คุณแม่...ครับผม !!! Ch.15 - Cat's mom
เสียงเครื่องปั่นน้ำผลไม้เงียบหายไปเมื่อน้ำฟ้ากดปุ่มปิดการทำงาน สองมือเอื้อมหยิบแอปเปิ้ลสีเขียวลูกโตมาฝานเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อที่จะให้เครื่องปั่นรวมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันสนิทได้ง่าย...ก่อนจะกดเปิดเครื่องปั่นให้ทำงานต่อไป
"หมอกานต์หยิบแก้วให้หน่อย... หมอกานต์แก้วพลาสติกอ่ะ...หมอกานต์ !! นี่แก้วบ้านนาย... นี่มันแจกันแกเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย..." น้ำฟ้าฉุนกึกวางแจกันลงบนผ้ากันเปื้อนแบบกระแทกนิดหน่อย แต่เหมือนหมอกานต์ไม่ได้หันมาสนใจอะไรมากมาย สองตากลับจ้องเป๋งไปที่โต๊ะพิเศษของน้ำฟ้าซึ่งวางอยู่ในร้านข้างๆเคาเตอร์ เพื่อมองดูคุณพี่หมอกผิวหยวกกำลังคิ้วขมวดมุ่นเพราะสอนผู้ชายตัวโตซึ่งนั่งใกล้กันให้นมหนูลินยากเย็นเหลือเกิน... เช่นพอจัดท่าวางมืออุ้มหนูลินถูก มือที่จับขวดนมดันพลาดไปทับแขนหนูน้อย พอหันไปจับมือที่ถือขวดนมเพื่อจัดท่าให้ใหม่ มือที่วางรองต้นคอหนูลินก็เกือบเผลอทำลูกเขาหัวตก... สุดท้ายปล้ำกันไปปล้ำกันมาดูท่าหนูลินคงจะไม่ได้กินนมแน่ๆ แถมเริ่มร้องตะแง้วๆประท้วงเพราะโดนยื้อขวดนมไว้ คุณพี่หมอกจึงอาสาเป็นคนอุ้มหนูลินแล้วปล่อยให้เจ้าของบริษัทสิ่งพิมพ์ตัวโตถือขวดนมป้อนเข้าปากหนูลินแทน...
"กว่าหลานฉันจะได้กินนมนะพี่หมอก... นานมาก..." คุณหมอเอามือเท้าคางกับเคาเตอร์สายตาก็มองคู่นั้นพลางอมยิ้มพลาง
"ใช่...และกว่าฉันจะได้แก้วพลาสติกมาก็นานมากเหมือนกัน..." น้ำฟ้าบ่นแกมประชด... น้ำแอปเปิ้ลปั่นของลูกค้าสาวออฟฟิศที่เพิ่งเดินเข้ามาสั่งเมื่อครู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว น้ำฟ้าวานน้องแพร สาวบริกรนักศึกษามหาวิทยาลัยหนึ่งที่ทำงานอยู่ในร้านเป็นคนเอาไปเสิร์ฟ ส่วนตัวเองก็เช็ดโต๊ะเคลียร์โต๊ะไปเรื่อย...
"หมอกานต์เราจะขึ้นไปวังน้ำเขียวศุกร์นี้เลยมั้ย...ฉันจะได้เคลียร์งานแปลฉบับนี้ให้เสร็จทันก่อนวันศุกร์..." พูดไปพลางก็หยิบเมล็ดกาแฟนำเข้าอย่างดีที่พี่หมอกเพิ่งซื้อมาเติมลงในกระปุก จัดเก็บให้เรียบร้อยเข้าตู้... หมอกานต์เบือนหน้ามามองเพื่อนแล้วถอนหายใจยาวๆ
"...จะรีบขึ้นไปทำไมล่วงหน้าตั้งเกือบสองอาทิตย์น่ะฟ้า... รึแกจะหนีอะไร หนีใครรึเปล่า..." หมอกานต์ถาม พลางหลบให้เพื่อนได้เดินผ่านไปหยิบแก้วมาเช็ดได้สะดวก
"ถ้าแกถามตรงๆฉันก็จะตอบจริงๆ...ใช่...ฉันอยากหนี แต่รู้ว่าหนีไม่ได้ ...ทำได้แค่หลบไปชั่วคราว และเวลาในตอนนี้ก็เหมาะที่สุด เพราะคนของทางนั้นจะไปมาตามติดเราตลอดยี่สิบชั่วโมงอีกต่อไปแล้ว..." น้ำฟ้าบอก สายตาไม่ได้จ้องมองเพื่อนหรอก แต่จดจ่ออยู่กับการเช็ดแก้วกาแฟที่เพิ่งล้างเสร็จมาเช็ดให้แห้งแล้วเก็บเข้าตู้
"แกไปทำอะไรมาว่ะ ทางนั้นถึงได้จู่ๆก็เลิกตามแบบนี้... หรือว่า...แกกับเขามีแอบนัดคุยกันนอกรอบโดยไม่บอกฉันเหรอ... น้ำฟ้า...นี่แกเห็นฉันเป็นเพื่อนแกอยู่รึเปล่าเนี่ย..."
"กานต์แกอย่ามาดราม่านะ... คือ...ฉันกับเขาแค่... คือ...วันก่อนเขาก็มาหาที่บ้าน ซื้อของเล่นมาให้หนูลิน เราเลยได้คุยกันนิดหน่อย แล้วเราก็...ยื่นข้อตกลงกัน...ฉันยอมทำตามที่เขาต้องการ เขาก็เลยเลิกมาตามติดชีวิตพวกเรายี่สิบสี่ชั่วโมงนี่ไง... แล้วคือ...แกก็รู้ว่าคนอย่างหมอนั่นไม่รู้จะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนใช่รึเปล่า ฉันก็เลยไม่รู้ว่าหมอนั่นจะเลิกตามเราไปอีกนานแค่ไหนไง เพราะงั้นช่วงนี้แหละที่เราจะไปไหนมาไหนก็ต้องรีบไป พวกหมอนั่นจะได้ไม่รู้ว่าเราหายไปไหน เขาจะได้เลิกเข้ามายุ่งกันเสียที..."
"ข้อตกลง? ข้อตกลงอะไรว่ะ... เขาต้องการให้แกทำอะไร... นี่ใช่มั้ยคือเรื่องที่แกจะบอกฉันน่ะ..." หมอกานต์กระพริบตาปริบประมวลข้อมูลที่เพิ่งรับรู้มาเข้าสมอง ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันกับเพื่อนหลังจากวันนั้นเขาแทบไม่ได้เจอกับผู้ชายตัวสูงแต่ตาคมดุคนนั้นอีกเลย แต่ไม่นึกว่าเพื่อนเขาเองจะยังได้พบเจอกันอยู่แบบนี้อีกโดยที่เขาไม่รู้เรื่องเลยซักนิด...จะบอกเล่าเก้าสิบกันก่อนก็ไม่มีนะเพื่อนฟ้า... อยากจะน้อยใจนะแต่ก็ทำไม่ลง...
"ใช่...ฉันกะจะมาเล่าให้แกฟัง... แล้วแกว่าไงอ่ะ จะไปวันศุกร์นี้เลยรึเปล่า" น้ำฟ้าจงใจเลี่ยงไม่ตอบคำถามแรกๆของคุณหมอเด็ก แต่เลือกจะตอบคำถามสุดท้ายแทน... หมอกานต์จ้องหน้าเขาตรงๆ หมอกานต์คงอ่านจากนัยน์ตาก็คงพอรู้ว่าเพื่อนรักตรงหน้าอยากให้เขารู้เท่านี้ เขาไว้ใจน้ำฟ้ามากพอที่จะไม่ซักไซ้ไล่เรียงอะไรเพิ่มเติม พยักหน้ารับรู้เงียบๆก่อนบอก...
"ก็ได้... แต่แกอย่าลืมแล้วกัน...ว่าคนที่คิดจะร่วมหัวจมท้ายกับแกเรื่องนี้น่ะมีฉันรวมอยู่ด้วยนะ... อย่างน้อยฉันก็รักหนูลินไปไม่น้อยกว่าแกหรอก หลานฉันทั้งคน...จะให้ใครมาเอาไปง่ายๆได้ยังไง... เดี๋ยวฉันจะออกจากบ้านตอนไหนจะโทรบอกอีกทีแล้วกัน..." หมอกานต์กล่าวทิ้งท้าย... น้ำฟ้ายิ้มรับรู้สึกดีมากที่เพื่อนเข้าใจเขา... เขาโชคดีมากๆที่มีเพื่อนรักเพื่อนแท้อย่างหมอกานต์อยู่เคียงข้าง... สัญญากับตัวเองในใจว่าหลังจากนี้จะพยายามไม่มีเรื่องต้องปิดบังเพื่อนรักอีกแน่นอน...
"พี่ฟ้า...เช็คบิลโต๊ะสี่ด้วยจ้า...เดี๋ยวแพรเช็ดแก้วต่อเองมา..." สาวน้อยผมมัดรวบตึงด้านหลังร้องบอกด้วยท่าทางขมักเขม้น... น้ำฟ้าขานตอบก่อนจะหยิบใบออเดอร์ของโต๊ะสี่มาคิดราคาแล้วเดินไปทำงาน...
จำได้ว่าระหว่างที่เดินผ่านโต๊ะที่มีเจ้านายทั้งสองคนของเขานั่งอยู่...ได้ยินเสียงเรอเอิ๊ก ! ใหญ่จากเจ้าตัวเล็กบนบ่าของคุณพี่หมอกด้วย... น้ำฟ้าเหลือบมองลูกที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนมือจากคุณพี่หมอกไปนอนซบแก้มยุ้ยอยู่บนบ่าคุณธาดาแล้วทำตาเคลิ้มจะหลับ โดยมีคุณพี่หมอกเอาผ้าอ้อมมาเช็ดปากที่เลอะนมของเจ้าตัวเล็กออกให้... เห็นภาพนั้นแล้วน้ำฟ้ารู้สึกดีมากๆจนต้องเผลอยิ้มออกมา แต่เมื่อสายตาของคนที่อุ้มหนูลินอยู่หันมาสบเข้ากับเขาแล้วเปิดเผยแววตาระยิบใส่...น้ำฟ้าก็รีบเบือนหน้าหลบแบบพยายามไม่ให้เสียมารยาททันที...เริ่มรู้สึกตะหงิดใจกับสายตาแวววาวทุกครั้งที่คุณธาดาจ้องมาที่เขาเหมือนกัน...
---------------- - - ---------------- - -- -- -- -- - - -
รังสิมันต์ขมวดคิ้วมองดูเลขตลาดหุ้นเต็มหน้าจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ สลับกับมองดูตัวเลขในหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่วางอยู่ใกล้กัน... ก่อนจะตัดสินใจละสายตามาพิงพนักแล้วหลับตานิ่งๆครู่หนึ่ง แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดขึ้นมาในความเงียบทำให้เขาต้องยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม... ...เสียงโทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่โทรศัพท์ออฟฟิศ... ใครกันที่โทรมาป่านนี้... คิดอย่างหงุดหงิดที่โดนขัดเวลาจะพักผ่อนแต่ปลายนิ้วเรียวยาวก็เอื้อมมือไปกดรับเรียบร้อยแล้ว...
"ฮัลโหล..."
"/...ไง...ได้ข่าวว่าอยู่เมืองไทย กลับมาเมื่อไหร่ไม่มีบอกกล่าวเพื่อนฝูงกันมั่งเลยนะ.../" เสียงปลายสายทุ้มต่ำที่ดังลอดลำโพงมาฟังดูคุ้นๆ ชายหนุ่มหมุนเก้าอี้ให้หันกลับไปมองนอกหน้าต่าง นึกค้นความจำตัวเองว่าเคยแจกเบอร์ให้ใครที่มีน้ำเสียงแบบนี้หรือเปล่า...
"..."
"/ฮัลโหล...เงียบทำไม...อย่าบอกนะว่าลืมเพื่อนสมัยหัวยังเกรียนด้วยกันเนี่ย...มีน้อยใจนะเว้ย/" ...พูดถึงตรงนี้ภาพของชายไทยผิวสีเข้มที่แว่บผ่านเข้ามาในสมองก็ค่อยๆเด่นชัดขึ้น...
"เท่าที่จำได้... นายไม่ใช่ตุ๊ดนี่ที่จะมาน้อยใจกับเรื่องแค่นี้...คุณโตยธร ได้ข่าวว่าตอนนี้เป็นพ่อเลี้ยงไร่องุ่นกับฟาร์มม้าที่เชียงรายอยู่ไม่ใช่เหรอ... ไม่ทราบว่าธุรกิจกำลังจะเจ๊งรึไงถึงได้โทรมาเนี่ยฮ๊ะ..."
"/เฮอะ...พอจำได้นี่จำเริญอวยพรกันชุดใหญ่เชียวนะไอ้...คุณชาย... กิจการของฉันยังอยู่และเจริญดี แถมตอนนี้กำลังจะมีแม่เลี้ยงมาช่วยดูแลกิจการเพิ่มขึ้นอีกคน...ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลามาร่วมงานเลี้ยงมงคลสมรักที่ได้แม่เลี้ยงซักทีของเพื่อนคนนี้ซักวันสองวันจะได้มั้ยครับ...ไอ้คุณชายยย.../" ปลายเสียงลากยาวถึงฉายาของเพื่อนสมัยที่ยังเรียนด้วยกัน... และได้ยินเจ้าของฉายาหัวเราะผ่านลอดมาจากปลายสาย
"...ฮ่ะๆ เออ... ว่าแต่จะแต่งทั้งทีทำไมไม่ร่อนการ์ดมา...ขนาดสืบเบอร์โทรฉันได้ก็คงหาที่อยู่ไม่ยาก... แกมีอะไรมากกว่านั้นใช่มั้ยล่ะที่ไม่ใส่รายชื่อฉันเข้าไปในแขก...แต่กลับสละเวลาโทรมาหาเองแบบนี้น่ะ..." ชายหนุ่มจุดยิ้มมุมปาก มองสภาพการจราจรบนถนนเบื้องล่างของเมืองหลวงประเทศไทยที่ดูสับสนวุ่นวาย... ฟังเสียงลอบถอนใจของเพื่อนก็รู้ว่าที่ตัวเองคิดนั้นไม่ผิด...
"/ปิดแกไม่เคยได้นานนะไอคุณชายรอง... ฉันมีเรื่องให้แกช่วยจริงๆ... คืออยากจะขอยืมคนของนายมาช่วยอารักขาความสงบเรียบร้อยภายในงานแต่งให้ฉันที พอดีมีเรื่องกับเจ้าถิ่นเกี่ยวกับผลประโยชน์อยู่ ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยเลย...ก็เลย.../""ต้องการคนนอกที่พวกมันไม่เคยเห็นหน้ามาดูแลใช่รึเปล่า? ทำไม...มีเรื่องกันมานานแล้วรึไง..." รังสิมันต์หมุนเก้าอี้กลับมาที่โต๊ะทำงานแล้วเอื้อมมือกดปุ่มเรียกลูกน้องของตนที่อยู่ข้างนอกเข้ามาในห้อง...
"/ก็นะ...ก็เจ้าเดิมตั้งแต่รุ่นพ่อฉันน่ะ... ฉันวางแผนไว้ว่ากะจะจัดงานสองหน รอบแรกก็อีกอาทิตย์นึงนี่แหละที่จะเป็นงานจริง มีญาติๆของฝ่ายฉันกับเจ้าสาวแค่ไม่กี่คน แล้วหลังจากนั้นถึงจะเป็นงานหลอก ที่เชิญแขกเหรื่อมาอีกที... ฉันก็เผื่อไว้น่ะนะว่างานอาจโดนป่วน เจ้าสาวฉันจะได้มีความทรงจำดีๆเก็บไว้ก่อนไง.../""ถ้ายุ่งยากขนาดนั้นไม่ต้องจัดมันซะก็สิ้นเรื่องไม่ใช่รึไง แค่จดทะเบียนก็พอแล้วนี่ไอโต..." เตโชกับมาคัสเข้ามายืนเงียบๆรออยู่ในห้องเรียบร้อย แต่รังสิมันต์ยังคงไม่พูดอะไรกับลูกน้องตัวเอง
"/คุณชายอย่างแกมันไม่เข้าใจหรอกว่ะ...เมื่อไหร่ก็ตามที่แกรู้สึกรักใครมากๆซักคน จนอยากจะป่าวประกาศไปให้ทั่วว่าคนๆนี้น่ะมีเจ้าของแล้ว...แกจะรู้สึกอยากจัดงานแต่งงานขึ้นมาจนตัวสั่นเลยแหละ...แล้วก็นะ คนนี้น่ะฉันรักจริงหวังแต่ง เขาพยายามเพื่อฉันมามาก ฉันก็อยากทำอะไรดีๆเพื่อเขาบ้าง ให้สมเกียรติสมฐานะเขาและถูกต้องตามประเพณีน่ะ.../" ว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคตอันใกล้บอกกล่าวอธิบายช้าๆ น้ำเสียงเวลาพูดถึงเจ้าสาวมักจะทอดเสียงอ่อนลงจนปลายสายยังรู้สึกระคายหู... คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเสือตัวฉกาจอย่างนายโตยธรจะครางเสียงเงี๊ยวๆเหมือนแมวแบบนี้เป็นกับเขาด้วย... รังสิมันต์หัวเราะหึในลำคอก่อนเอ่ยถามรายละเอียดเพิ่มเติม
"ที่ไหน ยังไง...เมื่อไหร่" คำถามสั้นๆแบบนี้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะไอคุณชาย...
"/ตอนงานจริงอาทิตย์หน้ายังไม่เป็นไรฉันคงเอาอยู่...เพราะจะจัดที่ฟาร์มฉันที่เชียงราย แต่ตอนวันโน้นฉันจะจัดงานในโรงแรมฉันเองที่วังน้ำเขียวน่ะ...แขกคงเยอะหน่อยราวๆสามร้อย... ไหวหรือเปล่าว่ะ.../" ปลายเสียงมีแววกังวลแต่คนถูกไหว้วานกลับหัวเราะออกมาง่ายๆ
"ฉลองที่เพื่อนจะหาเงื่อนมาผูกคอตัวเองทั้งที...ทำไมแค่นี้จะทำให้ไม่ได้... ก็ดี ก่อนจะถึงวันนั้นฉันคงพอมีเวลาจัดการอะไรทางนี้ได้เสร็จทัน... พอดีเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าถ้าฉันทิ้งไปตอนนี้มันจะแอบดอดหนีไปหรือเปล่า...คงต้องรีบหาอะไรมาล่ามไว้เสียก่อน..."
"/แมว? แมวพันธุ์อะไรว่ะ... แกก็ฝากคนอื่นเลี้ยงไปก่อนสิ.../" ปลายสายยังคงไม่รู้ถึงความหมายแฝงของรังสิมันต์
"แมวพันธุ์ไทยนี่แหละ แต่ฉันคงฝากคนอื่นเลี้ยงให้ไม่ได้ พอดีมันมีลูกมาด้วย...และฉันก็อยากได้ลูกมันมากแต่ตัวแม่มันก็หวงเสียเหลือเกิน..."
"/อ๋อ...กลัวโดนคนอื่นซิวลูกมันไปใช่มั้ย... แกนี่ก็บ้า ทำไมไม่เอามาเลี้ยงเสียทั้งแม่ทั้งลูกเลยว่ะ... ไปเอาแค่ลูกอย่างงี้จะเป็นคนเป็นสัตว์แม่มันก็รักก็หวงลูกมากเป็นธรรมดา จะโดนข่วนโดนกัดมาให้ได้แผลซะละมั้งแกน่ะ.../""...ช่างเรื่องของฉันเถอะน่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะโทรกลับไปหาอีกที ส่งที่จัดงานกับรายละเอียดคร่าวๆมาด้วย... อาทิตย์หน้าถ้าว่างจะบินไปร่วมงานแล้วกัน..."
"/เออๆขอบใจแกมาก... เอ้อ...แป๊บนะ... ม่านจ๋าาา ไปไหนมาจ๊ะยาหยี.../" แล้วปลายสายก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมีเสียงหญิงสาวลอดเข้ามาด้วย... รังสิมันต์คิดว่าที่เพื่อนบอกว่า แป๊บน่ะมันคงจะไม่ใช่แล้ว... จึงตัดสินใจวางสายลงไปแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า...
มาคัสที่เช็คตารางงานบอสตัวเองจากไอแพดเงยหน้ามาบอกเจ้านายเมื่อได้รับสัญญาณว่าต้องการให้พูดได้...
"อาทิตย์หน้ามีการนัดส่งของที่ท่าเรือ...ตอนเที่ยงเพียงอย่างเดียวครับ..." มาคัสรายงาน
"บอกให้คนของพ่อไปตรวจของแทนซะ...แล้วจองตั๋วไปเชียงรายให้ฉันด้วย... อีกราวๆสามอาทิตย์จะมีงานให้ทำ..." ชายหนุ่มออกคำสั่ง เมื่อจบจึงลุกขึ้นยืนเอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง... นึกถึงคำพูดของเพื่อนแล้วพึมพำออกมาเบาๆ...
"หรือจะเอามาทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนที่มันว่าดี...จะได้ไม่ต้องโดนข่วนอยู่แบบนี้...หึ" ชายหนุ่มนึกถึงแก้มยุ้ยๆของหลานขึ้นมาแล้วก็อยากเอามากอดเป็นของตัวเองเร็วๆเหมือนกัน...แต่ทันใดนั้นก็วาบใบหน้าขาวใสของเด็กหนุ่มผมยาวขึ้นมาซ้อนทับ...สิทธิ์การเลี้ยงดูหลานอย่างถูกต้องตามกฎหมายตกอยู่ในกำมือของเด็กนั่น...แต่ทำไมนะ...ทั้งที่เด็กนั่นสู้อะไรเขาไม่ได้ซักอย่าง...ทั้งฐานะทางการเงิน ความมั่นคงในชีวิต หากคิดจะฟ้องร้องเขาก็มีสิทธิ์ชนะได้ไม่ยาก... แต่อะไรที่ทำให้เขาตัดใจแย่งมันออกมาตรงๆไม่ลง...ทั้งๆที่มันไม่น่าใช่เรื่องยาก...แต่ก็ไม่อยากให้มีเรื่อง... หรือเป็นเพราะเขาไม่อยากเห็นเจ้าตัวเล็กต้องเสียน้ำตา...
"มันต้องมีซักทางสิ...ที่จะเอาตัวลูกมาโดยไม่ให้โดนตัวแม่มันข่วนเอาน่ะ..."
-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-:+:-
to be continue-->>
ตอนนี้สั้นไปโหน่ย...แต่จะพยายามมาต่อบ่อยๆคงไม่ว่ากันเน้อออออ อิอิ...