บาป...หวาน ♥ แจ้งข่าวดีด่วนสุดดดด หน้า 31 จ้า [16/1/16 :D]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บาป...หวาน ♥ แจ้งข่าวดีด่วนสุดดดด หน้า 31 จ้า [16/1/16 :D]  (อ่าน 325625 ครั้ง)

bellity

  • บุคคลทั่วไป
ขำเซ็กซี่ 555+

ชอบมันจัง

ฝุ่นท่าจะมีลับลมคมในเยอะแฮะ สงสัยต้องมีเรื่องไม่น่าจดจำมากมายแหงมๆ :เฮ้อ:

tunya0610

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงไกด์ 55 :mc4:

ออฟไลน์ mascot

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1499
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-10
เข้ามาอ่านด้วยคน
ทีม ทำไรสาวเค้าไว้ล่ะ

ออฟไลน์ eiizes

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +121/-0
    • facebook
10

   เพล้ง!!


   ทุกสายตาหันกลับไปที่ต้นเสียง กว่าจะทันได้ห้ามตัวเอง ร่างกายของผมก็ผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทางเดียวกับที่ทีมเพิ่งเดินออกไปทันที

   “เกิดอะไรขึ้น!?” ผมได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปแบบนั้น สีหน้าผมคงดูตกใจจนแย่มาก ทีมมันเลยผละจากหน้าประตูบ้านเดินเข้ามากอดผมไว้หลวมๆ พลางกระซิบ

   “ไม่มีอะไรหรอก ใจเย็นๆ ไม่มีอะไร ทีมไม่ได้เป็นอะไร” มันบอก พลางโยกตัวไปมาเหมือนกำลังปลอบเด็ก เอ๊ะ นี่ต้องให้กูย้ำกี่รอบครับ ว่ากูอายุสิบแปดปีไม่ใช่สิบแปดเดือน

   “กูได้ยินเสียงของแตก”

   “ลูกชายอาแปะคนเก็บขวดทำขวดหล่นน่ะ” เออะ....

   ผมชะโงกหน้าออกไปดูที่หน้าบ้าน แล้วก็เป็นอย่างที่ไอ้ทีมว่าจริงๆ ลุงแก่ๆ คนนึงยืนบ่นลูกชายอายุประมาณเจ็ดขวบหน้าดำหน้าแดง แต่อย่าคิดว่าลูกชายจะสำนึกผิดหรือสลดอะไรนะครับ ผมเห็นเด็กมันยังคอแข็งจะอ้าปากเถียงสู้อยู่นั่น

   “ลื้อมันทำอะไรไม่ระวังเลย ถ้าขวดแตกบาดมือบาดเท้าอีก ม๊าลื้อ อีจะว่าไง ฮึ” แกพูดไปก็ชี้บ่นลูกชายไป

   “อั๊วไม่ได้ตั้งใจนี่” ลูกชายเถียงบ้าง

   “เดี๋ยวนี้ลื้อเถียงเหรอ เดี๋ยวปั๊ดตบฟันน้ำนมร่วง” ลุงแกบ่นลูกชายไป ก็หันไปเอาไม้กวาดจากรถซาเล้งเก็บขวดใกล้ๆ มากวาดเศษแก้วไปไว้ทางหนึ่ง “เอ้า ลื้อก็ขยับไปสิวะ เดี๋ยวอั๊วก็กวาดเอาเศษแก้วเข้าหน้าซะเลยนี่”

   แม่ง โหดชิบหาย

   “ทีม เรายังคุยกันไม่จบนะ” เสียงชะนี เอ้ย ผู้หญิงที่ไหน ...

   “ก็ทีมบอกไปหลายรอบแล้วไง ปิ๊กจะให้ทีมพูดกี่รอบเรื่องมันก็เหมือนเดิม” ไอ้คนที่ยังกางปีกกอดผมเอาไว้ หันไปตอบผู้หญิงที่ชื่อปิ๊กอะไรนั่น เธอยังยืนอยู่หน้าประตูบ้านอยู่เลยครับ ขมวดคิ้วทำหน้าเคร่งเครียดเหมือนโดนไอ้ห่านป่ามันเหยียบหาง เอ๊ะ.. ชะนีมีหางรึเปล่าวะ คริคริ

   “ทีมจะให้ปิ๊กเชื่องั้นเหรอ ว่าคนอย่างทีมจะเลิกกับผู้หญิงแล้วไปรักผู้ชายด้วยกัน บอกว่าวันนี้มีคนคลอดลูกแฝดสิบยังน่าเชื่อมากกว่าอีก!!” ผู้หญิงที่แทนตัวเองว่าปิ๊ก นั่นทำเสียงสูงแบบไม่เชื่อสุดๆ แต่เอ่อ...อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย จากที่เจอมาบ้าง ผมว่าผมก็เชื่ออย่างหลังนะ

   “งั้นกูเข้าบ้านก่อนนะ” ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินเลยคิดจะหลบฉากไป แต่ทีมมันกลับดึงเอาไว้ให้อยู่ที่เดิม แล้วเลื่อนมือมากำรอบฝ่ามือผมเอาไว้หลวมๆ

   “ทีมพยายามอธิบายแล้ว ทีมว่าทีมก็พูดภาษาไทยปกติ ถ้าปิ๊กไม่เข้าใจ ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว” ไอ้ห่านป่ามันบอกเสียงเย็น จนผมยังรู้สึกโหวงๆ ในอก ถ้าวันนึงผมโดนเสียงนี้พูดจาแบบนี้บ้าง คงรู้สึกแย่แบบบรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว

   “ทีม...ปิ๊กไม่ได้อยากรั้งทีมไว้หรอกนะ แต่ปิ๊กแค่อยากรู้เหตุผลที่แท้จริงที่ทีมขอเลิก บอกว่าทีมมีคนใหม่ ปิ๊กยังเข้าใจ แต่นี่อะไร บอกว่าชอบผู้ชาย...ทีมจะบ้าเหรอ แล้วปิ๊กจะบอกคนอื่นว่าไง”

   “ก็บอกไปดิ ว่าทีมเป็นเกย์ ทีมเลือกผู้ชายมากกว่า” ทีมมันตอบนิ่งๆ เหมือนกับคำพูดที่มันพูดออกไปไม่ได้แคร์คนทั้งโลกเลยนอกจากคนที่มันรัก

   “งั้นบอกปิ๊กสิ ว่าคนๆ นั้นคือใคร มีดีกว่าผู้หญิงแบบปิ๊กตรงไหน”

   “ไม่ได้ดีกว่าหรอก แค่ทีมรักมากกว่า” ทีมบอกเสียงนิ่ม มันบีบมือผมเบาๆ ไม่ได้อยากเข้าข้างตัวเอง แต่ผมกำลังรู้สึกคล้ายๆ ทีมกำลังบอกว่าคนๆ นั้นเป็นใคร

   “นี่อย่าบอกนะว่า คนๆ นั้นคือเด็กคนนี้!?” ปิ๊กร้องเสียงแหลม พลางชี้มาที่ผม “ทีม!! ทีมบ้าไปแล้ว เด็กคนนี้ไม่ได้มีหน้าอก ไม่ได้ตัวเล็ก เอวบาง น่ารัก ตาหวานอย่างที่ทีมชอบเลยนะ แถม...เค้าเป็นผู้ชายนะทีม!!”

   ประโยคหลังตอกย้ำจนผมแทบจะทรุดลงไปในดิน เออ กูรู้ กูกับทีมมีของที่เหมือนกัน แล้วกูผิดเหรอวะ กูเลือกเกิดได้รึไง

   “ทีม..กู...กูเข้าบ้านก่อนนะ” ผมบอกอย่างนั้น ทีมมันพยายามจะรั้งผมเอาไว้ แต่นาทีนั้นผมกลับรู้สึกแย่เพราะคำพูดของผู้หญิงคนนี้ จุกในอกจนแทบหายใจไม่ออก ฝ่ามืออุ่นๆ ที่ยังกำรอบมือผมเอาไว้ถูกสะบัดออก แล้วผมก็เดินเร็วๆ เกือบจะเป็นวิ่งผละออกมา ท่ามกลางเสียงเรียกของทีม และคำพูดของผู้หญิงคนนั้น

   “ต่อให้วันนี้นายยังเป็นคนของทีม แต่เชื่อฉันเถอะ อีกไม่นานหรอก ทีมก็จะเบื่อ แล้วก็เขี่ยนายทิ้ง ยังไงนายก็เป็นผู้ชาย นายแต่งงานกับทีมไม่ได้หรอกนะ!!!”



