คุณแม่...ครับผม !!!“แอ๊... แง....งื้ออออ... ฮาววว...” หนูลินหาวปากกว้าง... พลางเอากำปั้นตัวเองมาขยี้ตา... ก่อนจะเอนหัวซบคุณแม่ตัวบางที่นอนเอนตัวอยู่บนเตียงแล้วมุดๆหาที่สบายๆเพื่อที่จะนอน...
“ง่วงแล้วเหรอเจ้าตัวนิ่ม... หนาวเหรอครับลูก...” น้ำฟ้ากอดกระชับอ้อมแขนรัดเด็กตัวนิ่มเข้าอ้อมแขน... แล้วพยายามจะขยับตัวนั่งเองหลังดีๆแต่ทว่ามือที่โดนให้น้ำเกลือมันปวดๆบวมๆทำให้ลงแรงช่วยพยุงตัวเองไม่ได้...
รังสิมันต์ละสายตาจากหน้าจอโน๊ตบุ๊คมามองคนไข้บนเตียงกับเด็กตัวน้อย ก่อนจะรีบลุกแล้วเดินมาที่เตียงเพื่อช่วยพยุงคนไข้ให้เอนหลังสบายๆบนเตียง...
“...ฉันช่วย...” ชายหนุ่มเอ่ยบอกสั้นๆ ก่อนจะช้อนแขนเข้าข้างหลังน้ำฟ้าให้เอนมาที่เขา... แล้วเอื้อมมืออีกข้างไปจัดหมอนใบใหญ่มารองหลังให้เข้าที่ จากนั้นก็ค่อยๆคลายวงแขนที่โอบทั้งตัวน้ำฟ้าแล้วหนูลินให้เอนกลับไปที่เดิม...
“ขะ...ขอบคุณ...” น้ำฟ้าพูดเสียงเบา จะบอกปฏิเสธแต่แรกแล้วล่ะ... แต่ไม่เคยทันการให้ความช่วยเหลือของอีกคนซักที
“หนาวมั้ย...” รังสิมันต์ถาม... มือก็ดึงผ้าผืนสีฟ้าตราโรงพยาบาลขึ้นมาห่มให้ถึงคอเจ้าตัวน้อยที่นอนซบอกแม่ฟ้าทำท่าหลับปุ๋ยสบายใจ... คนถูกถามพยักหน้าให้เบาๆ...
“จะให้เบาแอร์ให้รึเปล่า...” คราวนี้คนถูกถามส่ายหน้าแล้วบอก...
“ไม่เป็นไร... เดี๋ยวคุณร้อน...” น้ำฟ้าตอบ ก่อนจะเหลือบมองคนร่างสูง เพราะจนถึงตอนนี้ คนที่ยืนค้ำแขนกับเตียงไว้แล้วก้มลงมองเขา ยังอยู่ในชุดสูทตัวหนาเรียบกริบ ดูยังไงก็หารอยยับไม่เจอเลยแม้แต่นิดเดียว...
“ถ้าฉันจะไม่ร้อน แล้วเธอกับหนูลินไม่สบาย... ฉันยอมร้อนดีกว่า...” อีกคนบอกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แล้วหันไปที่โต๊ะข้างเตียงก่อนจะหยิบรีโมทแอร์มาเพิ่มอุณหภูมิ
น้ำฟ้ามองตามมือแข็งแรงที่ขยับไปหยิบรีโมทโทรทัศน์มาอีกอันเพื่อเบาเสียงให้เขา... วันนี้ทั้งวันดูชายหนุ่มจะใส่ใจเขาไปเสียทุกเรื่องเลย... ทำทุกอย่างให้โดยที่เขาแทบไม่ต้องออกเสียงบอกเลย...
...ดูจะรู้ใจเขาไปเสียทุกเรื่อง... ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวด้วยนะ... เจ้าหนูตัวน้อยบนอกเขาก็โดนดูแลอย่างดีไม่ต่างไปจากเจ้าชายตัวน้อยๆเลยทีเดียว...
