รีบไปปั่นมาให้อ่านต่อแล้วคร้าบ
อย่าเพิ่งบ่นกันนะ ถ้าจะบอกว่า....
อาจต้องทานมาม่ากันไปก่อน

เพราะเรื่องราวช่วงนี้มันเป็นจุดเปลี่ยนของหลายๆอย่าง ติดตามกันไปก่อนครับ ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้ยังไง
ตอนที่35 **********************************************
ตกลงจะเอายังไงดีว้า ครุ่นคิดอยู่พักนึงผมก็สรุปเอาว่าคงต้องสงสัยไอ้มาร์ทมันเป็นคนแรกก่อนนี่แหละ เลยหันไปถามไอ้เอ๊กซ์ที่กำลังง่วนกับงานในโน๊ตบุ๊ค
" เฮ้ย... ไอ้เอ๊กซ์ มึงรู้นามสกุลไอ้มาร์ทมันมั๊ยวะ"
" หือ... อะไรของมึงวะ อยู่ๆก็มาถามกู มึงจะรู้ไปทำไม"
" เออน่ะ กูถามมึงก็ตอบ ตกลงรู้มั๊ย ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ สัด... " เคืองแม่งนิดๆ จะถามกูกลับทำเพื่อ...
" ไม่รู้ว่ะ กูจำไม่ได้ จำได้แค่ชื่อจริงมันอ่ะ"
" เออๆ ไม่เป็นไรว่ะ"
" มึงจะถามไปทำไมวะ"
" ป่าว... ไม่มีอะไร กูแค่สงสัยอะไรนิดหน่อย" ผมบอกแล้วก็ตัดบทเดินออกไปนอกระเบียงห้องมันซะเลย ไอ้เอ๊กซ์ก็มองตามมาอย่างงงๆแต่มันก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
รึว่าผมจะโทรไปถามกับตัวมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีวะ ให้มันแตกหักตายกันไปข้างนึงเลยดีมั๊ย แต่พอนึกๆดูก็ไม่ค่อยอยากทำงั้นว่ะ เออ... ใช่ โง่อยู่ได้ตั้งนาน โทรไปถามไอ้แจ๊คก็ได้มันเพื่อนสนิทกันก็คงรู้ล่ะน่า
" เออ... แจ๊ค นี่กูเอง ไอ้เป้งนะ เฮ้ย กูขอถามอะไรมึงหน่อยดิ ไอ้มาร์ทมันชื่อจริงๆว่าอะไรวะ นามสกุลมันด้วย"
" หือ... ชื่อจริงไอ้มาร์ท แล้วมึงจะถามไปทำไมวะ" เออ... ให้มันได้งี้ ถามใครมันก็ต้องถามกลับทุกคนสิน่า
" ไม่มีอะไร กูสงสัยอะไรนิดหน่อย" ขี้เกียจหาเหตุผลมาอธิบายอ่ะ
" อะไรของมึงวะ ไอ้นี่... แปลก ไอ้มาร์ทน่ะเหรอมันชื่อ ปรมัตถ์ เปล่งวิเชียร" อ้าวเฮ้ย... ไหงนามสกุลมันไทยยังงั้นอ่ะ ไม่ใช่มันหรอกเหรอ......
" ............"
" อืม.... ฮัลโหล เฮ่ย... ฮัลโหลๆ ไอ้เป้ง ทำไมเงียบไปวะ เฮ้ย....ย"
" อ่า.... เออๆ โทษทีๆ ขอบใจนะเว้ยที่บอก"
" เออ... ว่าแต่จะไม่บอกกูจริงๆเหรอวะว่าจะถามไปทำไม ไม่งั้นกูคงเดาว่ามึงจะแจกการ์ดงานแต่งนะ เลยจะเอาชื่อจริงไปจ่าหน้าซองอ่ะ ฮ่าๆๆ" เชรี่ยนี่... คิดได้นะมึง
" สัด... ยังไม่ถึงเวลา ไว้ถ้าแต่งแล้วกูเชิญมึงแน่ๆ ไม่ต้องห่วง"
" เออ... กูจะคอยดู กูว่านะ น้องมินถ้าได้ใส่ชุดเจ้าสาวนี่คงจะสวยซะยิ่งกว่าผู้หญิงจริงๆซะอีกมั๊งน่ะ อยากเห็นจังว่ะ"
" ไอ่ห่า... พอเลยมึง พอ... " ไอ้หอกหักนี่ ชักจะเยอะกะเมียกูมากไปและ มึง...