   ที่ๆ ผมปล่อยให้เท้าพาตัวเองไป คือห้องนอน ไม่ใช่สนามหลังบ้าน

   ผมไม่เคยรู้สึกแย่กับคำพูดของผู้หญิงคนไหนมานานเกือบสิบปี ผมไม่เคยแคร์ ไม่เคยสนใจ ไม่เคยเปิดใจให้ใครเข้ามาทำร้ายได้อีก แต่วันนี้ คำพูดของผู้หญิงคนนั้นกลับทำร้ายผมจนเจ็บเสียดในอก

   เพราะการเรียนรู้ที่จะอยู่กับคนอื่น มันทำให้หัวใจที่เคยเข้มแข็งของผมเปราะบางลง บางที ผมควรจะหยุดทุกอย่าง แล้วหายไปซะ ทิ้งให้ตัวเองอยู่ในโลกส่วนตัวแบบเดิมผมอาจจะมีความสุขกว่า ไม่ทรมานเพราะความรู้สึกของใคร ไม่เจ็บเพราะคำพูดของใคร...

   อีกไม่นานหรอก ทีมก็จะเบื่อ แล้วก็เขี่ยนายทิ้ง

   กว่าจะทันได้รู้ตัว...น้ำตาผมก็ไหลออกมาจนอาบแก้ม

   ทีมไม่ได้เป็นพระเอกมากพอ มันไม่ได้ขึ้นมาหา ไม่ได้ปลอบใจผม ไม่ได้ทำอะไรนอกจากปล่อยให้ผมนอนอยู่อย่างนั้นจนข้ามคืน...
   


   บ้านหลังเก่าของพวกเราเป็นไม้เกือบทั้งหลัง ตั้งอยู่ค่อนไปทางจังหวัดนนทบุรี ผมในตอนนั้นเป็นเด็กผู้ชายวัยห้าเจ็ดขวบที่ตัวเล็กกว่าเพื่อน แต่ผมก็มีความสุขดี แม่ใจดีกับผมเสมอ ส่วนพ่อถึงจะไม่ค่อยได้กลับบ้านแต่ก็ไม่เคยทิ้งครอบครัว ฐานะของเราจัดว่าอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้รวยมากแต่ก็ไม่ถึงกับแร้นแค้น

   แม่บอกว่าพ่อทำงานเป็นพ่อครัวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไกลจากบ้านมากพอสมควร ทำให้พ่อกลับมาบ้านแค่วันอาทิตย์ และออกไปทำงานอีกครั้งในเช้าวันจันทร์ แต่ถึงกระนั้น ผมกลับรักและสนิทกับพ่อมาก เพราะทุกครั้งที่พ่อกลับบ้าน เขามักจะพาผมออกไปเที่ยวกันสองคนเสมอ บางทีก็ซื้อของเล่นให้ บางทีก็แค่ไปทานข้าว หรือบางครั้งถ้าโชคดีหน่อยก็ได้แวะที่สวนสัตว์

   พ่อเคยซื้อลูกสุนัขให้ผมตัวนึง พ่อเรียกมันว่าโอเลี้ยง มันเป็นสุนัขพันธุ์ผสม เท่าที่ผมจำได้ โอเลี้ยงเป็นหมาที่ตัวใหญ่มาก ถ้ายืนแบบยกสองขาหน้าก็สูงกว่าผมตอนเจ็ดขวบเสียอีก ถึงมันจะชื่อโอเลี้ยงแต่ก็ไม่ได้ดำเหมือนชื่อ กลับกันมันเป็นหมาขาสีดำผสมน้ำตาล มีขาวแซมบ้างบางจุด รวมถึงที่เท้าทั้งสี่ด้วย เหมือนกับกำลังใส่ถุงเท้าอยู่เลยครับ

   ผมจำได้ว่า อาทิตย์นึง พ่อกลับมาบ้าน แล้วคุยอะไรบางอย่างกับแม่ เสียงดังมากจนผมใจหายวาบ อยากจะเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น และบอกให้ทั้งสองคนหยุดตะโกนใส่กันเสียที แต่สุดท้ายก็กลายเป็นผมที่โดนแม่เหวี่ยงออกมา ผมล้มลงกับพื้น เอวข้างหนึ่งกระแทกกับขอบบันได ผมเจ็บจนจุกและลุกไม่ขึ้น ได้แต่นอนน้ำตาไหลฟังทั้งสองคนคุยกัน

   “ถ้าจะเลิกก็ไปให้พ้นบ้านหลังนี้!!!” เป็นเสียงพ่อที่ตะโกนขึ้น

   “ฉันก็มีส่วนในบ้านหลังนี้เหมือนกันนะ!!”

   “ไปซะ เอาฝุ่นไปด้วย!!”

   “ทำไมต้องเป็นฉันที่เลี้ยงเด็กคนนั้นคนเดียว แกก็เอาฝุ่นไว้สิ!!!! แล้วแกนั่นแหละที่ต้องไปให้พ้น!!”

   พ่อกับแม่ตะโกนใส่กันอยู่เกือบสองชั่วโมง ผมที่ไม่รู้จะอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปเพื่ออะไรก็พยายามเดินออกไปหาโอเลี้ยงและกอดมันเอาไว้

   “โอเลี้ยง...พ่อกับแม่ตะโกนใส่กันทำไม ฝุ่นทำอะไรผิดเหรอ”

   มันเป็นคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบ ผมกอดมันทั้งๆ ที่ตาพร่าไปด้วยน้ำตาของความไม่เข้าใจ ไม่นานพ่อกับแม่ก็เลิกตะโกนใส่กัน พ่อเดินลงมาหาผมในตอนเย็น ลูบหัวผมเบาๆ แล้วบอก

   “ไปเที่ยวกับแม่นะฝุ่น อย่าดื้อเข้าใจมั้ย”

   “ถ้าฝุ่นไป ฝุ่นจะได้เจอพ่ออีกใช่มั้ยครับ” ผมถามออกไปทั้งที่ยังนั่งกอดโอเลี้ยงอยู่ พ่อชะงักมือที่ลูบหัวผม ยิ้มให้เฝื่อนๆ

   “ได้เจอสิ ถ้าฝุ่นคิดถึงพ่อ ก็โทรมานะครับ ถ้าพ่อเสร็จงานแล้วจะไปหานะ” พ่อยิ้มแล้วชูนิ้วก้อยมาทำสัญญา ผมในตอนนั้นยิ้มให้เขา แล้วเกี่ยวก้อยสัญญากัน พ่อบอกว่า พ่อต้องเตรียมตัวออกไปทำงานแล้ว ผมลุกขึ้นแล้วเดินจูงมือไปส่งพ่อที่หน้าประตูบ้าน ผมโบกมือบ๊ายบายให้จนเขาลับตาไป

   แต่วันนั้นผมคงลืมไป ว่าวันที่พ่อเดินจากไปนั้น คือวันอาทิตย์...มันเป็นวันที่พ่อไม่ต้องไปทำงาน

   ผมตอนเจ็ดขวบ ยังเด็กและไม่เข้าใจความหมายของการเลิกกัน และผมก็ไม่รู้ว่าการ ‘ไปเที่ยว’ ที่พ่อบอกนั้น เมื่อไหร่ผมจะได้กลับบ้าน...แต่ถึงกระนั้น ผมในวัยเจ็ดขวบเศษๆ ก็ได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกกับแม่ที่ไม่เคยมองหน้าผมอีกเลย ตั้งแต่เท้าเราเหยียบประเทศสหรัฐอเมริกา

   ในช่วงแรก ผมถามแม่แทบทุกวันว่าเมื่อไหร่ผมจะได้กลับบ้าน และเมื่อไหร่ผมจะได้โทรศัพท์หาพ่อ แต่คำตอบที่ผมได้คือสายตาเย็นชาเมินเฉย บางครั้งก็เป็นคำพูดแดกดัน จนบางทีก็มีการลงไม้ลงมือกันบ้างในวันที่ผมเซ้าซี้เอามากๆ เข้า

