“เอาแต่ทำบาปนี่หว่า” ผมแซว
“แน่ะๆ รู้ทันๆ” ทีมหยิกแก้มผมแรงๆ แล้วบอกเสียงนุ่ม “ไปหาแม่ของพี่กันดีกว่า”
ตอนแรกผมนึกว่าทีมจะพาเดินนำไปที่รถเพื่อขับออกไปข้างนอก แต่กลับเดินนำผ่านตรอกไม่กว้างมากไปทางหลังวัดโดยไม่ได้บอกอะไรสักคำ แอบอึ้งเล็กน้อยที่มันพาเดินมาถึงลานขนาดกลางที่เต็มไปด้วยโกศและกุฏใส่กระดูก ผมตั้งท่าจะถามว่ามันจะเดินไปไหนกันแน่ แต่ทีมก็หันกลับมายิ้มให้บางๆ เมื่อเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าโกศหนึ่ง
“มานี่สิฝุ่น แม่ของพี่รออยู่นะ” ผมนิ่งค้างไปเล็กน้อย ก่อนขาจะก้าวออกไปข้างหน้าทั้งที่ในสมองยังตื้อกับประโยคนั้นของทีม แค่เพียงไม่กี่ก้าวที่เดินเข้าไปหาแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันนานแสนนาน โกศทรงสี่เหลี่ยมสีขาวมีฝุ่นเกาะอยู่ค่อนข้างมาก ทีมมันล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเช็ดให้อย่างเบามือ ผมก้มลงมองที่รูปของเจ้าของโกศนี้ ก็ใจหล่นหายไปหนักกว่าเดิม ผู้หญิงคนนั้นยังดูสาวกว่าที่ผมคาดเอาไว้มาก ทั้งยังหน้าเหมือนทีมราวกับแกะ...
“แม่...เหรอ?” ผมถามออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก ทีมหันหน้ากลับมามองผมด้วยดวงตาเศร้าๆ
“อืม แม่แท้ๆ ของพี่เลย ท่านเสียไปเมื่อหลายปีก่อนเพราะอุบัติเหตุน่ะ” ทีมตอบพร้อมยิ้มบางๆ ที่ผมรู้สึกว่ามันแลดูเศร้ามากเหลือเกิน
ผมในนาทีนั้นก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมทีมถึงอยากให้ผมคุยกับแม่ดีๆ รักแม่ให้มากๆ....เพราะสิ่งที่เสียไปแล้วมันไม่อาจเรียกคืนมาได้....
“แม่ครับ ทีมเอง บนสวรรค์สบายดีมั้ยครับ” ทีมหันกลับไปพูดกับรูปนั้น ก่อนจะชูกุหลาบสีขาวสามดอกใหญ่ที่มัดรวมกันไว้ด้วยริบบิ้นเล็กๆ ที่ถือติดมือมาด้วยนั้นขึ้นในระดับสายตา “ทีมเอากุหลาบขาวที่แม่ชอบมาให้ด้วยนะ...ทีมรู้ว่าแม่ไม่ชอบดอกไม้ช่อใหญ่ๆ เลยเอามาให้สามดอกนะครับ”
ผมน้ำตาคลอจนแทบจะไหลออกมาตอนที่ทีมวางดอกไม้ลงบนดินหน้าโกศนั้นแล้วเหยียดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง แฟนของผมหันกลับมายิ้มแล้วดึงให้ไปยืนข้างๆ ก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง
“แม่จำได้มั้ยว่า แม่เคยบอกทีมว่าสักวันทีมจะเจอคนที่ทีมรักสุดหัวใจและพร้อมจะดูแลเค้าไปตลอดชีวิต” ทีมพูดพลางหันมายิ้มให้ผมที่น้ำตาไหลลงอาบแก้ม แค่มองด้วยสายตาผมก็รู้ได้ในทันทีว่าทีมกับแม่รักกันมากแค่ไหน “วันนี้ทีมพาเค้ามาหาแม่ด้วยนะครับ ฝุ่นเป็นเด็กน่ารัก ถ้าแม่ได้มารู้จักฝุ่นล่ะก็ แม่ต้องรักเค้าเหมือนที่ทีมรักแน่ๆ”
ผมยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าจะกลั้นเสียงสะอื้นไม่อยู่ ทีมหันมายิ้มให้ผมทีนึงก่อนจะเอ่ยปากแซว
“แม่ทำอะไรแฟนผมเนี่ย ทำไมเค้าร้องไห้ใหญ่เลย”
“ทีม...มึงมันบ้า ทำไมต้องพูดให้ฝุ่นร้องไห้ด้วย” ผมพึมพำออกไป
“หึหึ...ถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ ทีมว่าแม่ก็ต้องเข้าใจและไม่ว่าอะไรทีมเรื่องที่ทีมมีแฟนเป็นเด็กผู้ชายแบบนี้” ผมก้มหน้าร้องไห้ในขณะที่ทีมยังคงพูดต่อ “แม่ช่วยทีมด้วยนะครับ ถือว่าเป็นคำขอในวันเกิดทีมก็แล้วกัน ดลใจพ่อให้พ่อรับเรื่องนี้ได้ และอย่าให้พ่อขัดขวางหรือทำอะไรให้คนที่ผมรักต้องเสียใจเลยนะ”
“คุณน้าครับ...ผม..ผมไม่ใช่คนที่ดีเท่าไหร่ แต่ผมสัญญานะ ว่าผมจะไม่ทำให้ทีมเสียใจอีก แล้วก็ถึงผมจะไม่เคยรู้จักกับคุณน้ามาก่อน แต่ผมรู้ว่าคุณน้าต้องเป็นคนใจดีมากแน่ๆ...ขอบคุณนะครับที่ทำให้ทีมเกิดมา” ผมพูดไปก็สะอื้น เช็ดน้ำหูน้ำตาเป็นพัลวัน ทีมก้มหน้ามาหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุขอยู่ที่ข้างหู ก่อนจะกดจูบเข้าที่ข้างขมับผมแรงๆ ทีหนึ่ง
“แม่ครับ...ทีมรักฝุ่น รักมากด้วย...แม่เองก็รักฝุ่นด้วยนะครับ ถ้าวันไหนทีมต้องไปเรียน หรือไปทำงาน แม่ก็ต้องช่วยทีมดูแลฝุ่นนะ”
ทีมปล่อยให้ผมยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง แน่นอนว่าถึงมันจะมีผ้าเช็ดหน้าก็คงไม่บ้าเอามาเช็ดให้ผมแล้วล่ะครับ เช็ดโกศคุณแม่ไปแล้วนี่นา สุดท้ายผมก็ใช้แขนเสื้อตัวเองกับอกเสื้อทีมนั่นแหละเป็นทิชชู่ใช้แล้วซัก
หลังเราเดินกลับมาที่รถ ทีมก็ขับออกไปเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี มีแค่ผมที่นั่งตาบวมตุ่ยอยู่อย่างนั้น
“ทำไมไม่เศร้าหรือซึ้งอะไรเลยวะ” ผมบ่น