" เออๆ เฮ้ย ว่าแต่กูอุตส่าห์บอกข้อมูลมึงทั้งทีนี่ ต้องมีเลี้ยงตอบแทนหน่อยดิวะ"
" เลี้ยงเชรี่ยอะไรล่ะ แค่บอกกูสองสามคำแค่เนี้ยต้องให้กูเลี้ยง จะมากไปละมึง ช่วงนี้กูยิ่งกรอบๆอยู่ ติดไว้ก่อนละกัน" เอ๊ย... พูดไปพูดมาผมดันเผลอบอกมันไปว่ะ แต่... ช่างเหอะ
" หือ... อะไรวะกรอบ คนอย่างมึงเนี่ยนะมีช่วงเวลาจนกรอบกับเค้าด้วย เป็นไปได้ไงวะ"
" เออ... เรื่องมันค่อนข้างยาวว่ะ ไว้จะเล่าให้มึงฟังอีกที"
" ก็เล่าเลยดิ๊มึง ไม่มีเงินยังงี้เสียบอลมารึไง"
" ไม่ใช่เว้ย เออน่าๆ... แล้วกูค่อยเล่าให้มึงฟังวันหลังละกัน วันนี้กูเหนื่อยๆเดี๋ยวจะนอนละ" ผมตัดบทไปอย่างไวแล้วก็วางไปเลย ต่อความยาวกะมันมากไปก็เท่านั้น ไปนอนดีกว่าว่ะ
แต่พอมานอนจริงๆก็ยังนอนไม่หลับอีก อดคิดไม่ได้ว่าตกลงถ้าไม่ใช่ไอ้มาร์ทแล้วมันจะเป็นใครกัน แต่ก็ยังไม่แน่นี่หว่า นามสกุลไม่ใช่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช่มันซะหน่อย อะไรๆมันก็ยังเป็นไปได้อยู่ ผู้บริหารที่นั่นอาจจะแค่รู้จักกะมันแต่ไม่ใช่ญาติก็ได้
แต่จะว่าไปมันก็แปลกนะ ผมไม่เคยนึกว่าคนอย่างไอ้มาร์ทมันจะลงทุนวางแผนซับซ้อนขนาดนี้เลย เพราะเท่าที่เห็นมันมาผมว่ามันน่าจะเป็นคนตรงๆ เฉยๆ มากกว่านะ ไม่น่าจะวางแผนอะไรได้ร้ายกาจยังงี้นี่นา แต่ถ้าเป็นไอ้ชายก็ว่าไปอย่าง อืม.... อ่ะเฮ่ย... ฉิบหายล่ะ....
ผมรีบลุกขึ้นอีกทีแล้วคว้าโทรศัพท์โทรไปหาไอ้แจ๊คอีกทันทีเลยครับ หึ... ก็พอนึกถึงไอ้ชายปั๊บ คำพูดนั้นของมันก็ผุดขึ้นมาในหัวผมทันทีอ่ะ
" สักวันนึงเราจะหาทางทำให้ใจของนายมาเป็นของเราให้ได้เอง"
จากที่ผมลืมไปแล้วนะนั่นว่ามันเคยพูดไว้แบบนี้ ผมเลยไม่ได้นึกถึงว่ามันจะเป็นอีกคนที่เข้าข่ายอยากให้ผมร้าวฉานกับมิน แต่กลายเป็นว่าตอนนี้มันนี่แหละ ที่น่าสงสัยที่สุดแล้ว
" เฮ้ย... เออๆ กูเองๆ กูขอถามมึงอีกทีว่ะ"
" อะไรของมึงอีกวะ" ไอ้แจ๊คทำเสียงเซ็งๆใส่ผม
" ก็ไอ้ชายอ่ะ มันก็นามสกุลเดียวกับไอ้มาร์ทใช่มั๊ยวะ"
" อ๋อ... ไม่หรอก ไอ้ชายมันใช้นามสกุลพ่อมันดิ แต่ไอ้มาร์ทมันใช้นามสกุลแม่มัน ก็เหตุผลเรื่องเค้ายังรังเกียจทางแม่ไอ้มาร์ทมันอ่ะ เลยไม่ให้ใช้นามสกุล น้ำเน่าจังว่ะยังกะละครหลังข่าว เป็นลูกเมียน้อยนี่แย่ว่ะ"
" เออๆ นั่นแหละ แล้วตกลงไอ้ชายมันนามสกุลอะไรอ่ะ ใช่ นามสกุล เลิศวรรธนะรักษ์ รึป่าว" ผมลุ้นมากๆรีบถามมันไม่หยุดเลย
" อืม ก็ใช่ไง อ้าว.. นี่มึงก็รู้แล้วนี่หว่า แล้วจะมาถามกูทำไมอีกอ่ะ"
เห็นมั๊ย บิงโกจนได้ว่ะ ไอ่เวร.... มึงนี่เอง ไอ้เชี่ยชาย ที่แท้ก็เป็นมึงนี่เอง......
