ไรอันเอ่ยพลางวางถาดไก่อบที่มีผักสารพัดชนิดอบวางอยู่รอบๆ ลงบนโต๊ะอาหารซึ่งมีตะกร้าขนมปังกับแก้วไวน์วางอยู่แล้ว จากนั้นก็หันกลับไปเปิดตู้เย็นหยิบถาดสลัดออกมา จากนั้นเจ้าของห้องก็เดินหายออกไปจากครัวครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมกับโถแก้วทรงสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ ที่ภายในมีเทียนสีขาวทรงลูกบาศก์วางอยู่ หลังจากวางเทียนนั้นลงกลางโต๊ะและหยิบที่จุดไฟมาจุดเทียนแล้ว ไรอันก็เดินไปหรี่แสงไฟในห้องครัวลงก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามณรงค์
“พอดีผมมีเพื่อนเปิดร้านอาหารก็เลยโทรไปสั่งให้เขาช่วยเอามาส่งให้ ของหวานเป็นช็อกโกแลตมูสก็เลยแช่ตู้เย็นไว้ก่อน ผมไม่รู้ว่าที่คุณตั้งใจจะชวนผมไปดินเนอร์น่ะจะบรรยากาศประมาณไหน แต่แค่นี้คงพอชดเชยที่ผมต่อยคุณไปได้บ้างนะ?”
ณรงค์อ้ำอึ้งพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่กำลังเกิดต่อหน้าเขาในตอนนี้มันดียิ่งกว่าดินเนอร์ที่ร้านหรูไหนๆ ที่เขาเคยคิดไว้เสียอีก ทุกอย่างที่เขาได้เห็นและสัมผัสตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องทำให้เขาอดนึกว่าตัวเองฝันอยู่ไม่ได้ แต่พอลองเอามือลูบท้องดูก็พบว่ายังเจ็บไม่หาย แสดงว่าเขากำลังตื่นอยู่และกำลังจะทานดินเนอร์กับไรอันจริงๆ
“ยิ่งกว่าชดเชยอีก นี่มันเกินความคาดหมายของผมเลยล่ะ”
ไรอันยิ้ม แสงนวลตาจากไฟที่ถูกหรี่ไว้และเทียนหอมบนโต๊ะทำให้เกิดแสงเงาบนหน้าอีกฝ่าย ส่งผลให้ใบหน้าคมเข้มของหนุ่มลูกครึ่งดูอ่อนโยนกว่าปกติ เจ้าของห้องลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วก็ใช้มีดกับส้อมอันใหญ่ค่อยๆ แล่ไก่อบแล้วตักใส่จานให้เขา จากนั้นก็รินไวน์แบบ sparkling ใส่แก้วทรงสูงให้ ก่อนที่ไรอันจะเดินกลับไปข้างนอกอีกครั้งแล้วเปิดแผ่นซีดีเพลงจากเครื่องเสียงที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยระดับความดังที่ช่วยสร้างบรรยากาศได้เหมือนอยู่ในร้านอาหารพอดี
“เป็นอะไรไป? อาหารของร้านเพื่อนผมไม่อร่อยเหรอ?”
หลังจากทั้งคู่นั่งทานกันได้สักพัก ไรอันก็สังเกตเห็นว่าณรงค์ทานอาหารได้ไม่กี่คำจึงถามขึ้น ณรงค์จึงรีบส่ายหน้า เพราะความจริงแล้วเขากำลังตื้อตันกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้ บวกกับมัวแต่มองหนุ่มลูกครึ่งอยู่ต่างหาก
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ผมแค่...ผมคงดีใจมากไป”
ณรงค์ตอบรับตรงๆ ทำให้ไรอันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะทานอาหารต่อ ยิ่งได้เห็นท่าทางผ่อนคลายของคนตรงหน้าซึ่งต่างจากเมื่อตอนบ่ายที่ดูจะหงุดหงิดง่ายกับทุกเรื่อง ณรงค์ก็ยิ่งไม่อยากละสายตามากขึ้นไปอีก
ทำไมคุณถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ...มีใครเคยบอกหรือเคยรู้ตัวบ้างหรือเปล่า...
หลังจากทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ณรงค์ก็ช่วยไรอันเก็บจานชามไปวางในอ่างล้างและเอาไก่ที่เหลือเก็บในกล่องพลาสติกและแช่ตู้เย็น จากนั้นทั้งสองก็นั่งลงทานช็อกโกแลตมูสที่ประดับด้วยผลราสเบอรี่สดลูกใหญ่กับซอสราสเบอรี่ด้วยกัน รสหวานอมเปรี้ยวของราสเบอรี่ช่วยขับความโดดเด่นของรสช็อกโกแลตมูสที่ค่อนข้างขม แต่ก็เข้ากันและทำให้ทานแล้วไม่เลี่ยนได้เป็นอย่างดี เมื่อทานของหวานกันหมดและดื่มไวน์ตามแล้ว ณรงค์ก็ทำท่าจะลุกเก็บจานและส้อมเพื่อไปวางในอ่างอีกครั้ง แต่ไรอันกลับรั้งแขนเขาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก ปล่อยไว้อย่างนั้นก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่บ้านก็มาทำความสะอาดอยู่ดี”
ไรอันเอ่ยแล้วก็พยักหน้าไปทางห้องนั่งเล่น เป็นสัญญาณบอกเขาว่าให้ออกไปนั่งที่โซฟาด้วยกัน ภายในห้องนั่งเล่นที่ขนาดกว้างกว่าห้องของณรงค์นิดหน่อยถูกหรี่ไฟเอาไว้เหมือนกับในครัว หนุ่มลูกครึ่งไม่ลืมหยิบเทียนบนโต๊ะอาหารกับช่อกุหลาบติดมือไปวางที่โต๊ะหน้าโซฟาด้วย จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟายาวข้างๆ ณรงค์ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองสบตากันนิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนไรอันจะขมวดคิ้ว
“Are you alright?”
ณรงค์กะพริบตา และเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขานั่งจ้องไรอันเงียบๆ นานเกินไปแล้ว
“ขอโทษที ผมว่าผมคงสำลักความสุขจนไม่รู้จะพูดอะไรอยู่น่ะ”
ชายหนุ่มตอบตามตรง ทำให้คนถามหัวเราะ ไรอันนั่งเอียงตัวมาทางเขาโดยพับขาข้างหนึ่งไว้ใต้ขาอีกข้าง จากนั้นก็หยิบช่อกุหลาบช่อใหญ่บนโต๊ะขึ้นมาวางไว้บนตัก ณรงค์มองภาพนั้นแล้วนึกอยากเป็นคนที่ได้นอนหนุนตักอีกฝ่ายเสียเอง
“ขอบอกก่อนว่าผมยังไม่หายโกรธคุณเรื่องเมื่อบ่ายนี้นะ”
ไรอันเอ่ยโดยที่สายตายังจับอยู่บนช่อกุหลาบ ส่วนมุมปากก็ยังคงยิ้มน้อยๆ ขณะที่พูด แต่ณรงค์ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายความเช่นนั้นจริงๆ
“ผมขอโทษ ตอนนั้นผมก็ไม่ทันคิด ทั้งเวลาทั้งสถานที่มันไม่เหมาะจริงๆ น่ะแหละ”
ณรงค์เอ่ยพลางหลุบตาลงมองปลายเท้าตัวเอง ชายหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจจากที่นั่งอยู่ข้างๆ หางตาของเขาเห็นไรอันลูบมือข้างหนึ่งไปบนพลาสติกที่ใช้ห่อช่อกุหลาบไปด้วย
“ผมเองก็ผิดที่เผลอใส่อารมณ์กับคุณ ผมรู้นะว่าผมมีปัญหาที่เวลาเครียดเรื่องงานแล้วจะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ แต่ตอนนั้นคุณก็ช่างชวนหาเรื่องเหลือเกินนี่นา”
ณรงค์กลืนคำถามว่า ‘ใครกันแน่ที่ชวนหาเรื่อง’ กลับลงคอได้ทันก่อนจะเผลอเอ่ยออกมา ไม่อย่างนั้นบรรยากาศที่กำลังดีอยู่ตอนนี้อาจจะเสียเอาได้ เขาไม่อยากให้นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้เข้ามาในห้องของไรอันหรอกนะ
“ผมขอโทษอีกทีก็แล้วกัน ต่อไปจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”
“แบบไหน?”