   สองปีถัดมา ผ่านวันเกิดผมไปได้ไม่กี่วัน แม่ก็เลี้ยงฉลองให้ด้วยการแต่งงานใหม่กับผู้ชายฝรั่งคนหนึ่ง เขาไม่ได้รังเกียจที่แม่มีลูกติดอย่างผม แค่ทำเหมือนผมไม่มีตัวตน เช้ามาก็วางเงินและกับข้าวทิ้งไว้ให้อย่างลวกๆ หรือบางวันก็มีแต่เงินไม่กี่เหรียญให้ผมได้จัดการกับชีวิตตัวเอง

   คำว่า “ส่วนเกิน” คือคำที่ผมได้เรียนรู้เป็นคำแรกจากบ้านหลังนั้น

   แม่กับพ่อเลี้ยงเข้ากันได้ดีในแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะการพร้อมใจกันทำเหมือนผมไม่มีตัวตน อย่างที่บอกไปว่าแม่ไม่เคยมองหน้าผมอีกเลย แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ตอนก่อนแม่แต่งงานใหม่ ถ้าผมมีปัญหา ยังมีบ้างที่แม่ยื่นมือเข้ามาช่วย แต่หลังจากมีผู้ชายคนนั้นเข้ามาในชีวิตแม่ ผมกลายเป็นเสมือนจุดบอดที่แม่มองไม่เห็น

   เป็นยิ่งกว่าธาตุอากาศ คำพูด การกระทำทั้งหลายเป็นสิ่งที่โดนเพิกเฉย ถ้าผมทำอะไรเสียงดังมากๆ หรือกลับบ้านดึก จะเป็นผู้ชายคนนั้นที่ยื่นมือมาลงโทษผมด้วยวิธีต่างๆ ทั้งกักบริเวณ ขังผมไว้ในห้องหนึ่งสัปดาห์ จนถึงการหักเงินค่าขนมจนบางครั้งผมก็ได้แต่นั่งน้ำลายยืดมองเพื่อนกินข้าว

   สุดท้าย...ผมก็เรียนรู้ว่า การทำตัวเหมือนไม่มีตัวตนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการมีชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้

   หลังวาเลนไทน์ได้ไม่นาน แม่ก็ให้ของขวัญสามีใหม่ด้วยลูกสาวตัวน้อย... เธอเป็นน้องสาวคนล่ะพ่อของผม ชื่ออลิซ และนั่นเองก็เป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของผมอีกครั้ง ห้องนอนที่ผมเคยนอนถูกโยนข้าวของใส่กล่อง

   โชคยังดี ที่ผมไม่เหมือนพ่อมดใส่แว่นจากภาพยนตร์ชื่อดัง ผมไม่ต้องนอนในห้องใต้บันได กลับกัน ผมได้ห้องใต้หลังคาที่ใหญ่กว่าห้องเดิม แต่เพดานมันเอียงลาดไปด้านหนึ่ง จนผมวางอะไรตรงแถวนั้นแทบไม่ได้เลยเท่านั้นเอง

   พอที่บ้านมีสมาชิกใหม่เป็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารักเพิ่มเข้ามา การทำผิดหรือกลับบ้านดึกของผมก็กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเมินเฉย ช่วงนั้นภาษาอังกฤษของผมดีขึ้นมาก ผมเริ่มเข้าแก๊งค์กับเด็กแถวบ้าน เที่ยวบ้าง สร้างเรื่องเดือดร้อน พ่นสีตามผนัง หรือแม้แต่..เสพยา

   ผมโดนตำรวจจับหลายครั้งจนแม่กับพ่อเลี้ยงเลิกไปประกันตัว ครั้งแรกที่ผมโดน แม่ฟาดเสียจนขาผมแทบขาดออกจากกัน แม่ไม่ได้ดุด่า หรือสั่งสอนอะไรทั้งนั้นนอกจากบอกให้พ่อเลี้ยงพาอลิซออกไปเล่นแถวๆ สวนสาธารณะ หลังจากแน่ใจว่าลูกสาวตัวน้อยของเธอจะไม่ได้รับรู้การลงโทษครั้งนี้ แม่ก็กระชากผมเข้าไปในโรงรถ แขวนผมเอาไว้กับขื่อไม้แล้วเริ่มลงมือฟาดผมด้วยด้ามไม้กวาด แน่นอน ถ้าแม่เลือกได้ แม่คงเอาอย่างอื่นที่หนักกว่านี้ แต่บังเอิญว่าไม้กวาดคือสิ่งที่แม่หาได้ง่ายที่สุด ณ ตอนนั้น 

   หลังจากแผลหายดีผมก็เริ่มหายตัวออกจากบ้านไปทีละสามสี่วัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหายไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นบ้างในบางที

   ผมตอนอายุสิบสามปีเริ่มเข้าโรงเรียนมัธยม เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง ผลการเรียนก็ไม่ได้ดีเด่อะไรเท่าใดนัก จนวันหนึ่งน้าอิ่มน้องสาวแท้ๆ ของแม่มาเยี่ยมพวกเราที่บ้าน ครั้งแรกที่น้าเห็นผม น้าดูตกใจมาก ไม่รู้ว่าเพราะสภาพผมที่โตขึ้นหรือว่าอะไรกันแน่

   “ฝุ่น..มาหาน้าซิ” น้าอิ่มนั่งอยู่ที่โซฟาตอนผมเดินเข้าไปในบ้าน แม่อุ้มอลิซวัยสามขวบเอาไว้บนตักอย่างหวงแหน แม่มองมาที่ผมราวกับเห็นคนแปลกหน้า แล้วก็นิ่ง ไม่ได้พูดอะไร ส่วนพ่อเลี้ยงคงออกไปทำงานและกลับมาตอนเย็นๆ เหมือนเคย

   “เป็นยังไงบ้างเรา โตขึ้นเยอะเลยนะ สบายดีมั้ย” น้าอิ่มดึงผมให้นั่งลงข้างๆ แล้วจับแถวๆ แก้มผมก่อนจะหยิกเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

   ตั้งแต่ผมยังเด็ก น้าอิ่มเป็นอีกคนที่รักและใจดีกับผมเสมอ ถ้าผมโดนเพื่อนแกล้ง น้าไม่เคยสอนให้ผมเป็นเด็กขี้ฟ้อง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้บอกให้ผมเป็นนักเลง แค่รู้จักป้องกันและดูแลตัวเอง

   “ก็..ดีครับ” ผมตอบเรียบๆ

   น้าอิ่มดูประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น นอกจากพาผมออกไปทานข้าวกันแค่สองคน น้าอิ่มเลือกร้านอาหารไทยที่ไกลออกไปจากบ้านของเราค่อนข้างมาก แต่แค่บรรยากาศของมันก็ทำให้ผมแทบน้ำตาคลอ ภายในตกแต่งเป็นคล้ายๆ บ้านหลังนึง แต่ทุกอย่างที่มองเห็นกลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของประเทศไทย

   “มีอะไรจะเล่าให้น้าฟังบ้างมั้ยฝุ่น”

   “ไม่มีครับ” ผมตอบทันควัน

   “ก่อนเรามาอเมริกา เราไม่ใช่คนที่ถามคำตอบคำแบบนี้นะฝุ่น...พ่อเลี้ยงใจร้ายกับเราเหรอ”

   “เปล่าครับ” พ่อเลี้ยงกับแม่ ไม่ได้ใจร้ายกับผมหรอก กลับกันพวกเขาใจดีมาก ที่เลือกจะทำตัวเหมือนมองไม่เห็นผม มากกว่าลงมือทุบตีแบบในนิยาย

   “ฝุ่น...น้ารักเรานะ เล่าให้น้าฟังบ้างไมได้เหรอ” น้าอิ่มเอื้อมมือมากุมมือผมไว้หลวมๆ แต่ก็ต้องปล่อยออกเพราะอาหารที่ถูกยกมาวางให้บนโต๊ะ กลิ่นต้มยำกุ้งลอยหอมไปทั่ว ยิ่งทำให้ผมคิดถึงบ้านและ...พ่อ มากขึ้น

   “ผม..ไม่รู้จะเล่าอะไร” เพราะมันเยอะมากเหลือเกิน

   “แม่กับพ่อเลี้ยงเป็นยังไงบ้าง”

   “ก็อย่างที่น้าเห็น” ผมพึมพำตอบ ขณะค่อยๆ ตักข้าวร้อนๆ เข้าปาก “ไม่ได้สนใจผมเลย”

