ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ
..................เชิญอ่าน แล้วฟาดแส้ใส่คนเขียนได้เต็มที่เลยนะคะ
ตอนที่๓๐ หน้าที่ต้องมาก่อนความรัก
แพทย์หญิงวิลาสินีขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อได้รับรายงานจากสายข่าวเจ้าประจำว่าบุตรชายคนเล็กไม่ได้ออกไปกินข้าวกลางวันเป็นวันที่สองติดต่อกันแล้ว พอถามว่าแน่ใจนะว่าลูกชายตัวดีไม่ได้แอบห่อปิ่นโตมากินเอง ก็ยังได้รับคำยืนยันว่าไม่มีแน่นอน ด้วยความที่ไว้ใจว่าลูกชายโตเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบการงานได้ขนาดนี้แล้ว เธอจึงยังเก็บความสงสัยไว้คนเดียวโดยไม่ได้แย้มพรายใดๆกับคนอื่นๆในครอบครัวอีก แต่ตัดสินใจจะรอดูสถานการณ์อีกสักวันสองวัน
“คุณหมอ ไม่สบายรึเปล่าคะ? หน้าซีดมากเลย”
คุณสุมาลีอดไม่ได้ที่จะทักถามเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของคุณหมอที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อยในเช้าวันนี้ นายแพทย์วัชระ เวชชากร มาถึงห้องตรวจตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงต่อเนื่องกันเป็นวันที่สาม หน้าตาซีดเซียว แถมยังดวงตาลึกโหลราวไม่ได้นอนติดต่อกันมาหลายชั่วโมงซึ่งแม้แต่แว่นสายตาก็ยังไม่อาจปิดบังไว้ได้ทำให้คุณพยาบาลนึกประหลาดใจ
เกือบสัปดาห์แล้วที่นายแพทย์หนุ่มมาโรงพยาบาลพร้อมแว่นสายตาแบบนี้ แต่หลังจากวันแรกที่มีรอยยิ้มในหน้าแจกจ่ายให้กับทุกคนและความกระตือรือร้นฉายชัดผ่านแววตา วันรุ่งขึ้นเมื่อผ่านไปไม่ถึง 24 ชั่วโมงแท้ๆ ท่าทางของหมอเพชรก็กลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“ผมไม่เป็นไรครับพี่สุ ให้คนต่อไปเข้ามาได้เลย”
ทั้งๆที่เพิ่งพูดออกไปแบบนั้น หากนายแพทย์หนุ่มกลับได้แต่นึกหยันตัวเองในใจ.....
....ผมจะเป็นอะไรได้ยังไงล่ะครับพี่สุ และถึงผมจะเป็นอะไรไปจริงๆ คนที่อยากให้ถามคำถามนี้ คนที่อยากให้คอยเป็นห่วงเป็นใย อยากให้อยู่ข้างๆ อยากจะเอื้อมคว้ากอดไว้เขาก็ไม่อยู่เสียแล้ว
วัชระรู้ตัวดีว่าการไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันติดกันสามวันนอกจากกาแฟดำเป็นมื้อเช้า รวมทั้งการหลับได้ครั้งละแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงได้เร็วขนาดไหน ไม่ใช่ว่าไม่พยายาม ชายหนุ่มพยายามแล้วที่จะทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นปกติ แต่ก็พบว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน
ข้าวแต่ละคำกว่าจะปล่อยให้ล่วงผ่านลำคอไปได้ให้ความรู้สึกราวกับถูกบังคับให้ต้องกลืนยาที่ขมที่สุดทั้งกำ ในขณะที่การข่มตาหลับเพื่อจะพบกับความรู้สึกว่างเปล่าที่ล้อมอยู่รอบกายยิ่งโน้มนำให้รู้สึกทรมาน
วัชระไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่หลังจากกดโทรออกเบอร์เดิมที่จำได้ขึ้นใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงวันที่สาม ชายหนุ่มก็ตัดสินใจปิดโทรศัพท์ถอดแบตเตอรี่ออกแล้วยัดทั้งตัวเครื่องทั้งแบตเตอรี่นั่นใส่ไว้ในลิ้นชักล่างสุดของโต๊ะทำงาน เปิดไว้แต่โทรศัพท์อีกเครื่องที่เอาไว้ใช้ในการทำงานเท่านั้น
คราวก่อนทั้งที่มีแค่รูปถ่ายกับชื่อเล่น ยังตามหาจนได้ แล้วตอนนี้ที่มีทั้งชื่อจริงนามสกุลจริง รู้กระทั่งอาชีพ รู้จักไปถึงคุณเอมอร แล้วยังเพื่อนสนิทอีกสามคน ถ้าจะจ้างนักสืบออกตามหาอรุณรุ่งไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ทั้งอย่างนั้น....วัชระกลับยังไม่กล้าที่จะทำ
ทั้งๆที่อยากเจอใจแทบขาด อยากจะวิ่งออกไปตามหา แต่การถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่มีคำอธิบายก็ทำร้ายความเข้มแข็งที่เคลือบฉาบตัวตนอ่อนแอที่แท้ภายในของชายหนุ่มจนแทบไม่เหลือหลอ ช่องว่างแห่งความไม่มั่นใจในตัวเองที่คิดว่าถูกถมจนเต็มเปี่ยมเพราะมีคนที่รักกันมากขนาดนั้นกลับถูกทำลายลงภายในเวลาเพียงคืนเดียว เสียงเรียกว่ามีโทรศัพท์สายนอกจากประชาสัมพันธ์ทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ วัชระเอื้อมมือไปยกหูโทรศัพท์ที่คงดังมานานแล้วจนประชาสัมพันธ์ต้องประกาศออกลำโพงเรียกจึงได้รู้ตัว ในขณะที่อีกมือชายหนุ่มปลดแว่นลงวางกับโต๊ะแล้วจึงใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบนวดหว่างคิ้วตัวเองอย่างต้องการจะเรียกสติ
‘ฮัลโหลเพชร ทำไมเบอร์ที่ให้เราไว้ติดต่อไม่ได้ล่ะ นี่ถึงกับต้องโทรเข้าโรงพยาบาลเลยนะ’
“...ดอกแก้วเองเหรอ?”
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อนโทรมาตอนนี้ คงไม่ใช่เรื่องอื่น นอกจากถามเรื่องของเพชรหัวแหวน เพชรสีชมพูที่ชมพูได้ไม่ต่างจากแก้มน้องเม็ดนั้น
‘ก็ใช่น่ะสิ เล่นหายไปหลายวันแบบนี้เราก็แปลกใจสิ เงินก็จ่ายแล้ว แถมยังทำท่ารีบร้อนอยากได้ของเร็วๆขนาดนั้น แต่จู่ๆก็มาหายไปดื้อๆ ตกลงว่าน้องแก้มชมพูของเพชรนี่นิ้วขนาดไหนจ๊ะ? วัดแล้วรึยัง เราจะได้ส่งไซส์ให้ช่าง’
“ดอกแก้ว.....เพชรเม็ดนั้น ช่วยเปลี่ยนจากทำแหวน....ทำเป็นจี้แทนได้มั้ย...” ‘เอ๊ะ! ทำไมล่ะ น้องไม่ชอบเหรอ?’
“....จ้ะ น้องไม่ใส่แหวนน่ะ เห็นชอบใส่แต่สร้อยกับจี้เรียบๆ”
‘งั้นโอเคเลย แล้วจะให้เราดูแบบให้หรือจะเลือกเอง?’
“ช่วยดูให้เราเลยแล้วกัน โอเคนะ ขอบใจมาก”
แก้วกุดั่นวางสายไปแล้ว และวัชระก็เปิดยิ้มหยันให้เงารางๆของตัวเองในกระจกอีกครั้ง.....