“ซึ้งน่ะ ซึ้งอยู่แล้ว เศร้าก็เศร้า แต่จะให้พี่ร้องไห้เหรอ แม่ก็จะยิ่งเป็นห่วงน่ะสิ ถ้าพี่ร้อง แม่อาจจะมาตีฝุ่นคืนนี้ก็ได้นะ” อย่านะ กูกลัว ToT
“ทีม”
“ครับ?” ทีมหันมามองหน้าผมแวบหนึ่งแล้วกลับไปมองกระจกหน้าต่อ
“แม่เสียไปหลายปีแล้วเหรอ” ผมถาม ทีมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ
“ปีเดียวกับที่พี่เลิกเล่นเทควันโดนั่นแหละ” ทีมตอบสั้น ก่อนจะพูดเสริม “แท็กซี่ที่แม่นั่งมาดูพี่แข่งรอบชิงชนะเลิศคว่ำระหว่างทาง ทั้งที่พี่ได้เหรียญแต่กลับไม่ดีใจเลยสักนิด แต่โชคยังดีกว่าหลายๆ คน พี่รีบไปหาแม่ที่โรงพยาบาล ท่านก็บอกสั้นๆ ก่อนสิ้นใจว่า ท่านดีใจที่พี่ประสบความสำเร็จกับกีฬานี้...หลังจากนั้นพี่ก็พับชุดเทฯ เก็บแล้วไม่เคยหยิบออกมาเล่นอีก”
“ขอโทษนะ ไม่น่าถามเลย” ผมพึมพำ เพราะบรรยากาศในรถเริ่มเศร้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“หึหึ ไม่เอาน่า พี่ทำใจได้ตั้งนานแล้วนะ ที่จริงก็อยากเลิกเล่นอยู่แล้ว ตอนนั้นจะเข้ามหาวิทยาลัยด้วย พอมีเรื่องแม่ พี่ก็เลยตัดสินใจให้วันนั้นเป็นเหรียญสุดท้าย” ทีมอธิบายด้วยน้ำเสียงร่าเริง พอดีกับที่รถติดไฟแดง แฟนของผมจึงหันมาจูบปากเบาๆ “ไม่จำเป็นต้องเศร้าหรือเสียใจกับอดีตที่ผ่านมา...แค่ตอนนี้ฝุ่นรักพี่ก็พอแล้ว”
ผมอมยิ้มออกมากับประโยคนั้น ก่อนจะนึกขึ้นได้เลยพลิกตัวหันกลับไปชะโงกหยิบกระเป๋าเป้บนเบาะหลังที่วางเอาไว้ตั้งแต่เช้าขึ้นมา ทีมมองตามว่าผมจะทำอะไรสลับกับมองสัญญาณไฟเป็นระยะๆ ไม่อย่างนั้นเราคงโดนประชาชีบีบแตรไล่อีกยกใหญ่
“หยิบอะไรน่ะ” ทีมถาม
“ฮิฮิ” ผมแกล้งหัวเราะเสียงเล็กเสียงน้อย ก่อนจะหยิบกล่องนาฬิกาที่เตรียมเอาไว้ออกมาส่งให้พร้อมบอก “สุขสันต์วันเกิด”
“หึหึ ทำเป็นเด็กๆ เลย”
“แล้วจะไม่เอาใช่มั้ย” ผมแกล้งขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งใส่ ดึงกล่องคืน แต่ทีมกลับรีบคว้าเอาไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เอาสิครับ ที่รักให้ทั้งที” ทีมยิ้มกว้าง “ขอบคุณมาก....ที่จริง..ถึงฝุ่นจะไม่ให้อะไรเลย พี่ก็ไม่ว่าอะไรนะ”
อ้าว พูดงี้แปลว่าไม่อยากได้งั้นสิวะ?
