร.....”
“หม่าม้า....ถ้าดอนได้งานต่างจังหวัด หม่าม้าจะไปอยู่กับดอนมั้ย”
“นี่ตกลงพี่ดอนสมัครงานโรงพยาบาลต่างจังหวัดหรือลูก มิน่า หลังวันที่ไปรับทรานสคริปต์หม่าม้าไม่เห็นแต่งตัวเรียบร้อยออกไปข้างนอกบ้าง ที่แท้ก็ส่งไปรษณีย์สมัครงานนี่เอง ทำไมคะ หรือติดใจตั้งแต่ไปฝึกงานที่ตาก?”
“เอ่อ....ครับ ดอนชอบต่างจังหวัดมากกว่า อีกอย่าง...ในกรุงเทพฯนี่การแข่งขันมันสูง ดอนอยากเริ่มทำงานเร็วๆ แต่ก็ไม่อยากให้หม่าม้าอยู่บ้านคนเดียวเลย”
อรุณรุ่งลุกจากเก้าอี้นวมตัวที่นั่งอยู่แล้วมานั่งพับเพียบอยู่ข้างโซฟา ยื่นมือชื้นเหงื่อไปกุมทับมือบอบบางที่เริ่มมีเส้นเลือดขึ้นจนเห็นชัดตามหลังมือของแม่
“ไม่เห็นต้องรีบร้อน อันที่จริงเรียนจบแล้วถ้าพี่ดอนอยากพักสักเดือนสองเดือนก่อนสมัครงานก็ยังได้ เงินเก็บทั้งของหม่าม้าทั้งของพี่ดอนก็เหลือจะพอนะคะลูก แต่ถ้าพี่ดอนเลือกแบบนั้นหม่าม้าก็จะไปด้วย.....แล้วเราก็ปิดบ้านไว้ ติดประกาศให้คนเช่าแล้วกันเนอะ”
“แล้วงานของหม่าม้า? อันที่จริงถ้าดอนได้งานแล้ว หม่าม้าจะเลิกทำงานอยู่เป็นแม่บ้านเฉยๆก็ได้นะครับ ดอนเลี้ยงไหว....หม่าม้าเหนื่อยมามากแล้ว”
คุณเอมอรยกมือขึ้นวางบนเรือนผมสีอ่อนของลูกคนเดียวที่เหลืออยู่ ลูบไล้เบาๆพร้อมส่งรอยยิ้มเต็มเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจไปให้
“พี่ดอนเป็นเด็กดีของหม่าม้ามาตลอด ไม่เคยทำให้หม่าม้าต้องเหนื่อยเลย รู้ไว้นะคะลูก”
“หม่าม้าครับ เดี๋ยวสองสามวันนี้ดอนไปค้างบ้านเพื่อนนะ”บ่ายวันจันทร์จู่ๆอรุณรุ่งก็เดินเข้าไปในห้องทำงานที่คุณเอมอรซึ่งสายตาเริ่มเปลี่ยนจนเริ่มใช้แว่นมาได้สองสามปีกำลังนั่งทำงาน โดยก้มหน้าก้มตาสนใจชุดตัวเลขในจอคอมพิวเตอร์อยู่
“จะออกไปฉลองกันหรือคะ ไปเที่ยวกับพวกเชรึเปล่า.....อ้าว! ทำหน้าหงอยเชียว ยังไม่ได้ห้ามสักหน่อย....ไปเถอะลูก แต่พี่ดอนต้องดูแลตัวเองดีๆนะคะ ถ้าไงต้องเหลือคนไม่เมาไว้ขับรถด้วย หรือถ้าตั้งใจจะเมากันหมดก็เหมารถตู้ไปกลับเลยดีกว่า”
“.....ขอบคุณครับ...หม่าม้า”
พี่ดอนคุกเข่าที่ข้างเก้าอี้ทำงานของแม่ แล้วโน้มตัวแนบแก้มลงกับตัก นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้หนุนตักแม่....นานแค่ไหนแล้ว...ที่ปล่อยให้ตัวเองหลงลืมไปว่าที่ตรงนี้ ตรงตักอุ่นๆของผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ต่างหากคือที่พักพิงที่ปลอดภัยที่สุด
.....หม่าม้าครับ...ดอนขอโทษ....เพราะต่อให้พยายามห้ามใจแค่ไหน ดอนก็เลิกรักเขาไม่ได้...ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่ได้รับมามันไม่ใช่ของจริง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ แต่ดอนก็เปลี่ยนใจไปรักใครไม่ได้อีกแล้วจริงๆครับหม่าม้า....