.....เพราะน้องไม่ชอบ ทำไมถึงไม่บอกออกไปตรงๆล่ะ ว่าเพราะตอนนี้...ไม่มีน้องอยู่ข้างๆอีกแล้ว หลังจากสังเกตจนแน่ใจว่าคุณหมอในห้องตรวจไม่ได้กินมื้อกลางวันติดกันเป็นวันที่สี่คุณสุมาลีก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้อนถึงแพทย์หญิงวิลาสินีต้องลงมาดูลูกชายคนเล็กถึงห้องตรวจในบ่ายวันนั้นเอง แล้วก็ชวนวัชระออกไปกินข้าวด้วยคำสั่งง่ายๆ
“เพชร ไปกินข้าวเป็นเพื่อนแม่หน่อยสิ”
เมื่อวัชระเดินตามหลังมารดามาจนถึงห้องพักผู้บริหารบนชั้นสูงสุดของโรงพยาบาลก็พบว่ามีสำรับอาหารกลางวันทั้งข้าวสวยอุ่นๆ และกับข้าวอีกสามอย่างวางรอไว้บนโต๊ะเตี้ยชุดรับแขกเรียบร้อย
คุณหมอวินั่งลงบนเก้าอี้ตัวประจำ แล้วรอให้ลูกชายนั่งลงตรงข้ามก่อนจะเริ่มตักกับข้าวมาใส่จานตัวเอง พอยกช้อนจรดปากก็เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นสูงทำอาการราวจะถามว่าทำไมลูกชายยังนั่งเฉย บังคับกลายๆให้ต้องตักอาหารตรงหน้าเข้าปากบ้าง หากเพียงสามคำวัชระก็รู้สึกผะอืดผะอมจนต้องรีบสาวเท้าไปทางห้องน้ำ ยังไม่ทันดึงประตูปิดด้วยซ้ำชายหนุ่มก็อาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งกลืนเข้าไปไม่ทันไรออกมาจนหมด
คุณหมอวิที่รีบตามเข้ามาก้มลงลูบหลังลูกชายที่ลงไปนั่งงอตัวอยู่กับพื้นห้องน้ำ เพียงพักเดียวหมอเพชรก็โหย่งตัวขึ้นมาอาเจียนต่ออีก อาการปวดมวนในท้องยังไม่เท่ากับความรู้สึกที่ราวกับกำลังถูกลงทัณฑ์ด้วยเครื่องมือทรมานบีบขมับจนปวดร้าวไปทั้งศีรษะ
“เพชร ค่อยๆนะ หายใจเข้าออกช้าๆ.....เป็นยังไงบ้าง”
“อึก....ผม.....อุ.....”
อาเจียนที่ออกมาคราวนี้กลายเป็นของเหลวสีออกเขียวอมเหลืองจนคนเป็นแม่ใจหาย เพราะคิดว่าลูกชายโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงปล่อยปละละเลย
“เพชร รอเดี๋ยวนะ แม่จะให้ admit เลย เพชรไม่กินข้าวก็ต้องกินน้ำเกลือแล้ว”
“ผม....แม่ ยังมีนัดบ่าย อือ.......อึก....”
“ไม่เป็นไร เพชรไม่สบายมากนะลูก เดี๋ยวคนไข้ก็พบหมอท่านอื่นได้ หมดรึยังลูก อ้วกออกมาให้หมดเลยนะ”
บ่ายนั้นวัชระถูกกักตัวให้นอนพักรับน้ำเกลือสองถุงใหญ่ที่แพทย์หญิงเจ้าของไข้ให้ยาที่มีผลกดประสาทให้นอนหลับไปด้วย ชายหนุ่มนอนกระสับกระส่ายจนยาออกฤทธิ์จึงหลับยาวจนมารู้สึกตัวตื่นอีกทีท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว น้ำเกลือถุงที่สองยังเหลืออีกเกินครึ่ง
วัชระลุกจากเตียงแล้วพบว่าตนยังอยู่ในชุดเดิมที่ใส่มาทำงานเมื่อเช้า จะต่างไปก็ตรงที่ของทุกชิ้นในกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกงถูกเก็บออกไปจนหมด เนคไทและเข็มขัดถูกปลดออก และชายเสื้อก็ปล่อยออกมานอกขอบกางเกง เมื่อลากเสาน้ำเกลือเปิดประตูแล้วเดินตามแสงไฟไป ก็เห็นว่าแม่กับพี่สาวคนโตกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ชุดรับแขกชุดเดียวกับที่ตนนั่งอยู่เมื่อกลางวัน
“เพชร.....มานั่งนี่สิ”
“พี่พัดมาเมื่อไหร่?”
วิชนีเหลือบตามาเห็นขณะที่น้องชายคนเล็กจะถอยกลับเข้าไปในห้องพอดีเลยพยักหน้าเรียกไว้ก่อน ตอนรู้ว่าน้องชายคนเล็กไม่สบายแล้วเข้ามาเห็นตอนนอนหลับก็คิดว่าน้องชายโทรมลงไปเยอะกับแค่ไม่ได้เจอกันไม่ถึงเดือน แต่พอวัชระตื่นมีสติเต็มที่แบบนี้แล้ว กลับยิ่งเห็นถึงร่องรอยของความทุกข์จากน้องชายที่แทบจะทำให้บรรยากาศของห้องทั้งห้องหดหู่ตาม
“เพิ่งมาถึงสักสองชั่วโมงได้ นี่พี่กลับบ้านไปอาบน้ำแล้ว แต่พอโทรหาแม่ แม่ก็บอกว่าเพชรไม่สบายนอนอยู่ที่โรงพยาบาล......”
“ผมขอโทษ......”
วัชระพูดออกมาหลังจากทรุดตัวลงนั่งค้อมตัวลงเท้าข้อศอกทั้งสองข้างกับหน้าขาตัวเองที่เก้าอี้เดี่ยวตรงข้ามกับแม่และพี่สาว มือทั้งสองข้างประสานกันแน่นจนเส้นเลือดที่เห็นพ้นแขนเสื้อที่พับไว้เหนือข้อศอกปูดโปน ชายหนุ่มไม่สบตาใครนอกจากก้มหน้ามองมือตัวเอง ในขณะที่มีเสียงของมารดาพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่ต้องขอโทษแม่หรือพี่ คนที่เพชรควรรู้สึกผิดด้วยมากที่สุดคือตัวเองต่างหาก”
“ครับ....ผมรู้”
“เรื่องเด็กคนนั้นหรือเพชร?”
“..........................” “ถ้ายังไม่อยากพูดก็เอาไว้ก่อนก็ได้ แต่เพชรก็รู้ดีอยู่แล้วว่าถ้าเก็บไว้คนเดียวมันจะแย่เอา ดูตอนนี้สิ ถ้าไม่กินไม่นอนอยู่แบบนี้นอกจากจิตใจจะแย่แล้วร่างกายก็จะพลอยอ่อนแอไปด้วย.....เฮ้อ.....”
“ครับ ผมรู้.....ผมขอโทษ ผมจะพยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีกครับ”
ผู้หญิงสองคนสองวัยได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วมองตากัน อาการแบบนี้ของลูกชายคนเล็กของบ้านกลับมาอีกแล้ว เมื่อมีเรื่องอะไรในใจแล้วจะเก็บไว้คนเดียว ทุกครั้งวัชระจะผ่านมันไปได้เอง แต่มาคราวนี้ทั้งแม่ทั้งพี่ไม่มั่นใจเลย เพราะถ้าถึงขนาดทั้งกินทั้งนอนไม่ได้ติดต่อกันหลายวันแบบนี้เจ้าตัวยังไม่เคยเป็นมาก่อนเลยสักครั้ง
“เพชรมีอะไรอยากให้แม่ช่วยรึเปล่า?”
“ผม....อยากจะลาพักสักหนึ่งอาทิตย์ เท่านั้นก็น่าจะพอแล้วล่ะครับ”
“ได้ แต่ต้องสัญญากับแม่ก่อนว่าจะไม่ขับรถเร็วเด็ดขาด ห้ามอดนอนแล้วขับรถด้วย ตกลงมั้ย?”
เมื่อเงยหน้าขึ้นวัชระก็พบว่าสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยและแววกังวลทั้งสองคู่จับมองมาอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ รับคำ
“ครับ ผมสัญญา”
“กลับบ้านมั้ยเพชร ได้มั้ยแม่ หิ้วถุงน้ำเกลือกลับเลยได้มั้ยคะ?”
วิชนีลุกขึ้นไปนั่งบนเท้าแขนแล้วก้มลงกอดน้องชายคนเล็กที่อายุห่างกันถึงสิบปี ผิวเย็นชืดที่ยิ่งมามองใกล้ๆยิ่งซีดเซียวของน้องทำให้คนเป็นพี่ใจหาย หญิงสาวกอดน้องเอาไว้แล้วเอี้ยวตัวกลับไปถามคุณหมอเจ้าของไข้ แต่ไม่ทันที่แพทย์หญิงวิลาสินีจะตอบ วัชระก็ปฏิเสธเสียก่อน
“ไม่ดีกว่าพี่พัด ผมนอนนี่แหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับคอนโด....ได้พักติดกันหลายวัน...ผม....คงหาย”
ทั้งที่พูดออกไปแบบนั้น แต่วัชระก็แน่ใจว่าที่ว่าหาย ก็แค่ทำตัวให้ชินกับการไม่มีคนรักอยู่ข้างๆได้ แต่ให้ลืมคนที่รักที่สุดที่จากไปพร้อมกับทิ้งคำถามไว้มากมายจะให้อย่างไรก็ไม่มีทางทำได้แน่นอน ..............................................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล. หงิงๆ งี้ดๆ
ขอบคุณมากค่ะ เบลองิ แหะๆ
v
v
v