“หลับแล้วใช่มั้ย...” เสียงพูดดังขึ้นเหนือหัว น้ำฟ้าเงยหน้ามองคนพูดแล้วพยักหน้าให้
“ครับ...” เด็กหนุ่มตอบ แต่พอรู้สึกว่าอีกคนกำลังรอฟังอีก และเขาก็พูดสั้นไปนิด น้ำฟ้าก็เลยพูดเพิ่มว่า... “วันนี้กินอาหารเหลวไปได้เยอะ ไม่รู้จะท้องอืดรึเปล่า...”
คนฟังไม่พูดอะไร นอกจากเอามือตัวเองมาประคองศีรษะหนูลิน ก่อนจะเกลี่ยปอยผมกระจุกน้อยตรงกระหม่อมให้เปิดเหม่งขึ้นมา ก่อนจะก้มลงกดจมูกหอมหน้าผากขาวๆของหลานชายตัวเองแน่นๆ... หอมแป้งเด็ก... หอมกลิ่นความไร้เดียงสาของไวโอลิน... มันช่างติดจมูกจริงๆ...
“...รู้มั้ย... ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนมีครอบครัวเป็นของตัวเองเลย... จะคิด...จะทำอะไรซักอย่าง ก็กังวลเธอกับหนูลินไปสารพัด...ไม่รู้ว่าถ้าทำไปแล้วมันจะมีผลอะไรกับพวกเธอแม่ลูกบ้าง... แต่เธอรู้มั้ย...มันเป็นความกังวลที่ทำให้ฉันมีความสุข... และเต็มใจ...ที่จะมีใครอีกซักสองคนมาเป็นภาระ... มาให้คอยห่วง...มาให้คอยดูแลอยู่แบบนี้... ...ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลยจริงๆ...”
คำพูดที่จู่ๆก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินดังขึ้น มันกระทบโสตประสาทของเขา แล้วก็ต้องไปแปลความที่สมอง... แต่แปลกจัง... ทำไมในสมองมันเหมือนโปรแกรมที่จู่ๆก็ถูกคนกดชัทดาวน์ขึ้นมา... เหมือนมันเบลอและทำงานไม่ได้ไปชั่วขณะ... คำพูดทั้งหมดเหล่านั้นจึงถูกส่งไปแปลความหมายที่อื่นแทน...
...ที่หัวใจ...
สายตามั่นคงจริงใจที่ส่งมาให้จากผู้ชายตัวสูงประกอบคำพูดที่ว่า... เขารู้สึกมีน้ำฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ครอบครัว’... เป็นคนที่เขาคอยนึกถึง... คอยเป็นห่วงเป็นใยกัน...
“ฉันอยากสร้างครอบครัวกับเธอจริงๆนะฟ้า...” คำพูดหนักแน่นมั่นคง... พร้อมทั้งฝ่ามือใหญ่ที่เลื่อนมากุมมือเขาเอาไว้ มันส่งผ่านความอบอุ่นเข้ามาอย่างมากมาย จนน้ำฟ้ารู้สึกว่าใจมันสั่นเพราะรับเอาไว้ได้ไม่หมด...
...เขาพูดจริงๆใช่มั้ย... เขาจะมาเป็นครอบครัวให้น้ำฟ้า... น้ำฟ้ากำลังจะมีครอบครัวที่เป็นคนอื่น...ไม่ใช่แค่หนูลินคนเดียว... เขาจะไม่ต้องเลี้ยงดูหนูลินตามลำพังอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย...
...คำว่า ‘ครอบครัว’ ที่เคยอยากได้... ดวงตะวันตรงหน้าก็หยิบยื่นมาให้แล้วนี่ไงน้ำฟ้า...
...คว้าไว้สิ...
“...ฟ้า... ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ยืนเคียงคู่ตะวันหรอกนะครับ... ฟ้าส่องแสงเจิดจ้าแบบตะวันไม่ได้... ฟ้าไม่มีอะไรสู้ตะวันได้เลยซักอย่าง... ฟ้ากับตะวันไม่ใช่ของคู่กัน... เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ได้หรอกครับ...” ปลายเสียงมันฟังดูสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด... จะทำยังไงได้... ก็ในเมื่อยิ่งพูด...มันก็ยิ่งเจ็บที่หัวใจแปลกๆ...
“...อย่าเอาชีวิตคนไปเปรียบกับสิ่งไม่มีชีวิตสิ... เราไม่เหมือนกับมันนะ... มันไม่มีหัวใจเหมือนเธอกับฉัน...”
