ลมเหนือที่รัก
ตอน133 Andreana in room
------------------------------
lom's
เกือบจะสี่ทุ่มครึ่ง ห้องคอนโด...
“Such a lovely place!~~~” เสียงหวานใสก้องทั่วห้อง
ชื่นชมไปทั่วทำนอง ช่างน่าอยู่ น่ารักมั่กมาก อันโน้นก็ดี อันนี้ก็ใช่
ตื่นเต้นกับประดาต่างๆ นานาทั่วอาณาบริเวณห้องพร้อมรองเท้าส้นสูงกุกกักเหมือนม้า
มันย่ำแทงกรีดภายในผมแทบจะ...
“Andreana, yours shoes!” แว่วๆ เหยี่ยวขาวดุเรื่องไม่ถอดรองเท้าแต่น้ำเสียงไม่จริงจัง
วิ่งไล่กวดชุดกระโปรงลายดอกไม้สีหวานที่กุกกักถึงข้างบนแล้ว
ร่องรอยความอ่อนโยนในประโยคนั้น มีรอยยิ้มกลั้วหัวเราะชอบใจอยู่ในที
ผมยืนนิ่งอยู่แค่หน้าประตู หลับตาลง ความรู้สึกยากจะบรรยาย
คล้ายออกซิเจนโดนดูดออก
คล้ายเรี่ยวแรงที่มีโดนสูบออกหมดตัว
คล้ายหัวใจฟีบไม่เหลือสิ่งใดอยู่ภายในยังไงยังงั้น
เวียนหัวสุดทน เหมือนปลาเป็นๆ ดิ้นอุกอักอยู่ในท้อง
พุ่งเข้าไปอ้วกในห้องน้ำ สลัดผักกับแซลมอนสีส้มจากร้านหรูเรื่องอาหารอิตาลีที่เพิ่งเข้าไปเมื่อชั่วโมงกว่าๆ หายวับลงชักโครก
ถ้าเรื่องทุกเรื่องที่เพิ่งเจอ ณ เวลานี้สามารถอาเจียนออกไปได้อย่างนี้ก็ดีน่ะซิ...
บทสนทนาฮาเฮของ 4 คนยังสะเทือนกระดูกหู ผมคนที่ 5 แทบไม่มีส่วนร่วมใดๆ
พี่เจฟฟรี่ พี่โจ๊ก แอนเดรียน่าและเหยี่ยวขาวของหญิงสาว---อเล็กซ์ เรียกทุกคำในทุกประโยคจนติดปาก
ไม่รู้คุยเรื่องอะไรกัน (บี เก็ท พี่กายไม่ได้ไปด้วยเพราะพี่เมี่ยงคำจะไปเลือกชุดที่ร้านแม่บีกระทันหัน
เลยยกโขยงไปหมด ค่อยเจอกันที่ผับตอนกลางคืนเลย)
ไม่มีพาดพิงเรื่องที่ค้างคาใจผม... เรื่องคู่หมั้น
ไม่มีพูดถึงเลยซักแอ่ะ กระทั่งพี่โจ๊กก็ดูเฮฮากับวงสนทนาจนลืม
พี่เจฟฟรี่คุยจ้อพ่นไฟแล่บกับหญิงสาวและเหยี่ยวขาวอย่างเมามันส์ ไม่สนใจผม
รู้ว่าเหยี่ยวขาวคอยชายตาเมียงมอง แม้อยู่ในวงสนทนาก็ตามที
ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทานข้าวอย่างเดียว...ไม่ยอมสบตาด้วย เลยไม่รู้ความเป็นไปรอบตัวซักเท่าไหร่
อยากละลายหายไปกับสายลมปลิวไกล ณ ขณะนั้นอย่างที่สุด
อาหารตรงหน้ากลายร่างเป็นยาพิษสำหรับร่างกายผมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มันช่างจืดชืด ไร้รสชาด ฉุนเละและไม่อร่อยอย่างที่สุดเท่าที่เคยกินมา
แต่ผมก็เอามันเข้าปากคำแล้วคำเล่าไม่เกี่ยงงอน
แม้จะเลยเวลาอาทิตย์ตกดิน ผ่านพ้นช่วงเวลาอาหารหนักสำหรับผมแล้วก็ตาม
หยิบช้อน ตักขึ้นมา อ้าปาก เคี้ยวกลืน ...มันจะยากอะไร
อย่างเรื่อยเฉื่อย ธรรมดาจนตัวเองยังแปลกใจว่า กูช่างเล่นละครได้สุดยอดมากซะเหลือเกิน!!!