   น้าอิ่มไมได้ตอบอะไร แต่กลับนั่งฟังต่ออย่างตั้งใจ

   “ตั้งแต่มาถึง แม่ก็ไม่มองหน้าฝุ่นอีก ยิ่งพอแต่งงานใหม่ ฝุ่นก็เหมือนไม่มีตัวตน แม่รักอลิซมากกว่าที่รักฝุ่นเสียอีก พ่อก็ไม่เคยติดต่อมา ฝุ่น...ฝุ่น..อยากกลับบ้าน น้าอิ่ม ฝุ่นคิดถึงบ้าน” ถึงตรงนี้ ผมวางช้อนลงแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาย ไม่ว่าใครจะมองก็ปล่อยเขาไปเถอะครับ ผมไม่มีอะไรจะอายอีกแล้ว น้าอิ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงข้าม มายืนข้างๆ แล้วกอดผมเอาไว้แน่น

   “ไม่เป็นไรนะฝุ่น น้าอยู่นี่แล้ว” น้าอิ่มกระซิบปลอบแล้วโยกตัวไปมาอย่างปลอบใจ

   หลังจากทานข้าวกับน้าอิ่ม มันเป็นข้าวมื้อแรกในรอบหลายปีที่ผมได้ทานกับคนที่กล้าเรียกได้เต็มปากว่า ครอบครัว หลังจากที่ต้องทานข้าวคนเดียวมานาน น้าอิ่มพาผมไปเดินซื้อของใช้ เสื้อผ้าต่างๆ จนเริ่มมืดถึงได้มาส่งที่บ้าน

   “น้าจะเข้าไปคุยกับแม่ของเราก่อน”

   “น้าอิ่มอย่าเล่าที่ฝุ่นพูดกับน้าวันนี้ให้แม่ฟังนะ” ผมขอไว้ ไม่อยากมีเรื่องให้โดนหักค่าขนมอีกแล้วครับ แค่นี้ก็จะไม่เหลืออะไรแล้ว

    “อื้ม ไม่เล่าหรอก”

   บ้านหลังใหม่ของแม่กับพ่อเลี้ยงที่ผมอาศัยซุกหัวนอนในตอนนั้นเป็นบ้านเดี่ยวมีบริเวณในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ถ้ามองผ่านรั้วที่สูงไม่มากเข้าไป จะเห็นห้องนั่งเล่นที่อยู่บริเวณหน้าของบ้าน และสิ่งที่ผมเห็นในตอนนี้มันยิ่งตอกย้ำว่าผมเป็นส่วนเกินมากเพียงไร

   แม่นั่งยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข โดยที่พ่อเลี้ยงอุ้มและเล่นกับอลิซตัวน้อย ใบหน้าของทุกคนมีแต่ความสุข และความหมายของคำว่าครอบครัว จนไม่เหลือที่ให้ผมเข้าไปแทรก...

   “กลับมาแล้วค่า” น้าอิ่มบอกเสียงร่าเริงตอนเข้าไปในบ้าน แม่ยิ้มทักอย่างใจดี แต่รอยยิ้มนั้นกลับหุบหายไปเมื่อเบือนสายตามาที่ผม

   “งั้นฝุ่นขึ้นห้องก่อนนะน้าอิ่ม” ผมกระซิบบอกเบาๆ แล้วถือของทั้งหมดเดินขึ้นห้องไปเงียบๆ แต่ด้วยความที่ห้องใต้หลังคาของผมอยู่ติดริมสนามและบังเอิญกับที่น้าอิ่มชวนแม่ออกมาคุยข้างนอก ผมจึงได้ยิน..ทุกคำ ทุกประโยค

   “ฝุ่นดูไม่ค่อยมีความสุขเลยนะพี่อร”

   “ไม่รู้สิ พี่ว่าฝุ่นก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร” แม่ผมตอบ

   “อย่าหาว่าอิ่มงั้นงี้เลย พี่รักอลิซจนไม่สนใจฝุ่นรึเปล่า”

   “เปล่านี่...อิ่มจะพูดอะไร ก็พูดมาตรงๆ ดีกว่า พี่ไม่ชอบคนอ้อมค้อม”

   “อิ่ม..อยากเอาฝุ่นกลับไทย” หัวใจผมลิงโลดขึ้นมากับประโยคนั้น เต้นแรงเสียจนแทบทะลุออกจากอก ผมภาวนาให้แม่ตอบตกลง ทว่า..

   “หึหึ...เด็กคนนั้นติดยา ติดบุหรี่ อิ่มเอาไม่อยู่หรอก นี่พี่ก็รออยู่ วันไหนที่มันจะออกจากบ้านแล้วไม่กลับมาอีก จะไม่แจ้งตำรวจให้เสียเวลาเลยจริงๆ”

   สาบานได้ว่านั่นคือคำพูดของคนที่ผมเรียกว่า “แม่” มาชั่วชีวิต

   “พี่อร!”

   “เราเองก็ยังเรียนไม่จบเลยนะอิ่ม จัดการเรียนให้จบก่อน แล้วจะเอาเด็กคนนั้นไปที่ไหนก็เอาไปเถอะ พี่เป็นห่วงเรานะ”

   “แต่อิ่มทนไม่ได้ที่เห็นหลานเป็นแบบนี้”

   “มันเล่าอะไรให้อิ่มฟังล่ะ มันบอกด้วยรึเปล่า ว่าโดนตำรวจจับกี่ครั้งแล้ว...จริงๆ เลยนะ พี่ไม่น่าใจอ่อนยอมเลี้ยงมันเลย น่าจะทิ้งให้อยู่กับพ่อมันสองคน”

   แล้วทำไมแม่ไม่ทำ...ถ้าแม่ทิ้งผมเอาไว้ที่ไทย ผมอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ ต่อให้ต้องอดๆ อยากๆ แต่ผมมั่นใจว่าพ่อจะไม่มีวันหันหลังให้ผมแบบนี้อย่างแน่นอน

   “ถ้าอย่างนั้น...ฝุ่นบรรลุนิติภาวะเมื่อไหร่ อิ่มจะเอาฝุ่นกลับไทย”

   แม่ไม่ตอบอะไร แต่กลับถามคำถามอื่นแทน

   “อิ่ม...รู้มั้ยว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงชื่อฝุ่น”

   “พี่นุบอกว่าเพราะฝุ่นมีอยู่ทุกที่” น้าอิ่มตอบ...นุ คือชื่อพ่อของผม

   “ไม่ใช่หรอก ฝุ่น คือสิ่งที่ไม่มีใครต้องการต่างหาก เราทำความสะอาดบ้านก็เพราะบ้านมีฝุ่น ไม่มีใครอยากให้บ้านสกปรกเพราะ ‘ฝุ่น’...เหมือนกับที่พี่ไม่เคยอยากได้เด็กคนนั้น ชีวิตพี่พังก็เพราะมัน แล้วอีกอย่าง ถ้าต้องมีลูก พี่ก็อยากได้ลูกผู้หญิง ไม่ใช่ลูกผู้ชาย!!”

   น้ำตาผมไหลไม่หยุด ผมนั่งพิงผนังอยู่อย่างนั้นตอนที่ได้ยินเสียงน้าอิ่มร้องไห้ และเสียงแม่ปิดประตูบ้าน แต่สิ่งที่ก้องอยู่ในหัวใจของผมกลับไม่ใช่เสียงเหล่านั้น แต่เป็นคำพูดของแม่ที่ก้องอยู่ในหัวของผมตั้งแต่นาทีนั้นต่างหาก

   หลังจากนั้นไม่นาน น้าอิ่มก็กลับไทยเพราะต้องกลับไปเรียน ส่วนผมก็ก้าวต่อไปกับชีวิตในอเมริกาเพียงลำพัง หลังจากที่ผมขึ้นมัธยมปลาย ผมก็เริ่มเที่ยวตามปาร์ตี้ และเจอกับคนบางคน...