....ดอนขอแค่ตอนนี้ ขอเวลาแค่ไม่นานเท่านั้น.....อรุณรุ่งแต่งตัวลำลองด้วยเสื้อยืดสีอ่อนๆกับกางเกงยีนส์สีดำและผ้าใบคู่ประจำมาหยุดยืนสูดลมหายใจเข้าหนักๆที่หน้าโรงพยาบาลศีลเวช เมื่อเช้าเขาโทรศัพท์เข้ามาถามที่ประชาสัมพันธ์ไว้แล้ว ได้ความว่าคุณหมอวัชระมีเวรประจำห้องตรวจตั้งแต่เช้าจนถึงสี่โมงเย็น
หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นแล้วยกมือป้องหน้ายิ้มกับแดดบ่ายราวกับว่าโลกนี้ไม่มีความทุกข์ใดมาแผ้วพาน ก่อนจะก้าวเท้าผ่านประตูกระจกใสที่เปิดออกรอด้วยระบบเซ็นเซอร์เข้าไปในตัวตึก
โถงทางเดินและสวนหย่อมคุ้นตาถูกเมินผ่านเมื่อหนุ่มน้อยร่างสูงโปร่งสะดุดตาที่เคยมายืนเป็นเป้าสายตาเมื่อสัปดาห์ก่อนกลับเดินดุ่มๆอย่างรวดเร็วตรงไปทางแผนกผู้ป่วยนอกอย่างไม่สนใจสิ่งไหนหรือบุคคลใด
อรุณรุ่งมาหยุดยืนตรงหน้าเคาน์เตอร์ของคุณสุมาลีแล้วพนมมือไหว้พร้อมส่งยิ้มอ่อนๆให้ ในขณะที่พี่สุเอามือทาบอกแล้วถอนหายใจออกมาก่อนเหลือบตาขึ้นสูงราวกำลังขอบคุณสวรรค์
“โอย น้องดอน พี่ดีใจจังค่ะ เข้าไปได้เลยนะคะ คนไข้ที่นัดไว้ภาคบ่ายหมดแล้ว.....สองสามวันมานี้คุณหมอเป็นอะไรไม่รู้ หลังกลับจากประชุมที่เชียงใหม่ก็อารมณ์ไม่ค่อยดีเลย ใครก็เข้าหน้าไม่ติด...พี่ฝากน้องดอนดูคุณหมอหน่อยนะคะ”
“อีกสิบห้านาทีสี่โมง คงไม่มีคนไข้ใหม่แล้วมั้งครับ ใช่มั้ย?”
“ค่ะ ถึงมีคนไข้ใหม่มาก็ยังมีคุณหมออีกสองท่าน เดี๋ยวพี่สุไปบอกพวกข้างหน้าไว้ให้ส่งปรึกษาคุณหมอท่านอื่น....ถ้ายังไงน้องดอนจัดการพากลับบ้านไปเลยก็ได้นะคะ”
คุณสุมาลีอมยิ้มกับท่าทางเขินอายจนใบหน้าขึ้นสีเรื่อของน้องดอน พอเด็กหนุ่มในเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนพร้อมเป้สะพายไหล่สีน้ำตาลใบโตเบือนหน้าเลี่ยงการสบตาแล้วเดินเลยไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องตรวจเบอร์สี่ก่อนยกมือขึ้นเคาะสามครั้งตามมารยาทเป๊ะ คนมองตามก็อดจะยิ้มออกมาเต็มที่ไม่ได้
ข่าวคนพิเศษของบุตรชายคนเล็กน่ะ คุณสุมาลีรายงานให้ท่านเจ้าของโรงพยาบาลทั้งสองทราบแล้วเรียบร้อยตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ตอนพูดไปก็เกร็งแทบแย่ แล้วก็ต้องแปลกใจว่านอกจากอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของนายแพทย์เทพ เวชชากร และอาการเบิกตาโตแล้วอุทานคำเดียวว่า ‘หืม?!’ ของแพทย์หญิงวิลาสินี เวชชากร แล้ว ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะเข้าสู่ภาวะปกติ
เมื่อคุณหมอวิถามความเห็นคุณสุมาลีว่าเด็กคนนั้นเป็นยังไง ทั้งหน้าตาท่าทาง บุคลิก ลักษณะนิสัยเท่าที่เห็น คุณสุมาลีก็บรรยายไปตามจริง แถมด้วยความลำเอียงเข้าข้างแบบที่คนรายงานเองก็รู้ตัวดีอีกเล็กน้อย ก็สังเกตว่าคิ้วมุ่นๆเกือบผูกโบของนายแพทย์คุณพ่อดูจะคลายลงบ้าง แล้วก็บอกว่าฝากดูๆหน่อยแล้วกัน แล้วสองท่านก็หันไปคุยกันเองประมาณว่าถ้าหมอเพชรพร้อมเมื่อไหร่ก็คงจะพาเข้ามาแนะนำเอง
---ก๊อกๆๆ---
“เชิญ”
น้ำเสียงห้วนจัดที่เอ่ยปากอนุญาตทำให้คนฟังถึงกับเบ้หน้า อรุณรุ่งเลื่อนประตูไม้ที่ประดับกระจกฝ้าตามยาวให้เปิดออกพอดีตัวแล้วแทรกตัวเข้าไปในห้องขนาดเล็กที่มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออ่อนๆอบอวลก่อนหันหลังกลับมาปิดประตูพร้อมลงกลอนเสร็จสรรพ
เสียงคลิกของตัวล็อคประตูดังขึ้นเบาๆ แต่ก็เพียงพอให้คุณหมอตัวโตหน้าเข้มที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับเอกสารจัดซื้อจัดจ้างในแฟ้มสีชมพูบนโต๊ะเหล็กเงยหน้าที่ประดับไปด้วยริ้วรอยแห่งความเครียดขึ้นจ้องมองมายังที่มาของเสียงได้
“ดอว์น!”“เพชร......”