“แต่ยังไงก็ขอบคุณมาก พี่เกรงใจเรา ไม่ได้อยากให้คิดว่าต้องซื้อนั่นนี่ให้พี่มากมาย แค่ตอนนี้พี่ก็ดีใจที่สุดแล้ว” ทีมบอกด้วยรอยยิ้ม ผมกำลังจะยุให้เปิดกล่องแต่โชคร้ายที่ดันไฟเขียวพอดี และรถคันหลังก็บีบแตรไล่เสียงดัง ทีมจึงต้องเบนสมาธิไปขับรถอย่างเสียไม่ได้
แต่แฟนของผมก็ไม่ได้ใจร้ายมากพอจะพากลับเข้าบ้านโดยไม่หาอะไรกินกันก่อน ตอนนี้ก็สายมากพอสมควรแล้ว และผมก็หิวด้วย ทีมจึงแวะจอดแถวตลาดหน้าปากซอยบ้าน จุดมุ่งหมายของเราคือร้านข้าวมันไก่ใกล้ๆ นี่เอง
ทีมลงจากรถโดยถือกล่องนาฬิกาไปด้วย ผมจึงลงตามและเดินไปอยู่ข้างๆ เพื่อรอข้ามถนนพร้อมกัน
“หิวมาก” ทีมหันมาบ่นให้ผมฟัง
“พอกันแหละ” ผมตอบ แล้วรีบข้ามถนนทันทีที่รถโล่ง
“ผมเอาข้าวมันไก่ไม่หนัง...ฝุ่นเอาอะไร” ทีมหันมาถาม ผมจึงนั่งคิดนิดหน่อยแล้วถามออกไป
“ไก่ทอดอร่อยป่าวอะทีม”
“ก็ดี แต่มันจะแข็งน่ะสิ เอาไก่ต้มเถอะ” ทีมแนะ ผมเลยเอาแบบเดียวกับที่มันสั่งไป ระหว่างที่รอข้าว ทีมก็หยิบกล่องนาฬิกาออกมาเปิดยิ้มๆ ก่อนจะตาโตเมื่อเห็นของข้างในชัดๆ
“สวยมั้ย” ผมถามแล้วยิ้มให้ ทีมยกนาฬิกาเรือนนั้นขึ้นมาทาบบนข้อมือด้วยสีหน้าบ้าเห่อ
“สวยสิ พี่ชอบมากเลย ขอบคุณนะ” ผมรับคำนั้นด้วยรอยยิ้มและหัวใจที่พองโต แต่ยังมีความสุขได้ไม่ถึงขีดสุด ใครบางคนก็เดินมาจากทางด้านหลังแล้วนั่งลงข้างๆ พร้อมเสียงแหลมๆ ที่ทักขึ้น
“ไงทีม น้องฝุ่น ไม่ได้เจอตั้งนาน ไม่เห็นออกมาหาพี่บ้างเลย” ...ก็กูไม่ได้เป็นอะไรกับมึงนี่หว่า จะออกมาหาทำหอกอะไร
“ไงเชี่ยเป้” ทีมทักแล้วยิ้มเฝื่อนๆ
“หึหึ มากินข้าวกันเหรอ...เฮ้ย ทีม นาฬิกาสวยว่ะ ขอกูดูหน่อยดิ” พูดแล้วไม่รอคำตอบ หันไปคว้านาฬิกาที่ทีมยังไม่ทันเก็บเข้ากล่องมาทาบและลองใส่อย่างถือวิสาสะ เล่นเอาผมแอบจี๊ดขึ้นมายังไงชอบกล ทีมขมวดคิ้วตอนที่มองไอ้พี่เป้นิ่ง ก่อนจะบอก
“เชี่ยเป้ เอาคืนมา นั่นมันของกู”
“โหย สวยขนาดนี้ ขอกูลองใส่แป๊ปเดียวเอง อย่างกดิวะ” ....อย่างทีมไม่เรียกว่างก แต่มึงน่ะ เสียมารยาท
“พี่เป้ ขอคืนด้วยครับ” ผมบอกเซ็งๆ คราวก่อนเจอแม่งก็โคตรเสียมารยาท แต่นับว่าจิ๊บไปเลยเมื่อเจอวันนี้
“อ่ะๆ น้องฝุ่นก็...เอาคืนก็ได้ครับ ไม่ต้องดุก็ได้แหม” ไอ้พี่เป้ทำเสียงเล็กเสียงน้อยแล้วถอดนาฬิกาออกคืนทีมแบบส่งๆ ผมทันเห็นห่านป่าตัวใหญ่มันขมุบขมิบปากด่าแบบเซ็งๆ อย่าว่าแต่ทีมเลยครับ ผมเองก็เซ็งนะ เจอคนไร้มารยาทแบบนี้