ภายในกรีดร้อง ตะโกนก้องว่า---ไม่ ----!!!!!!!!!
---หยุดอาหารพวกนั้น
---หยุดคำพูดคุยพวกนั้น
---หยุดรอยยิ้ม เสียงหัวเราะนั่น
---หยุดให้หมด
---หยุดซะที!!!
"เอาสลัดอีกมั้ยลม?" พี่โจ๊กนั่งข้างผมละจากสรวญเสเฮฮาภาษาต่างด้าวมายื่นจานให้
"...หึ!" แกล้งยังเคี้ยวในปาก ส่ายศรีษะไม่รับ
"เก่งนะ ครึ่งจานแล้ว" พี่เจฟฟรี่ที่คอยมองอยู่เอ่ยปาก ดูแซลมอนหายไปครึ่งตัว
"นี่ยอดแล้ว คงหิวจัด เอาอะไรอีกมั้ยครับ?" เหยี่ยวขาวนั่งข้างซ้ายมือของผมอ่อนโยน
มามื้อนี้ ผมระวังอย่างที่สุดไม่ให้ผิวกายเราสัมผัสกัน...ความรู้สึกยังย้ำเตือนว่าไม่ใช่ของเราอีกต่อไป
"Why---" หญิงสาวคนเดียวเชิงคุย ถามไถ่เรื่องอาหาร
"อ๋อ นี่ไม่ค่อยกินหลังอาทิตย์ตก ยากมาก-ร้อยวันพันปี 555" พี่โจ๊กอธิบายมีพี่เจฟฟรี่คอยแปลสำทับ
สาวสวยยิ้มชื่น อ่อนหวานเอ็นดูกับผมจนน่าประหลาดใจ
ผมไม่ได้มองแต่จับในน้ำเสียงว่าไม่เป็นไร ไม่เแปลกอะไร ค่อนข้างให้กำลังใจด้วยซ้ำ...ก็ดูท่าทางนิสัยดีมากคนหนึ่ง
"เป็นอะไรรึเปล่า?" ถามเพราะผมรวบช้อนของคาวแค่นั้น
"...อิ่มแล้วครับ" พยายามเค้นคำยากลำบาก
"เอาของหวานหน่อยมั้ยลม dessert not desert!" พี่เจฟฟรี่เล่นคำกับสาวสวยเอ็นจอยอิทติ้ง
"Ya...เข่าจายค๊า" เรียกเสียงหัวร่อจากพี่สองเจ
ให้ดีไม่ควรมีพี่ตาคมมาวอแวผม...
"เป็นไรลม ไม่พูดเลยตั้งแต่นั่งโต๊ะ" พี่โจ๊กมองตา ท่าห่วงใยจริงก็ไม่รู้
"ผม...เครียดเรื่องสอบนิดหน่อยครับ" ผมเฉไฉ
"ข้อเขียนรึเรื่องเปียโน?" พี่เจฟฟรี่
"น่าจะเปียโนมากกว่านะ อ่านหนังสือจนติวให้เพื่อนได้ไม่ใช่เหรอ" พี่โจ๊กวงในของจริง
"...ครับ" รีบๆ พยายามตัดบทเรื่องคุยให้จบ
"เฮ้ย นั่นไม่ต้องห่วง ข่าววงในสายตรงจากจารย์ยศ-ที่ปรึกษาชมรมมาเล่าให้พี่ฟังแล้ว ไม่ต้องห่วง 555" พี่แหล่งกอซซิบร่าเริงมาก
"มีของหวานมั้ยครับ!?" ผมโพล่งตัดบท ไม่อยากรั่วเรื่องราวของตัวเองให้มากกว่านี้
"ชีสเค้กมั้ย?" ร่างสูง ท่าทางสบายๆ กับของหวานชนิดโปรดของผม
"I'm love too, me too...cheesecake please~" หญิงสาวโน้มมาอ้อน นั่งถัดทางซ้ายมือของร่างสูง เข้ามุมกับพี่เจฟฟรี่ มีสองหนุ่มบริการเจ้าหญิงแสนสวย
"555" พี่เจฟฟรี่กับพี่โจ๊กหัวเราะขำท่าทางเด็กสาวอ้อน ก่อนยกมือออร์เดอร์กับบริกร
ก่อนสาวสวยหยาดฟ้าหันมาหาผม...
“Amadius so strong but so soft sorrow and sweet at the end...make me cry, it’s touch my heart~”
ชมเพลงของโมสาร์ตว่าบรรเลงได้แข็งแกร่ง เข้มแข็งประมาณนั้น
แต่ตอนท้ายช่างเศร้าสร้อยและแสนหวานทำเอาเจ้าหล่อนจะร้องไห้
ชื่นชมทำนองประทับใจมาก...ทั้งโต๊ะก็ได้ยิน ชื่นชม
ได้แต่อมยิ้มรับอย่างเสียมิได้ทั้งที่ในใจ...ชืดชาและเย็นเยียบ
รู้จัก 'อมาดิอุส วูฟท์กัง โมสาร์ต' แสดงว่าอยู่ในแวดวงดนตรี
คนธรรมดาจะพูดแค่ชื่อ 'โมสาร์ต' น้อยที่จะเอ่ยทำนองนี้
ความน้อยใจและไร้ค่าท่วมท้น...
...ทั้งเหยี่ยวขาวที่พูดคุยจ้อราวเรื่องกันและกันแทบมองลายนิ้วมือ
...ทั้งเรื่องพี่โจ๊กและพี่เจฟฟรี่ที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
...ทั้งเรื่องใช้รถเจ้าสีขาว cayenne คันโปรดของผม (พวงกุญแจแมชิส์ chi's รูปหน้าแลบลิ้นวางหราข้างหน้าโต๊ะ)
...แล้วก็เรื่องดนตรี-เปียโน...ก็เข้ามาก้าวก่าย
ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้วใช่มั้ย!???
[[Wolfgang Amadeus MOZART: Piano Sonata No. 16]]
http://www.youtube.com/v/r65goW_dzs0 เพลงที่ผมสอบต่อหน้ากรรมการฝรั่ง 3 คน ไทย 1 คน...
เป็นเพลงที่ใช้วัดทักษะการใช้มือ-นิ้ว วัดความแม่นยำของโน๊ตเพราะท่อนซ้ำ ฮุกเร็ว ปราดเปรียว
ที่สำคัญ...อารมณ์ของนักดนตรีผู้เล่น ต้องแม่นยำ
คนเก่งจริงต้องสามารถบันดาลให้ตัวโน๊ตกระโดดโลดเต้น
เริงร่าดังอยู่ในท้องทุ่งท่ามกลางความหรรษาอย่างที่สุดได้
แต่มันไม่ใช่ผม...วันนี้...บทเพลงนี้...ไม่ใช่สำหรับผม
จำได้ว่า...ผมนั่งเหม่อไม่มีลมหายใจหลายนาที ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าไหร่
จนอาจารย์ปู่กระแอมถึงได้รู้สึกตัว แตะปลายนิ้วเริ่มเล่นอย่างงงๆ เงอะงะเต็มทน
แล้วก็เป็นอาจารย์ปู่กระแอมไออีกรอบในครึ่งบรรทัดแรก
ผมสะดุ้งกลับเข้าร่าง กวาดนิ้วไล่กรีดเสียงสุดรางเร็วพรืดเดียว
รอเงียบเสียงตัวโน๊ตค่อยเริ่มต้นเล่นใหม่...อีกครั้ง
เพลงนี้เคยเล่นเป็นร้อยๆ พันๆ รอบ มาวันนี้ทั้งคร่อมทั้งกระโดด
กระแทกแป้นคีย์ด้วยเพลิง--- อะไรก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ ---
เล่นหนักหน่วงเกือบครึ่งค่อนเพลงไม่รู้ตัว จนท่อนสุดท้ายจะจบ
สติ-ความรู้สึกวิ่งกลับมาสิงเข้าร่าง ถึงดึงจังหวะซาลง ...เล่นได้เศร้าจับจิต
ไม่รู้ดีไม่ดี พี่ทักษ์กับอาจารย์เด็กๆ ร่วมฟังในห้องยืน-นั่งอึ้งตะลึง 0[]0
เพลงจบอาจารย์ปู่หัวเราะตบเข่าฉาดทันที ส่วนคณบดีและอาจารย์เขี้ยวลากท่านอื่น
ที่สำคัญกรรมการกับผู้ติดตามต่างชาติ รวมได้ 7-8 คน เกินครึ่งห้องลุกขึ้นปรบมือ
เดินเข้ามาจับมือเช็คแฮนด์เขย่าไม่ปล่อย พ่นภาษาเยอรมัน-ฝรั่งเศษเป็นไฟ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ฟังไม่ออก
ถึงตอนนี้ยังอึนไม่หาย นึกในใจว่า...พลาดซะแล้วเรา T-T
อยากกลับไปกอดแม่ คิดถึงแม่ที่สุด
คนที่โอบอุ้มผมได้ดีที่สุดขณะนี้ไปสัมมนาไม่อยู่บ้าน ปล่อยน้องผู้หญิงอยู่กันเอง แบบนี้หมดสิทธิ์ไปกินนอนบ้าน
เพราะเป็นเรื่องรู้กันเองระหว่างแม่ลูกว่า ถ้ามีคนมาพัก ผมจะอยู่ในตัวบ้านได้ต้องมีแม่อยู่ด้วย
กันเรื่องครหาและข้อบาดหมาง พิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างชายหญิง จนเป็นความเคยชินส่วนตัว
แมว chi's ยังแลบลิ้นใส่ผมไม่หยุด พวงกุญแจอันนี้ผมเลือกให้เอง
เป็นหมอนใบเล็กหลายหน้าหลากอารมณ์ หยิบใบนี้เพราะตอนนั้นเจ้าของรถตัวจริงเลียไอติมหยอกจะเลียผมต่อ
อย่างนี้ยิ่งตัดใจจากมันง่ายเข้า คิดภาพว่าหญิงสาวคนนี้เป็นตุ๊กตาหน้ารถ...แทนที่ผม
ไม่ต้องเอามินิสีขาวนั่นหรอก ล่อเฟรมไครินแม่มเลยดีกว่า แพงดี
พยายามไพล่งานอดิเรกที่ชอบกลบอาการ แม่เฉลยว่าได้เงินสนับสนุนจากอาทิตย์กรุ๊ปให้ทำธุรกิจถึง 7 ล้าน
ไม่ต้องให้ผมส่งเงินเข้าบ้านอีกต่อไป
'ลูกตามใจตัวเองได้แล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงที่บ้านนะคะ แม่จ่ายธนาคารหมดแล้ว'
ผมไม่เชื่อ คุณนายจัดการให้ผมเปิดบัญชี โอนเงินเข้าให้เป็นสิทธิ์ส่วนตัวทันที 1.5 ล้าน
ผมเหวอตั้งตัวไม่ติด ซักถามว่าไปรับเงินเค้ามาได้ไง มีสัญญาทาสอะไรหรือเปล่า
คุณนายยกเหตุผลร้อยแปดว่าจัดการเรื่องเงิน ทรัพย์สินนี้ได้แน่ ไม่ต้องห่วงเพราะมีที่ปรึกษาดี
วางแผนจะทำโอทอป เอาน้าอรมาเป็นแม่งานใหญ่ จะซื้ออาคารพาณิชย์ตั้งฐานที่มั่น
ทำเอาผมหาญกล้าซื้อรถยนต์ แต่คิดถึงตอนนี้ ไม่เอาดีกว่า 4 ปี จักรยานนี่ล่ะ...ไม่ทรยศผม
เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ไม่ปันใจแน่นอน
.......................................
............................................
เสียงบานเลื่อนประตู ครืด...เหยี่ยวพูดกับผมขณะอยู่รับลมอยู่ที่ระเบียง
"ลมครับ"
"..." แค่หันตัวรับรู้แต่ไม่ได้มองกลับไป
"ไม่เป็นไรใช่มั้ย พี่ให้แอนเดรียน่านอนกับเราที่นี่"
"...ครับ" ผมเอ่ยช้า ไม่สามารถว่าอะไรได้
“แอนเดรียน่าจะนอนห้องนอนใหญ่ เรานอนห้องนอนเล็กโฮมเธียร์เตอร์ ที่ทำงานพี่ได้มั้ย?”
“ครับ ขอเสื้อผ้าชุดนอนกับของพรุ่งนี้ไว้เลยก็ดี” ห้องนั้น ...เตียงนุ่มสีขาวหลังใหญ่ นอนด้วยกันทุกคืน แต่วันนี้...ไม่ใช่อีกต่อไป
“อืม ลมรอบคอบดี”
“เอาลงมาให้เลยได้มั้ยครับ อยากเข้าห้องน้ำ” ไม่รู้ไม่อยากขึ้นไป เสียงหวานใสยังร้องเรียกหาอเล็กซ์แทบจะทุกวินาทีตั้งแต่เหยียบเท้าเข้ามาแล้ว
ไม่ทันขาดคำ เสียงร้องเรียกจากข้างบน...
“Alex, come here ...where is your fish---" ถามหาอะไรไม่รู้ เหยี่ยวขาวก้าวยาวขึ้นไปหา
"...พี่ขึ้นไป" ชี้มือทำนองขอตัวขึ้นไปข้างบน
"...." พยักหน้า หลบตาหันกลับมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนเหมือนไม่สนใจใดๆ
เสียงตึงตังตามขึ้นไปข้างบน เสียงอธิบายกลั้วเสียงหัวเราะของสาวสวยและหนุ่มหล่อจากข้างบน ช่างเสียดแทงจนไม่รู้จะเจ็บอย่างไรแล้ว
ผมหันมองท้องฟ้า ค่ำคืนนี้ช่างมืดมนนัก
หลับแล้วตื่น พรุ่งนี้จะได้บอกตัวเอง
..ว่าเรา...แค่ฝันไป
-------------------------
แค่ครึ่งชั่วโมงต่อมา สองคนนั้นก็เริงร่าพร้อมจะออกไปท่องราตรี
“พี่พาไปเที่ยวกับโจ๊กกับเจฟฟรี่ กายจะพาเมี่ยงคำกับเพื่อนไปด้วย เก็ทบีไปถึงแล้ว...ลมนอนก่อนเลย ไม่ต้องรอนะครับ” บอกผมตั้งแต่ทานข้าวเสร็จ นี่มาสั่งอีกรอบที่ร้อยห้าสิบ
"At X88 P-Pong's right?, am ready go-go!" สาวสวยคนแรกและคนเดียวที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ (ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่) เกาะบ่า ทำตาโตเชิงถาม
"Okeyม girl!" เหยี่ยวหันไปอมยิ้มให้
ชายหนุ่มชุดดำหล่อเท่ห์กับสาวสวยสุดเอ็กซ์ชุดแดงเพลิง แต่งหน้าจัดแต่สวยจับจิตเป็นคนละคน ควงแขนบอกผมที่กำลังเช็ดหัวเปียกหน้าห้องน้ำ
“......” ไม่ว่าอะไร แค่พยักหน้ารับรู้ กลัวน้ำเสียงแหบพร่าของตัวเองจะหลุดจากปาก
“Why Rome---”
แอนเดรียน่าถามทำไมผมไม่ไปด้วย เหยี่ยวขาวตอบทำนองว่าแพ้ควันบุหรี่และต้องรีบเข้านอน ผมพยักหน้ารับตามน้ำ โบกมือบ๊ายบาย
แอนเดรียน่าเข้ามากอดปลอบทำหน้าเศร้า บ่นพึมพำกับผม—
ตกใจปนประหลาดใจนิดๆ ครับ ดูผู้หญิงคนนี้เป็นคนดี ซื่อๆ ใสๆ กว่าที่คิด
ตอนหันมามาถาม ชวนผมคุยเรื่องดนตรีก็ดูจริงใจจนไม่กล้าปฏิเสธที่จะพูดคุยด้วย
ที่สำคัญ ผมด้านชาหรือหายจากอาการกลัวคนแตะตัวแล้วหรือไร???
ทำไมตอนผู้หญิงคนนี้เชคแฮนด์ แค่แตะปลายมือก็ไม่ปฏิเสธ...ตอนนั้นคงเพราะตกใจที่เพิ่งเจอกันมั้ง
เมื่อกี้เข้ากอดโอบ แค่เล็กน้อยก็ตามทีแต่ผมไม่เคยยินยอมขนาดนี้...ตอนนี้คงเหม่อเกิน เลยไม่ทันระวังตัว ผมคิด
หรือโลกคงเล่นตลกอะไรผม มันเกิดอะไรขึ้นระหว่าผมกับหญิงสาวตรงหน้า!???
สองคนนั้นออกไปแล้ว..
ผมปิดไฟทุกดวงขึ้นไปยืนคว้างกลางห้องนอนเล็ก
น้ำตาไหลพรากกลั้นไม่อยู่ เจ็บปวดรวดร้าวถึงขั้วหัวใจ
...ตายทั้งเป็นคงรสชาดแบบนี้
***********************************TBC by puppyluv