อรุณรุ่งทำได้แค่เรียกชื่อของอีกฝ่ายก่อนที่ทั้งตัวจะถูกคุณหมอตัวโตรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขน ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีอ่อนละเอียดนุ่มนิ่มถูกกดให้ซุกซบอยู่กับบ่ากว้าง และอรุณรุ่งก็สูดกลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นใจเข้าไปเต็มปอด....ยิ่งกว่าเต็มใจที่จะอยู่ในอ้อมกอดนี้
“ดอว์น...ดอว์น....คนใจร้าย หายไปไหนมา ทำไมไม่รับโทรศัพท์พี่ รู้รึเปล่าสามวันแล้วที่ทุกเช้าพี่ต้องไปจอดรถแอบอยู่ในซอยบ้านดอว์น จะเข้าไปหาที่บ้านก็ไม่กล้า....พี่ทั้งเป็นห่วง ทั้งคิดถึง.....แล้วนี่ทำไมผอมแบบนี้ แค่ไม่กี่วันเอง พี่ทำให้เสียใจใช่มั้ยครับ พี่ขอโทษนะ....ขอโทษที่ไม่ได้บอกดอว์นก่อน แต่คราวหน้าไม่เอาอีกแล้วนะครับ ถึงจะโกรธยังไงก็อย่าหายไปจากพี่แบบนี้อีกนะ”
เมื่อกระพริบตาน้ำตาหยดหนึ่งก็หยาดลงบนเลนส์ใส อรุณรุ่งสอดมือขึ้นถอดแว่นสายตาออกแล้วเอามาถือไว้ในมือแทน พร้อมทั้งใช้หลังมือปาดป้ายคราบน้ำตาของตัวเองให้แห้งหายไปด้วย ก่อนจะออกแรงดันให้คุณหมอที่กอดเอาไว้จนแน่นผ่อนแรงลง
“ผมไม่ได้โกรธ.....”
วัชระแตะทั้งปากทั้งจมูกลงบนแก้มคนที่ปฏิเสธหน้าตาเฉยว่าไม่โกรธแต่หายหน้าไปเกือบหนึ่งสัปดาห์เต็มๆหนักๆอย่างมันเขี้ยว แล้วกึ่งประคองกึ่งอุ้มให้เด็กน้อยที่คุณหมอรู้สึกว่าปากแข็งเหลือเกินก้าวตามมานั่งลงบนตักหลังตัวเองทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ล้อเลื่อน ก่อนจะโอบแขนรัดไว้รอบเอวที่บางลงจนเห็นได้ชัด
“ครับ ไม่โกรธก็ไม่โกรธ แค่ดอว์นมายืนอยู่ตรงหน้าพี่ก็พอใจแล้ว”
“เพชร.....ผม...ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย?”
เป้สีน้ำตาลถูกวางแปะไว้กับพื้นในขณะที่แว่นตาในมือถูกวางทิ้งบนโต๊ะเหล็กเหนือเอกสารที่ยังเปิดกางอยู่ ในขณะที่เจ้าของเอนตัวพิงกับแผ่นอกอุ่นของคนทำตัวเป็นเก้าอี้มีชีวิตแล้วไล้มือเล่นไปตามลำแขนหนาด้วยกล้ามเนื้อแบบคนออกกำลังกายเป็นประจำของคุณหมอ
“หืม...ว่าไงครับ?”