ทุกอย่างมีมึงอยู่เบื้องหลังตลอดเลยสินะ แผนมึงแนบเนียนดีมาก กูไม่เคยระแคะระคายเลยว่าเป็นมึง ตกลงที่มึงบอกกูว่ามึงชอบกูและจะทำให้ใจกูเป็นของมึงให้ได้เนี่ย มึงเอาจริงใช่มั๊ย โอเคเลย สัด.... ได้เลย
" อ้าว... แล้วทำไมเงียบไปอีกแล้ววะ เฮ้ย... ไอ้บ้า หลับรึไงมึง"
" เอ้อ... เปล่าๆ โอเคเว้ยแจ๊ค กูขอบใจมึงมาก เพื่อน ไว้แล้วกูจะเลี้ยงมึงนะ แค่นี้นะเว้ย" ผมบอกแล้วก็กดวางไปเลยทันทีอีก สงสัยมันคงด่าผมอยู่มั๊งว่าตัดบทกันซะง่ายๆทุกที
แต่ช่างเหอะ ชั่วโมงนี้มันไม่ไหวแล้วว่ะ บอกตรงๆผมอยากไปกระทืบหน้าไอ้เชี่ยชายมันเดี๋ยวนี้เลย แค้นฉิบหาย ทุกเรื่องทุกอย่างนี่สรุปว่าเป็นเพราะมันทั้งนั้นรึไง
เอาตั้งแต่ทำไมไอ้มาร์ทถึงมาจีบมินและจงใจที่จะวางตัวเป็นศัตรูหัวใจกะผม ในเมื่อผมเองก็ไม่เคยนึกเลยว่ามันจะตั้งใจทำแบบนี้แค่เพราะไอ้ชายมันบงการอยู่เบื้องหลังนี่เองเหรอ
ส่วนเรื่องที่พี่วินนี่โดนบีบให้แบล๊คเมล์ผมก็เป็นเพราะมันแน่ๆ คนที่บริษัทนั้นนามสกุลเดียวกะมันเลยแสดงว่าเป็นญาติกัน เพราะงั้นถ้ามันจะขอร้องให้เค้าช่วยเรื่องนี้มันก็ทำได้ไม่ยาก แค่ผมไม่นึกว่ามันจะแผนสูงได้แบบนี้ ผลักดันและบีบให้พี่วินนี่มาทำให้ผมเข้าวงการเต็มตัวจะได้ต้องเลิกกับมินไปโดยปริยาย ไม่งั้นก็คงต้องเสี่ยงกับการโดนขุดคุ้ยเปิดโปงว่าเป็นเกย์
นี่ถ้าพี่วินนี่ไม่ใจอ่อนเห็นแก่ไอ้เป้งที่ยอมแลกอนาคตเพื่อผมล่ะก็ ป่านนี้ผมก็คงต้องยอมเข้าวงการจริงๆ แล้วก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทั้งหมดเป็นแผนของไอ้ชายมันเอง แม่ง.... สุดยอดว่ะ กูนับถือมึงจริงๆ ไอ้เชี่ยเอ๊ย จอมวางแผนจริงๆ
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น แต่... ก็ใช่ว่ะ ต้องใจเย็นไว้ก่อนเว้ย ไอ้เป้ง ใจร้อนจนอะไรๆมันพังเสียเรื่องไปหลายทีแล้วกู ครั้งนี้ต้องใจเย็นและค่อยๆคิดหาทางแก้ดีกว่า คนมันร้ายกาจขนาดนี้จะรับมือมันได้คงต้องใช้ความนิ่งมาสยบว่ะ
-
-
วันนี้เลิกเรียนเร็วผมเลยตั้งใจว่าจะบุกไปหาไอ้มาร์ท กะว่าจะถามมันก่อนให้รู้เรื่องไปว่าทุกอย่างเป็นแผนไอ้ชายจริงรึเปล่า แต่ก็นะ.... ไม่รู้ว่ามันจะยอมบอกมาดีๆรึเปล่า ไม่หวังมากดีกว่าว่ะ
" มีอะไรวะถึงเรียกกูมาเจอเนี่ย" มันเริ่มต้นถามหน้างงๆแล้วนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเพราะผมนัดมันออกมาที่ร้านกาแฟหน้ามหา'ลัยมัน