   ผู้ชายร่างสูงใหญ่ เป็นนักบาสเกตบอลของโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ในขณะนั้น เขาโตกว่าผมเกือบสามปี ส่วนสูงที่เกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรทำให้เขายิ่งดูตัวใหญ่มากขึ้นเมื่อยืนเทียบกันกับผม ดวงตาสีฟ้าเข้มสดใสเหมือนท้องฟ้า ตัดกันด้วยผมสีน้ำตาลปนทองธรรมชาติ เพราะเขาเป็นนักบาสเก็ตบอลและรูปร่างหน้าตาดี ทำให้หมอนี่ค่อนข้างป๊อปในหมู่สาวๆ ในโรงเรียนมากพอสมควร

   หมอนั่น ชื่อ ‘ยูล’




(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ eiizes

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +121/-0
    • facebook
   หมอนั่น ชื่อ ‘ยูล’

   ผมแปลกใจที่ชื่อเขาดูคล้ายกับคนทางเอเชียมากกว่า แต่หมอนั่นกลับอธิบายให้ฟังว่าชื่อของเขามาจากคำว่า จูเลียต ในภาษารัสเซีย เราสนิทกันไวมาก ครั้งแรกๆ ก็เจอและคุยกันในปาร์ตี้เฉยๆ แต่มาสักพักหนึ่งก็เริ่มนัดกันออกมาเที่ยวข้างนอก ยูลเป็นคนพูดเก่ง เขายิ้มง่าย และชอบสังเกตว่าอะไรคือสิ่งที่ผมชอบ หรือไม่ชอบ    

   ราวหนึ่งเดือนครึ่งหลังจากเจอกันครั้งแรก เราสองคนก็จบวันอันแสนสุขในฤดูร้อนบนเตียง ยูลอ่อนโยนและใจดีกับผมมาก ครั้งแรกที่เจ็บเสียดเสียจนน้ำตาผมอาบแก้มก็ถูกหมอนั่นดูแลจนหายดี ผมคิดว่าเช้าหลังจากที่มีเซ็กส์กัน ยูลจะเอาไปโพนทะนาว่าผมวางยาเขาและอาศัยช่วงโอกาสที่กำลังคึกศึก ร่วมหลับนอนกับเขา

   ทว่าสิ่งที่ยูลทำกลับไม่ใช่แบบนั้น หมอนั่นยังกอดผมเอาไว้ในเช้าวันถัดมา เช็ดตัวให้ผมที่ไข้ขึ้นสูงเกือบสี่สิบองศา แม่ของยูลเองก็ดีกับผมมาก  ทั้งๆ ที่รู้ว่ายูลกับผมเป็นอะไรกัน ท่านก็ยังดูแลราวกับผมเป็นลูกชายอีกคนหนึ่ง ผมเคยคิดอยากเป็นคนรักของหมอนี่ แต่ยิ่งอยู่ด้วยกันไป ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเราสองคนเหมือนเพื่อนกันมากกว่า พอใจเมื่อไหร่ก็ขึ้นเตียง

   ยูลเองก็แค่เอ็นดู และชอบที่ผมไม่เรื่องมาก ผมก็แค่อยากได้ใครสักคนมาหยุดผมเอาไว้ก็เท่านั้น...

   มีช่วงหนึ่งที่ยูลเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยทำให้เราไม่ได้เจอกันเกือบสามเดือน ผมทำตัวเหลวแหลก ออกเที่ยวบ่อยขึ้น เริ่มมั่วมากขึ้น มีเซ็กส์ได้กับทุกคนถ้าพอใจ แต่ในทุกครั้งผมจะผสมโทนาฟีลลงในเหล้าของตัวเองนิดหน่อย เพื่อความราบรื่นและไม่ต้องคิดอะไรมากกับคู่นอนที่จำหน้าแทบไม่ได้

   เซ็กส์กลายเป็นสิ่งที่ผมเสพติดไปเสียแล้ว...

   การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของยูลผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หมอนั่นเข้ามาจัดระเบียบในชีวิตผมอีกครั้ง ไปส่งที่โรงเรียนและมารับกลับบ้าน พาไปเที่ยวบ้างในบางที แต่ก็ยังบังคับให้ผมอ่านหนังสือและทำการบ้านอยู่ทุกวัน

   ผมไม่รู้ว่าแม่รู้เรื่องยูลจากใครและเมื่อไหร่ และสิ่งที่ผมได้รับก็คือฝ่ามือที่ทาบลงบนผิวแก้มอย่างแรงจนปากแตก...

   “ฉันไม่เคยสอนให้แกเป็นเกย์ ทีเรื่องดีๆ ต้องให้สอน ทีเรื่องเหี้ยๆ ไม่เคยต้องให้กระดิกปากเลยนะ!!”

   ผมนิ่ง ไม่โต้ตอบอะไรทั้งนั้น ผมเลือกที่จะเงียบและเดินขึ้นห้อง ทว่าแม่กลับจิกให้ผมกลับลงมาแล้วตบซ้ำที่เดิม

   “ใครสั่งสอนให้แกเดินหนีฉัน หา!!!”

   “ไม่มีใครสอนครับ ไม่เคยมีใครสอนให้ผมทำดีหรือทำชั่วทั้งนั้น”

   “เดี๋ยวนี้กล้าต่อปากต่อคำกับฉันเรอะ!!” แม่ตะคอก

   ผมยืนนิ่ง ไม่ตอบอะไร ถ้าแม่โมโห ก็ปล่อยให้เขาพูดไป แต่กว่าผมจะได้กลับขึ้นไปโทรศัพท์หายูล ปากผมก็แตกจนรู้สึกไม่อยากกินอะไรไปหลายวันเลยทีเดียว


   “เจ็บมากมั้ย” ยูลพาผมมาที่บ้านเพื่อทำแผลที่ปากในวันรุ่งขึ้น วันนี้แม่ของยูลไปทำงาน ทำให้เราอยู่บ้านกันแค่สองคน

   “อืม”

   “คราวนี้เรื่องอะไร” เขาแตะยาลงที่มุมปากผมเบาๆ ทว่ามันกลับเจ็บจนผมเผลอสะบัดหน้าออกห่าง แต่ยูลก็จับหน้าผมให้กลับมาแล้วเริ่มแต้มยาให้อีกครั้ง

   “แม่หาว่าฉันเป็นเกย์”

   ยูลชะงักมือที่ทายา ถอนหายใจออกมาแรงๆ

   “เพราะฉันใช่มั้ย..ขอโทษนะ”

   “ขอโทษทำไม” ผมกระซิบถาม แล้วซบลงที่ไหล่กว้างๆ ของนักบาสผู้แสนอ่อนโยนคนนั้น ยูลกอดผมเอาไว้พลางยกมือขึ้นลูบผมของผมเบาๆ “ถ้าไม่มีนายเข้ามา ฉันอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้”

   “ไม่เอาน่า นายเป็นน้องชายที่รักของฉัน จำได้มั้ย อย่าพูดเรื่องนี้อีก นายรู้สึกแย่เมื่อไหร่ก็มาที่บ้านเรา แม่เองก็อยากให้นายอยู่ที่นี่จะตาย” แม่ของยูล หรือที่ผมเรียกว่า มัม เป็นคนใจดีจริงๆ ครับ รับได้ที่ลูกชายเป็นเกย์ เพราะเธอถือว่าลูกชายไม่ได้ก่อเรื่องเดือดร้อนให้ใคร ซ้ำยังเรียนเก่ง ไหนจะเป็นนักบาสเก็ตบอลเสียอีก มัมเองก็รู้เรื่องของผมดี เธอเลยยิ่งเอ็นดูผมมากขึ้น

   “ขอบคุณนะยูล”



   ตอนผมอายุสิบเจ็ดปีเศษเพิ่งจบมัธยมปลายได้หมาดๆ เราสองคนก็ไปเที่ยวฉลองที่ผมเรียนจบ(สักที) ผมไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนอีกนอกจากยูล เพื่อนบางคนที่ผมรู้จักจากในห้องเรียนก็คุยกันบ้างแต่ไม่มาก เพราะผมเป็นคนเก็บตัวและพูดน้อยทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนคนไหนอยากคบกับผมเท่าไรนัก

   เราสองคนนอนอาบแดดอยู่ริมทะเลที่ไมอามี่ ตอนผมได้รับโทรศัพท์ตามตัวจากที่บ้าน แม่บอกผมด้วยเสียงเย็นๆ ว่าน้าอิ่มมาหา และผมต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้...มันเป็นยิ่งกว่าประกาศิตที่ตัดความสุขของผม ไม่สามารถปฏิเสธหรืออ้างใดๆ ได้เลย ผมต้องขอให้ยูลพากลับบ้านในวันนั้นทั้งๆ ที่ตามกำหนดแล้ว เรายังมีเวลาเที่ยวในไมอามี่กันอีกสองวันเต็มๆ