“แต่คุณต้องสัญญาว่าจะตอบตามความจริงนะ ห้ามตอบเอาใจผมด้วย ตกลงมั้ย?”
คนที่นั่งซ้อนอยู่บนตักเอี้ยวตัวกลับไปมองตาคาดคั้นเอาคำตอบรับจากเก้าอี้มีชีวิตที่ตอบโต้ด้วยการจูบลงบนริมฝีปากย้อยๆสีชมพูอ่อนก่อนพยักหน้าหงึกหงักให้สัญญา
“ครับ พี่สัญญา”
อรุณรุ่งหันกลับมานั่งท่าเดิมเอนหลังทิ้งน้ำหนักตัวลงกับ ‘พี่เพชร’ เต็มที่ ในขณะที่สายตาที่พร่ามัวไร้จุดโฟกัสมองจับไปที่เอกสารบนโต๊ะทำงานของคุณหมออย่างไร้ความหมาย ก่อนจะเอ่ยปากถามคำถามที่ค้างคาใจ
“......ตอนที่เราเจอกัน....ที่ร้านอาหารนั่น ที่....คุณมองผม มันเพราะอะไรเหรอ? เพราะผมคล้ายน้องรุ่งใช่รึเปล่า?”“....................”
“ว่าไงเพชร......ผมไม่โกรธหรอกนะ ก็แค่อยากรู้....”
“ใช่ครับ....ดอว์นมีบางอย่างที่แค่เห็นแวบแรกพี่ก็รู้สึกว่าคล้ายกับน้องรุ่งมาก พี่จำได้ว่าน้องรุ่งบอกจะมาหา มาอวยพรวันเกิดให้พี่ แล้วน้องก็ไม่มา.....พี่รอ จนรอไม่ไหวก็โทรหา.....แต่น้องรุ่งไม่รับสาย พอนานเข้าก็มีสัญญาณตอบรับจากศูนย์ว่าเลขหมายนี้ไม่เปิดบริการ......พี่...”
“ชู่ววว พอแล้วเพชร......คุณคงเจ็บมาก....”
อรุณรุ่งพลิกตัวมานั่งตะแคงข้างเข้าหาหมอเพชร แล้วยกนิ้วขึ้นแตะเบาๆที่ริมฝีปากของคุณหมอตัวโตแล้วโอบแขนทั้งสองข้างรอบลำคอหนา บังคับให้สบตากัน
นายแพทย์วัชระมองแววตาของคนถามแล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อพบว่านอกจากความอาทรห่วงใย ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ล้ำลึกกว่านั้น.....บางสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์ร้อนรุ่มภายในจนเจ้าตัวกลัวว่าตัวเองจะทำอะไรรุนแรงกับคนรักให้ต้องเจ็บตัว แล้วคราวนี้จากที่หายไปหนึ่งอาทิตย์ให้แทบทำงานทำการไม่ได้ ดอว์นอาจจะโกรธจนหายไปนานกว่านั้น...ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ คราวนี้วัชระก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไร
“พี่มะ.......”
ชายหนุ่มเบือนหน้าหลบดวงตาสีน้ำตาลวาววับคู่สวย เสเอื้อมมือหยิบปากกาที่วางทิ้งอยู่ข้างเอกสารที่ต้องผ่านการตรวจสอบและมีลายมือชื่อของเขาอนุญาตก่อนส่งกลับไปให้ฝ่ายจัดซื้อ แล้วจรดปากกาลงเหนือชื่อของตัวเอง ในขณะที่ปากก็ตั้งท่าจะปฏิเสธออกไป แต่คำปฏิเสธกลับหลุดออกมาได้แค่ครึ่งๆกลางๆเมื่อคนที่นั่งอยู่บนตักเอ่ยบางสิ่งออกมาเสียก่อน
“ชู่วววว คืนนี้....ให้ผมค้างด้วยนะ...ได้มั้ย?”
"ว่าไงนะ?!"
"ไม่ได้เหรอ...เพชร..ไม่อยากให้ผมไปนอนด้วย.."
นายแพทย์วัชระทิ้งปากกาที่กำลังลากไปบนเอกสารลงทันที แล้วคว้าเอาข้อมือของคนที่กำลังก้มหน้าปล่อยให้ไหล่ลู่ลงทันตาจนตัวบางๆยิ่งดูเล็กจ้อยกว่าความเป็นจริงอย่างน่าสงสารมากอบกุมไว้ในมือ
"ไปสิครับ ดอว์นไปนอนกับพี่นะ ใจน้อยนะเรา ไหนเงยหน้าก่อนเร้ว...ร้องไห้แงๆแล้วรึเปล่า?"
