คุณแม่...ครับผม !!! ซึโยชิขับรถไป มืออีกข้างก็พยายามฝ่าฝืนกฎจราจรโดยการกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาเจ้านายไป... ทว่าเสียงแหบๆของคนที่นั่งพิงเบาะมาข้างก็ดังขึ้นเพื่อห้ามการกระทำนั้น...
“คุณโยชิ... อย่า...บอกเขานะครับ... ผมขอร้อง...”
“แต่...คุณฟ้า... บอสเขาคงเป็นห่ว...”
“ผมไม่อยาก...เจอหน้าเขา... นะครับได้โปรด... ผมขอร้อง...” เสียงแหบๆกับดวงตาหม่นแสงที่มองมา... ทำเอาซึโยชิต้องตัดใจเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าตัวเอง คิดในใจว่าถึงโรงพยาบาลเมื่อไหร่แล้วจะต้องติดต่อเจ้านายให้เร็วที่สุด
ซึโยชิถอนหายใจหนักๆ ไม่รู้ว่าถ้าเจ้านายเขารู้ว่าคุณน้ำฟ้าโดนทำร้ายโดยคุณหญิงแม่ของตัวเองเนี่ย จะ ‘องค์ลง’ อาละวาดบ้านแตกขนาดไหน... แต่ที่แน่ๆคนที่จะโดนทั้งขึ้นทั้งล่องคงไม่พ้นเขาชัวร์ๆ แหงล่ะ...เรื่องดันมาเกิดในเวรเขาพอดี โดนหักเงินเดือนไปแล้วจากพ่อเจ้านาย เหลือแต่ตัวเจ้านายนี่ล่ะที่เดาไม่ถูก... ว่าจะแค่ไล่ออก หรือเอาปืนมาจ่อขมับ ลั่นไก แล้วลากศพทิ้งทะเล... โทษฐานดูแลเมียกับลูกเจ้านายไม่ดี... ภารกิจนี้มันช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ซึโยชิเอ๋ย...
หนุ่มญี่ปุ่นนั่งทอดถอนใจไปตลอดทาง... สายตาเหลือบมองผู้โดยสารตัวน้อยที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนของผู้ปวารณาตัวเองเป็นมารดาให้... ท่าทางคุณหนูช่างนอนหลับสบายเสียเหลือเกิน... ช่วงเวลาเป็นเด็กนี่มันก็ดีแบบนี้ล่ะนะ ไม่ต้องมารับรู้ว่าคนอื่นต้องลำบากขนาดไหน เพื่อที่จะปกป้องตัวเองเอาไว้ให้ถึงที่สุด...
คุณแม่ฟ้ารักคุณหนูมากนะครับคุณหนูลิน... คุณหนูก็ต้องรักแม่คุณให้มาก พอๆกับที่คุณฟ้ารักคุณนะครับ... หนุ่มญี่ปุ่นคิดอยู่ในใจ...แต่ก็หวังว่าซักวัน ตัวเองก็อยากจะบอกประโยคนี้ให้คุณหนูตัวน้อยได้รับรู้เช่นกัน...
ใช้เวลาไม่นานนัก ซึโยชิก็สามารถพาสองแม่ลูกมาถึงโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแถวนั้นได้ แต่ทว่าปัญหาก็เกิด เมื่อหนุ่มญี่ปุ่นพยายามลงมือปลุกน้ำฟ้าเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ไม่มีทีท่าจะอือออหรือรู้สึกตัวขึ้นมาเลย... เขาเลยต้องอุ้มน้ำฟ้ามานอนบนเตียงคนไข้ที่บุรุษพยาบาลเข็นมารอท่าอยู่แล้ว ก่อนจะช้อนตัวอุ้มคุณหนูไวโอลินตามเข้าไป... ในใจก็ตุ๊มๆต่อมๆเพราะทีแรกแค่นึกว่าหลับไปเฉยๆ ไม่คิดว่าจะถึงขั้นสลบไปแบบนี้...
นี่ถ้าเจ้านายรู้เรื่องจะเป็นยังไงว่ะเนี่ย !! โอ๊ยตายๆ... อิไตแน่ๆ...!
“เอาว่ะ ! แต่ถึงอย่างนั้นบอสก็ต้องรู้เรื่อง... รีบโทรบอกดีกว่า...” ว่าแล้วซึโยชิก็กดเบอร์โทรหาเจ้านาย...
รอไม่นานก็มีคนรับสาย แต่ทว่าคนนั้นกลับไม่ใช่เจ้าของมือถือ แต่เป็นนายเตโช บอดี้การ์ดผิวคล้ำของเจ้านายนั่นเอง...
“เฮ้ย...ทำไมแกมารับโทรศัพท์บอสได้วะ...” ซึโยชิถามเพื่อนมาตามสาย มือก็กระชับคุณหนูลินให้เข้าอกดีๆ
‘บอสมีประชุมสำคัญอยู่... มีอะไรนายก็ฝากบอกฉันไว้ได้...’ ปลายสายตอบกลับ... ซึโยชิจิ๊ปากอย่างร้อนใจก่อนจะถามกลับ...
“ประชุมสำคัญมากเลยเหรอ ฉันมีเรื่องคุณฟ้าจะรายงานบอส... ด่วนมากเลย...” หนุ่มญี่ปุ่นอยากจะบอกกับเจ้านายด้วยตัวเอง... แต่ทว่าสิ่งที่เพื่อนบอกมาก็ทำให้เขาต้องคิดหนักเช่นกัน...
‘ประชุมสำคัญมาก... มีลูกค้ามาว่าจ้างเราให้ออกแบบและต่อเรือให้... แต่ดันให้ออกแบบเป็นเรือผิดกฎหมาย บอกว่าต้องการเรือสินค้า แต่ให้สามารถดัดแปลงเป็นเรือรบได้ด้วย... บอสเลยต้องเอาเข้าที่ประชุมเพื่อหาข้อตกลง เพราะคนที่แนะนำลูกค้ารายนี้มา...เป็นลูกค้าใหญ่ของเราด้วยน่ะสิ... เกิดผิดพลาดหรือมีการตุกติก... เราจะโดนเล่นงานทั้งทางตำรวจและกลุ่มลูกค้าแน่...’
“...โธ่เว้ย ! งั้นฉันฝากนายบอกบอสด้วยแล้วกัน ...ว่าคุณฟ้าโดนทำร้าย... ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล... ส่วนอาการ...เอ่อ...ฉันยังไม่รู้เพราะคุณฟ้าเพิ่งโดนพาเข้าห้องฉุกเฉินไป... ถ้าบอสประชุมเสร็จแล้วก็ใ...”
‘แล้วทำไมนายไม่รีบบอก ! ว่าเรื่องของนายมันสำคัญกว่าเรื่องประชุมว่ะโยชิ...! ไอ้อินุโยชิ !!’ ได้ยินแค่นั้นปลายสายก็ตัดไป... เหลือแต่ซึโยชิที่ยืนอ้าปากค้าง จะด่ากลับก็ด่าไม่ทัน จะโทรกลับไปด่าใหม่ก็อาจจะโดนเอาบอสก็ได้...
โธ่โว้ยไอบ้าเตโช !! พอสอนภาษาญี่ปุ่นให้หน่อยนี่เอามาใช้ด่าครูกันเลยนะ !! หนอย...อย่าให้เขาไปเรียนคำด่าภาษาไทยมามั่งก็แล้วกัน... ไอ้หมาบ้าเตโช !!!
หนุ่มญี่ปุ่นถอนหายใจอีกเฮือก แล้วตัดสินใจเดินไปนั่งลงที่โซฟาหน้าห้องฉุกเฉิน มีพยาบาลสาวเดินมาเสิร์ฟน้ำส้มให้เขาแล้วก็จากไป... ก่อนไปหล่อนยังใจดีจะช่วยพาคุณหนูลินไปเลี้ยงให้ แต่ตอนนี้เขาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น ขืนคุณหนูลินเป็นอะไรไปอีกคนสิ... แม้แต้ซากร่างกายนายโยชิก็คงไม่เหลือให้เห็นแหงๆ...
“คุณหนู...อยู่กับผมกรุณาเป็นเด็กดีนะครับ... ผมยังไม่อยากออกจากงาน ผมยังไม่อยากตาย... ผมยังไม่ได้แต่งงานเลยนะ... แล้วถ้าคุณหนูสัญญาว่าจะเป็นคนดี เดี๋ยวปีหน้าผมจะพาไปช้อนปลาทอง แล้วก็จะซื้อแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลให้ด้วย... เอ๊ะ...แล้วเด็กขวบเดียวมันจะช้อนปลาเป็นเหรอวะ...”
“เอิ้ว... เฮ่ะๆ...” ไวโอลินส่งเสียงขานรับพร้อมทำท่าพยักหน้า ไม่รู้ว่าเข้าใจที่เขาพูดจริงๆหรือเมื่อกี๊แค่ก้มลงดูเนคไทด์ของเขากันแน่... ถ้าเป็นอย่างแรกก็คงจะดีสิ แต่ดูท่าทางว่าจะไม่ใช่ซะแล้ว เมื่อตอนนี้คุณหนูไวโอลินค่อยๆหยิบเนคไทด์ของเขาขึ้นมาพิจารณาดู ...ก่อนจะงับเข้าปากไป...
“โธ่...คุณหนู...! เพิ่งสัญญาว่าจะเป็นเด็กดีเมื่อตะกี๊เองนะ...” ซึโยชิทำท่าโอดครวญ ไวโอลินเหลือบตามองคนอุ้มหลังจากเมามันส์กับการกัดและเลียเนคไทด์ยกใหญ่... และเมื่อสาแก่ใจแล้วเจ้าตัวนิ่มก็คายผ้าที่คาบไว้ออกมา พร้อมสายน้ำลายยืดเป็นทางยาว...
“โอ้... เป็นลายใหม่เลย... สวยนะครับคุณหนู เหอๆ...” ซึโยชิกลั้นใจชมเด็กน้อยออกมา และเหมือนเจ้าตัวจะรู้เรื่อง เพราะไวโอลินยกมือตัวเองตีกันเปาะแปะราวกับชอบใจนัก...
---------------------------------- ---- - -- -- - - - -
“คุณฟ้ามีอาการความดันต่ำอยู่แล้ว... ที่สำคัญยังมีอาการของโรคเลือดน้อยหรือเลือดจางด้วย... มันเลยทำให้คุณฟ้ามีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และผิวก็จะขาวซีดกว่าปกติ...”
“หมายความว่า... ฟ้าเป็นโรคโลหิตจางงั้นเหรอครับ...” รังสิมันต์ส่งเสียงถามแพทย์ผู้รักษาอาการของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้... สายตาไม่ละไปจากใบหน้าเผือดสี ทั้งที่ปกติผิวก็ขาวราวกระดาษอยู่แล้ว คราวนี้แทบมองไม่เห็นสีเลือดขึ้นบนใบหน้าเลยซักนิด...
“...ยังไม่ถึงขั้นนั้นครับคุณตะวัน... คุณฟ้าแค่มีปริมาณเลือดแดงน้อยกว่าปกติ แต่ว่ายังไม่ถึงขั้นของโลหิตจางหรืออะนีเมีย (Anemia) หรอกครับ... ดูเหมือนว่าคุณฟ้าจะได้รับการรักษามาโดยตลอดทำให้อาการไม่ทรุดหนักมากนัก... แต่โรคนี้ถ้าจะให้ดำเนินการรักษาให้ดีกว่านี้... อาจำเป็นต้องมีประวัติการรักษาของคนไข้ เพราะจะได้รู้ว่ายาตัวไหนที่ร่างกายได้รับไปแล้วได้ผลดีและไม่เกิดอาการแพ้ อาจะได้ดำเนินการรักษาให้ถูกจุดกว่านี้...” แพทย์หนุ่มใหญ่กล่าวกับหลานชาย...
“งั้นผมจะรีบให้คนไปหาประวัติการรักษาของฟ้ามาให้คุณอา...”
...ปึง...!“ฟ้า !!... ฟ้าเป็นยังไ... อ้าว...คุณรังสิมันต์... อาจารย์ !...” เจ้าของเสียงเปิดประตูดังลั่นขัดจังหวะการพูดเป็นของหมอกานต์ เจ้าตัวรีบวิ่งถลามาหาเพื่อนทันทีที่รู้เรื่องจากปากนายฝรั่ง... ทว่าบุคคลที่ยืนอยู่ในห้องก็ทำให้คุณหมอเด็กต้องเก็บอาการตกใจเอาไว้...
“...ณัฐกานต์เหรอ...? ใช่มั้ย... เป็นหมอเต็มตัวแล้วนะเรา... เอ้อ... แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะ เธอทำงานที่อีกโรงพยาบาลหนึ่งไม่ใช่เหรอ...” แพทย์หนุ่มผู้อาวุโสสุดถามลูกศิษย์ที่ตัวเองเคยได้มีโอกาสสอน... และจำหน้าได้อย่างแม่นยำเพราะมักจะเป็นคนที่นั่งหน้าชิดขอบจอเวลาบรรยายเสมอ...
“คนไข้...เป็นเพื่อนผมน่ะครับอาจารย์... แล้ว...อาการของฟ้าเป็นยังไงบ้างครับ... มันช็อครึเปล่า...” คุณหมอกานต์ทราบเรื่องแล้วด้วยว่าใครเป็นคนทำเพื่อนรัก คุณหมอเด็กจึงจงใจมองเมินบุคคลร่างสูงอีกคนที่อยู่ในห้องด้วย... เพราะรู้ว่าดี...ว่านั่นล่ะคือต้นเหตุ...
“...ช็อคไปหนหนึ่งตอนเพิ่งมาถึงโรงพยาบาล... แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว... ถามอย่างนี้แสดงว่ารู้ใช่มั้ยว่าเพื่อนเป็นอะไร... แล้วเขาเคยได้รับการรักษาจากที่ไหนมาเหรอ... พอดีอาจารย์อยากได้ประวัติการรักษาของคนไข้น่ะ...”
“เอ่อ... ครับ... ฟ้าเคยได้รับการรักษาอยู่ที่อังกฤษมาก่อน... เขาเพิ่งกลับมาเมืองไทย ผมเลยขอให้แพทย์ที่โน่นช่วยทำการส่งประวัติการรักษามาไว้ที่โรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่น่ะครับ... ถ้าอาจารย์ต้องการผมจะให้คนเอามาให้...” คุณหมอเด็กตอบกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชะเง้อมองผ่านผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเตียงไปมองหน้าเพื่อน...
...โอ๊ยฟ้า...หน้าซีดกว่าตอนอยู่ที่บ้านพักคุณตะวันเสียอีก... โธ่เอ๊ยเพื่อน... แกไปทำกรรมอะไรมานักวะ...
“อืม...ขอบใจมาก แล้วคนไข้มียาที่ต้องกินประจำอยู่รึเปล่า... แล้วเอามามั้ยณัฐกานต์...”
“มีครับ... แต่ผมคิดว่าคนพามาคงไม่รู้ว่าฟ้ามีโรคประจำตัว เลยไม่ได้เอายามาด้วย... แต่ผมจำได้ครับว่ามีอะไรบ้าง... ตัวหลักเป็นเฟอร์รัสซัลเฟต... ส่วนที่เหลือเดี๋ยวผมจะเขียนให้ครับอาจารย์”
“ฟ้ามียาที่ต้องกินประจำด้วยงั้นเหรอ... แล้วทำไมฉันไม่เห็นรู้...” แล้วเสียงทุ้มติดห้วนก็ดังขึ้นหลังคุณหมอเด็กพูดจบ ณัฐกานต์หันมองคนถามแล้วเขม่นตาใส่ก่อนตอบ...
“เฮอะ...แล้วคุณเคยรู้เรื่องอะไรแบบนี้ของฟ้าด้วยงั้นเหรอ วันๆเอาแต่สืบเรื่องของหนูลิน ไม่เคยสนใจแม่ของหนูลินเลยไม่ใช่เหรอ... แล้วที่ฟ้าต้องมาเป็นแบบนี้... มันก็เพราะคุณนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ...”
“เดี๋ยวๆ นี่ณัฐกานต์รู้จักหลานอาจารย์ด้วยเหรอ... ไปรู้จักกันเมื่อไหร่... แล้วที่ว่าตะวันมีส่วนทำให้คุณฟ้าเป็นแบบนี้นี่หมายความว่ายังไง... หรือว่า...รอยฟกช้ำตามตัวนี่ฝีมือหลาน...”
“ถึงไม่ใช่ก็เหมือนใช่ครับอา... ผมมีส่วน...ที่ทำให้เด็กคนนี้ต้องมานอนโรงพยาบาล... ถึงยังไงผมก็ขอฝากอาช่วยดูแลรักษาเขาให้เต็มที่ด้วยนะครับ... เขาสำคัญกับผมมาก...” ท้ายประโยคชายหนุ่มพูดออกมาอย่างชัดเจน... เขาไม่รู้ว่าคุณอาของเขาเข้าใจความหมายของมันมากน้อยแค่ไหน... แต่นั่นคือความจริง...ที่รับรู้ได้ด้วยหัวใจตัวเองในวินาทีนี้...
“เอ้า...เอาเถอะ... ยังไงอาก็ต้องช่วยรักษาคนไข้ทุกคนอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว... เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง... ดูเหมือนว่า... พวกหลานคงมีอะไรที่ต้องพูดกันใช่มั้ย... งั้นอาออกไปก่อนแล้วกัน... ณัฐกานต์อย่าลืมประวัติคุณน้ำฟ้านะ... ถ้ายังไงก็เมล์มาให้ก็ได้ ไม่ต้องลำบากเดินถือไปถือมา...”
“ครับ...ขอบคุณมากครับอาจารย์...” คุณหมอเด็กตอบรับคำพร้อมพนมมือไหว้ลา
คุณหมอวัยกลางคนเดินออกจากห้องไปแล้ว ณัฐกานต์ก็รีบรุดไปที่เตียงคนไข้ จัดการตรวจดูสีเปลือกตา ริมฝีปาก ลิ้น และฝ่ามือ... ก่อนจะถอนใจโล่งอก... โชคดียังพอมีสีเลือดฝาด แสดงว่าฟ้าไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่อาจารย์หมอบอกจริงๆ...
“ฟ้าไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ย...” รังสิมันต์ถามขึ้นเมื่อเห็นคุณหมอเด็กตรวจอาการเสร็จ คุณหมอหน้าเด็กหันมาทำหน้าเบื่อหน่ายใส่เขาก่อนตอบ...
“เรื่องโรคเลือดน่ะดูเหมือนจะไม่เป็นไรมาก... แต่ไอ้รอยฟกช้ำภายนอกน่ะ... เป็น... เป็นมากด้วย... เป็นตั้งแต่คืนที่ฟ้าโดนคุณปล้ำ...” พูดแล้วคุณหมอก็จิกตาใส่ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่อีกฝั่งเตียง...
“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉัน...”
“...ว่าคุณปล้ำฟ้า... ไม่สิ...ใช้คำว่า...ข่มขืนจะดีกว่ามั้ง... รอยมันชัดไปทั้งตัวขนาดนั้นน่ะ...” คุณหมอพูดพลางกอดอกพลาง สายตาก็จ้องคนตรงข้ามที่จ้องเขาตอบไม่ยอมหลบตาเช่นกัน... “นี่ถามจริงๆ... คุณไม่สงสารมันบ้างเหรอ ...ไอฟ้าน่ะ...ตัวมันเล็กนิดเดียว... แล้วดูคุณสิ...ตัวใหญ่อย่างกับยั...อย่างกับพวกฝรั่ง... นี่ตอนกอดฟ้าคุณไม่คิดจะถนอมมันหน่อยเลยเหรอ... ผมเห็นนะ...ทั้งรอยมัดมือ รอยดูดรอยกัด...”
“นี่ที่รัก... พูดเรื่องแบบนี้หน้าตาเฉยเลยนะ...ไม่อายบ้างเหรอครับ...” แล้วเสียงพูดสำเนียงแปร่งๆก็ดังขึ้น... คุณหมอหันขวับไปมองต้นเสียง ก็เห็นฝรั่งหนุ่มผมทองเดินเข้ามาพร้อมกระเช้าใส่รังนกอย่างดีเต็มเอี๊ยด... ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้เจ้านายแล้วก็นำกระเช้ารังนกไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงคนไข้ ก่อนจะกลับมายืนเอามือไขว้หลังข้างๆเจ้านาย...
“ผมเป็นหมอนะ... จะมาอายทำไมกับเรื่องแบบนี้... มันเป็นเรื่องปกติธรรมชาติของมนุษย์ ...แต่มนุษย์ที่ทำเรื่องแบบนี้อย่างรุนแรง... มัน...ไม่...ปกติ...” พูดแล้วคุณหมอก็จ้องคู่กรณีของเพื่อนเขม็ง... ส่วนหนุ่มฝรั่งก็พยายามหลบยิ้มแล้วเสตามองเจ้านาย... ปกติเห็นทำท่าขรึมๆ ไม่เคยหวั่นในการตอบคำถามใคร... ดูซิว่าคราวนี้เจ้านายของเขาจะพูดความจริงด้วยรึเปล่า...
“ก็...ฉัน...ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชาย... ฉันเลย...กะแรงไม่ถูก...” ใครจะบอกความจริง...ว่าตอนนั้นอารมณ์หึงมันบังตา... ทำอะไรลงไปโดยไร้สติควบคุมโดยสิ้นเชิง...
“คุณ... ผู้ชายนะ...ไม่ใช่ควาย... ฟ้ามันไม่ได้ถึกขนาดนั้นนะคุณ...! มันน่ะอ่อนแอจะตายไป... ยิ่งกว่าผู้หญิงอีกมั้ง... แต่มันน่ะ...ทน... ทนยิ่งกว่าแรดเสียอีก...” คุณหมอเปรียบเทียบเพื่อนอย่างจัดจ้าน... หวังให้อีกคนช่วยมองเพื่อนเขาเป็นสัตว์โลกตัวเล็กๆบ้าง... แต่อีกคนกลับแค่นยิ้มแล้วพูดตอบ
“ใครบอก... ทั้งปากเก่ง... แล้วก็ดื้อที่หนึ่ง... แถมยังเป็นคนไม่ยอมใครอีกต่างหาก...” รังสิมันต์กล่าว... มือหนาเอื้อมลงไปสัมผัสหลังมือขาวเบาๆ เพราะมันเป็นข้างที่มีทั้งสายน้ำเกลือและเกล็ดเลือดเจาะอยู่...
“คุณเข้าใจผิดแล้ว...คุณรังสิมันต์... ไอฟ้าน่ะมันยอมทุกคน... ยกเว้นคุณ...” พูดจี้ประเด็นแล้วคุณหมอเด็กก็ตีหน้าขรึม... ประมาณว่านี่เรื่องจริงนะ...เรื่องซีเรียสใหญ่ระดับชาติเลยเชียวล่ะ...
“ทำไม...” รังสิมันต์ถามกลับเสียงห้วน... จะว่าไปแล้วมันก็จริงอย่างที่หมอเด็กคนนี้พูด... ฟ้ามีท่าทีอ่อนต่อทุกคน พูดดีด้วย ทำดีด้วย...ยกเว้นเขา... แม้ว่าเมื่อคืนน้ำฟ้าจะยอมให้เขานอนกอดทั้งคืน...แต่เขาก็รู้ดี ว่าคนในอ้อมกอดไม่ได้เต็มใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่ขัดขืนเขาไม่ได้ก็เท่านั้น...
“คุณรังสิมันต์... เรื่องอื่นผมดูว่าคุณฉลาดหมดนะ... แล้วทำไมเรื่องแค่นี้คุณถึงคิดเองไม่ได้ห๊ะ... คุณจะมาแย่งลูกไอฟ้าไปนะ...!! มีพ่อแม่ที่ไหนเขายอมกันง่ายๆบ้าง... หนูลินน่ะเป็นหัวใจมันทั้งดวงเลยนะคุณ... ถ้าคุณเอาไวโอลินไปจากไอฟ้า... ก็เท่ากับคุณกำลังฆ่ามันทั้งเป็น...”
“เวอร์ไปแล้วรึเปล่าที่รัก...” มาคัสพูดขัดขึ้น... เมื่อเห็นแล้วว่าเจ้านายตัวเองโดนรุมอย่างจังๆ... ชายหนุ่มค่อยๆเดินไปยืนข้างๆคุณหมอเด็กแทนเพื่อใช้ความใหญ่ตัวของร่างตัวเองปรามคนกล้าพูดบ้าง... แต่ดูเหมือนคุณหมอเด็กกำลังอารมณ์ขึ้น ...ฉุดไม่อยู่ซะด้วย...
“ผมไม่ได้เวอร์นะคุณมาร์ค... หนูลินน่ะเป็นญาติที่ไอฟ้าเหลืออยู่เพียงคนเดียวในโลก... มันไม่ยอมให้คุณมาเอาไปง่ายๆหรอก... ฟ้าน่ะเปลี่ยนไปมากตั้งแต่มีหนูลิน... มันพยายามทำตัวเองให้เข้มแข็ง... ทำงานเก็บเงินงกๆเพื่อหาเงินเตรียมไว้ให้หนูลินใช้ตอนโต... มันแค่ต้องการอยู่กันสงบๆง่ายๆกันสองคนน้าหลาน... แต่ดันมาโดนคุณรังควาญเอาเสียได้... โธ่เอ๊ย...ไอฟ้าน่ะไอฟ้า... แกไม่น่ากลับมาเลยว่ะ...” คราวนี้ประโยคหลังคุณหมอพูดพลางกอดอกก้มมองหน้าเพื่อน...
ไม่รู้ว่าเขาพูดไปตั้งขนาดนี้แล้ว...ชายหนุ่มตรงหน้านี่จะมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นกับเพื่อนเขาบ้างรึเปล่า... ไอฟ้าฉันช่วยพูดแทนแกให้หมดแล้วนะ... หลังจากนี้ก็อยู่ที่เวรที่กรรมลิขิตมาแล้วล่ะ ว่าแกกับคุณรังสิมันต์น่ะ เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมา หรือเป็นคู่รักพรหมลิขิตมากันแน่...
...ก๊อก..ก๊อก...“ขออนุญาตค่ะ... พาน้องไวโอลินมาส่งให้ผู้ปกครองค่ะ... น้องอาบน้ำเรียบร้อยแล้วนะคะ แล้วก็ดื่มนมเรียบร้อยแล้วด้วยค่ะ...”
สิ้นเสียงเคาะประตูก็มีพยาบาลสาวนางหนึ่งเดินอุ้มไวโอลินเข้ามา เด็กน้อยอยู่ในอาการขยี้ตาสะลึมสะลือทำท่าง่วงอย่างเห็นได้ชัด... ดังนั้นเมื่อรังสิมันต์เดินเข้าไปเอามือช้อนใต้รักแร้ เด็กน้อยก็โอนอ่อนผ่อนตามมือใหญ่ให้ยอมอุ้มพานอนแต่โดยดี... ดวงตากลมโตแวววาวจ้องหน้าคนอุ้มเล็กน้อยก่อนจะเอนหน้าซบเข้าบ่า ครางอะไรงึมงัมซักอย่างในลำคอ... ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเหลือบมองไปทางคนบนเตียง...
“มะ... มาาาา... อะ...อาววว... งือ...งืม...” เด็กน้อยส่งเสียงร้องหาคนบนเตียงทันทีที่เห็น... สองแขนสองขาผลักไสคนที่อุ้มตนอยู่ออกทันที รังสิมันต์พยายามเปลี่ยนข้างมือที่อุ้ม แต่ไวโอลินก็ยังพยายามจะตะกายตัวเองไปหาแม่บนเตียงอยู่ดี...
จนเมื่อคุณหมอกานต์ที่ยืนดูอยู่ทนไม่ไหว ก็เลยส่งเสียงทักออกไปว่า...
“พาหนูลินไปนอนกับแม่เขาสิคุณ... เดี๋ยวหลานก็ร้องไห้หรอก... งอแงใหญ่แล้วเห็นมั้ย... พามานอนฝั่งนี้ก็ได้ไม่มีสายน้ำเกลือ... เดี๋ยวผมยกแผงกั้นขึ้นให้...” คุณหมอหนุ่มบอกพลางจะยกแผงกั้นเตียงคนไข้ฝั่งตัวเองขึ้น...
แต่มือใหญ่ๆของฝรั่งผมทองก็ยื่นเข้ามาช่วย... คุณหมอเหลือบมองด้วยหางตาก็ถอยไปยืนกอดอกดูอยู่ห่างๆ... เขามองรังสิมันต์จูบหน้าผากหนูน้อยก่อนจะค่อยๆพาเดินอ้อมมาอีกฝั่ง... เด็กน้อยก็เหมือนรู้เพราะพอรังสิมันต์ค่อยๆปล่อยเจ้าตัวน้อยลงนอนบนเตียง... ไวโอลินก็ค่อยๆไถศีรษะเข้ากระทบแขนน้ำฟ้าเบาๆ รังสิมันต์จึงหยิบแขนน้ำฟ้าออกให้มาโอบตัวหนูน้อยไว้... ไวโอลินพอได้ซอกพอจะซุกตัวได้ปุ๊บก็เอาแขนเล็กป้อมกอดหมับเข้าที่แขนน้ำฟ้า หลับตาซุกซบท่อนแขนเล็กแล้วก็นิ่งเงียบไป...
คุณหมอเด็กเกือบจะเข้าไปห้ามแล้วตอนที่เห็นรังสิมันต์ยกฝ่ามือใหญ่ขึ้นเหนือศีรษะน้ำฟ้า เพราะนึกว่าจะยกขึ้นตีหรือทำร้ายเพื่อน... ทว่าเมื่อเห็นฝ่ามือใหญ่เพียงยกขึ้นลูบศีรษะเพื่อนเบาๆเขาก็ถอนใจโล่งอก... ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆก็มีฝ่ามือใหญ่ตบลงที่บ่า... พร้อมเสียงพูดออกแปร่งๆที่ดังขึ้นเหนือหัว
“ออกไปข้างนอกกันเถอะ... เจ้านายผมเขาไม่ทำอะไรเพื่อนคุณหรอก ไม่งั้นจะให้หมอมารักษาทำไม... ไปเถอะ...”
“แต่คุณมาร์ค ผมจะอยู่เฝ้าเพื่อน...”
“ค่อยมาก็ได้คุณหมอ คุณต้องรีบไปโอนประวัติการรักษาคุณฟ้ามาที่นี่ไม่ใช่เหรอ รีบไปสิ...” มาคัสดันหลังคุณหมอตัวน้อยให้ออกจากห้อง... แม้จะพบอาการขัดขืนบ้างแต่เขาก็ ‘ลาก’ ออกมาจนได้...
...รู้ใจเจ้านายว่าตอนนี้คงอยากอยู่ตามลำพังกับคนไข้บนเตียงมากกว่า
---------------------------------- ---- - -- -- - - - -
to be continue...
ตอนนี้มาเอาเบรกความแรงของคุณนายเธอนะคะ
แต่รับรองว่าน้องฟ้าไม่โดนแค่นี้แน่ๆ...เหอๆ =,.= คนเขียนซาดิสม์ล่ะ ชอบทำร้ายนายเอก...หึหึ
ปล. ขอบคุณสำหรับทุกคนติชมนะคะ ^^ แต่คนเขียนขออนุญาตอธิบายนึดนึงเพราะเห็นว่าโดนทักมาสองครั้งแล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้อธิบายเลย เหอๆ... คำว่า ไอ กับ ไอ้ น่ะค่ะ... แพทจะบอกว่าแพทจงใจเขียนล่ะ... เพราะสองคำนี้มันอ่านออกเสียงต่างกัน... ซึ่งแพทรู้สึกว่าในชีวิตประจำวันเราจะด่ากันด้วย ไอ มากกว่า... ยกเว้นบางครั้งที่จะเรียก ไอ้ ขึ้นต้น เหอๆ...=,.= ถ้าอ่านแล้วขัดๆก็ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วยนะคะ >,.< แต่แพทจงใจเขียนจริงๆค่ะ...เหอๆ
ปล2. แพทได้อ่านทุกคอมเมนต์นะคะ...!! แงง......... แต่ไม่ได้ตอบเลย... =*= อ่านแล้วก็แอบทึ้งเก้าอี้ตัวเองนั่งกรี๊ดอยู่คนเดียว ๕๕๕+ ชอบอ่านคอมเมนต์มากๆอ่ะ รู้สึกว่ามันส์กว่านิยายตัวเองอีก... และคิดว่าคนเขียนหลายคนก็เป็นเหมือนแพทนะ ๕๕+...
ปล3. น้องเบสได้วาดแบบน้องฟ้า น้องลิน แล้วก็คุณตะวันมาให้ดูด้วยล่ะ !! >,.< กรี๊ดมากกกกกก ห้าห้า ใครอยากดูก็ตามไปดูได้ที่เฟสนิยายแพทนะคะ ^^ จิ้มเลย...--->>http://www.facebook.com/pat.majestic.1
ปล4. สุดท้ายแล้วล่ะ บอกบุญๆ วันอาทิตย์นี้เค้ามีจัดเทศน์มหาชาติขึ้นที่วัดไทยในเมืองเดนเวอร์ แพทจะไปร่วมฟังเทศครั้งนี้ด้วยล่ะค่ะ ^^ ใครสนใจก็อนุโทนาบุญกันได้นะคะ ฟังเสร็จแล้วแพทจะนำภาพบรรยากาศมาฝากให้ได้สาธุบุญกันค่ะ
ตอนนี้ที่นี่เริ่มหนาวแล้ว =_=+ ทุกคนก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ แพทสัญญาว่าจะไม่แข็งตายที่นี่ซะก่อน เหอๆ... เจอกันค่ะ ^^