   “ขอโทษนะยูล” ผมพึมพำขณะนั่งอยู่ในรถ ผู้ชายที่ใจดีกับผมเสมอยิ้มให้ เขาชะลอรถลงตอนที่ติดไฟแดงแล้วก้มลงมาจูบปากผมเบาๆ ทีหนึ่ง

   “ไม่เอาน่า ไว้เรามาเที่ยวกันเมื่อไหร่ก็ได้”

   น้าอิ่มมาหาผมที่บ้านเพื่อบอกข่าวดีว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง และเธอต้องการจะพาผมกลับไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ไทย นอกจากนี้เธอก็จะดูแลผมเองด้วย แน่นอนว่าถ้าน้าอิ่มบอกประโยคนี้กับผมเมื่อห้าปีที่แล้ว ผมจะดีใจมาก แต่นาทีนี้ผมกลับรู้สึกว่างเปล่าในอก...ไม่อยากจากยูลไปไหน

   ไม่รู้ว่าจะหาคนที่ดีแบบยูลได้จากไหนอีก ผมกลัวการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงเมื่อเก้าปีที่แล้วทำให้ผมทรมานแทบขาดใจ จนวันนี้ผมก็ยังกังวลกับการย้ายกลับไปอยู่ที่ไทย ไม่ว่ามันจะให้ผลที่ดีหรือแย่กว่าก็ตามที

   “ผม..คือ ผมไม่อยากไป...” ผมพึมพำข้างๆ น้าอิ่ม ทว่ามันคงไม่เบาพอ เพราะแม่แหวขึ้นทันที

   “ทำไม หรือว่าแกรักไอ้เกย์นั่นมากกว่า”

   “แม่อย่าพูดถึงยูลแบบนั้นนะ”

   “ฉันจะพูด แกจะทำไม!!”

   ผมก็ได้แต่เงียบ ทำอะไรไม่ได้...เพราะไม่ว่ายังไง แม่ก็คือแม่

   “พี่อร อิ่มขอคุยกับฝุ่นสองคนนะ” น้าอิ่มบอกอย่างนั้นแล้วลุกขึ้นจูงมือผมออกไปนอกตัวบ้าน รถของยูลยังจอดอยู่ที่เดิม หมอนั่นลงจากรถมายืนมองผมด้วยความเป็นห่วง

   “ฝุ่น...แม่เราบอกว่า เราติดผู้ชาย แล้วก็เสียคนมาก”

   “ผมไม่ได้ติดผู้ชาย..ยูลเป็นเพื่อน เป็นครอบครัวคนเดียวที่ผมมี!!” ผมตะโกนขึ้น ถึงตอนนี้น้ำตาผมเริ่มคลอที่ดวงตาอีกครั้ง ยิ่งคิดว่าถ้าต้องจากยูลไป ผมจะทำยังไง “ถ้าแม่จะบอกอย่างนั้น น้าอิ่มก็ควรถามแม่ ว่าแม่เคยดูแลผมบ้างรึเปล่า”

   ผมเริ่มเสียงอ่อนลงบ้าง น้าอิ่มเอื้อมมือมาลูบแก้มผมเบาๆ สี่ปีที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลาที่นานพอดู ผมสูงขึ้นจากเดิมมาก โตขึ้น ด้านชามากขึ้น...และไม่ยอมโดนคำพูดหรือการกระทำของใครทำร้ายอีกต่อไป

   “น้าอยากพาเรากลับบ้านนะฝุ่น น้าสัญญาว่าจะดูแลเราอย่างดีที่สุด แฟนของน้า..คนที่น้าจะแต่งงานด้วยน่ะ เขาใจดีมาก ตอนที่พี่สินรู้เรื่องของฝุ่น เขายิ่งคะยั้นคะยออยากให้ฝุ่นกลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน”

   “ผมขอโทษ แต่ผม..ผม ไม่มีใครนอกจากยูล ผมไม่อยากไปที่อื่น” ผมบอกไว้แค่นั้นแล้วค่อยๆ ถอยหลังออกจากสัมผัสอุ่นๆ ของน้าอิ่ม ผมเดินไปทางรถของยูลที่จอดทิ้งเอาไว้หน้าบ้าน ขึ้นไปนั่งโดยที่ไมได้พูดอะไร ผมไม่รู้ว่าก่อนที่ยูลจะเข้ามาในรถและเริ่มสตาร์ทนั้นน้าอิ่มพูดอะไรรึเปล่า แต่ตอนที่เรามาถึงบ้านของยูลกัน หมอนั่นกลับบอกผมว่า

   “ทำไมไม่อยากกลับไทย”

   “ไม่อยากจากยูลกับมัมไป” ผมตอบตามตรง

   “เด็กโง่ อนาคตนายต้องเลือกเองนะ จะมายึดติดกับฉันได้ไง”

   “ฉันไม่มีครอบครัวที่ไหนนอกจากนายนะยูล ไล่ฉันเหรอ” ผมน้อยใจ

   “เฮ้ย ไม่ได้ไล่” ยูลร้องเสียงดังแล้วดึงผมไปกอดเอาไว้เหมือนกอดเด็ก “ฉันรักนายเสมอ อยากอยู่กับนาย แต่ลองคิดดูนะ ถ้านายอยู่ที่นี่ต่อไป นายจะมีความสุขจริงๆ เหรอ ไม่ลองกลับไปลองอะไรใหม่ๆ ที่ไทย ถ้าไม่ชอบก็ค่อยกลับมาไง เรื่องบางเรื่องก็ควรพบกับการเปลี่ยนแปลง”

   ผมงับเอาแถวๆ ต้นคอยูลแรงๆ เป็นการบอกทางอ้อมให้หมอนี่เลิกพูด ผมไม่อยากห่างจากคนที่ดีกับผมเสมอต้นเสมอปลายแบบคนนี้ แต่ก็ถูกอย่างที่ยูลพูด...

   บางทีเรื่องบางเรื่องก็สมควรพบกับการเปลี่ยนแปลง....

   ผมโทรหาน้าอิ่มในวันถัดมา เพื่อบอกว่าผมจะกลับไทย แต่ผมขอเวลาจัดการเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่างสักเดือนนึง น้าอิ่มดีใจมาก บอกใหญ่ว่าเธอจะเตรียมห้องรอผมกลับไป

   ผมตัดสินใจว่าระยะเวลาหนึ่งเดือนที่เหลือ จะอาศัยอยู่ในบ้านของยูล มัมดูเศร้าไปถนัดตาตอนที่รู้ว่าผมจะกลับไทย ผมกลับไปเก็บของที่บ้าน แต่สิ่งที่ผมเห็นวางกองอยู่หน้าห้องกลับทำให้หัวใจผมหล่นลงไปกองอยู่บนพื้น...

   กระเป๋าเดินทางใบเขื่องสองใบถูกวางไว้ลวกๆ ที่หน้าประตูห้อง ของทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ในนั้น รวมถึงเสื้อผ้าของผมด้วย

   ผมไม่คิดจะเอ่ยคำลากับใครทั้งนั้น ยกเว้นอลิซ เด็กน้อยน่ารักวัยเกือบๆ สิบขวบ แม่ไม่ค่อยชอบให้อลิซเล่นกับผม เพราะกลัวว่าผมจะทำน้องเสียคน แต่เจ้าตัวเล็กก็แสนดี ยังคอยมาทักทายและยิ้มอวดฟันหลอให้ผมเสมอ

   “ฝุ่น พี่จะไปไหน” เจ้าตัวเล็กขี้สงสัยโผล่หน้ามาตรงบันไดพลางถามผม

   “ไปเที่ยว”

   “ไปด้วยสิ” อลิซยิ้มกว้าง

   “ไม่ได้ อยู่บ้านนี่แหละ” ผมตอบแล้วขยี้หัวเธอ แต่เสียงที่ดังมาจากด้านหลังผมก็ทำให้ผมต้องละมืออกจากเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั้น

   “อย่าเล่นหัวอลิซ”

   “ขอโทษครับ” ผมพึมพำตอบแม่ แล้วก้มลงหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมาสะพายไหล่ ผมไม่คิดจะเข้าไปดูในห้องว่ามีอะไรเหลือมั้ย เพราะถ้าเหลือแม่ก็คงจัดการทิ้งไปหมดแล้ว “อลิซ..พี่ไปนะ”

