Tsundere Boy เมื่อหนุ่มซึนมาหลงรัก ตอนที่ 36.1
5 ปีผ่านไป
“เขื่อน ตื่นได้แล้วนะลูก เช้าแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน” แสงสว่างยามเช้าสาดส่องเข้ามาหลังจากม่านผืนโตในห้องนอนถูกรูดเปิด ทำให้ร่างๆหนึ่งที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นทีละน้อย
“เมื่อคืน...ผมนอนไม่สบายเลย..” อลิซหันมามองลูกชายในวัย 23 ปีซึ่งลุกมานั่งตรงขอบเตียง มือใหญ่ยกขึ้นมาขยี้ผมสีอ่อนพลางหาวหวอด ขอบเอวกางเกงนอนหมิ่นเหม่เพราะเชือกที่รัดไม่แน่นบวกกับท่อนบนที่เปลือยเปล่า ทำให้ร่างกายที่ฟิตเปรี๊ยะเพราะเล่นกีฬาเป็นประจำออกมาท้าทายกับแสงแดดยามเช้า
‘เฮ้อ เพราะแบบนี้แหละ คุณนางค์ถึงไม่ยอมเข้ามาปลุกเอง...’ นึกแล้วอลิซก็แปลกใจ น้ำทนมองบอดี้เย้ายวนแบบนี้ทุกเช้าได้ยังไงนะ...
“แม่ครับ น้ำตื่นหรือยัง” เสียงแหบห้าวถามถึงคนที่เคยนอนด้วยกันเป็นประจำ ทว่าตั้งแต่เดือนที่ผ่านมาจนถึงเมื่อคืนกลับถูกแยกให้นอนคนละที่ด้วยเหตุผลน่าหงุดหงิด
‘ปาร์ตี้สละโสด & เข้าคอร์สเจ้าสาว’
“น้ำตาลตื่นก่อนเราตั้งชั่วโมงแล้ว พ่อคุณชายตื่นสาย” อลิซเดินมาหาลูกชายที่ข้างเตียงและลูบผมสีอ่อนนั้นด้วยความรักใคร่
‘ลูกชายของเรา โตเป็นหนุ่มแล้วสินะ... แต่จะว่าไปมันก็โตมาตั้งนานแล้วแหละ’
“แม่มาช่วยผมแต่งตัวเหรอครับ” เขื่อนเงยหน้ามายิ้มให้แม่และกอดเอวคอดนั้นแน่น
“จริงๆแม่ก็อยากให้คุณนางค์มาช่วยนะ แต่คุณนางค์เขากลัวทนฟีโรโมนลูกไม่ไหว”
“ฟีโรโมนอะไรครับ มีแต่ขี้ตา หึหึ” เขื่อนลุกยืนและบิดขี้เกียจ ร่างกายที่ตอนนี้สูงกว่าแม่ตัวเองเป็นเกือบฟุตครึ่งเดือนไปหยิบผ้าขนหนูมาพาดบ่า
“อาบไวๆนะลูก เดี๋ยวไม่ทันงานเริ่ม”
“คร้าบๆ”
เสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้ามายังชายฝั่งในยามเช้าทำให้รู้สึกได้ถึงความสดชื่นของไอทะเล โบสถ์สีขาวบนเกาะที่ถูกสร้างเป็นรีสอร์ทแห่งนี้มีหน้าต่างบานสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ทำให้คนในโบสถ์สามารถเห็นวิวชายทะเลได้ พ่อของเขื่อนเคยใช้ที่นี่จัดเป็นงานแต่งงานของตัวเอง และตัดสินใจซื้อที่บนเกาะนี้ตั้งแต่วันที่รู้ว่าลูกของตัวเองกำลังจะลืมตามาดูโลก
‘ผมอยากให้ลูกได้จัดงานแต่งงานที่เดียวกับเรา’ คำพูดที่เขตเคยบอกกับอลิซเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว
“ที่นี่บรรยากาศแม่งโคตรดี” แทมมองไปรอบๆโบสถ์แห่งนี้และพูดออกมาอย่างชื่นชม โดยโมนและเทมส์เองก็เห็นด้วย
“กูตื่นเต้นว่ะ..” ทั้งสามคนหันไปมองเจ้าบ่าวที่กำลังนั่งกำมือแน่นอยู่บนม้านั่งสีขาว
“มึงนี่ก็แสดงอารมณ์เหมือนคนปกติได้เหรอวะ” เทมส์นั่งลงข้างๆเขื่อนและยกแขนโอบไหล่เพื่อน รับรู้ได้ถึงอาการสั่นน้อยๆจากตัวเขื่อน
“กูก็คนนะเพื่อน วันสำคัญแบบนี้ก็ตื่นเต้นบ้างแหละ”
“เอาน่ะ กูว่าน้ำก็คงตื่นเต้นไม่แพ้มึงหรอก”
“นั่นสินะ..” เมื่อนึกถึงน้ำที่คงกำลังเตรียมตัวอยู่ในห้องด้านในแล้ว เขื่อนจึงเริ่มสงบใจได้อย่างน่าอัศจรรย์
“เขื่อน...ได้เวลาแล้วนะลูก”เขื่อนหันไปตามเสียงเรียกจากด้านหลัง คคนางค์ อลิซและเขตยืนอยู่ทางด้านหลัง เขื่อนลุกไปหาพ่อและแม่ของตนเองด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นจนบรรยายไม่ถูก
อลิซและเขตพาลูกชายไปยืนรอที่ปลายทางเวอร์จินโร้ด บาทหลวงชรายิ้มให้เขื่อนอย่างเป็นกันเอง มือใหญ่ล้วงในกระเป๋ากางเกงตัวเองเพื่อคลำหากล่องใส่แหวน สัมผัสกำมะหยี่จากกล่องส่งผ่านสู่ฝ่ามือที่ชื้นเหงื่อ ใบหน้าคมมีสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนสักนิด แต่หัวใจนั้นกลับเต้นรัวเหมือนตีกลอง
เขื่อนมองไปรอบโบสถ์เพื่อสำรวจแขกที่มา มีเพียงเพื่อนสนิท...และคนใกล้ชิดเท่านั้น...