" กูมีเรื่องต้องคุยกะมึงหลายเรื่องว่ะ"
" หือ... อะไรอีกล่ะวะ หลายเรื่องซะด้วย" มันเลิกคิ้วนิดนึงคงคิดว่าผมจะมาอะไรกะมันอีกมั๊ง
" ก่อนอื่นเลยนะ กูขอถามมึงตรงๆเลยว่า เวลานี้มึงยังเห็นว่าคนอย่างกูเป็นเพื่อนมึงอยู่มั๊ยวะ" ถามไปก็จ้องหน้ามันอยู่ครับ มันก็อึ้งๆไป
วูบนึงผมมองเห็นความหวั่นไหวบางอย่างในตามัน เดาเอาว่าเป็นความรู้สึกผูกพันระหว่างผมกะมันมั๊ง ถึงเราคบกันแค่ไม่นานเท่าไหร่ก็จริงแต่อย่างที่บอก คนเราบางทีมันก็ไม่ได้ต้องการเวลาอะไรมากนักหรอก แค่คิดว่าต่อกันติดและรู้สึกดีๆต่อกันมันก็พอแล้ว
" แล้วมึงจะถามทำไมวะ ที่จริงมึงต้องการอะไรกันแน่ กูว่ามึงพูดมาเลยดีกว่าว่ะอย่าเสียเวลาเลย" มันหลบสายตาผมอีกแล้วก็ส่ายหน้าไปมา
" เดี๋ยวดิ... มึงแค่ตอบกูมาก็พอ กูอยากรู้จากปากมึงเองเพราะกูเบื่อจะเห็นมึงตั้งตัวเป็นศัตรูกูยังงี้แล้ว ความจริงอ่ะกูไม่แคร์หรอกเว้ยถ้าเป็นคนอื่นมาทำแบบนี้กะกู แต่นี่กูเห็นว่ามึงเป็นเพื่อนกูไง กูเลยไม่อยากให้มันเป็นยังงี้"
" กู.... " มันอึ้งไปอีก แล้วก้มหน้าลงต่ำ ผมเองใจชื้นขึ้นมานิดนึงล่ะว่าอย่างน้อยมันก็ต้องแคร์เพื่อนอย่างผมมั่งแหละ ไม่งั้นมันคงพูดให้ผมหน้าหงายไปแล้วว่ามันไม่เห็นผมเป็นเพื่อนอีกต่อไปแล้ว
" ทำไมวะมึง มันยากนักเหรอวะแค่พูดสิ่งที่ใจมึงคิดอ่ะ ถ้ามึงกะกูยังเหมือนเดิมก็บอกกูมาก็แค่นั้น จะไปยากอะไรวะ"
" เออ... กูก็เหมือนเดิมนั่นแหละ มึงก็เป็นเพื่อนกูเหมือนเดิมไง โอเคมั๊ย" มันเอ่ยออกมาในที่สุดน่ะนะ ก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ
" ก็แค่นั้น กูอยากรู้แค่นั้นแหละ งั้นทีนี้มึงช่วยบอกกูทีว่าอะไรทำให้มึงคิดทำแบบนี้กะกูวะ มาจีบเมียเพื่อนเนี่ย กูไม่เข้าใจว่ะ" เริ่มถามเข้าประเด็นมันเลย มันก็ทำหน้าเหวอๆอีก
" ก็กู... กูชอบน้องมันว่ะ"
" ชอบมัน ทั้งๆที่มันเป็นเมียกูเนี่ยนะ"
" เออ... กูรู้ว่ามันเหมือนทรยศเพื่อน แต่กูก็รักน้องมันจริงๆนะเว้ย"
" เหรอวะ งั้นมึงก็เลยคิดว่ามึงชอบมันก็แย่งมันไปจากกูก็พอ กูจะเป็นยังไง จะเสียใจแค่ไหนก็ช่าง งั้นเหรอวะ"
" ............."
" ตอบมาดิวะ ว่ามึงตั้งใจทำยังงี้แต่แรกอ่ะ" ผมยังคงคาดคั้นมัน และยังคงจ้องตามันอยู่จนมันหลบตาไปอีก
" กู...."
" หรือว่ามีคนบอกให้มึงทำยังงี้ ใช่มั๊ย....." มันรีบหันกลับมาเลยครับ ท่าทางมันก็ตกใจมากอยู่แหละคงเพราะผมถามได้ถูกจุดแล้ว
" ไอ้เป้ง.... " มันเอ่ยชื่อผมแผ่วๆแทบไม่ได้ยิน คงคิดไม่ถึงไงว่าผมจะรู้
" ไอ้เชี่ยชายใช่มั๊ย"
" ........." ไม่มีคำตอบ แต่มันทำหน้าเหมือนเห็นผีเลยทีนี้
" มึงตอบกูมา" ผมพูดเสียงดังขึ้นแต่ไม่ถึงกับตะคอกหรอกเพราะคนในร้านเยอะอยู่ ก็หวังจะเร่งเค้นความจริงจากมันให้ได้ซะที
" เออ... มันบอกว่าอยากช่วยกูเพราะเห็นใจกู มันเลยแนะว่าถ้าชอบมินก็ให้แย่งมาจากมึงเลย คนไม่เอาถ่านอย่างมึงจะมาทำให้มินมีความสุขได้ยังไง แล้วก็บอกกูว่าไม่ต้องไปแคร์หรอกว่าจะเป็นการทรยศเพื่อนเพราะยังไงมินก็สำคัญกว่าอยู่แล้ว ทำยังงี้เป็นการดีกับมินมากกว่าจะปล่อยให้น้องคบกะมึงต่อโดยมองไม่เห็นอนาคตยังงั้นน่ะ"
คราวนี้คนที่อึ้งไปคือผมว่ะ ความเซ็งในอารมณ์เข้ามาแทนที่ทุกๆอย่างในหัวตอนนี้ อย่างแรกคือผมไม่นึกเลยว่าไอ้ชายมันจะช่างหาเหตุมาชักจูงไอ้มาร์ทได้ขนาดนี้ ส่วนไอ้มาร์ทมันก็ดีเกินไปว่ะ มันไม่ได้โง่หรอกนะ ขอย้ำเลยว่ามันไม่ได้โง่จนตามไอ้ชายไม่ทัน แต่ผมกลับมองว่ามันน่ะดีเกินไปที่เลือกห่วงแต่มินที่มันรักที่สุดเท่านั้นโดยไม่ไตร่ตรองเหตุผลอื่นให้ดีก่อน
แต่อีกอย่างนึงที่ทำให้ผมยิ่งเสียเซล์ฟไปเลยก็คือ ตกลงในสายตาคนอื่นผมนี่มันแย่มากเลยเหรอวะ ไม่ดีพอที่จะคู่ควรคบกับมินเลยเหรอ ถึงขนาดที่ว่าไอ้มาร์ทมันจะคิดว่า ถ้ามินยังคบกับผมก็คงมองไม่เห็นอนาคตและผมควรออกไปจากชีวิตมินซะตามที่ไอ้ชายมันบอกยังงั้นเลยเหรอ
" มันยังบอกกูนะว่า ที่มึงทำกับมินอย่างทุกวันนี้มันเหมือนมินเป็นแค่เมียเก็บของมึง เพราะมึงก็ไม่กล้าไปบอกใครๆในสังคมรอบข้างมึงว่ามึงคบกะน้องอยู่ ตอนนั้นกูก็คิดว่าไอ้ชายมันพูดถูกแหละ กูถึงได้คิดว่ามึงไม่สมควรจะคบกับน้องต่อไปแล้ว เพราะคนอย่างมึงยังไม่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตใครได้" มันสรุปออกมาซะจนผมหน้าชา ผมว่ามันก็พูดถูกจริงๆว่ะ และมันทำเอาผมหดหู่มากตอนนี้ นี่ผมมันห่วยยังงั้นจริงๆสินะ
" แต่เอาเข้าจริงก็อย่างที่มึงบอกแหละ ที่กูทำมันเป็นการทรยศแทงข้างหลังเพื่อนจริงๆ แต่กูก็ยังจะหน้าด้านหลอกตัวเองแล้วคิดตามไอ้ชายมันไปว่ากูทำถูกแล้ว แค่เพราะว่ากูรักน้องหวังดีกะน้องเท่านั้นเอง หึ... แต่มันเอามาอ้างเพื่อลบล้างกันไม่ได้ซะหน่อย ยังไงกูก็ผิดอยู่วันยังค่ำ ต้องขอโทษมึงด้วยนะเว้ย กูคิดได้แล้วล่ะ" ตอนนี้มันเอ่ยขอโทษผมด้วยสีหน้าที่สำนึกได้จริงๆ แค่นี้ผมก็ยิ้มได้แล้วว่ะ