คุณหมอตัวโตซุกไซ้ทั้งจมูกทั้งปากแถมด้วยปลายคางที่สากนิดๆเข้าที่ซอกคอขาว เลยไปจนถึงข้างแก้มและใบหูของคนรักแรงๆจนแดงเป็นปื้น มือข้างที่รัดไว้รอบเอวก็ซุกซนจนไต่เข้าไปลูบไล้อยู่บนผิวเรียบลื่นแถวขอบกางเกงจนคนบนตักสะท้านจนต้องงอตัวหนี
“เปล่าซะหน่อย.....ฮะๆๆๆ พอ.....พอได้แล้ว จะเซ็นอะไรก็รีบเซ็นดิ สี่โมงกว่าแล้ว นี่ผมยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยนะ กะเก็บท้องมาให้คุณเลี้ยงเต็มที่เลย”
มือปลาหมึกหยุดทำงานตามคำขอของเด็กน้อยที่ตอนนี้หน้าแดงหูแดงไปหมดแล้ว ก่อนที่วัชระจะกระซิบถามเบาๆที่ข้างใบหูแดงจัดของคนบนตัก
“รู้รึเปล่าครับ ว่าถ้าไปนอนค้างกับพี่แบบนี้....ดอว์นจะไม่ได้หลับสบายๆนะ ฮื้ม?”
อรุณรุ่งพยักหน้ารัวๆพร้อมกับพยายามปกปิดอาการเขินด้วยการเอื้อมมือคว้าแว่นตามาสวม แล้วยันตัวจะลุกขึ้นจากเก้าอี้มีชีวิต
“ถ้าพยักหน้าอีกครั้งเดียว.....ถึงจะบอกว่า ‘ไม่’ ทีหลัง พี่ก็จะไม่รับฟังแล้วนะครับ”
วัชระได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้ายาวเหยียดของเด็กน้อยที่นั่งซ้อนอยู่บนตัก ก่อนที่คนคนเดียวกับที่ปฏิเสธแถมยังพยายามหนีสุดตัวอยู่เมื่อไม่ถึงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะหันหน้ามาหาทั้งตัว แล้วใบหน้าที่อยู่ห่างไปไม่ถึงคืบก็ก้มลงช้าๆก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาเหมือนเดิม ก่อนคนที่เพิ่งพยักหน้าอีกครั้งจะยื่นหน้าเข้ามาหา แตะปากลงที่ข้างหูแล้วกระซิบให้พอได้ยินกันสองคนว่า
“ผมไม่ใช่เด็กๆที่จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรสักหน่อย”ว่าอย่างนั้นแล้วอรุณรุ่งก็อาศัยจังหวะที่คนเป็นผู้ใหญ่กว่ายังตะลึงอยู่ดีดตัวออกมายืนเสียห่าง ก้มคว้าเป้บนพื้นแล้วเปิดประตูห้องตรวจ ก่อนจะก้าวออกนอกห้องยังอุตส่าห์หันมาบอกอีก
“เร็วเข้าสิ เดี๋ยวเกิดรอนานผมเปลี่ยนใจไม่รู้ด้วยนะ.....ตาแก่”
หลังมื้อเย็นสบายๆที่ร้านอาหารระหว่างทางจากโรงพยาบาลมาคอนโด วัชระก็จูงมือเย็นๆของคนที่บอกว่าตัวเองไม่เด็กแต่แค่มาถึงหน้าลิฟต์ก็เริ่มมือสั่นจนรู้สึกได้เข้ามาในห้องชุดของตนเองบนชั้นสิบเก้า
คุณหมอที่ตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตปล่อยชายสบายๆปลดกระดุมสองเม็ดบนหันกลับไปดันประตูปิดแล้วกลับมายืนนิ่งๆ อยากจะรู้ว่าคนที่ขยันยั่วเมื่อตอนอยู่โรงพยาบาลจะทำยังไงต่อ แล้วก็แทบจะหลุดขำเมื่อได้ยินประโยคแรกจากคนที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ
“เอ่อ....นะ ไหนล่ะเตียง”
“หึๆๆ”
วัชระมองหน้าคนถามแล้วเลยหลุดหัวเราะออกมาจนได้ ชายหนุ่มยกมือข้างที่ว่างขึ้นปิดปากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาค้อนปะหลับปะเหลือกของเด็กปากเก่งข้างๆ สาวเท้ายาวๆนำเจ้าตัวไปถึงหน้าประตูอีกบานแล้วเปิดเข้าไป
แสงไฟสีนวลตาและเครื่องปรับอากาศทำงานทันทีที่วัชระก้าวเข้ามาในห้อง และพอชายหนุ่มหันมามองหน้าคนที่ความสูงไม่ห่างกันนักแต่ความหนาห่างกันไกลก็ต้องเบือนหน้าไปกลั้นยิ้ม เพราะน้องดอว์นของพี่ตอนนี้ยืนกัดริมฝีปากล่างจับตามองแต่ที่เตียงใหญ่กลางห้องซึ่งแม่บ้านของคอนโดถูกสั่งให้เปลี่ยนผ้าปูทุกวัน และวันนี้เครื่องนอนทุกชิ้นก็เป็นสีน้ำเงินเข้มราวกับสีของท้องฟ้าในคืนเดือนมืดที่ไม่มีเมฆหมอกมาบัง
วัชระเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียงโดยที่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยจากมือเรียวนุ่มนิ่มที่เริ่มชื้นเหงื่อบ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวกำลังตื่นเต้นแค่ไหน
“ดอว์น...ถ้ายังไม่พร้อม...พี่ก็....”