“ข้าวมาแล้วค่ะ” เด็กเสิร์ฟของร้านพูดขึ้นเมื่อวางจานข้าวลงบนโต๊ะ พร้อมน้ำซุปที่เป็นต้มจืดฟักใส่มะนาวดอง
“พี่ป้อนมั้ยน้องฝุ่น” ไอ้พี่เป้หันมาถามออเซาะ ผมได้แต่ขยับตัวหนีด้วยความแขยงในใจ
“ไม่เป็นไรมั้งเป้ กูว่าฝุ่นก็มีมือมีเท้าครบนะ คงไม่ต้องให้มึงมาคอยป้อนหรอก” ทีมขัดคอขึ้น
“ทำหวงน้องนะไอ้เหี้ย นี่น้องฝุ่นเป็นน้องหรือเมียมึงวะ หวงซะยิ่งกว่า
หมาหวงก้าง” สงสัยมันจะอยากกินรองเท้าหนัง เน้นคำหลังเสียจนผมแอบเห็นเส้นประสาทของทีมกระตุกตึบๆ กำช้อนแน่นคล้ายกำลังระงับอารมณ์ไม่อยากมีเรื่อง ผมจึงพูดเป็นเชิงไล่
“จะเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับพี่นี่ครับ ผมว่าถ้าไม่อยากมีเรื่องพี่ก็ให้พวกเรานั่งกินข้าวกันสงบๆ ดีกว่า”
ไอ้พี่เป้หันมามองผมตาหนึ่ง ก่อนจะไหวไหล่แล้วบอก
“ก็ได้ๆ ไปก็ได้ กูพูดเล่นๆ อย่าคิดมากนะมึง” เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของทีมตบไหล่แฟนผมทีนึง แล้วเดินออกจากร้านไป
“นี่ใช่มั้ยวะ ถึงได้บอกว่าให้ห่างๆ ไอ้พี่เป้อะไรนี่ไว้” ผมถามเซ็งๆ ทีมพยักหน้า
“มันไม่ใช่คนไม่ดี แต่บางทีก็กวนตีนเกินไป พี่เลยไม่ชอบคุยกับมันเท่าไหร่”
“แต่ก็เห็นสนิทกันดีไม่ใช่เหรอทีแรก” ผมแซว ทีมเลยทำหน้าปากจู๋ใส่พลางตอบ
“ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย”
ที่เค้าบอกว่าชีวิตเราก็เหมือนหาดทราย มีคลื่นพัดเข้ามา เดี๋ยวก็พัดออกไป บางทีก็มีมรสุม...ผมเพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง หลังจากเมื่อสองอาทิตย์ก่อนผมได้หลั่นล้าอยู่พักหนึ่ง มรสุมลูกใหม่ก็กระแทกเข้ากลางแสกหน้า เมื่อผมต้องสอบครั้งแรกในชีวิตมหาวิทยาลัย โอ้ก ไม่อยากจะบอกว่ารู้สึกอยากตายแรงๆ วันละหลายรอบ
ถึงจะมีทีมมาช่วยติวเลขให้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะตอนสอบผมก็ยังนั่งงงๆ เขียนคำตอบลงไปเหมือนไม่เคยได้เรียนอะไรสักวิชา ไม่มีความรู้สึกว่าไอ้นี่คุ้นๆ หรืออะไรทำนองนี้แม้แต่น้อย...กูโง่สินะ(ร้องไห้)
เมื่อคืนนี้คุณแฟนสุดที่รักบอกว่า วันอาทิตย์นี้ที่เป็นวันสอบวันสุดท้ายของผม มันไม่สามารถมารับที่คณะได้เนื่องจากติดไปค่ายอาสาพัฒนาที่จังหวัดเลยตั้งแต่เช้าวันศุกร์ กลับมาอีกทีก็วันพฤหัสบดีของอาทิตย์ถัดไป ตอนแรกทีมมันก็ไม่อยากไป แต่เพราะเป็นงานคณะที่พี่ไกด์กับมันเป็นเฮดด้วยกัน ถ้าไม่ไป พี่ไกด์อาจเอานิวเคลียร์มาบึ้มบ้านได้
นับๆ ไป....วันมะรืนนี่หว่า วันศุกร์เนี่ย โอ้ก เร็วอะไรปานนี้
จุ๊บ..