" อืม... ขอบใจเว้ย ดีใจว่ะที่มึงเข้าใจซะที กูยอมรับว่าตอนแรกกูโกรธมึงฉิบหายเลย แต่แปลกนะที่กูกลับยังรู้สึกว่ายังไงมึงก็เพื่อนกู แล้วลึกๆอ่ะกูก็คิดว่ามึงไม่น่าทำยังงี้มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างอยู่ ตอนนี้กูก็ได้รู้แล้ว"
" ที่จริงกูมันก็ผิดเองแหละ กูรักมินมากจนไอ้ชายมันบอกให้ทำแบบนี้ก็เชื่อมันง่ายๆ ตอนวันที่มึงทะเลาะกับมินนั่นกูก็ยังคิดนะว่ากูคิดถูกแล้วที่จะแย่งน้องมาเพราะกูมั่นใจว่ากูคงดูแลน้องได้ดีกว่ามึงแน่ๆ แต่กูลืมนึกไปเองแหละว่ามึงเป็นเพื่อนกู และกูไม่ควรทำยังงั้นเลย" มันระบายความในใจออกมาอีก หน้ามันตอนนี้เลยยิ่งเศร้าไปกันใหญ่
" เออ... ก็ไม่เป็นไรเว้ย กูเข้าใจว่ะ ก็เมียกูสวยแจ่มขนาดนั้นใครๆก็ต้องอยากได้เป็นธรรมดา อย่าคิดมากเลยเว้ย" ผมแกล้งพูดให้ขำๆไป ไม่อยากให้มันเศร้าหนักไปกว่านี้แล้วตบไหล่มันทีนึงพลางยิ้มให้มัน จนมันเริ่มยิ้มออกมาได้
" โห... มึงนี่ก็นะ ภูมิใจซะจัง แต่มันก็จริงของมึงแหละว่ะ เมียมึงสวยที่สุดแล้วล่ะ" มันหัวเราะออกมาในที่สุด
" แน่นอนเว้ย แต่เออ... กูยังอยากถามอะไรมึงอีกหน่อยได้มั๊ย"
" อะไรอ่ะ..."
" มึงรู้เรื่องที่ไอ้ชายมันให้คนที่แม๊กกาซีนนั้นมาแบล๊คเมล์กูรึเปล่า"
" หา... อะไรนะ คนที่แม๊กกาซีน...? แบล๊คเมล์.....? เรื่องอะไรกันวะ กูไม่รู้เลย... ไหนมึงเล่ามาดิ๊" ไอ้มาร์ทขมวดคิ้วสงสัยทันที ผมก็เชื่อแหละว่ามันคงไม่รู้จริงๆเพราะเรื่องนี้ไอ้ชายมันก็ไม่จำเป็นต้องบอกมันอยู่แล้วนี่
" มันให้คนที่แม๊กกาซีนxxx มาแบล๊คเมล์กูเรื่องมินว่าจะเอาไปเปิดเผย แลกกะการที่กูต้องเข้าวงการไปเต็มตัวน่ะ"
" เหรอวะ แล้วมันจะต้องการให้มึงเข้าวงการทำไมอ่ะ"
" ก็ถ้ากูเข้าวงการไปกูจะทำอะไรได้ล่ะ ก็ต้องเลิกกับมินอ่ะดิ ไม่งั้นก็ต้องโดนเปิดโปงแน่ ทีนี้พ่อกูก็รู้ คนอื่นก็รู้กันทั้งประเทศ พ่อกูได้ฆ่ากูแน่"
" โห... นี่มันคิดวางแผนไว้เป็นสเต็ปๆขนาดนี้เลยเหรอวะ"
" ก็ใช่ดิ ดีว่ากูรู้ทันซะก่อนถึงต้องมาถามกะมึงนี่ไง ก็คิดเอาว่าที่ตัวมึงเองทำแบบนี้ก็คงเป็นส่วนนึงของแผนมันด้วย เพราะคนอย่างมึงไม่น่าจะเป็นคนแบบนี้หรอก ถึงกูคบกะมึงแค่ไม่นานกูก็ดูรู้ว่าคนอย่างมึงอ่ะตรงๆ คิดยังไงก็พูดยังงั้นแล้วก็เปิดเผยไม่มาซับซ้อนอะไรขนาดนี้ได้"
" เออ... กูก็นึกไม่ถึงเลยว่ะเนี่ยว่าไอ้ชายมันจะทำขนาดนี้ มันแค่บอกกูว่ามันเห็นใจอยากจะช่วยให้กูสมหวังกะมินเท่านั้น" ไอ้มาร์ทบ่นแล้วก็ส่ายหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อในความร้ายกาจของน้องมัน
" หึ... นี่แสดงว่ามันจงใจหลอกใช้มึงจริงๆจังๆเลยนะเนี่ยถึงไม่บอกอะไรมึงเลย แล้วมึงรู้มั๊ยล่ะว่าจุดประสงค์จริงๆมันน่ะคืออะไร"
" หือ... อะไรล่ะวะ" นั่นไง... มันไม่รู้จริงๆด้วยอ่ะ
" ก็กูไง มันน่ะเคยบอกว่ามันชอบกูอยู่ แล้วก็จะแย่งกูไปเป็นของมันให้ได้ นี่มึงเพิ่งรู้เลยใช่มั๊ยล่ะ" หึ... เอาให้มันตาสว่างกันไปเลยเว้ย จะได้จบ
" หา... มันน่ะเหรอชอบมึง เฮ่ย... จริงๆเหรอวะ"
" เออ... กูไม่หลอกมึงหรอกน่ะ..." คราวนี้ไอ้มาร์ทเอามือลูบหน้าตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อดิมึง แต่มันก็เป็นความจริงว่ะ
" ....กู... คิดไม่ถึงว่ะ ตกลงนี่จริงๆมันชอบมึงอยู่เหรอวะ กูไม่เคยนึกว่ามันจะเป็นเกย์เลยนะ งงเลยล่ะกู"
" ก็มึงอ่ะน๊า วันๆอยู่กะมันแต่ไม่ได้สังเกตอ่ะดิ"
" ก็เออ... มันไม่มีทีท่าว่าจะชอบใครให้กูเห็นเลยนี่หว่า" เหอะ... ก็ชอบกูนี่ไง แต่เรื่องอะไรมันจะบอกมึงล่ะ
" เออๆ เอาเป็นว่าตอนนี้มึงก็ได้รู้ทุกอย่างแล้วนะ ไอ้ความร้ายกาจของน้องมึงอ่ะ หลังจากนี้มึงจะทำไงต่อไปล่ะ"
" กูกับมันก็ต้องมีเรื่องคุยกันยาวดิ" มันพูดซะเสียงทุ้มต่ำเลยว่ะ ท่าทางจะเอาจริง.... ตายแน่มึง... ไอ้ชาย
" เออ... งั้นกูจะขอไปเคลียร์ด้วยคนได้มั๊ยล่ะ เอาให้จบไปทีเดียวเลย กูไม่อยากฉายซ้ำแล้ว" เดี๋ยวจะเหยียบแม่งให้จมดินเลย สัด...
" อืม... จะดีเหรอวะ ก็... แล้วแต่มึงว่ะ"
ได้ทีเข้าผมเลยถือโอกาสตามมันไปที่บ้านด้วยซะเลย มันสองคนคงต้องเคลียร์กันยาวและก็ดีไปอย่างที่ตอนนี้ผมได้ไอ้มาร์ทมาเป็นแนวร่วมด้วย
" เอ้อ... ไอ้เป้ง..." มันกำลังจะเดินไปเปิดประตูรถมันอยู่แต่ก็หันกลับมาทางผมซะก่อนแล้วก็ยื่นมือออกมาเหมือนจะให้ผมจับ
" กูต้องขอโทษมึงอีกทีว่ะที่หลงหน้ามืดทำเหี้ยๆกับมึงไป เพราะกูมันไม่คำนึงผิดชอบชั่วดีเองแหละมันถึงหลอกใช้กูได้ แต่ตอนนี้กูตาสว่างแล้ว ขอบใจมึงที่ยังแคร์เพื่อนเหี้ยๆอย่างกู และยังให้อภัยกูได้อีก ขอบใจจริงๆว่ะเพื่อน" มันขอโทษผมซะยาวอย่างสำนึกได้จริงๆ ผมก็ยิ้มออกมาแล้วก็จับมือมันไว้แน่น
" เออ... ช่างเหอะ กูก็ยังเชื่อไงว่าคนอย่างมึงอ่ะไม่มีอะไรหรอก ก็แค่หลงไปชั่วคราวใครๆก็เป็นกันได้ ไม่เป็นไรหรอก ดีใจนะที่มึงเข้าใจซะที"
" อืม... ขอบใจว่ะ งั้นไปกันเหอะ เอ้อ...ใช่ แล้วนี่มึงไม่ได้เอารถมาเหรอวะ"