“แต่ถึงอย่างนั้น... หัวใจของผม...มันก็ยังไม่ใช่ของคุณ... ผมยอมรับว่าผมรู้สึกดีๆกับคุณนะ... แต่ผมคิดว่า... มันยังไม่ใช่ความรัก...” น้ำฟ้าเอ่ยเสียงแผ่ว...
เด็กหนุ่มก้มมองดูใบหน้ายามหลับของหนูลิน... จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าอีกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปตั้งแต่เขาบอกว่าหัวใจของฟ้า ไม่ใช่ของตะวัน... และประโยคหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยเข้าหูผู้ชายตัวสูงข้างเตียงอีกเลย...
“...ที่มันไม่ใช่ของฉัน... เพราะมันเป็นของไอธาดาใช่มั้ย... กับมันเธอยังไม่จบใช่มั้ยน้ำฟ้า...” รังสิมันต์ขึ้นเสียงแข็งตามอารมณ์ทันที...
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองอีกคนเมื่อรู้สึกแล้วว่าชายหนุ่มคงกำลังเข้าใจผิดและคิดเองเออเองอีกแล้ว...
“มันไม่เกี่ยวกับคุณธาดาเลยนะครับ...!”
“งั้นก็กับไอเพื่อนฝรั่งผมทองของเธอ...”
“มันไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น...! ฟ้าไม่ได้ชอบใคร... ฟ้าไม่ได้รักใครเลย... เพราะความรักทั้งหมดที่ผมมีตอนนี้... ผมยกมันให้คนคนนี้คนเดียว... ผมรักหนูลินคนเดียว...!” น้ำฟ้าแทบตะโกนกลับใส่อีกคน ติดที่ว่ามันจะทำให้หนูลินตื่น เขาจึงยั้งเสียงให้มันดังกว่าเสียงปกติของตัวนิดหน่อยแค่นั้น...
รังสิมันต์ที่คิ้วกระตุกเมื่อกำลังจะได้ยินน้ำฟ้าพูดชื่อคนที่ตัวเองรัก ก็ค่อยคลายยิ้มได้ซักที... ...งั้นก็แล้วไปถ้าคนคนนั้นเป็นหนูลิน... นี่สรุปว่าคู่แข่งของเขาเป็นเด็กทารกตัวกระเปี๊ยกเดียวนี่ต่างหากใช่มั้ยเนี่ย...
“ก็ดี... งั้นถ้าเธอยังไม่ได้รักใครนอกจากหนูลินมันก็ดีแล้ว... เพราะฉันไม่อยากจะลงมือกำจัดใครถ้าไม่จำเป็น...”
“...พูดบ้าอะไรของคุณ...” น้ำฟ้าที่อ้าปากหวอเมื่อฟังผู้ชายในชุดสูทสีดำเอ่ยจบก็สบถด่าออกมาแผ่วเบา...
เขาไม่เข้าใจระบบความคิดของผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ ไหนบอกว่าอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสิ่งไม่มีชีวิตไง... แล้วนี่อะไร ทำเหมือนตัวเองเป็นพระอาทิตย์ เป็นศูนย์กลางแกแล็กซี่ที่ทุกอย่างต้องมาโคจรอยู่รอบตัวเองไม่มีผิด... นิสัยช่างสมกับชื่อจริงๆ...
“เอาล่ะ เธอจะหลับไปซักพักก่อนก็ได้นะ... ใกล้เวลาทานอาหารเย็นแล้วฉันจะปลุก...” รังสิมันต์พออารมณ์ดีแล้วก็ยกมือมาลูบแก้มหนูลินที่ขยับยุกยิกเปลี่ยนท่านอนตัวเองแผ่วเบา... ก่อนจะเดินหันหลังกลับไปนั่งทำงานตรงโซฟาข้างเตียงคนไข้ตามเดิม...
แล้วน้ำฟ้าก็ยังเป็นน้ำจากฟ้า... ที่ต้องเปลี่ยนตัวเองไปตามแต่ภาชนะภายนอกจะบังคับเอาเหมือนกัน...
ถ้าดวงอาทิตย์ยังคอยแผ่แสงอบอุ่นแบบนี้ให้ต่อไปก็คงจะดี... แต่ถ้าวันไหนดวงอาทิตย์ส่องแสงแผดจ้าร้อนแรงเกินไป ...จนน้ำต้องระเหยหายไปหมด... แล้วไวโอลินตัวน้อยของเขาจะทำยังไงดีล่ะ...
---------------------------------- ---- - -- -- - - - -
ผ่านไปครบสี่วัน... อาการน้ำฟ้าก็แทบจะหายดีแล้ว... แต่เขาก็ยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้แม้ว่าคุณหมอเจ้าของคนไข้จะอนุญาต... แต่ผู้ปวารณาตัวเองเป็นเจ้าของคนไข้ที่แท้จริงกลับไม่อนุญาตเสียนี่... น้ำฟ้าจึงได้แต่นั่งๆนอนๆพร้อมส่งอารมณ์หงุดหงิดให้คนที่มาเฝ้าไข้ได้รับรู้และเห็นใจกันไปตามๆกัน...
ซึ่งคนที่โดนบ่อยจนเริ่มชินเห็นจะเป็นบรรดาบอดี้การ์ดลูกน้องชายหนุ่มทั้งหลายที่ผลัดเปลี่ยนเวรยามกันมาเฝ้าเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง... ส่วนคนที่ไม่ชินเพราะปกติได้มาเฝ้าแค่แป๊บๆแล้วก็ไปอย่างหมอกานต์ก็พลอยอยู่ไม่ติด... หงุดหงิดตามเพื่อนไปด้วยเสียอย่างนั้น...
“...แก...ถ้าฉันอยู่ต่ออีกแค่วันเดียว ฉันต้องบวมน้ำเกลือระเบิดแน่เลย...” น้ำฟ้าบ่นงุดๆ ตาก็มองตามมือและแขนขาของตัวเอง ที่รู้สึกได้ว่ามันบวมๆพองๆขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด...
“เออรู้น่า... ฉันก็คุยกับอาจารย์แล้ว... แต่อาจารย์บอกว่า...คุณรังสิมันต์เขาไม่ยอมให้แกออกจากโรงพยาบาลนี่หว่า...”
“แต่เขาไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้ฉันอยู่หรือไม่อยู่นะ... ถ้าคุณหมอบอกว่าฉันออกได้แล้วฉันก็ต้องออกได้สิ... แกก็เป็นหมอไม่ใช่เหรอ ช่วยฉันหน่อยสิ... ฉันหายแล้วจริงๆนะ...”
“ฉันเป็นหมอ... แต่แกลืมไปรึเปล่าว่าฉันไม่ได้ทำงานที่นี่... ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรที่นี่เลย... ไม่เหมือนคุณรังสิมันต์ของแกนี่... ชี้คนอื่นให้หันซ้ายหันขวาได้ตามใจชอบ...”
“ไม่ใช่...! ...ของฉันซักหน่อย...” ปลายเสียงน้ำฟ้าทอดอ่อนๆ...
“เหรอ?... เขาไม่ใช่ของแก... แต่แกเป็นของเขาต่างหากใช่รึเปล่า... มันต่างกันตรงไหนวะ... ยอมรับมาเถอะว่าแกกับเขาน่ะมีอะไรกัน... แล้วเขาก็เป็นสามีของแ...”
“หยุดพูดไปเลยหมอกานต์ !!”
“แอ๊ !!” หนูลินในอ้อมแขนหมอกานต์ก็ร้องแอ๊ราวกับขัดใจขึ้นมาอีกคน...
“เราไม่ได้เป็นอะไรกันหมอกานต์... ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน...”
“อ้าว... ก็ไหนตามาร์คบอกว่า... เขาขอแกแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ... นี่ก็เห็นบอกว่าเตรียมหาสถานที่จดทะเบียนสมรสแล้วนี่... เสร็จแล้วก็จะได้รับหนูลินเป็นบุตรบุญธรรม...”
“...ห๊ะ?” น้ำฟ้าอ้าปากหวอ... สมองประมวลคำพูดหมอกานต์ไม่ทัน...
“งืม...อุ...วาา...อาา...” แต่คนตัวน้อยในอ้อมแขนหมอกานต์กลับพยักหน้าหงึกหงักแล้วก้มลงมองของเล่นในมือที่หมอกานต์เพิ่งซื้อมาให้วันนี้...
“หืม? เรื่องจริงเหรอหนูลิน... งั้นเหรอลูก... อื้ม... คุณแม่ปากแข็งเองใช่มั้ยลูก... เหรอครับ...” คุณหมอกานต์แสนฉลาดเอาของเล่นมาล่อให้หนูลินพยักหน้าขึ้นลงตอบรับคำพูดตัวเอง...
“ลูกชายฉันหมอกานต์... ทำเหมือนหนูลินเป็นตุ๊กตาไขลานไปได้...”
“เฮ่ะๆ... อู้ว....” หนูลินเงยหน้ามายิ้มยิงฟันตาหยีใส่แม่... แล้วก็ก้มลงเล่นของเล่นในมือต่อไปไม่สนใจใคร...
“เอ้า ! ก็เหมือนจริงๆนะดูสิ... ไหนพยักหน้าซิลูก... เก่งมาก... ขอขาหน้าด้วย...” คุณหมอเอามือมาผลักศีรษะกลมเล็กเบาๆให้พยักหน้าตาม แล้วแบมือขอของเล่น หนูลินก็เอื้อมมือมาตีแปะลงบนฝ่ามือตรงตามคำสั่งเป๊ะ...
“...ลูกชายฉันไม่ใช่ชิสุ ! นี่หมอกานต์ถ้าจะมากวนกันแบบนี้ก็กลับโรงพยาบาลไปทำงานเลยไป... มาแหย่มาแซวคนป่วยนี่สนุกนักเหรอคุณหมอ...” น้ำฟ้าพูดประชดเพื่อน... แต่หมอกานต์ก็ทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจคำประชดของเพื่อนรัก... ก็แกล้งน้ำฟ้านี่มันสนุกที่สุดเลยนี่นา...
“เอ้า ! บอกว่าลูกไม่ใช่ชิสุ... แล้วใครจับหนูลินมายัดใส่ชุดลูกหมาแถมมีหูมีหางครบแบบนี้ล่ะฮ๊ะ? ดูซิ...เลือกแบบมีขนปุยลายจุดด้วย... จะไม่ให้เหมือนลูกหมาได้ยังไง...”
“...คุณรังสิมันต์เป็นคนแต่งให้... ไม่ใช่ฉันซักหน่อย...”
“...อ่ะ...อ้าว... งั้นเหรอ... แฟนแกนี่ก็... รสนิยมแปลกดีเนอะ...”
“ไม่ใช่แฟน...”
“งั้นก็สามี...”
“...” น้ำฟ้าถอนใจเฮือกใหญ่... ขี้เกียจแก้คำพูดเพื่อนผู้ชอบอำแล้ว...
“อ๊ะแน่ะ... ไม่ปฏิเสธ... งั้นก็แสดงว่าแกยอมรับแล้วน่ะสิ... ว่าแกเป็นเมียคุณรังสิมันต์...”
“สนุกมากมั้ยหมอกานต์... แกอยากให้ฉันตายเร็วๆเหรอ... แกก็รู้ไม่ใช่เหรอ ว่าทั้งพี่ฝน ทั้งฉัน... โดนครอบครัวของเขาทำร้ายอะไรบ้าง... แล้วที่ฉันต้องมานอนโรงพยาบาลอยู่ตอนนี้... ไม่ใช่เพราะแม่เขาเหรอ... แกจะล้อฉันเรื่องอะไรก็ได้นะ... แต่ขอเถอะ... อย่าล้อเรื่องฉันกับคุณรังสิมันต์เลย... มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกหมอกานต์...” น้ำฟ้าอธิบายเสียงเครียด... สายตาที่ส่งให้เพื่อนก็บ่งบอกว่าเรื่องนี้เขาจริงจัง... คุณหมอกานต์เหวอไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะไปพูดเรื่องที่เพื่อนไม่อยากให้พูดขนาดนั้น...
“อ่ะ...เออ... รู้แล้วน่าแกก็... ฉันก็แซวไปงั้นเอง ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลย... งั้นเอางี้มั้ย... เดี๋ยวฉันพาแกลงไปเดินเล่นข้างล่าง... แกจะได้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้างไง... เอามั้ย...” คุณหมอกานต์เสนอทางเลือกเพื่อให้เพื่อนอารมณ์ดีไถ่โทษกับความปากไวของตัวเอง...
น้ำฟ้าช้อนสายตามองเพื่อน... รู้ว่าเพื่อนไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่องที่ตัวเองไม่อยากจะฟัง... เด็กหนุ่มก็เลยเผยยิ้มอ่อนๆให้เพื่อนแล้วพยักหน้าให้...
“ก็ดีเหมือนกัน... ตั้งแต่อยู่โรงพยาบาลมา ฉันยังไม่ได้ออกไปจากห้องนี้เลย... ถึงไม่ใช่นักโทษก็เหมือนใช่... เขาแทบไม่ให้ฉันออกห่างจากเตียงเลยหมอกานต์...”
“...เออรู้น่า... งั้นรอเดี๋ยวนะ... ฉันจะไปลากรถเข็นมาให้...” คุณหมอกานต์บอกก่อนจะหันหลัง... แต่คนไข้บนเตียงที่ตลบผ้าห่มออกจากตัวก็ห้ามไว้...
“ไม่ต้องหรอก... ฉันอยากเดินเองมากกว่า...” น้ำฟ้าบอก... พลางค่อยๆลงน้ำหนักที่เท้า แล้วลองพยายามออกเดินช้าๆเมื่อรู้สึกว่าผลจากการนั่งและนอนมาตลอดเกือบห้าวันมันแทบจะทำให้เขาเป็นอัมพาตเลยทีเดียว...
คุณหมอกานต์ก็คอยระวังไม่ให้เพื่อนล้มและลากเสาน้ำเกลือตามมาให้... แต่พอเดินมาจนถึงหน้าประตูห้องแล้วเปิดออก... ทั้งสองคนก็พบบอดี้การ์ดของรังสิมันต์ยืนอยู่สามคน... และพอทั้งสามคนหันมาเห็นว่าคนไข้และคนมาเยี่ยมไข้กำลังอยู่ในสภาพที่เตรียมจะออกไปข้างนอก... หนึ่งในสามก็ออกปากถามเลยทันที...
“คุณสองคนจะไปไหนกันครับ...” น้ำเสียงแปร่งหูดังมาจากบอดี้การ์ดผิวสีร่างสูง ซึ่งน้ำฟ้าจำได้ว่าเป็นหนึ่งในทีมเดียวกับที่เคยไปอยู่ที่บ้านพักกลางเขาด้วยกัน...
“ผมจะพาลงไปเดินเล่นข้างล่างน่ะ...” หมอกานต์ตอบ... น้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กๆ... ก็คิดดูสิ... ใครจะเข้าจะออกห้องนี้ก็ต้องโดนตรวจค้นกันอย่างละเอียด... ไม่เว้นแม้แต่หมอ พยาบาล แล้วก็ตัวเขาเองด้วย ! เพื่อนเขาไม่ใช่เจ้าชายรัชทายาทนะ... ทำไมต้องรักษาความปลอดภัยกันโอเวอร์ขนาดนี้ด้วยเนี่ย...
“ไม่ได้นะครับ... คุณรังสิมันต์สั่งไว้ว่าห้ามคุณออกนอกห้อง...”
“หยุด ! ไม่ต้องพูด... เมื่อกี๊ฉันโทรไปขออนุญาตนายรังสิมันต์เจ้าของคนไข้แล้ว... แล้วเขาก็อนุญาตแล้วด้วย... เพราะฉะนั้นฉันมีสิทธิ์พาเพื่อนฉันออกไปได้... โอเคมั้ย... แต่ถ้าไม่ไว้ใจจะเดินตามมาคุมด้วยก็ได้นะ ไม่ว่ากัน...”
น้ำฟ้าเหลือบมองเพื่อนที่โกหกหน้าตายได้แนบเนียนมาก... จากนั้นก็ไม่รอให้เหล่าบอดี้การ์ดทำหน้าตัดสินใจกันไม่ถูกนานไปกว่านี้... คุณหมอเด็กรีบดันหลังเพื่อนพร้อมกอดกระชับหนูลินขึ้นพาดบ่าดีๆแล้วออกเดิน... ทันได้ยินเสียงสั่งของนายบอดี้การ์ดผิวสีเป็นภาษาอังกฤษว่า ให้คนใดคนหนึ่งตามเขามา แล้วอีกคนที่เหลือยืนเฝ้าหน้าห้องไว้... จากนั้นคุณหมอกานต์ก็รู้สึกเหมือนมีคนเดิมตามหลังมาสองคน...
“โอ๊ยแก... ฉันเข้าใจความรู้สึกของนักโทษที่กำลังจะเดินไปแดนประหาร โดยมีผู้คุมเดินตามหลังแล้ว... โฮ่ยแก... คนมองเต็มเลยอ่ะ... แกเดินเร็วๆหน่อยได้มั้ย...ฉันอายคนเขาอ่ะ...”
“...” น้ำฟ้าหัวเราะขึ้นจมูกเบาๆ มองเพื่อนรักที่พยายามเอาเสื้อกาวน์มาบังหน้าบังตาแล้วฉุดแขนเขาเดินเอาๆ...
เป็นยังไงล่ะหมอกานต์... ทีนี้เข้าใจความรู้สึกของฉันแล้วใช่มั้ย... รู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่าผู้ชายคนนั้นเขาร้ายกาจยังไง...
“ไม่ทันแล้วมั้งแก...” น้ำฟ้กระซิบบอกเพื่อนเบาๆ... คุณหมอกานต์ก็เลยกระซิบกลับ...
“คอยดูนะ... ฉันจะหาทางสลัดไอสองคนนี้ออกไปให้ได้เลย... ทำอย่างกับพวกเราสองคนเป็นฆาตกรข้ามชาติไม่ก็คนร้ายที่ทำอะไรผิดเอาไว้งั้นแหละ... โอ๊ยแก... คนมองพวกเรายิ่งกว่ามองพวกตัวประหลาดอีกแน่ะ... โอ๊ย...”
แล้วคุณหมอกานต์ก็ต้องโอดครวญไปตลอดทาง... เพราะสองบอดี้การ์ดด้านหลังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก... เดินถลึงตาใส่ทุกคนที่เข้าใกล้พวกเขาสองคน จนตลอดทางเดินในโรงพยาบาลมันว่างโล่งเดินสบาย เพราะมีแต่คนหลีกทางให้ราวกับพวกเขาเป็นบุคคลสำคัญระดับชาติอย่างนั้นล่ะ...
หมอกานต์พาน้ำฟ้ามาหยุดที่สวนหย่อมข้างโรงพยาบาลฝั่งที่อยู่ติดกับลานจอดรถ... เพราะแถวนั้นเป็นที่ที่มีคนมาเดินออกกำลังกาย และเดินดูต้นไม้ใบหญ้ากันขวักไขว่... คุณหมอเด็กพาเพื่อนมาหยุดนั่งอยู่ที่โต๊ะม้านั่งหินอ่อน... แล้วเอาตัวหนูลินมาวางจุ้มปุ๊กอยู่บนตักคุณแม่ตามเดิม... จากนั้นคุณหมอก็หันไปเท้าสะเอวแล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดหนุ่มสองคนทันที... เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูด...
“เอาล่ะ... จากนี้พวกฉันสองคนก็จะนั่งอยู่ตรงนี้... ไม่กระดุกกระดิกไปไหนแน่นอน... เพราะฉะนั้นได้โปรดวางใจ... ปล่อยให้พวกเราสองคนคุยกันตามสบายแบบเป็นส่วนตัวหน่อยจะได้มั้ยครับ... น้ำฟ้าหิวน้ำมาก... และผมก็ต้องการผ้าอ้อมมาเปลี่ยนให้หนูลินแบบด่วนที่สุด... รบกวนพวกคุณสองคนช่วยไปเอาน้ำกับผ้าอ้อมเด็กมาให้หน่อยได้มั้ยครับ...” พูดจบก็ตบท้ายด้วยรอยยิ้มตุ๊กตา... ที่มักจะใช้ได้ผลเวลาต้องการอ้อนอะไรใคร... แต่ดูท่ามันจะไม่ได้ผลกับสองบอดี้การ์ดนี่เป็นรายแรกเสียแล้ว...
“เดี๋ยวผมจะไปเอามาให้ทั้งสองอย่างเอง... นายคอยดูแลคุณสองคนเขาอยู่ตรงนี้แหละ...” นายบอดี้การ์ดผิวสีบอกเพื่อนร่วมอาชีพ อีกคนพยักหน้ารับและคุณหมอเด็กกลับส่ายหน้าหวือแล้วพูดเสียงสูง...