คำนั้นถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อคนที่ยืนนิ่งเหมือนทำอะไรไม่ถูกอยู่เมื่อครู่กลับปฏิบัติตัวเป็นลูกแมวขี้อ้อนยึดเอาฝ่ามือหนาไปแนบแก้ม ก่อนจะปลดเป้ที่ยังสะพายอยู่บนไหล่ลงกับพื้นแล้วเปลี่ยนเป้าหมายด้วยการขยับเข้ามาจนใกล้ แล้วจึงก้มลงฉกจูบลงที่ริมฝีปากของคุณหมอหนุ่ม สัมผัสผะแผ่วด้วยกลีบปากนุ่มละมุน ก่อนจะผละห่างออกเพียงครู่เพื่อสบตากับคนตัวโตที่ยังนั่งอึ้งอยู่กับที่
“พี่ระ......” คำที่วัชระตั้งใจจะบอกถูกปลายนิ้วสีชมพูแตะห้าม แล้วทั้งๆที่ยังไม่ถอนสายตาออกจากกันอรุณรุ่งก็ทำกิริยาราวลูกแมวอยากรู้อยากเห็น ลิ้นฉ่ำชื้นแดงจัดยื่นแตะลงตรงมุมปากที่เผยอค้างราวจะลองลิ้มชิมรส ก่อนจะตวัดเลียหนักสลับเบาไปจนทั่วทั้งริมฝีปากบนและริมฝีปากล่าง
คนที่ตกเป็นฝ่ายตั้งรับโดยไม่ทันตั้งตัวเรียกสติกลับมาได้ คำถามที่ค้างคาในใจว่าทำไมจู่ๆคนที่เพิ่งจะอ้อนขอเวลาอีกสักพักไปเมื่อไม่กี่วันก่อนกลับเป็นฝ่ายเข้ามาคลอเคลียเสียเองถูกวิธีรุกเข้าหาแบบเด็กน้อยไร้ประสบการณ์กลบไปเสียมิด
ก็ดูดอว์นสิ......ทั้งๆที่เป็นฝ่ายเข้ามา ‘ปลุก’ เขาเองแท้ๆ แต่แก้มแดงจัดแล้วยังท่าทางเหมือนลูกแมวเลียกินนมนั่นอีกเล่า มือไม้ที่วางลงบนบ่าทั้งสองข้างเดี๋ยวกำขยำเดี๋ยวคลายออกราวเจ้าตัวไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ แล้วยังดวงตาสีอำพันที่สบกันอยู่ก็บอกออกชัดแจ้งว่ารัก.....แต่เมื่อกี้พอเขาจะพูดออกมา เจ้าตัวก็กลับสกัดกั้นเอาไว้เสียอย่างนั้น
ความคิดคำนึงของคุณหมอเพชรหยุดลงเมื่อรับรู้ว่าลิ้นอุ่นๆที่ทำราวกับริมฝีปากของตนเป็นนมสดแสนอร่อยชะงักการเคลื่อนไหวจนทุกอย่างนิ่งสนิท พอเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาก็รู้สึกเหมือนมีเงาของบางสิ่งไหววูบในดวงตาสีอ่อนคู่นั้น หากเพียงกระพริบตาบางสิ่งที่ว่าก็กลับกลายเป็นคำรักหวานหอมที่โถมเข้าใส่รุนแรงราวกับถูกพายุหอบใหญ่พัดพามา
“เพชร.....ผมรักคุณ.....รัก...ผมรักคุณ.........”ลูกแมวขี้อ้อนเมื่อครู่ไม่เปิดโอกาสให้วัชระตอบโต้ ริมฝีปากสีสายไหมที่หวานยิ่งกว่าน้ำตาลในความรู้สึกจู่โจมพัวพัน ปลายลิ้นนุ่มนิ่มอุ่นร้อนสอดเข้าไล้เลียถึงไรฟัน กระตุ้นอารมณ์ใคร่ให้โหมกระพือ