“คิดอะไรอยู่” แรงจูบพร้อมคำพูดที่เกยอยู่บนหัวทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง ทีมยืนกอดผมเอาไว้หลวมๆ ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“เปล่า กำลังเซ็งเรื่องสอบน่ะ” ผมตอบ แล้วเปิดอาหารกระป๋องเพื่อเตรียมให้เซ็กส์ซี่...แหม หมาน้อยหายไปหลายฉากเนอะ กลับมาแล้ว คิคิ
“ขอโทษนะ ติดงานจริงๆ หลังจากนั้นสัญญาว่าจะพาไปกินข้าวปล่อยแก่”
“ไอ้บ้า” ผมด่าขำๆ ทีมเลยกอดผมเอาไว้แล้วเขย่าไปมาอย่างกลั่นแกล้ง ผมก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกให้วางลง สิ่งที่ทำให้ทีมหยุดชะงักกลับไม่ใช่เสียงของผม...
“เล่นอะไรกันน่ะ” ผมรู้สึกเหมือนหัวใจกระตุกเยือกแล้วหล่นลงไปกองกับพื้น ในขณะที่ทีมยังไม่ยอมปล่อยให้ผมยืนได้ปกติ สายตาของเราสองคนหันกลับไปมองยังบุคคลที่สามที่เพิ่งเข้ามาและกำลังจ้องมาทางผมด้วยแววตาประหลาด...โกรธก็ไม่ใช่ สงสัยก็ไม่เชิง...
“รายการแกล้งฝุ่นประจำวันครับ” ทีมตอบขำๆ แล้วเริ่มเหวี่ยงผมอีกรอบ แต่คราวนี้ผมเริ่มขำไม่ออก ลุงสินเองก็เช่นกัน เขามองมาที่อ้อมแขนนั้นอย่างสงสัย ก่อนจะพูดขึ้น
“แค่แกล้งกันก็แล้วไป อย่ามีอะไรมากกว่านั้นล่ะ” แกพูดเสร็จก็เดินออกจากห้องครัวไปโดยไม่พูดอะไรอีก ทีมจึงยอมวางผมลงให้ยืนกับพื้น ยิ้มให้บางๆ
“เล่นอะไรทำไมไม่ดูเลย ถ้าลุงสินรู้เข้าจะทำยังไง!?” ผมทำเสียงดุใส่เบาๆ เพราะกลัวว่าลุงสินอาจเดินย้อนกลับมาหรือไม่ก็แอบฟังอยู่จะได้ยินเข้า ทีมไหวไหล่นิดหน่อยแล้วบอกแบบไม่ยี่หระ
“พี่ไม่สนใจหรอกนะถ้าพ่อจะรู้ ก็เคยบอกแล้วไงว่าต่อให้พ่อจะรับเรื่องนี้ไม่ได้ พี่ก็จะไม่มีวันปล่อยเราไปเด็ดขาด”
แค่คำพูดมันก็น่าดีใจอยู่หรอกครับ แต่ผมก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้ ถ้าวันนึงลุงสินรู้เรื่องนี้เหมือนที่น้าอิ่มรู้ แกจะว่ายังไง ผมคงเป็นคนแรกที่โดนเฉดหัวออกจากบ้าน บอกตามตรงว่าไอ้เรื่องแค่นั้นผมไม่สนใจเท่าไหร่ แต่สิ่งสำคัญที่กำลังรบกวนจิตใจของผมมาตลอดตั้งแต่น้าอิ่มรู้เรื่องก็คือ...สักวันผมกับทีมต้องแยกจากกัน...