   “เดี๋ยวสิ นี่...ฝุ่น ฝุ่น” น้องเรียก แต่ผมไม่คิดจะหันกลับไปอีกแล้ว ผมเดินออกจากบ้านเพื่อเอากระเป๋าไปโยนใส่หลังรถของยูลที่นั่งรออยู่ข้างนอก หมอนั่นไม่พูดอะไรตอนขับรถกลับบ้าน

   หนึ่งเดือนที่เหลือให้ผมอยู่กับคนที่แสนดีคนนี้ตามลำพังมันสั้นเสียจนใจหาย เขาใช้เวลาที่มีอย่างคุ้มค่า พาผมไปเที่ยวบ้าง กินข้าวด้วยกัน หรือบางทีก็แค่นอนดูหนังกันสองคน มัมเองก็ยังขยันทำกับข้าวที่ผมชอบให้ทานทุกวันจนน้ำหนักผมขึ้นเอาๆ

   วันที่ผมต้องเดินทางกลับประเทศไทย มีเพียงมัมและยูลแค่สองคนที่มาส่งที่สนามบิน มัมร้องไห้ไม่หยุด ยูลก็ได้แต่ประคองแม่เอาไว้พลางแซวขำๆ ผมเองก็เศร้า ไม่อยากจากหมอนี่ไป ผมจะหาเพื่อนคนไหนดีเท่านี้ได้อีกมั้ย...ไม่สิ ถ้าจะพูดถึงจะเพื่อนที่ดี ถามว่าผมจะได้เพื่อนหรือเปล่า น่าจะดีกว่า...

   “โทรมาหาฉันทันทีที่ถึงไทยนะ” ยูลกอดผมเอาไว้ตอนพูด เขากดริมฝีปากลงที่ข้างกกหู กระซิบพึมพำอยู่อย่างนั้น “อย่าลืมฉันนะฝุ่น ฉันรักนายมาก ขอให้นายมีเพื่อนที่ดีเยอะๆ ขอให้คนที่นู่นรักนายเหมือนที่มัมรัก ขอให้นายเจอคนที่นายรักด้วยหัวใจ..แต่ยังไง ก็อย่าลืมฉัน มีเรื่องอะไรก็โทรมา ฉันรักนายเสมอ รักมาก ได้ยินมั้ย”

   “อืม รู้แล้ว รักเหมือนกัน เตรียมห้องไว้ให้ฉันด้วยนะ สัญญาว่าจะกลับมา” ผมตอบแล้วออกแรงกอดยูลแน่นขึ้น
   

   วันนั้นผมตัดสินใจจากอ้อมแขนของคนที่ผมกล้าเรียกว่าพวกเขาคือ “ครอบครัว” มา เพื่อรอคอยการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ผมไม่ได้หวังให้ตัวเองพบเจอคนรัก แค่ใครสักคนที่อบอุ่นมากพอจะหยุดความเหงาของผมได้...



   “ฝุ่น...ใช่ไหม”








เจอกันตอนสิบเอ็ดค่ะ

eiizes’s talk

สวัสดีค่า หายไป(นับ) ห้าวันเนอะ

ที่จริง จะอัพตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่ก็ธุรกิจรัดตัวมาก ไปเกษตรแฟร์ ไปเอาหนังสือที่เพื่อน บลาๆ  :serius2:

ได้อยู่บ้านแบบจริงจังก็วันนี้เอง 5555

อ่านตอนนี้ก็ให้น้องฝุ่นออกมาเคลียร์เนอะ ว่าที่จริงยูลไม่ใช่คนเกาหลีนะคะ 555

คืออยากบอกนานแล้ว แต่ให้ฝุ่นเป็นคนเคลียร์ดีกว่า คนเค้าเคยๆ กัน คริคริ


วันนี้เรามีคำถาม อ่านตอนนี้แล้ว ใครอยากให้ยูลเป็นพระเอกยกมือขึ้น
  o18

ถามเล่นๆ นะ พระเอกยังคนเดิม 5555


อ่อ อีกอย่างนึง สวัสดีทุกท่านที่มาใหม่นะคะ อาจจะไล่ชื่อไม่ครบ หรือไม่ได้ทักทายบ้างบางคนก็ขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
แต่อ่านทุกความเห็นน้า~~

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ
eiizes
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2011 21:19:09 โดย eiizes »

WhatLoveIs

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณที่มาต่อค่า

แต่แบบว่าอยากขออีกสักตอนได้ไหมคะ แบบว่ามันยังค้างๆ คาๆ (โลภเนอะ  :z3: :z3:)

รอติดตามสถานการณ์ต่อไปนะคะ

ฝากบอกถึงคุณพี่ทีม จะทำอะไรคิดดีๆ นะจ้ะ เค้าหวงฝุ่นของเค้านะ  :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
อ่านตอนนี้แล้วสงสารฝุ่นอะ
ถ้าเป็นฝุ่นเราคงช็อคตอนที่ได้ยินแม่พูดว่า ฝุ่นไม่มีใครต้องการ บ้านไหนมีฝุ่นต้องปัดทิ้ง เห้อ เศร้ามาก
เด็กตัวเล็กๆพอได้ยินแม่พูดแบบนั้นคงจะเสียใจหนักเลยเนาะ
แต่โชคดีนะที่ยังมียูลและมัม ลึกๆก็อยากให้ยูลเป็นพระเอกนะ ดีซะขนาดนี้ แต่คงจะเหมาะกับการเป็นพี่ชายมากกว่าเนาะ

@StaR@

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วน้ำตาไหลออกมาเลย
สงสารฝุ่นไม่เข้าใจเลยคนเป็นแม่
เค้าทำกับลูกแบบนี้เหรอไม่อยากให้
ฝุ่นเกิดมาแล้วเอากันทำไมไม่เข้าใจ
แล้วดูที่ทำสิเหมือนฝุ่นไม่ใช่ลูกเลยอ่ะ
ทีมจะทำอะไรอย่าลืมนึกถึงความรู้สึกฝุ่นด้วยน่ะ
 :กอด1: :L2: :pig4:

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8
พ่อแม่ฝุ่น


สมกะคำนี้ละ


เลวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
หืมม แม่ของฝุ่นเลวร้ายได้อีก  ทำกับลูกในไส้ได้ลงคอ  
ลูกผิดอะไรเหรอถึงได้มาลงกับลูกแบบนี้  อ่านแล้วสงสารฝุ่นมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






tawan

  • บุคคลทั่วไป
ตอนต่อไปมาเร็ว ๆ นะ

อย่าหายไปนานนะคิดถึง

 :call:

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ยูล+ครอบครัวเ็ป็นคนดีจัง
 :impress3:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
แง้ น้องฝุ่น :monkeysad:
เรื่องแม่นี่มันเศร้าจริงเศร้าจัง ผู้หญิงอย่างนั้นไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแม่คนได้นะ :z3:
อยากยกมือเหมือนกันว่ายูลเองก็เหมาะจะเป็นพระเอก แต่คนที่ดีกับที่รักมันต่างกันอะ
ตอนนั้นยูลเป็นคนแรกที่ทำดีกับฝุ่นด้วยมั้ง มันคงเป็นความผูกพันกันมากกว่า
หรือจะบอกอีกนัยหนึ่งว่ายังไงก็เชียร์ทีมอยู่ดี เอิ้กๆๆ :z1:
+1 ขอบคุณค่า มาอัพบ่อยๆน้าตะเอง :impress2:

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
ทำไม อ่านไปๆ น้ำตานองซะเฉยๆ
อีป้าแก่ๆ อินจัดเลย
กระซิกๆ ฝุ่นเติบโตขึ้นมาโดยปราศจากน้ำหล่อเลี้ยงที่เรียกว่าความรัก

tunya0610

  • บุคคลทั่วไป
ว๊าก...ฝุ่นน่าสงสารมาก
พ่อฝุ่นไม่น่าโกรธเท่าแม่ของฝุ่น
ถ้าเกลียดลูกตัวเองขนาดนี้ เอาไปทิ้งให้คนอื่นเลี้ยงยังดีกว่าเอาไปด้วย
แล้วมาทำร้ายจิตใจกันตอนหลัง
โทษใครไม่ได้ นอกจากโทษตัวเองกับการกระทำของฝุ่นที่ผ่านมา...