คนถูกถามหันหน้าไปมองคนถาม ไม่แน่ใจว่าได้ยินคำถามถูกหรือเปล่า เพราะไรอันก็น่าจะเข้าใจภาษาไทยพอที่จะรู้ว่าเขาหมายถึง ‘แบบไหน’ แท้ๆ
ณรงค์อ้ำอึ้ง ไรอันสบตากับเขาแล้วก็ยิ้ม จากนั้นหนุ่มลูกครึ่งก็หยิบช่อกุหลาบวางไว้บนโต๊ะอย่างเดิมก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้คนตัวสูงกว่ามากขึ้น ณรงค์เลิกคิ้วอย่างงุนงงเมื่ออีกฝ่ายยื่นแขนสองข้างมาโอบรอบคอเขาไว้แล้วโน้มหน้าเข้ามาหา
“Did you mean, like this?”
ณรงค์ไม่มีโอกาสได้ตอบ เพราะว่าไรอันโน้มคอเขาเข้าหาแล้วก็แนบริมฝีปากลงมา กลีบปากนุ่มขบบนริมฝีปากของเขาเบาๆ ก่อนที่ปลายลิ้นสีชมพูจะแลบออกไล้ไปบนมุมปากของเขา จากนั้นก็ยื่นผ่านเข้ามาหาไออุ่นในช่องปากของเขาราวกับจะแก้แค้นเรื่องเมื่อตอนบ่ายที่ถูกทำอยู่ฝ่ายเดียว
“อืม...”
ณรงค์ทำได้เพียงส่งเสียงในคอ รู้สึกราวกับในหูได้ยินแต่เสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองแทนเสียงดนตรีจากแผ่นซีดี ไรอันเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นแนบแก้มเขาไว้แล้วไล้ไปมาเบาๆ จนณรงค์เผลอสูดหายใจแรง ร่างสูงโปร่งขยับตัวเข้าหามากขึ้นจนแทบจะนั่งตัก ก่อนที่มือข้างนั้นจะเลื่อนต่ำลงทาบบนแผ่นอกของเขาและดันณรงค์ให้เอนหลังลงบนโซฟา โดยที่ตลอดเวลานั้นริมฝีปากของทั้งสองไม่ได้ผละจากกันเลย
รสขมอมหวานของช็อคโกแลตมูสกับราสเบอรี่ยังติดอยู่บนปลายลิ้นของไรอันจางๆ เช่นเดียวกับกลิ่นจากไวน์ sparkling อ่อนๆ เมื่อตั้งตัวได้หลังจากหายตกใจ ณรงค์ก็เริ่มตวัดปลายลิ้นตอบอีกฝ่ายบ้าง น้ำหนักของร่างที่นอนทับอยู่ด้านบนทำให้ชายหนุ่มเจ็บตรงบริเวณที่ถูกต่อยอยู่บ้าง แต่ถ้าหากพูดหรือแสดงท่าทีว่าเจ็บออกไปแล้วจะทำให้ความหอมหวานที่กำลังได้ลิ้มรสหยุดลง ณรงค์ก็คิดว่ายอมทนเจ็บนิดๆ หน่อยๆ ไปเสียดีกว่า
จากที่ตอนแรกไรอันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ตอนนี้ณรงค์ตามทันและเริ่มเป็นฝ่ายจูบอีกฝ่ายบ้างจนยากจะบอกว่าใครรุกใคร แต่ณรงค์กลับสังหรณ์ว่าถ้าหากเขาจะทำมากไปกว่านี้ ไรอันคงจะไม่ปฏิเสธ
ชายหนุ่มไล้มือใหญ่ข้างหนึ่งขึ้นวางบนต้นคออีกฝ่าย ไม่แรงเหมือนกับจะกดให้ก้มลงหา แต่เหมือนเพื่อให้รู้ว่าเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายหยุดมากกว่า จากนั้นณรงค์ก็เลื่อนมืออีกข้างลงต่ำและสอดเข้าไปลูบแผ่นหลังเนียนผ่านชายเสื้อยืดสีขาวที่ไรอันปล่อยชายไว้นอกกางเกง ความอบอุ่นและตึงแน่นที่ได้สัมผัสทำให้ณรงค์ยิ่งอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกของเขาที่กำลังพลุ่งพล่านให้อีกฝ่ายได้รู้มากกว่านี้
“อื้มมม...wait.”
ไรอันยื่นมือหนึ่งลงไปจับมือของณรงค์ที่กำลังทำท่าจะสอดลงใต้ขอบกางเกงไว้ จากนั้นหนุ่มลูกครึ่งก็ยันตัวขึ้นบนศอกข้างหนึ่ง ถึงแม้ในห้องจะมีเพียงแสงสลัวจากไฟที่หรี่ไว้และเทียนที่อยู่บนโต๊ะ แต่ณรงค์ก็เห็นได้ชัดว่าผมหยักศกของอีกฝ่ายยุ่งไปหมด ขณะเดียวกันนัยน์ตาที่มองเขาก็ฉ่ำเยิ้ม ส่วนริมฝีปากเริ่มบวมแดงนิดๆ และดูราวกับมีหยาดน้ำเคลือบบางๆ แล้วยังไม่นับอาการหายใจหอบซึ่งสะท้อนผ่านมาทางแผ่นอกที่ทับอยู่บนอกของเขาอีก
ณรงค์พยายามจะขยับมือข้างที่โดนจับยึดไว้เพื่อเข้าหาเป้าหมายตามเดิม แต่ไรอันยึดมือเขาไว้แน่นแล้วก็ถามเสียงเข้ม
“พกถุงยางมาหรือเปล่า?”
คำถามนั้นทำเอาณรงค์เลิกพยายามจะขยับมือ เพราะเขาไม่คิดว่าจะถูกขัดจังหวะด้วยวิธีนี้ แต่ท่าทางอ้ำอึ้งของเขาก็ทำให้ไรอันยิ้ม หนุ่มลูกครึ่งจึงดึงมือของณรงค์ที่จับไว้แล้วจับให้วางบนหลังของเขาเฉยๆ แทน
“ไม่มีล่ะสิ ถ้าอย่างนั้นก็เสียใจด้วย ผมคงให้คุณทำอย่างที่ต้องการในคืนนี้ไม่ได้”
ไรอันเอ่ยแล้วก็เอียงหน้าลง จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนตัวลงจนกึ่งๆ นอนทับบนตัวเขา แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ได้แสดงท่าทางยั่วยวนให้เขาตบะแตกอีก แต่ณรงค์ก็รู้ว่านี่คือวิธี ‘เอาคืน’ ของอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ปัดโธ่เอ๊ย....แบบนี้มันเหมือนแมวที่มีปลายื่นมาให้ถึงปากแต่กินไม่ได้ชัดๆ!
ณรงค์นึกอยากโขกหัวตัวเองแรงๆ ก็เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าดินเนอร์คืนนี้มันจะดำเนินมาไกลถึงขนาดนี้ได้นี่นา รู้อย่างนี้เขาซื้อถุงยางพกติดตัวไว้ตั้งแต่เริ่มคบกับไรอันเสียก็ดี เอ๊ะ...แต่ถ้าอย่างนั้น...แปลว่าหากครั้งต่อไปเขามีถุงยางติดตัวตอนที่สถานการณ์เป็นใจแบบนี้อีก ไรอันจะตอบตกลงเขาแต่โดยดีหรือเปล่าน่ะ...
ราวกับจะอ่านใจเขาออก เพราะจู่ๆ ไรอันก็เอ่ยออกมาโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขาเลยด้วยซ้ำ
“Don’t even think about it. You won’t get lucky that often.”
ณรงค์ฟังแล้วก็พ่นลมหายใจแรงๆ อย่างขัดใจ แล้วก็รู้สึกได้ว่าคนที่นอนทับอยู่บนตัวหัวเราะจนอกกระเพื่อม ณรงค์จึงได้แต่หลับตาอย่างปลงๆ แล้วลูบแผ่นหลังอีกฝ่ายไปมา
เอาเถอะ ยังไงก็พลาดไปแล้ว รอโอกาสที่ไรอันจะใจอ่อนใหม่ก็แล้วกัน สำหรับเวลานี้...ได้แค่นี้ก็ดีถมเถ...
ทั้งสองนอนเงียบฟังเสียงหายใจของกันและกันรวมทั้งเสียงเพลงไปเรื่อยๆ ดูเหมือนแผ่นซีดีที่ไรอันเปิดจะเป็นแผ่นรวมเพลงฮิตจากหลายๆ ยุคไว้รวมกัน เพราะหลายเพลงที่ได้ยินก็เป็นเพลงที่ณรงค์รู้จัก ทันใดนั้นท่อนดนตรีของเพลงหนึ่งที่เขาชอบมากเป็นการส่วนตัวก็ดังต่อจากเพลงที่เพิ่งจบลง
When it's love you give
(I'll be a man of good faith.)
Then in love you live.
(I'll make a stand. I won't break.)
I'll be the rock you can build on,
Be there when you're old,
To have and to hold.
When there's love inside
(I swear I'll always be strong.)
Then there's a reason why.
(I'll prove to you we belong.)
I'll be the wal that protects you
From the wind and the rain,
From the hurt and pain.
“เพลง All For Love นี่นา”
เสียงรำพึงของณรงค์ทำให้ไรอันเงยหน้าขึ้นมองเขา คางของอีกฝ่ายซึ่งอยู่บนอกและขยับไปมายามที่พูดทำให้ณรงค์จั๊กกะจี้แต่ก็อบอุ่นใจอย่างประหลาด
“รู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ?”
ณรงค์แกล้งหรี่ตา “รู้จักสิคุณ บ้านผมไม่ได้ฟังแต่ลูกทุ่งนะ Bryan Adams น่ะศิลปินโปรดผมเลยจะบอกให้”
“พ่อผมก็ชอบ Bryan Adams คุณนี่ชอบฟังเพลงเหมือนพ่อผมเลย”
ไรอันแกล้งพูดแล้วก็เอียงหน้าลงซบอกเขาเหมือนเดิม ณรงค์จึงขมวดคิ้วขณะพยายามคิดตาม นี่เขากำลังโดนหาว่ารสนิยมเหมือนคนแก่อยู่หรือเปล่านะ? แต่ดูเหมือนไรอันจะเดาได้อีกแล้วว่าเขาคิดอะไร อีกฝ่ายจึงหัวเราะก่อนจะไถแก้มกับอกเขาไปมา
“ผมล้อเล่นน่ะ Bryan Adams is my favorite too.”
Let's make it all for one and all for love.
Let the one you hold be the one you want,
The one you need,
'Cause when it's all for one it's one for all.
When there's someone that should know
Then just let your feelings show
And make it all for one and all for love.
When it's love you make
(I'll be the fire in your night.)
Then it's love you take.
(I will defend, I will fight.)
I'll be there when you need me.
When honor's at stake,
This vow I will make:
ทั้งสองนอนฟังเพลงกันท่ามกลางแสงสลัวและกลิ่นหอมจางของเทียนหอมไปเรื่อยๆ ครู่หนึ่งไรอันก็ยกมือขึ้นปิดปากหาว
“I’m tired. ขอผมงีบหน่อยนะ ถ้าคุณอยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ปลุกผมแล้วกัน”
พูดจบแล้วอีกฝ่ายก็หลับตาแล้วนอนนิ่ง ไม่นานณรงค์ก็ได้ยินเสียงหายใจขึ้นจมูกเป็นจังหวะเบาๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายหลับสนิทแน่นอน ทำเอาเขาแทบไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวจะทำให้ตื่น และอดชื่นชมไม่ได้ที่อีกฝ่ายสามารถหลับได้ขณะที่นอนทับอยู่บนตัวคนอื่นแบบนี้ แต่ดูท่าคืนนี้เขาคงจะไม่ได้หลับได้นอนเสียแล้ว
และที่สำคัญ...เล่นพูดทิ้งท้ายเอาไว้แบบนั้น...แล้วเขาจะกล้าปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้ยังไง...
ณรงค์หลับตาแหงนหน้าแล้วพ่นลมหายใจทางปากเบาๆ นึกอยากทำโทษหนุ่มลูกครึ่งนักที่ป่วนจนทำเอาเขาทั้งจิตตกสุดๆ และปลาบปลื้มดีใจสุดๆ ได้ในเวลาเพียงวันเดียว แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย และสิ่งที่เขาได้รับเป็นการชดเชยเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ณรงค์ก็คิดว่าคุ้มสุดๆ แล้วที่โดนชกไปตอนนั้น
เสียงเพลงยังคงดังขับกล่อมจากลำโพงอย่างไม่สะดุด เช่นเดียวกับลมหายใจอุ่นๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอของไรอันที่เขารู้สึกได้ผ่านเสื้อยืดที่ใส่ และแม้จะผิดหวังนิดหน่อยที่ 'อด' ทำในสิ่งที่ต้องการ แต่เขาก็จะมีความสุขกับช่วงเวลานี้ที่อีกฝ่ายอนุญาตให้เขาชิดใกล้ให้มากที่สุด
เพราะไม่ว่าจะอย่างไร นั่นก็ทำให้เขามีรักไว้เโอบกอดในคืนวาเลนไทน์นี้นี่นา...
That it's all for one and all for love.
Let the one be the one you want,
The one you need,
'Cause when it's all for one it's one for all.
When there's someone that should know
Then just let your feelings show
And make it all for one and all for love.
Don't lay our love to rest
'Cause we could stand up to you test.
We got everything and more than we had planned,
More than the rivers that run the land.
We've got it all in our hands.
Now it's all for one and all for love.
(It's all for love.)
Let the one you hold be the one you want,
The one you need,
'Cause when it's all for one it's one for all.
(It's one for all.)
When there's someone that should know
Then just let your feelings show.
When there's someone that you want,
When there's someone that you need
Let's make it all, all for one and all for love.
++---END---++
จบแล้วๆ วู้ปี้!!! หวังว่าอารมณ์คงไม่ค้างกันแล้วนะคะ เห็นมั้ยว่าคนเขียนน่าร้ากกกกกก~ จะตายไป ว่าแล้วใครมี bitter chocolate ส่งมาทางนี้เร้ว ปล. เกือบลืม เพลง All For Love ที่ขอยืมเนื้อมาประกอบช่วงท้ายเรื่อง ขับร้องโดย Rod Stewart, Bryan Adams และ Sting ค่ะ รุ่นใหญ่ทั้งนั้นแต่เพลงเพราะนะเออ ตามไปฟัง + ดู MV ได้ที่ลิ้งนี้ค่า http://www.youtube.com/watch?v=ofA3URC1wyk