ลุงสินมีความคิดค่อนข้างสมัยใหม่ก็จริง แต่เรื่องความรัก การแต่งงานหรืออื่นๆ ทางนี้เห็นได้ชัดว่าแกยังยึดถือความคิดของคนสมัยเก่าที่ว่า ‘ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง’ ไม่ใช่ ‘คนคู่กันคือคนที่รักกัน’ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เพราะผมได้เห็นในหลายๆ มุมของลุงสินทำให้เกิดความเคารพและเกรงใจขึ้นเต็มหัวใจ จนมีวูบหนึ่งที่ผมเกิดความคิดว่า ต่อให้ทีมจะดื้อดึงรั้งทุกอย่างเอาไว้ แต่ผมจะเป็นคนทำเรื่องให้สิ้นสุดปลายทางตรงความถูกต้องด้วยตัวของผมเอง...
“เอาอาหารไปให้เซ็กส์ซี่ก่อนนะ” ผมบอกเรียบๆ ทีมได้แต่เงียบไม่พูดอะไรจนผมยกชามพลาสติกสีขาวเดินออกไปจนถึงประตูห้องครัว เสียงของคนที่ผมรักจึงดังขึ้นขัดเบาๆ
“เชื่อในตัวพี่นะฝุ่น...พี่รักเรามากนะ”
ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไปทั้งนั้น ได้แต่เดินออกไปหาเซ็กส์ซี่ที่ด้านนอกตัวบ้าน เจ้าหมาน้อยที่ไม่ได้เจอกันเพราะผมติดสอบต้องอ่านหนังสือรีบวิ่งหูปลิวหางกระพือเข้ามาหาพร้อมลิ้นห้อยๆ ทันที
“ไงมึง...คิดถึงกูล่ะสิ” ผมบอกแล้ววางชามอาหารให้ เซ็กส์ซี่รีบกินอย่างรวดเร็ว “ถ้าเป็นมึง..จะทำไงวะ”
แน่นอนว่าไม่มีคำตอบจากเจ้าขนทองสี่ขาที่กำลังเห็นแก่กินอย่างน่าเกลียดตัวนี้ ผมนั่งอยู่ที่สนามหญ้าพักใหญ่ รอให้เซ็กส์ซี่กินจนอิ่มจึงเอามันมาเล่นด้วย ทั้งลูบขนดึงนั่นดึงนี่ตามสไตล์แหละครับ มันกำลังอิ่มๆ ไม่อยากให้วิ่งมาก เดี๋ยวอ้วก เอิ้ก
“กูรักเจ้านายมึงนะเซ็กส์ซี่ แต่ถ้าวันนึงกูต้องเลือกจริงๆ กูจะเลือกอะไรดี ความถูกต้องหรือความต้องการ?”
มันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ นอกจากเสียงหงิงเบาๆ ของอีหมาน้อยที่เอียงคอมองผมอย่างน่ารักน่าแกล้ง ผมรู้..ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่วิตกกับเรื่องนี้ แต่ผมก็ไม่อยากให้ผู้มีพระคุณของผมต้องลำบากใจเพียงเพราะความต้องการส่วนตัวของตัวเอง
จะดูเห็นแก่ตัวมั้ย ถ้าผมเลือกที่จะรักทีมโดยไม่สนใจความถูกต้องใดๆ บนโลกใบนี้...?
ต่อตอน 19 จ้ะ
eiizes’s talk
เตรียมใจไว้ดราม่าด้วยนะจ๊ะ อุคิ
อีกสองตอนครึ่งก็จะจบแล้วนะคะ ดังนั้นเราจึงเปิดจองแล้วค่า รายละเอียดรบกวนติดตามที่หน้าแรกได้เลยจ้ะ
แอบเอาปกมาโปรโมทที่ตรงนี้ด้วยค่ะ ฮี่ๆๆๆๆ
สั่งกันเยอะๆ น้า รับพี่ทีมกับน้องฝุ่นไปไว้ในอ้อมอกกันด้วยนะคะ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ค่า
eiizes