แต่ว่าฝุ่นก็ยังมีคนดีๆเข้ามาคอยช่วยเหลือนะเนี่ย
ถ้าไม่ได้ยูล ก็ไม่รู้จะไปจบตรงไหนแล้ว
ไหนจะน้าอิ่มอีก..แต่ก็แอบสงสารนะ คงอยากอยู่กับยูลมากกว่า
แต่มาเมืองไทย มันก็ดูจะเป็นอนาคตที่ยาวไกลกว่า...

ว่าแต่จะให้ใครเป็นพระเอกดีล่ะเนี่ย
ยูลก็ดี แต่มันน่าจะเป็นการคบกันแบบไม่ได้ชู้สาว (มันสาวตรงไหน???)
ก็ยูลบอกว่าเป็นพี่น้อง...อืมมมมมม ยังไงดีล่ะเนี่ย

แล้วมาเมืองไทย ฝุ่นกับทีม อีก...
ให้ทีมเป็นพระเอกดีกว่านะ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :m20: :m20: :m20:

aloneboy

  • บุคคลทั่วไป
มาต่อไวๆนะค้างมาก

ออฟไลน์ nidnoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 558
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
แม่ของฝุ่นนี่
ใช้คำว่า หญิงสารเลว ยังน้อยไปไหม  :m31:

เกลียดลูกตัวเองนี่มีที่ไหน

ออฟไลน์ Pa'veaw

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-1
ค้างอะ

ทำไมฝุ่นน่าสงสารแบบนี้
นี่เค้าเป็นแม่คนจริงๆเหรอ

 :monkeysad: :sad11:

kokoky

  • บุคคลทั่วไป
"โอเลี้ยง...พ่อกับแม่ตะโกนใส่กันทำไม ฝุ่นทำอะไรผิดเหรอ”
.
.
.
ตั้งแต่ประโยคนี้มานะไอซ์ พี่ขวัญน้ำตานองหน้า
มันแบบแน่นหน้าอกมาก ไม่ไหวแล้วค่ะ เดี๋ยวทำใจแป๊บนึงแล้วจะไปอ่านอีกรอบ
ตอนน้าอิ่มคุยกับแม่น้องฝุ่นนี่ทำพี่ตายได้เลยนะ ยิ่งความหมายของชื่อน้องนี่เล่นทำสะอื้นเลยล่ะ :m15:

คุณแม่น้องฝุ่นคะ ในเมื่อรู้ว่าไม่พร้อมแต่ถึงยังไงก็ต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองได้ทำให้เกิดนะคะ
คนนะคะคุณแม่ไม่ใช่ตุ๊กตา ทำเป็นทิ้งๆขว้างๆได้ไง เด็กเป็นผ้าขาว ในเมื่อคุณแต่งแต้มให้เค้าเป็นแบบนั้น อย่าโทษใครเลยค่ะ
ในเมื่อมันเป็นเพราะตัวคุณตั้งแต่แรก  :fire:
เฮ่ออออออออ ไม่ไหวค่ะ ยิ่งเม้นท์ยิ่งร้อง

ขอบคุณน้องไอซ์ที่เขียนเรื่องได้ดีขนาดนี้ค่ะ สมที่รอคอยมาหลายวัน
ป.ล. อยากให้ยูลเป็นพระเอกค่ะ ยูลเท่แล้วก็ดีมาก เสียดายค่ะ คนดีๆที่มาช่วยน้องฝุ่นให้ดีขึ้น
ยังตกใจกับที่น้องบอกว่าถ้าไม่มาเจอคงฆ่าตัวตายไปแล้ว ช็อคค่ะ แต่เข้าใจน้องมากกกกกก

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
คอมจะช็อตค่ะ น้ำตาท่วมคอม  :sad4: :sad4: :m15: :m15:

ยิ่งอ่าน ยิ่งรู้สึกว่า ยูลดีมาก มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (แต่ดีเกินไป เลยทำให้เป็นพระเอกไม่ได้ :laugh:)
ส่วนมาดูอิพี่ทีม  :เฮ้อ: ยังกะ อวกาศกับแกนโลก  o12

ต่อเร็วๆนะคะ  :กอด1:
กำลังหิวมาม่าอยู่เลย  o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
ยูลน่ารักมากมัมก็น่ารัก

แต่แม่ฝุ่นกับอีตาพ่อเลี้ยงนี่ใช้ไม่ได้เลยมีอย่าที่ไหนทำกับจิตใจลูกขนาดนี้ :m31: :m31: :m31: :m31:

อีพี่ทีมทำไมไม่ขึ้นไปดูฝุ่นหา!!!! :angry2: :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
อ่านเสร็จ....อ้ึง
เมนท์ไม่ออกครับ สงสารฝุ่น

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ่านตอนนี้แล้วทำใจไม่ได้
ยังหาสาเหตุจริงจังที่แม่เกลียดลูกตัวเองแท้ๆ ไม่เจอ
นอกจากคำสั้นๆ "เห็นแก่ตัว"

เห็นลูกตัวเองเป็นอะไรกันเนี่ย เลิกกับสามีแล้วเกลียดสามียังพอมีเหตุผล
แต่ลูกเกี่ยวอะไรด้วย  ตอนสมัยยังเด็กก็รักลูกดี แล้วโตขึ้นมาบอกว่าตั้งชื่อว่าฝุ่น เพราะไม่สำคัญ
นี่มันอาการทางจิตขั้นรุนแรงแล้วนะ
ถ้าเลิกกับสามีฝรั่งของหล่อนแล้วจะเกลียดลูกอีกรึเปล่าเนี่ย?

อิสามีใหม่นั่นก็มาจากนรกแท้ๆ ผู้หญิงแบบนี้ยังเอาทำเมียได้
ไม่คิดบ้างเหรอว่า คนแบบนี้จะทำร้ายลูกสาวได้เหมือนกัน
โรคจิตชัดๆ ที่จริงเด็กในสังคมอเมริกันเจอแบบนี้ มีบาดแผลแบบนั้น ต้องเข้ารพ.
พ่อแม่ที่เลี้ยงดูโดนรัฐฟ้องว่าทารุณกรรมเด็กได้เลยนะ
อาชญากรรมในครอบครัวและเด็กเกิดขึ้นเพราะพ่อแม่ชัดๆ

เมนท์แบบค่อดอินอ่ะ

ออฟไลน์ mascot

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1499
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-10
อ่านแล้วจุกไปถึงคอ :monkeysad:
ฝุ่นมีอยู่ทุกที่ ไม่ใช่ฝุ่นที่ไร้ค่าหรอกนะ"ฝุ่น"

ออฟไลน์ milky way

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
 :m15: ฝุ่นชีวิตช่างน่าเศร้ามาก
บุญเท่าไหร่แล้วที่รอดจนเจอยูล
และอยากให้ยูลเป็นคนดูแลทีมต่อไป
แต่เมื่อไม่มีการเปลี่ยนพระเอก
คนคนนั้นก็ต้องเป็นทีม
อยากให้ทีมดูแลน้องเยอะๆ
ว่าแต่ทำไมถึงไม่ขึ้นมาดูน้องปล่อยให้น้องร้องไห้
อยู่อย่างนั้น

ออฟไลน์ ChiOln

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
น้ำตาคลอ

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
 :o12: :o12: :o12: สงสารฝุ่นอะ

 :z6:  ทำไมทีมไม่มาปลอบฝุ่นนิ

ออฟไลน์ hotladyanyavee

  • ขึ้นจากเกาะ มาใช้ชีวิตบนอ่าวนาง มันก็อินดี้ไปอีกแบบ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2384
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-10
ฝุ่นน่าสงสารเนอะ ทำไมแม่กลับพูด ทำร้ยจิตใจฝุ่นนะ
นั่นคือลูก แม่แบบนี้มีในโลกด้วยเหรอ

ออฟไลน์ engrish

  • "LolliPoP"
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 823
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-1
ให้ทีมเป็นพระเอกเหมือนเดิมอ่ะดีแล้ว
แต่ขอคนดีดีมาให้ยูลดีกว่า

lazewcielo

  • บุคคลทั่วไป
น้องฝุ่นน่าสงสารง่ะ
แม่แย่มากๆเลย ถ้าไม่คิดจะดูแลทำไมไม่ปล่อยไว้กับพ่อหล่ะ
อ่านอย่างนี้แล้วอยากให้ยูลเป็นพระเอกจัง
แล้วทำไมไอ้พี่ทีม ไม่ขึ้นไปปลอบฝุ่่นวะห๊ะ!?

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด