ก็คาดว่าคงจะมีผู้ที่รอตอนใหม่กันอยู่แน่ๆ แต่เนื่องมาจากว่าตอนนั้นพิมพ์ๆต้นฉบับเกือบเสร็จอยู่แล้วเชียว
แต่อยู่ๆพอกดเซฟแล้วผิดพลาด เหอๆ ทุกอย่างที่พิมพ์ก็เลยหายวับไปกับตาเหมือนฝันไป

ก็เลยต้องมานั่งโศกตรมกับการเริ่มพิมพ์ใหม่ทั้งหมดนั่น

เอาล่ะ งั้นก็มาติดตามกันต่อเหอะคร้าบ
ตอนที่38 *******************************************
ตอนนี้ผมลุกขึ้นแล้วมองหน้าพ่อผมกับอาณุสลับไปมาอยู่ คงจะอึ้งรับประทานกันไปตามระเบียบดิ ยิ่งพ่อผมนี่ นั่งตาค้างอยู่ยังงั้นเลย
แต่ช่างปะไร ชั่วโมงนี้ผมไม่สนอะไรแมร่งทั้งนั้นแหละ
" แก... ไอ้ลูกไม่รักดี แกฉีกหน้าชั้นใช่มั๊ย หา..." พอได้สติพ่อลุกขึ้นทันทีแล้วชี้หน้าตวาดผมลั่นตามด้วยอาการไขว่คว้าจะโผเข้ามาหาผม สงสัยคงอยากฆ่าผมให้ตายมั๊ง ดีว่าไอ้ป้างมันไปจับตัวพ่อไว้ก่อน
" คุณ... ใจเย็นๆ ค่อยๆพูดค่อยๆจากันสิ แกก็เหมือนกันเจ้าเป้ง แกทำอย่างนี้ได้ยังไง อยากให้พ่อแกตายเร็วขึ้นอีกรึไง" แม่หันมาด่าผมบ้าง โอเคว่ะ ถึงมันจะดูเกินไปผมก็ยอมรับ แต่ที่ทำไปเพราะผมเองก็เต็มกลืนแล้ว
ความรู้สึกเลวร้ายทุกๆอย่างที่ผมพยายามทนมาตลอดตอนนี้มันล้นออกมาแล้ว ดังนั้นก็จงรับรู้กันซะบ้างว่าผมไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ก็ดีเหมือนกันทุกอย่างมันจะได้จบๆไปซะที แล้วแค่นี้น่ะ พ่อเค้าไม่อกแตกตายไปหรอกน่า
" ชั้นไม่ยงไม่เย็นมันล่ะ เธอดูไอ้ลูกเวรของเธอมันทำแล้วกันนะ มันเคยนึกถึงหน้าชั้นมั่งมั๊ย กล้าดียังไงมาฉีกหน้าชั้นขนาดนี้ หา..." พ่อหันไปโวยกับแม่ ซึ่งผมก็ไม่อยากทนดูแล้วว่ะ บอกตรงๆ
ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหลของคนที่กำลังอาละวาดกับคนที่พยายามยับยั้งนั่น ผมก็หันหลังเดินออกมาจากห้องนั้น เดินลงไปชั้นล่างออกจากโรงแรมไป
ผมเดินเหมือนไร้วิญญาณไปตามทาง ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่เต็มท้องถนน ตอนนี้สมองผมยังคงมึนชาเหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ใช่ดิ... นี่กูกำลังทำอะไรอยู่วะ นึกอะไรไม่ออกเลย แล้วนี่กูกำลังจะไปไหนกันวะ
อยู่ดีๆก็นึกขึ้นมาว่า แล้ววันพรุ่งนี้ล่ะ วันพรุ่งนี้จะทำยังไงต่อวะ แล้วยังจะวันต่อไปอีก จะอยู่ไปยังไง ไม่มีน้องอยู่ด้วยอีกต่อไปแล้วแบบนี้อะไรๆมันก็หมดความหมายจริงๆ จะอยู่รึตายมันก็แทบไม่ต่างกันเลย
มองผู้คนที่เดินไปมานั่นก็ได้แต่คิดว่าป่านนี้มินจะเป็นยังไงบ้าง หรือน้องอาจจะเดินอยู่กับกลุ่มคนเหล่านี้รึเปล่า ถ้ามองให้ดีๆผมอาจจะเจอน้องก็ได้นะ
สงสัยผมคงเป็นบ้าไปแล้วมั๊ง จะคิดหวังอะไรบ้าๆบอๆไปทำไมกัน มินคงไม่มีทางมาให้ผมเจอได้ง่ายๆหรอก แล้วจะทำยังไงนะถึงจะได้เจอน้องอีกสักครั้ง ผมขอโอกาสนั้นอีกแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว แค่นั้นจริงๆ
" เฮ้ย.... มึงอยู่ไหนวะเนี่ย" ไอ้ป้างโทรเข้ามาผมก็รับพลางเดินไปทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์โทรมๆข้างทาง
" เออ... อยู่ไม่ไกลนี่แหละ กู... อยากอยู่คนเดียวว่ะ โทษทีนะเว้ย"
" เฮ้อ.... มึงก็น๊า.... ไม่น่าทำยังงี้เลยว่ะ ทั้งพ่อทั้งแม่อ่ะโกรธมึงกันใหญ่แล้วตอนนี้ ดีว่าอาณุเค้าก็ไม่ได้ถือสาอะไรอ่ะ อืม... แล้วนี่มึงอยู่ไหนล่ะวะ"
" กู... อยู่ตรงป้ายรถเมล์แถวๆนี้แหละ มึงไม่ต้องห่วงหรอก กูแค่อยากอยู่คนเดียวว่ะ "
" แต่... เฮ้ย... น้ำเสียงมึงฟังดูแย่จังว่ะจะไม่ให้ห่วงได้ไง แล้วนี่มึงจะกลับบ้านรึเปล่า"
" หึ... บ้านเหรอวะ กูคงมีหน้ากลับไปหรอกนะทำกะเค้าซะขนาดนั้นน่ะ"
" มึงก็กลับมาขอโทษเค้า พูดกับเค้าดีๆสิวะไอ้เป้ง อีโก้มึงอ่ะ ตัดไปเลยได้มั๊ย ไหนๆมึงก็เปลี่ยนตัวเองดีขึ้นได้ตั้งเยอะแล้วอ่ะ นะเว้ย.... กูขอล่ะ"
" กูก็ไม่รู้ว่ะ ตอนนี้กู.... ไม่รู้ดิ... มันมึนไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลย ขอเวลากูหน่อยละกันว่ะ"
" โอเคๆ กูเข้าใจว่ะ งั้นก็แล้วแต่มึงล่ะ แต่ไม่ว่ายังไงนะ กูขอแค่ให้มึงจำไว้ว่ากูยังเป็นห่วงมึงนะเว้ย แม่เค้าก็ห่วงมึงมากเหมือนกัน จะทำอะไรก็นึกถึงกูนึกถึงพ่อกับแม่ด้วย แค่นั้นล่ะว่ะ" มันย้ำอีกทีเหมือนกลัวผมจะไปโดดน้ำตายก่อนจะวางหูไป ก็ยังดีที่ได้รู้ว่ามันยังห่วงผมอยู่ดีไม่ว่าจะยังไงน่ะ
-
-
ผมนั่งมองรถเมล์ที่ผ่านไปมาอยู่สักพักก็นึกขึ้นมาได้ว่าถึงจะนั่งอยู่นี่ไปจนเช้ามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เราต้องทำอะไรสักอย่างสิวะ จากนั้นผมก็ตัดสินใจต่อรถเมล์ไปบ้านแม่อัม
" โห... ทำไมมาเอาป่านนี้เลยอ่ะพี่" ไอ้แมนมาเปิดประตูให้ผมครับ หลังจากที่โทรเข้าไปบอกมันว่าให้มาเปิดประตูให้ ไม่อยากไปกวนแม่อัมน่ะครับป่านนี้คงนอนไปแล้ว
" กู... ไม่มีที่ไปว่ะ อยากขอนอนนี่อีกสักคืนละกัน" สงสัยหน้าตาและท่าทางผมตอนนั้นมันคงดูแย่สุดๆมั๊ง มันเลยถามขึ้นมา
" มีอะไรรึเปล่าเนี่ยพี่ สีหน้าพี่โคตรแย่เลยนะ นี่ผมยังไม่เคยเห็นพี่ดูแย่ขนาดนี้มาก่อนเลยอ่ะ"
" เออ... ก็ไม่มีอะไรมาก อีกหน่อยกูอาจจะต้องมาขออาศัยอยู่ที่นี่ถาวรเลยก็ได้"
" โอ๊ยพี่... พูดอะไรยังงั้น บ้านนี้พี่ก็เป็นคนเช่าให้ ไม่ถือว่ามาขออาศัยหรอกน่า"
" อืม... ก็นั่นแหละ เออ... เฮ้ย... แล้วนี่ มินโทรมาบ้างมั๊ยวะ" อดถามไม่ได้ว่ะ ผมยังคงหวังเสมอว่าจะได้ข่าวน้องบ้าง สักนิดหน่อยก็ยังดี
" ยังเลยพี่ เฮ้อ... นี่ก็ห่วงเหมือนกัน แต่มันคงไม่เป็นไรหรอก เออ... แล้วนี่พี่กินอะไรมายัง หิวมั๊ย" ไอ้แมนถามผมอย่างห่วงๆ ผมก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า
" ขอบใจว่ะ มึงนี่มันเป็นน้องที่ดีจริงๆนะ กูดีใจว่ะที่ได้มาเจอมึง ได้มาเป็นพี่น้องกะมึงยังงี้น่ะ" อยู่ๆผมก็รู้สึกแบบนี้นะเลยพูดขึ้นมา ไอ้แมนมันก็ยิ้มๆ
" โหพี่... จะมาดราม่ากันทำไมเนี่ย ฮะๆ ไปเหอะ ไปอาบน้ำก่อน" มันบอกแล้วก็ชวนผมเข้าบ้าน
คืนนั้นผมก็นอนไม่หลับตามเคย คิดไปเรื่อยๆว่าจะทำยังไงต่อไปดี ผมบอกไอ้แมนว่าอยากลองไปตามหามิน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเริ่มยังไงได้ มันก็บอกว่ามินไม่ได้รู้จักใครในกรุงเทพฯนี่เลย ก็มีแค่เพื่อนกับรุ่นพี่ที่โคราชแค่นั้นเลยคิดว่าถ้าลองติดต่อคนพวกนี้ไปอาจจะได้เบาะแสอะไรบ้างก็ได้
-
-
พอตอนเช้าผมก็กลับไปเก็บของตัวเองที่บ้านไอ้เอ๊กซ์เพื่อจะย้ายมาอยู่บ้านแม่อัมอย่างถาวร ใจผมนั้นรู้ดีเลยว่านับแต่นี้ไปผมคงถูกตัดขาดจากพ่อผมแน่ๆ และแน่นอนว่าถ้าแม่โกรธผมมากๆด้วยอีกคนยังงี้ผมยิ่งไม่มีหวังเลย แต่ก็ช่างเหอะ ตอนนี้อะไรจะเกิดผมก็คงต้องปล่อย อยากรู้เหมือนกันว่าชีวิตเรามันจะตกต่ำลงไปกว่านี้ได้อีกสักแค่ไหนกัน
บทเรียนอย่างนึงที่ผมได้ตอนนี้ก็คือ บางครั้งคนเราพอเดินมาถึงเวลาที่คิดว่าแย่ที่สุดในชีวิตแล้ว ความรู้สึกนั้นมันจะกลับเป็นความรู้สึกชาเหมือนคนที่มีแผลฉกรรจ์แต่จะไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรมากมาย ก็คงเพราะร่างกายมันทำให้เกิดอาการชานั่นเอง คงคล้ายๆที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้
ถึงผมจะเสียใจมากแต่ผมก็ไม่ได้ฟูมฟายจนไม่เป็นอันทำอะไร ก็แค่เบลอแค่มึนคิดอะไรไม่ออกก็เท่านั้น ยังแปลกใจตัวเองที่ไม่เสียใจจนแทบฆ่าตัวตายหรือคิดสั้นๆไปซะก่อน ก็คงเพราะผมยังพอมีความยั้งคิดอยู่บ้างล่ะมั๊ง
" เฮ้ย... นี่ตกลงว่ามึงจะถูกตัดหางปล่อยวัดจริงๆแล้วเหรอวะ" ไอ้เอ๊กซ์ถามผมหลังจากที่ผมเล่าทุกเรื่องให้ฟัง มันก็ตกใจเว่อร์ทุกทีอ่ะ
" ก็คงยังงั้นแหละ" ผมรับคำท่าทางเรียบเฉย แล้วก็ปิดกระเป๋าเตรียมตัวหิ้วออกไป
" เฮ้ย.... แล้วมึงจะไม่เดือดร้อนอะไรเลยยังงี้เหรอวะ ใจเย็นไปหน่อยรึป่าวมึง"
" กูก็แค่... ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปล่ะว่ะ หรือมึงรู้ล่ะว่ากูควรจะทำไง"
" อ้าว... มึงนี่ ก็พ่อแม่มึงเค้าโกรธอ่ะ มึงก็ลองกลับไปขอโทษเค้าดูก่อนดิวะจะเป็นไรไป ถ้าเค้าเห็นว่ามึงสำนึกแล้วตั้งใจไปขอโทษเค้าก็อาจจะยอมมึงก็ได้ ยังไงๆก็ลูกเค้าทั้งคนนี่หว่า"
" เหรอวะ... อืม... ก็อาจจะจริงของมึงนะ ขอบใจนะเว้ย สำหรับทุกๆอย่างที่ช่วยกูมาตลอด กูดีใจที่มีเพื่อนดีๆอย่างมึงว่ะ"
" ห่านี่.... มึงก็พูดไป ไม่ช่วยมึงจะไปช่วยหมาที่ไหนวะ" สัส... ด่ากูหมาเหรอ หึ... แต่ผมก็สบตามันอยู่แหละครับ จนมันเริ่มเขินๆมั๊ง
" เออๆ ไม่ต้องซึ้งมากแล้วมึง มีอะไรให้กูช่วยอีกมึงก็โทรมาละกัน กูยินดีช่วยว่ะ โชคดีเว้ย ดูแลตัวมึงเองด้วย" มันอวยพรผมทิ้งท้ายก่อนเดินกลับเข้าบ้านไป
ตอนนี้ผมเบาใจไปเยอะว่ะ รอบข้างมีแต่คนให้กำลังใจทั้งเพื่อนทั้งพี่ โชคดีโคตรๆแล้วที่เป็นแบบนี้ จนเริ่มรู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะ เอาล่ะเว้ย ไม่ว่ามินจะไปอยู่ที่ไหนผมจะต้องตามหาน้องให้เจอให้ได้เลย
ผมไม่ปล่อยให้มันจบไปแบบนี้หรอก เราต้องได้ปรับความเข้าใจกัน ผมจะต้องได้รู้ว่าน้องทำแบบนี้เพราะอะไรกันแน่ และไม่ว่าจะเพราะอะไรผมก็จะไม่โทษน้องเลย เพราะผมยังเชื่อว่าน้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่ๆถึงได้ทำแบบนี้ ก็รอดูกันไปแหละว่ามันคืออะไร
-
-
ผมลองโทรเข้าไปหาแม่ดูเพราะยังไม่กล้าไปสู้หน้าแม่ตอนนี้เลยว่ะ ยอมรับว่าก็ทำเกินไปหน่อยที่ฉีกหน้าพ่อกลางร้านอาหารยังงั้น แต่ตอนนั้นมันไม่ไหวแล้วจริงๆว่ะ แต่ที่จริงมันก็ดีแล้วว่ะจะได้จบไอ้เรื่องคลุมถุงชนนี่ไปซะได้ ปัญหามันจะได้ลดๆลงไปมั่ง
ตอนนี้ปัญหาเดียวก็คือ น้องอยู่ที่ไหนว้า ยอมรับว่าห่วงมากๆไม่รู้ว่าจะเป็นไง อยากให้น้องติดต่อมาบ้าง ไม่ติดต่อผมก็โทรมาหาแม่หาไอ้แมนมั่งก็ยังดี แค่อยากรู้ว่าน้องยังปลอดภัยดีก็พอแล้ว
" แกยังจะมีหน้าโทรมาหาชั้นอีกนะ ทำอะไรลงไปไม่เคยนึกถึงพ่อเค้ามั่งเลย เล่นไปฉีกหน้าเค้ายังงั้นน่ะ" แม่ใส่ผมทันทีเลยอ่ะ
" อืม... โอเคแม่ ผมผิดเองทุกอย่าง แล้วตอนนี้พ่อเค้าว่าไงอ่ะครับ"
" จะว่ายังไงล่ะ เค้าก็ตัดเป็นตัดตายกับแกไปแล้วน่ะสิ ชั้นล่ะอ่อนใจจริงจริ๊ง แล้วทีนี้จะทำยังไงกัน หา...." แม่บ่นอุบเลย
" อันนั้นน่ะช่างเหอะแม่ ผมทำใจมานานแล้ว รู้ดีอยู่แล้วว่ามันก็ต้องเป็นแบบนี้สักวัน แต่คนอย่างผมถึงไม่มีทรัพย์สมบัติของพ่อผมก็ไม่ตายหรอก มือเท้าผมยังปกติทำมาหากินเองได้ ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ"
" เฮ้อ... แกมันก็ยังงี้อ่ะ เอาเถอะๆ ชั้นก็ขี้เกียจจะพูดละ ไว้ให้เค้าอารมณ์ดีกว่านี้อีกหน่อยก็ค่อยมาขอโทษเค้าละกัน อ้อ... แล้วนี่แกออกมาจากบ้านเจ้าเอ๊กซ์มันแล้วเหรอ งั้นตอนนี้แกจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ" แม่ถามผม ฟังดูน้ำเสียงก็คงห่วงผมล่ะ
" ผมจะย้ายไปอยู่กับแม่อัมครับ แม่ไม่ต้องห่วงนะ"
" เออ... แล้วตกลงเรื่องแกกับหนูมินนี่มันยังไงกัน ไหนเล่าให้ชั้นฟังซิ"
" ผมเองก็ไม่เข้าใจอ่ะแม่ อยู่ดีๆน้องก็มาขอเลิกกับผมแล้วก็เก็บข้าวของไปจากบ้านไปเลย บอกแม่อัมแค่ว่าจะไปทำงานต่างจังหวัด ไม่อยากรับความช่วยเหลืออะไรจากเราอีกแล้วเลยจะไปหาเงินมารักษาแม่เอง"
" อ้าว... ตายจริง แล้วนี่น้องไปอยู่ที่ไหนยังไงเนี่ย ทำไมไม่บอกใครเลย"
" ผมก็ไม่รู้เลยแม่ สงสัยคงไม่อยากให้ผมไปตามมั๊งเลยไม่บอกใครสักคนแม้แต่แม่อัม นี่ผมห่วงน้องจะตายอยู่แล้วเนี่ย"
" แปลกนะ ทำไมหนูมินทำแบบนี้ แกไม่ได้ทะเลาะอะไรกันแน่นะ"
" โธ่... ไม่เลยจริงๆครับแม่ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันเลยทั้งนั้นอ่ะ แต่ก่อนหน้านั้นผมไม่รู้ว่ามีใครโทรมาพูดอะไรกับน้องรึเปล่า เพราะหลังจากวันนั้นน้องก็มาบอกเลิกผมนี่แหละ"
" เอ๊ะ... มีคนโทรมาพูดกับน้องเหรอ นี่มันยังไงกัน"
" ตอนนี้ผมก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆอ่ะครับแม่ พยายามเดาก็เดาไม่ถูกแต่ตอนนี้ผมห่วงน้องมากกว่า ไม่รู้ว่าเป็นไงมั่ง"
" เฮ้อ... แม่ก็ห่วงน้องมันเหมือนกัน ยังไงถ้าน้องติดต่อมาแกก็โทรบอกแม่ด้วยละกัน ระหว่างนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะ ขาดเหลืออะไรก็โทรมาบอกแม่ เข้าใจมั๊ย"
" ครับแม่ ผมขอบคุณมากๆเลย ก็คงมีห่วงอยู่แค่เรื่องแม่อัมใกล้จะผ่าตัดแล้วนั่นแหละครับ ถ้ายังไงผมอาจจะต้องขอยืมเงินแม่ก่อน แค่นี้แหละครับ"
" นั่นน่ะชั้นก็ต้องช่วยอยู่แล้ว คุณอัมเค้าใช่คนอื่นที่ไหน ไม่ต้องห่วงหรอก"
" โอเคครับแม่ ถ้างั้นแค่นี้นะครับ อ้อ... อยากบอกว่า ผมรักแม่นะ แม่ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ผมมันไม่ดีเอง มีแต่ทำให้แม่กับไอ้ป้างเดือดร้อนเรื่องผมทุกที ต่อไปผมคงไม่ได้ไปก่อเรื่องให้วุ่นวายกันอีกแล้วล่ะเพราะคงไม่ได้กลับไปบ้านอีก ไว้แล้วผมจะแวะไปหาแม่นะครับ" ผมพูดไปตามที่ใจคิดอยู่ ก็มันรู้สึกยังงั้นจริงๆนี่นะ
" แกก็ด้วยล่ะ ดูแลตัวเองด้วย ถ้ามีอะไรก็โทรมาบอกแม่นะลูก แค่นี้นะ" แม่บอกผมเสียงสั่นๆว่ะ แล้วก็วางสายไป ตอนนี้ผมโล่งใจไปหน่อยนึงว่าแม่ไม่ได้โกรธผมแล้ว แต่ผมก็ห่วงแม่นะ ตัวเองโดนเฉดหัวออกมายังงี้แม่ก็คงต้องห่วงผมมากแน่ๆ แต่ยังไงๆผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องอยู่ให้ได้ด้วยลำแข้งตัวเองนี่แหละ พ่อจะได้เลิกดูถูกผมซะที
-
-
ผ่านไปสองวันก็ยังคงไม่ได้ข่าวคราวของมินสักที เหลือแค่ไม่กี่วันผมก็ต้องเริ่มสอบไฟนอลแล้ว แน่ล่ะจะเอาสมาธิที่ไหนอ่านหนังสือได้ พวกไอ้เอ้ไอ้เอ๊กซ์เลยพากันมาช่วยติวผมตลอดรวมทั้งไอ้มาร์ทด้วย พวกมันคงห่วงผมกันนั่นแหละ
เดี๋ยวนี้ไอ้มาร์ทก็กลายมาเป็นเพื่อนซี้ก๊วนผมกับไอ้เอ้ไอ้เอ๊กซ์ไปด้วยแล้วเพราะถ้าไปไหนก็จะไปด้วยกันตลอด ส่วนตัวผมเองตอนนี้ก็เร่ร่อนน่าดู เดี๋ยวก็ไปนอนบ้านไอ้เอ้ไอ้เอ๊กซ์แล้วก็ไปนอนบ้านไอ้มาร์ท แต่ก็รู้สึกดีครับที่ได้อยู่กับพวกมัน มีมันอยู่เป็นเพื่อนตลอดแบบนี้ทำให้ผมหายเศร้าเรื่องมินไปได้เยอะมาก
ถึงได้บอกว่าผมยังโชคดีที่มีเพื่อนดีๆอยู่ ไม่งั้นป่านนี้ผมคงอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องอยู่ดี ถ้าไม่ได้พวกมันผมจะทำไงวะเนี่ย
วันนี้ผมสอบวันสุดท้ายแล้วครับ ถึงจะทำไม่ค่อยได้แต่ผมก็คิดว่าคงพอผ่านได้อยู่ล่ะน่า อย่างมากถ้าตกก็ซ่อมเอา คงไม่ซวยจนถึงกับต้องเรียนไม่จบหรอก
หลังจากส่งข้อสอบวิชาสุดท้ายผมก็หมดแรงว่ะ แทบจะหลับตรงนั้นเลยนะ ทนเหนื่อยอดตาหลับขับตานอนมาหลายวันจนพวกมันก็ห่วงผมอยู่ แต่แล้วผมก็ผ่านมันมาได้ซะที จากนี้เหลือแค่ยื่นเรื่องขอจบการศึกษาแค่นั้น แล้วทุกๆอย่างก็จะจบลงด้วยดี สี่ปีที่รอคอยมาแสนนานผ่านไปซะทีว่ะ
" เฮ้อ... ผมเห็นพี่ยังงี้แล้วบอกตรงๆนะว่า ไม่สบายใจเลยจริงๆอ่ะ" ไอ้แมนเอ่ยขึ้นขณะที่ผมนั่งเหม่อที่ระเบียง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันโผล่มาเมื่อไหร่เพราะผมมัวแต่เหม่อๆอยู่
" เออ... คิดอะไรเพลินไปว่ะ"
" ผมจะถามพี่ว่าตอนนี้พี่สอบเสร็จก็ปิดเทอมแล้วใช่มั๊ย งั้นผมพาพี่ไปเที่ยวดีกว่าจะได้พักสมองพักใจบ้าง ดีมั๊ย"
" หือ... จะไปไหนวะ"
" หึๆ เป็นที่ๆผมและพี่พอจะคุ้นเคยดีอยู่แล้วนั่นก็คือบ้านผมเองที่โคราชไง" มันเฉลยแล้วก็ยิ้มให้ผม
" โธ่... กูก็นึกว่าจะไปไหน เออ... ดีเหมือนกันบ้านมึงที่โน่นก็น่าอยู่จะตาย สงบดีด้วย"
" ใช่พี่ แล้วอีกอย่างก็จะได้ไปถามเพื่อนๆกับคนรู้จักที่เค้าอยู่ที่โน่นว่าได้ข่าวมินมันมั่งมั๊ย เผื่อว่ามันจะกลับไปที่โน่นไง"
" เออ... ดีเลยว่ะ งั้นก็ไปกันพรุ่งนี้เลยนะ"
" ฮ่าๆ ใจเย็นพี่ ต้องไปจองตั๋วรถก่อน ไม่งั้นจะไปยังไง"
" อืม... จองตั๋วเหรอ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูไปขอยืมรถบ้านไอ้เอ๊กซ์มันขับไปเองเลยดีกว่า ให้ตังค์มันด้วยถือว่าเป็นค่าเช่ารถ เอายังงี้ละกัน ขับรถไปเองสะดวกกว่า จะไปจะกลับเมื่อไหร่ยังไงก็ได้" ผมสรุป ไม่ใช่ว่ารักสบายอะไรหรอกครับ แค่คิดว่ามันสะดวกกว่ากันจริงๆก็เท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลาด้วย เพราะตอนนี้ผมโคตรใจร้อนเลย เผื่อโชคดีอาจได้ข่าวเรื่องน้องก็ได้ นี่ป่านนี้ใจผมมันไปถึงโน่นแล้วล่ะ
-
-
วันรุ่งขึ้นผมก็ไปยืมรถกับไอ้เอ๊กซ์และให้ตังค์มันเป็นค่าเช่า แน่นอนว่าตัวมันรวมทั้งป๊ากับม๊ามันไม่รับเงินผมซึ่งผมก็โคตรเกรงใจ เลยเลือกยืมรถกระบะส่งของสี่ที่นั่งโทรมๆคันนึงมา ไอ้เอ๊กซ์มันก็ยังว่าทำไมไม่เอารถมันอีกคันนึงไปผมก็บอกมันว่าเกรงใจ มันก็หัวเราะแล้วบอกว่าใครต้มหนังสือสมบัติผู้ดีให้ผมกินวะ ขี้เกรงใจขนาดนี้ อีกแล้วนะมึง ทำไมวะ... คนอย่างกูนี่มันจะมีมารยาทเป็นผู้ดีกะเค้าไม่ได้รึไง
พอได้รถเรียบร้อยผมก็ขับมารับไอ้แมนกับแม่อัมแล้วก็ขับตรงไปโคราชเลย ไปถึงก็บ่ายสามเกือบๆจะสี่โมงแล้วโน่น ผมจอดรถไว้ในค่ายมวยของน้าชาญน้องชายของแม่อัมแล้วก็เดินเข้าไปไหว้แก ท่าทางแกก็ดีใจที่พวกเรากลับมาบ้านกัน
" ตามสบายเลยนะพี่ พักผ่อนให้เต็มที่ไปเลย เครียดๆมาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปสืบข่าวไอ้มินจากเพื่อนๆแล้วก็รุ่นพี่ๆที่เค้าอยู่แถวนี้ด้วยกัน เผื่อมินมันติดต่อใครมาบ้าง คิดว่าน่าจะพอมีใครรู้มั่งล่ะมั๊ง ดีมั๊ยพี่"
" เออ... ดีๆ ก็ขอให้เจอมินทีเหอะวะ กูห่วงมันว่ะ ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นไงมั่ง" ผมบอกไปใจก็เป็นห่วงน้องจริงๆ กลัวไปสารพัดว่าน้องจะไปทำงานอะไรยังไง ถ้ามันไม่มีอะไรก็ดีไป แต่ก็กลัวว่าถ้าน้องโดนหลอกไปทำงานอะไรที่แย่ๆต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวอีกจะทำยังไง
แต่พอมานึกอีกทีก็รู้สึกว่าน้องน่าจะพอเอาตัวรอดได้บ้างล่ะมั๊ง เมื่อก่อนก็เคยมาฝึกมวยอยู่ในค่ายพักนึงนี่นะ แต่ก็... ไม่รู้ดิ ผมก็ยังห่วงอยู่ดี เพราะถึงยังไงน้องก็ตัวเล็กๆยังงั้นถ้ามีอะไรขึ้นมาจริงๆจะไหวรึเปล่า สรุปว่าก็น่าห่วงอยู่ดี
ตอนเย็นวันนั้นผมก็ได้กินฝีมือแม่อัมอีก อันได้แก่ แกงส้มดอกแคธรรมด๊าธรรมดาแต่รสชาดอร่อยไม่ธรรมดา ไข่เจียว กับดอกขจรและเห็ดนางฟ้าชุบแป้งทอดกรอบ ซึ่งมันก็เป็นอาหารพื้นๆและบ้านนอกมากๆแต่ก็รสชาดสุดยอดอย่าบอกใครอ่ะ ก็ล่อซะพุงกางไปเลยฝีมือแม่อัมนี่ผมไม่เคยผิดหวังจริงๆว่ะ
ยิ่งเราได้นั่งล้อมวงกินกันมีแม่อัม ไอ้แมนและน้าชาญแบบนี้แล้วผมสบายใจชะมัด บรรยากาศที่นอกชานริมคลองยังงี้ลมก็พัดเย็นสบายสุดๆแล้ว ไม่เคยนึกเลยว่ะว่าผมจะมีความสุขไปกับอะไรที่มันธรรมดาสามัญรากหญ้ายังงี้ได้ ทั้งที่เมื่อก่อนผมคงติดหรูไปเองต้องกินข้าวร้านดีๆ อาหารดีๆเท่านั้น แต่ตอนนี้แค่อาหารพื้นๆแค่นี้ผมก็แฮบปี้สุดๆแล้ว ยิ่งทำให้ได้รู้และตระหนักเลยว่าความสุขของคนเราเนี่ย มันอยู่ที่ใจจริงๆไม่ใช่วัตถุหรือของนอกกายอะไรทั้งนั้น
-
-
คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมนอนหลับอย่างเป็นสุขได้ อาจเพราะผมยังพอมีความหวังว่าจะได้ข่าวของมินจากคนที่นี่ และอีกอย่างก็คงเพราะบรรยากาศที่แสนสบายของบ้านแม่อัมนี่เอง ทั้งๆที่ตอนแรกไอ้ผมก็กลัวอยู่ว่าคนที่นอนแต่ห้องแอร์อย่างผมจะมานอนกางมุ้งได้มั๊ย แต่แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่คิดเพราะที่ๆกางมุ้งนอนนี่มันเป็นในชายคาบ้านแต่ติดริมน้ำเลยนะครับ อากาศมันก็เย็นสบายจากลมที่พัดโชยมาซึ่งมันปลอดโปร่งดีจริงๆครับ สบายกว่านอนห้องแอร์ด้วยซ้ำมั๊ง
เช้านี้ผมเลยรีบตื่นซะแต่เช้า ไอ้แมนมันยังนอนอยู่เลยผมก็ไม่ได้ปลุกมันหรอก ลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ลองไปเดินสูดอากาศแถวนั้น พลางเดินเข้าไปดูเด็กในค่ายมวยเค้าซ้อมกัน
" อ้าว...หนุ่ม ทำไมตื่นซะเช้าเลยเนี่ย หือ... นอนไม่หลับรึเปล่า" น้าชาญแกเอ่ยทักผมแล้วก็ยิ้มให้
" เปล่าครับ นอนหลับสบายมากๆตะหากเลยตื่นได้แต่เช้าอ่ะครับ"
" เอ้อ... ดีแล้ว งั้นก็ตามสบายนะ เดินดูอะไรเล่นแถวนี้ไปก็ได้ เดี๋ยวน้าไปคุมเด็กมันซ้อมก่อนนะ" น้าชาญบอกแล้วก็เดินผละไปที่กลุ่มเด็กๆที่ใส่กางเกงมวยแล้วก็สั่งให้เตรียมตัว ผมเดาว่าเดี๋ยวน้าเค้าคงให้เด็กๆทั้งกลุ่มออกไปวิ่งแถวนี้มั๊ง ตอนนั้นผมก็นึกสนุกขึ้นมาอยากจะออกไปวิ่งกับเค้าด้วย เพราะว่าหลังๆมานี่ผมไม่ได้ไปออกกำลังที่ฟิตเนสมาตั้งนานแล้ว ดีเหมือนกันว่ะจะได้ไปสูดอากาศบริสุทธิ์แถวนี้แถมได้ชมวิวอีก เจ๋งไปเลย
ว่าแล้วก็ลองเดินไปขอน้าชาญดู แกก็ยิ้มๆบอกว่าจะเอาจริงเหรอ จากนั้นก็ขอยืมกางเกงมวยจากน้าชาญเค้ามาใส่ตัวนึงกับเสื้อกล้ามของผมเอง พวกเด็กๆมันก็ทำหน้าแปลกใจกันว่าผมจะไปวิ่งกับพวกมันจริงๆเหรอ
ตอนนี้ผมกับพวกเด็กๆออกวิ่งไปด้วยกันเป็นแถวยาวโดยที่ผมวิ่งรั้งท้ายไปพี่นักมวยสี่ห้าคน ที่นี่อากาศบริสุทธิ์มากจริงๆครับเพราะว่ามันแทบไม่มีรถยนต์วิ่งมาสักคันเลยนี่เอง วิ่งไปถึงตลาดก็มีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ บ้างก็ถือข้าวของที่ซื้อมา บ้างก็ง่วนกับงานของตัวเองแต่ที่ผมแทบไม่มีโอกาสได้เห็นเลยนั่นก็คือ ชาวบ้านที่กำลังตักบาตรกับพระนี่แหละ เป็นภาพที่ผมรู้สึกดีจริงๆ ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าการตื่นเช้ามันทำให้ได้มาเห็นอะไรดีๆเยอะแยะยังงี้เลยนะ
ตอนนี้ผมวิ่งผ่านผู้คนในตลาดก็มีแต่คนมองผมแล้วก็ยิ้มๆชี้ชวนกันให้มองมาที่ผม น่ากลัวคงนึกว่าผมเป็นไอ้ป้างอีกมั๊ง รึอาจจะนึกว่าไอ้ป้างมาถ่ายหนังรึเปล่า เล่นใส่ชุดนักมวยยังงี้ เหอๆ
วิ่งวนไปเกือบรอบหมู่บ้านครบรอบนึงก็มุ่งหน้ากันกลับค่ายครับ พอมาถึงผมก็ยังวอร์มต่ออีกหน่อยแล้วไปซิทอัพต่ออีก น้าชาญแกเลยเอ่ยปากชมผม
" เออ... เรานี่ฟิตดีเหมือนกันนะ ทีแรกน้าก็คิดว่าเราไปวิ่งจะไหวมั๊ยเพราะมันก็ไกลเหมือนกัน แสดงว่าร่างกายเรานี่ฟิตใช้ได้ หน่วยก้านเราก็ดีนะเนี่ย น่าจะมาฝึกมวยกะน้านะ" น้าชาญบอกแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
" โห... น้าครับ ผมก็คงได้แค่นี้แหละ ให้ไปฝึกหนักยังงั้นสงสัยผมจะไม่ไหว ยิ่งขี้เกียจๆอยู่ด้วยผมอ่ะ ฮะๆๆ"
" อืม... ไม่หรอก อย่างเราเนี่ยฟิตซ้อมสักหน่อย ฝึกแม่ไม้เพิ่มอีกก็ใช้ได้แล้วล่ะ สนใจมั๊ย เดี๋ยวน้าจะปั้นเราเอง"
" ฮ่าๆ อย่าเลยครับน้า อย่างผมคงไม่รุ่งอ่ะ อาจจะแพ้ตั้งแต่ยกแรกเลยก็ได้" ผมบอกแล้วก็หัวเราะไปกับน้าชาญ คิดๆแล้วขำว่ะ เกือบจะผันตัวเองไปเป็นนักมวยซะแล้วกู แต่ก็น่าสนใจดีนะ ฉายา ไอ้เป้งน้อยศิษย์อะไรดีวะ เหอะๆ
พอกลับเข้ามาในบ้านผมก็ไปหาแม่อัมในครัว แม่อัมแกต้มข้าวต้มไว้แล้ว กลิ่นหอมซะจน... ไม่ไหวแล้วว่ะ อิอิ
" อ้าว... นี่เราไปไหนมาลูก เหงื่อเต็มเลย แล้วทำไมใส่กางเกงมวยล่ะ" แม่อัมทักผม
" อ๋อ... ผมตื่นเช้าแล้วเห็นเด็กๆเค้าไปวิ่งกันก็เลยขอไปวิ่งกับเค้าครับแม่"
" เหรอลูก.. แล้วนึกยังไงล่ะนี่ หือ..."
" ก็อยากไปดูอะไรแถวนี้น่ะครับ แล้วก็ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย แถวนี้อากาศดีจริงๆครับแม่ สบายจริงๆ"
" อืม... ดีแล้วจ้ะ งั้นเดี๋ยวไปอาบน้ำแล้วมาทานข้าวกันดีกว่า นี่เจ้าแมนมันยังไม่ตื่นเลยสิเนี่ย ปลุกมันทีนะลูก" แม่วานผมแล้วก็ไปปรุงข้าวต้มต่อ ไอ่เวรแมนมันยังหลับเพลินอยู่เลย อากาศมันสบายมากเกิน เหอะๆ
ผมเดินไปปลุกมันแล้วก็ลากมันไปอาบน้ำพร้อมกันนั่นแหละ ประหยัดเวลาดีเพราะมีห้องน้ำห้องเดียว จากนั้นก็มากินข้าวต้มแสนอร่อย แล้วมาวางแผนกับไอ้แมนว่าวันนี้เราต้องไปหาใครบ้างเพื่อถามเรื่องมิน
ต่่อด้านล่างเลยคร้าบ V
V