" เออ... เรื่องมันยาว เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง" เหอะ... รู้สึกว่าตัวเองใช้คำนี้บ่อยมากๆว่ะ และเชื่อว่าคงยังต้องใช้อีกหลายรอบนัก
คุยจบผมก็เปิดประตูรถไปนั่งข้างมัน ระหว่างนั่งรถไปผมก็เล่าให้มันฟังว่าตอนนี้ตกยากต้องออกมาเดินดินกินข้าวแกงแล้ว มันก็ตกใจมากว่าพ่อผมใจร้ายได้ขนาดนั้นเลยเหรอ แสดงว่ารู้จักพ่อผมน้อยไปว่ะ
" แล้วมึงจะทำไงต่อไป"
" ก็ไม่ทำไง ก็อยู่มันไปยังงี้แหละ ลำบากหน่อยแต่กูว่ากูคงสบายใจกว่าเก่ามาก ไม่ต้องมาทำตามใจใคร"
" พ่อมึงเค้าชอบบังคับมึงตลอดเลยเหรอ"
" เออ... บงการกูทุกอย่างแหละ กูอ่ะหุ่นเชิดแท้ๆอยากทำอะไรตามใจก็ไม่เคยจะได้หรอก" ผมบ่นแล้วก็ถอนใจ มันก็หันมายิ้มๆให้
" จะว่าไปก็ไม่ต่างกับกูเท่าไหร่หรอก พ่อกูก็พอๆกับพ่อมึงแหละมั๊ง" ไอ้มาร์ทพูดแล้วก็ถอนใจออกมาบ้าง ผมเลยหันไปมองมัน
" หือ... พ่อมึงก็เหมือนกันเหรอวะ"
" อืม... ก็เหมือนกันนั่นแหละ อาจจะยิ่งกว่าด้วยตรงที่เค้าก็ไม่ค่อยเห็นกูเป็นลูกสักเท่าไหร่หรอก" เอาแล้วไง แม่ง... เสือกมาเหมือนกูอีก
" แต่กูก็ชินแล้วล่ะ อีกไม่เท่าไหร่กูก็เรียนจบ ทีนี้กูก็จะออกมาใช้ชีวิตของกูเองซะที กูว่ากูคงพาแม่กูย้ายออกมาจากบ้านนั้นเลยว่ะ มาอยู่ประสาแม่ลูกคงดีกว่าไม่ต้องไปทำอะไรตามใจใคร ไม่ต้องไปแคร์ว่าใครจะคิดยังไงกะเรา" มันยิ่งพูดตามันก็ยิ่งเศร้าว่ะ
มานึกดูผมก็เข้าใจดีเลยว่าที่มันทนอยู่บ้านมันทุกวันนี้ ทางเมียใหญ่ของพ่อมันก็คงไม่ปลื้มมันกับแม่มันเอามากๆอยู่ ก็คงไม่ต่างกับละครหลังข่าวเรื่องลูกเมียน้อยสักเท่าไหร่ แม้ว่าจะไม่ถึงกับโดนกลั่นแกล้งสารพัดแต่มันก็คงอึดอัดลำบากใจมาตลอดเลยนะนั่น ในเมื่อบ้านมันก็เหมือนไม่ใช่บ้านมันเอง อยู่เหมือนแค่ผู้อาศัยไปวันๆ
แล้วยิ่งถ้าพ่อมันไม่ปลื้มมันด้วยอีกคนยังงี้ก็คงจบเห่ไม่ต้องสืบกันล่ะ ไม่แปลกที่มันจะคิดย้ายออกมาอยู่เองยังงี้ เพราะผมว่าถ้าเป็นผมก็คงทำยังงี้เหมือนกัน คิดแล้วก็น่าเห็นใจมัน
" เออ... มึงก็อย่าเพิ่งท้อนะเว้ย อีกหน่อยพอพวกเราจบปั๊บก็ออกมาทำงาน ทีนี้ชีวิตมันก็จะเป็นของเราเองได้จริงๆซะที กูก็รอให้ถึงวันนั้นแหละว่ะ" พูดจบผมก็หันไปยิ้มกับมันอีก
ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกอยู่อย่างนึงว่า ไอ้ที่ผมรู้สึกลึกๆว่าผูกพันกะมันเนี่ยจะเป็นเพราะชีวิตมันรันทดพอๆกะผมรึเปล่านะเลยจูนกันติดง่ายๆยังงี้ แต่ก็ดีแล้วว่ะ ทีนี้ผมจะได้มีคนที่เข้าใจผมจริงๆจังๆซะที
ต่อช้างล่างได้เลยคร้าบ วัยรุ่น อิอิ