วัชระยิ่งกว่าเต็มใจให้อีกฝ่ายใช้ทั้งปากทั้งลิ้นสำรวจไปทั่วโพรงปากและเรื่อยจนตลอดใบหน้า ในขณะที่ตนค่อยๆไล้มือลงต่ำจนถึงชายเสื้อยืดสีฟ้าอ่อน เลิกขึ้นจนตัวเสื้อเนื้อนิ่มมากองอยู่เหนือเนินอกบางแล้วดันให้คนที่ตอนนี้ข้นมานั่งอยู่บนตักทั้งตัวโดยหันหน้าเข้าหายกแขนขึ้นทั้งสองข้างเพื่อดึงเสื้อที่ตอนนี้กลายเป็นสิ่งน่ารำคาญให้พ้นไปจากตัว
เมื่อแต้มสีชมพูสองจุดบนผิวเนียนขาวอมชมพูปรากฏตรงหน้า ชายหนุ่มก็ไม่รอช้าที่จะยื่นลิ้นออกไปลิ้มรส ปลายลิ้นร้อนชื้นไล้เลียแผ่วเบา แต่เพียงสัมผัสแรกก็ทำให้อรุณรุ่งสะดุ้งขึ้นทั้งตัว
“อื้อ...ดะ..เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนเพชร......”
“อื้อ ดอว์น.....พี่.......”
อรุณรุ่งหอบหายใจแรงจนแผ่นอกบางสะท้อนขึ้นลงถี่ระรัว ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวต้องพยายามแค่ไหนกว่าจะเค้นคำพูดแต่ละคำออกมาได้ ในเมื่อมีอารมณ์ร่วมขนาดนี้แล้ว วัชระก็ไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายจะห้ามเขาไว้ทำไม มือหนาร้อนจัดด้วยอุณหภูมิที่พุ่งสูงตามความต้องการเอื้อมไขว่คว้า หากพอตาสบตาคนที่นั่งคร่อมอยู่กลับพลิ้วหลบไปก้มหยิบบางอย่างจากเป้
ผ้าแพรสีดำสนิทถูกพับทบด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนคนที่ตอนนี้เปลือยท่อนบนจะก้าวช้าๆกลับมาที่เตียง
“จะทำอะไรครับ?”
“ปิดตานะเพชร.....นะ ผมอาย.....”
“งั้นปิดไฟ โอเคมั้ยครับ?”
“ไม่......นะพี่เพชร ตามใจดอว์นนะ ปิดตา....แล้วนอกจากนั้น ดอว์นจะยอมทุกอย่าง.....ทุกอย่างเลย”
อรุณรุ่งรอให้อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วจึงปีนขึ้นเตียงไปนั่งคุกเข่าซ้อนหลัง ลงมือผูกผ้าปิดตาคนตัวโตอย่างแน่นหนา ในขณะที่วัชระเริ่มลงมือปลดกระดุมเสื้อและถอดเข็มขัดกับตะขอกางเกงตัวเอง
จะให้บอกได้ยังไง.....ว่าความเป็นจริงไม่ใช่เพราะอายที่อีกฝ่ายจะได้มองเห็นร่างกายตัวเองในเวลาแบบนี้ แต่ที่ต้องขอให้ปิดตา ก็เพราะตัวเองต่างหาก เป็นตัวเองที่ไม่อยากเห็นว่าเพชรมองร่างกายนี้ที่คล้ายกับน้องรุ่งด้วยแววตาฉายความเสน่หาแค่ไหน......พี่ขอโทษค่ะน้องรุ่ง.....พี่ดอนไม่ดีเอง พี่มันก็แค่เด็กขี้อิจฉา.....แค่สายตาของเพชรที่จะมองมาพี่ก็ทนไม่ได้แล้ว....