เสียงดนตรีจากเปียโนสีขาวหลังใหญ่ดังขึ้นพร้อมกับประตูโบสถ์ที่เปิดออก เขื่อนแตะเนกไทเพราะรู้สึกอึดอัด สายตามองตรงไปที่คนตรงปลายทางของเวอร์จินโร้ด เจ้าสาวในชุดกระโปรงยาวแค่เข่ากำลังเดินตรงมาที่เขา
เจ้าสาว
ในชุดกระโปรง
กำลังเดิน
ตรงมา
ที่เขา...
‘ทำไมใส่กระโปรงวะ!!!! หรือว่านี่จะเป็นเซอร์ไพรส์ ไอ้ซีดในชุดกระโปรงเหรอ’ เขื่อนเริ่มสติแตก ทำไมน้ำถึงปรากฎตัวในชุดกระโปรง ทำไมคนอื่นจึงไม่มีท่าทีแปลกใจ นี่มันอะไรกัน
จวบจนร่างบอบบางที่มีผ้าคลุมปิดหน้านั้นเดินมาหยุดตรงหน้าเขา เหมือนเวลาหยุดนิ่ง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงหายใจ
‘ทำไมบาทหลวงไม่พูดล่ะ’ ไม่มีแม้แต่เสียงของบาทหลวง เจ้าสาว (?) ตรงหน้าเขาก็เงียบ เขื่อนได้แต่นิ่งเงียบจนไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าเสียงเปียโนก็หยุดลง
“??” สีหน้าแปลกใจปรากฎบนใบหน้าคมอีกครั้ง เมื่อเจ้าสาวตรงหน้าเขายกแขนขึ้นมาทำท่าเหมือนจะให้เขาเกาะ เสียงหวานๆที่คุ้นเคยก็พูดกับเขาเบาๆ
“เธอเลือกแล้วใช่มั้ย และจะไม่ทำให้เขาเสียใจใช่มั้ย” คำถามที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิด คำถามที่น้ำเสียงเจือแววสะอื้น
“ใช่ ฉันจะไม่ทำให้เขาเสียใจ” เขื่อนตอบอย่างแน่วแน่ เจ้าสาวจึงพยักหน้าและยกแขนขึ้นมา
“เกาะแขนชั้นสิ..” เขื่อนวางมือลงไปที่แขนของเจ้าสาว และปล่อยให้เธอเดินนำเขาไป...ที่หน้าต่างข้างเปียโนหลังนั้น....
“ขอบใจนะมะนาว..” หันไปบอกเจ้าสาวที่หันหลังเดินกลับ เธอชะงักเล็กน้อยและพยักหน้าเบาๆ
“จ้ะ”
เสียงเปียโนดังขึ้นมาเป็นท่วงทำนองเพลงที่เขาเคยฟังเมื่อนานมาแล้ว เสียงเปียโนของเดือนวาดทำให้เขื่อนหายว้าวุ่น เขายืนรออยู่นิ่งๆ จวบจนเสียงเพลงที่แสนหวานดังกังวาน..
คลิกเพื่อฟังเสียงขับร้องดังจากด้านนอกของหน้าต่างบานสูงจรดเพดาน ร่างบอบบางที่เขื่อนคุ้นเคยยืนแอบอยู่หลังม่านพริ้วไหวนั้น เมื่อเสียงเพลงหยุดลง เขื่อนจึงสาวเท้าไปที่หลังม่าน และค่อยๆใช้มือเลิกผ้าม่านให้เปิดออก ร่างบางสูงแค่คางของเขายืนหันหลังให้ พอจะแตะที่ไหล่นั้นก็มีเสียงถามขึ้นเสียก่อน
“แน่ใจนะ ว่าอยากจะอยู่กับผมไปชั่วชีวิต” เสียงใสแฝงแววหยอกล้อ ช่างขี้เล่นจนวินาทีสุดท้าย...