......พี่ขอโทษนะคะ แต่สำหรับตอนนี้ ขอให้เพชรได้รู้สึกถึงแต่พี่เท่านั้นเถิดนะอรุณรุ่งช่วยปลดเสื้อออกจากไหล่หนา ผิวกายขาวสะอาดแต่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสมบูรณ์ไปทุกส่วนกับช่วงเอวที่คอดเข้าเผยสู่สายตา เด็กหนุ่มนำทางให้วัชระเลื่อนตัวขึ้นไปนั่งพิงกับหัวเตียง ก่อนจะให้คนที่ตอนนี้มองเห็นแต่รูปเงาในความมืดยกตัวขึ้นจากพื้นเตียงเพื่อดึงกางเกงแสล็คสีดำออกทางปลายเท้า
ความตื่นตัวที่ได้เห็นชัดเจนอยู่ภายใต้ชั้นในกึ่งบ็อกเซอร์สีเทาตรงหน้าทำให้อรุณรุ่งต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากลำบาก เสียงที่เงียบสนิทจากอาการชะงักทุกการเคลื่อนไหวทำให้คนที่นั่งเหยียดขาพิงหัวเตียงเริ่มเอื้อมมือไขว่คว้าหา
“ดอว์น.....ดอว์นครับ”
“อือ.....ดอว์นอยู่ตรงนี้ พี่เพชร อะ......”
อรุณรุ่งสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตัดสินใจปลดเสื้อผ้าทุกชิ้นของตัวเองออกจนหมด แล้วพาร่างกายเปลือยเปล่าขึ้นไปนั่งคุกเข่าคร่อมอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย
มือที่เอื้อมออกไขว่คว้าทั้งสองข้างคว้าเข้าที่ช่วงเอวบางหากแน่นด้วยกล้ามเนื้อสวยงามของคนที่พร่ำเรียกหา และเมื่อลูบมือหนึ่งลงความตื่นตัวของคนที่ถูกปิดตาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อพบว่าคนรักที่อยู่ในอ้อมแขนไม่เหลืออาภรณ์สักชิ้นอยู่บนเรือนกาย
วัชระรั้งให้คนที่คุกเข่าคร่อมอยู่ทิ้งตัวลงมาหาจนร่างกายด้านหน้าแนบกันไปทุกส่วนสัด บางส่วนที่แข็งขึงอุ่นจัดแนบลงตรงหน้าท้องให้ร้อนผ่าวเป็นทาง
“อะ.....อือ.....”
“จูบพี่หน่อยสิครับคนดี”
เมื่ออรุณรุ่งแนบริมฝีปากลงมาตามที่ร้องขอ วัชระก็ทั้งดูดทั้งขบเบาๆลงบนริมฝีปากก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปควานเคล้าอีกครั้ง พร้อมทั้งมือสองข้างเลื่อนลงลูบไล้เนินสะโพกก่อนจะเพิ่มแรงขึ้นคลึงเคล้นจนเจ้าของต้องแอ่นเอวหนีพร้อมครวญครางไม่เป็นส่ำทั้งที่ริมฝีปากยังเหมือนถูกดูดกลืน
แต่ยิ่งแอ่นเอวหนีฝ่ามือที่จู่โจมด้านหลัง ส่วนรุมร้อนด้านหน้าที่แข็งขึงก็ยิ่งเสียดสีกับหน้าท้องตึงแน่นจนสั่นระริกไปทั้งตัว
วัชระรับรู้ถึงอาการสะท้านสั่นนั้นและเลื่อนตัวลงนอนราบ ชายหนุ่มละมือข้างหนึ่งออกจากสะโพกงอนแล้วจับเข้าที่ส่วนแข็งขึงด้านหน้า ไม่เปิดโอกาสให้เด็กน้อยในกำมือพลิกหนีส่วนนั้นก็เข้าไปอยู่ในโพรงปากเกินครึ่งแล้ว
“อ๊ะ.....อะ.....เพชร....อือ.....อ้า....”
เพียงขยับไม่กี่ครั้งเด็กหนุ่มก็กระตุกขึ้นทั้งตัว ปล่อยน้ำรักขาวขุ่นก็ทะลักออกมาเลอะทั้งปากทั้งมือของคนด้านล่าง เรือนร่างชื้นเหงื่อหมดแรงจะหยัดกายไว้อีกต่อไป อรุณรุ่งซวนซบลงทาบทับคนที่กำลังปาดหลังมือเช็ดคราบขาวจากปาก ฝ่ามือร้อนผ่าวยังลูบไล้เดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบาอยู่บนแผ่นหลัง และเสียงทุ้มหากแหบพร่าด้วยความต้องการที่คุโชนก็กระซิบเรียกอยู่ริมหู
“ดอว์น....ดอว์น...คนดีของพี่”......................................................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล. ตอนนี้อยากได้commentsมากค่ะ ไม่เคยเขียนฉากแบบนี้ละเอียดขนาดนี้เลย อยากรู้ว่าอ่านแล้วรู้สึกยังไงกันบ้าง หรือมีตรงไหนขัดตาขัดใจรึเปล่า
ปล.อีกที เขียนแล้วเหนื่อย หงิงๆ ไม่มั่นใจด้วยนะงิ (โถวววววว พี่ดอนลูกแม่)