“มั่นใจที่สุดในชีวิตเลยละ ว่าแต่ตอนนี้จะขอจูบเจ้าสาวได้หรือยัง” เสียงหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินคำตอบของเขื่อนก่อนจะหันหน้ามาสบตาด้วย
“ถ้าคิดว่าเลือกผิดทีหลังละก็ ไม่มีทางให้แก้ตัวแล้วนะ” ใบหน้าหวานมีเรือนผมเคลียไหล่ ปากสีอ่อนและดวงตาที่มีแวววิบวับ คนนี้ที่เขื่อนรอคอยมาตลอดห้าปีกว่าจะได้แต่งงาน..
“นายต่างหาก แน่ใจแล้วเหรอ” เขื่อนถามกลับ คนตรงหน้านิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ความรู้สึกหวั่นไหววูบหนึ่งปรากฎขึ้นในใจเขื่อน หวังว่าน้ำคงไม่ทำให้เขาผิดหวัง...
“ผมแน่ใจที่สุดในชีวิต..” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มสดใส เสียงร้องเชียร์ดังขึ้นทั่วบริเวณโบสถ์
“โลกนี้ไม่ได้มีพวกแกแค่สองคนนะโว้ย”
“มาเข้าพิธีสักทีสิวะ เมื่อยแล้ว”
“หลวงพ่อยืนรอพวกเธอจนเหนื่อยแล้วนะจ๊ะ”
“ไปเถอะน้ำ ไปทำพิธีให้เสร็จ จากนี้จะได้เป็นช่วงเวลาของเราสองคน” เขื่อนกระซิบข้างหูและจูงมือเจ้าสาวตัวจริงไปที่แท่นพิธี
คำสาบานที่กล่าวแก่พระเจ้าว่าจะซื่อสัตย์ต่อกันและกัน คำว่ารักที่จะมอบให้กันไปทั้งชีวิต และแหวนที่เป็นเหมือนสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไปถูกสวมลงที่นิ้วนางข้างซ้ายของคนที่รักสุดใจ
“เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวได้” บาทหลวงชรากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางมองคนทั้งสองตรงหน้า ความรักนั้นช่างไร้พรหมแดน...
“แม่ครับ...” น้ำเรียกแม่ของตัวเองที่นั่งนิ่งอยู่ตรงเก้าอี้ชายหาดริมทะเลคนเดียว เขาสังเกตว่าแม่หายไปจากปาร์ตี้พักใหญ่ จึงลองเดินออกมาตามหา
“ว่าไงลูก ทำไมไม่อยู่ในงานละจ๊ะ” คคนางค์หันมายิ้มให้ลูกชายอย่างอ่อนโยนก่อนจะขยับที่ให้น้ำนั่งข้างๆ
“แม่ต่างหาก ออกมานั่งมองทะเลทำไมครับ”
“แม่ไม่ได้มานั่งมองทะเลเฉยๆ แต่แม่มานั่งคุยกับนุต่างหาก”
“คุยกับพ่อ...เหรอครับ”
“ใช่จ้ะ แม่มาบอกข่าวว่าลูกแต่งงานแล้ว” น้ำมองใบหน้าของแม่ที่ยังคงสวยและงดงามเสมอ แต่สายตากลับทอแววเศร้าเมื่อเหม่อมองไปไกล เขาไม่อยากให้แม่เหงาอีกแล้ว...
“แล้วเมื่อไรแม่จะแต่งบ้างละครับ” คคนางค์หันมามองหน้าลูกชายด้วยสีหน้าตกใจ
“เขารอแม่มาตั้งห้าปีแล้วนะครับ”
“แม่...”
“แม่ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกครับ เพราะผมคิดว่าพ่อก็คงไม่อยากให้แม่เหงาเหมือนกัน”
“น้ำไม่โกรธหรือลูก”
“ไม่หรอกครับ พอลเขาก็เป็นคนดี...ถ้าไม่ติดที่ชอบกวนประสาทผม...”
“ฮิฮิ พอลเขาเอ็นดูลูกน่ะ” น้ำมองแม่ของตัวเองที่มีสีหน้าเหมือนผู้หญิงที่กำลังมีความรักเวลาที่พูดถึงพอล
“แต่ผมต้องได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวนะครับ”
“ตามใจลูกสิจ๊ะ”
“น้ำ/นางค์ มานั่งทำอะไรตรงนี้” เสียงเรียกของผู้ชายต่างวัยสองคนทำให้สองแม่ลูกต้องหันไปมองและหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“เราก็มานั่งคุยกันประสาแม่ลูกไงละ!!”
จบครึ่งแรกจ้า