“ไม่ได้ !!!... ไม่ได้เลย... นายไปเอาน้ำ ส่วนนายไปเอาผ้าอ้อม... ฉันต้องการของสองอย่างภายในเวลาสามนาทีนะ... นายไปคนเดียวเอามาได้ไม่ทันแน่... เพราะงั้นไปเอามาให้หน่อยทั้งสองคนเลย...”
“ขอโทษนะครับ... แต่พวกผมไม่สามารถปล่อยให้พวกคุณอยู่กันตามลำพังโดยที่ไม่มีพวกเราคนใดคนหนึ่งอยู่ด้วยได้... คำสั่งคือคำสั่งครับ... กรุณารออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวผมจะเป็นคนไปเอาของมาให้คุณเอง...” พูดจบหนุ่มผิวสีร่างสูงก็พยักหน้าให้เพื่อนร่วมงานราวกับจะบอกว่าฝากด้วย... อีกคนก็พยักหน้าตอบแล้วหันมายืนมือไขว้หลังให้คุณหมอกานต์จ้องหน้าอย่างขัดใจแทน...
“...เอ่อ... หมอกานต์ ไม่เป็นไรหรอก... เขาอยู่ด้วยก็ไม่เป็นไรหรอกน่า...” น้ำฟ้าบอกเพื่อนที่ยืนฟึดฟัดไม่พอใจที่สลัดไม่หลุดตามแผนการ(ตื้นๆ)ของตัวเองที่คิดวางดักมาตลอดทาง...
“ไม่ได้ ! ก็ฉันไม่อยากให้มีคนนอกอยู่ด้วยเวลาพวกเขาคุยกันนี่นา...” หมอกานต์หันมากอดอกทำหน้ายู่มองชายหนุ่มในชุดสูทที่เหลืออยู่อีกหนึ่งคน...
“คูน...กามลาง...ทามให้โผม... มีพีรุด...” หนุ่มผิวออกคล้ำหน้าตาออกไปทางแขกนิดๆเอ่ยภาษาไทยขึ้นมาอย่างกระท่อนกระแท่น... คุณหมอเด็กก็กลับถลึงตาใส่พอได้ฟังจบ
“นี่นายหาว่าฉันมีพิรุธงั้นเหรอ ! จะบ้ารึไง... ไอฟ้ามันเพื่อนฉันนะ... ฉันจะไปทำร้ายมันได้ไงเล่า... โอ๊ยอยากจะบ้า !!... ที่ฉันไม่ต้องการให้พวกนายอยู่ใกล้ๆเนี่ย...ก็เป็นเพราะว่า... เพราะว่าฉันกับเพื่อนเนี่ย... อยากจะนินทาเจ้านายของนาย... แต่มันไม่สะดวกเมื่อมีลูกน้องอย่างนายมายืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่แบบนี้ใกล้ๆ... เข้าใจคำว่า ‘นินทา’ รึเปล่า... นินทาอ่ะ... to have a gossip about your boss อ่ะ... เข้าใจรึเปล่า !” ถ้าไม่อายชุดกาวน์ที่ใส่คุณหมอเด็กคงได้กระทืบเท้าเร่าๆเพราะไม่ได้ดั่งใจไปแล้ว... น้ำฟ้าแทบกุมขมับเมื่อเพื่อนเกิดปรี๊ดแตกใส่บอดี้การ์ดหนุ่มตรงหน้าแล้วพูดจาเสียงดังใส่ขนาดนี้...
เด็กหนุ่มพนมมือไหว้แล้วส่งสายตาขอโทษขอโพยให้หนุ่มแขกตรงหน้าแทนเพื่อน... แต่หนุ่มแขกกลับร้อง อ๋อ...ออกมาแล้วพูดว่า...
“อ๋อ... แล่วคูน...กะไม่บอกโผม... ว่ะจา gossip our boss... OK, I’ll let you here together.” หนุ่มแขกโค้งให้น้ำฟ้าเล็กน้อย แล้วจึงเดินถอยหลังออกไปยืนเฝ้าอยู่ห่างๆ...
“เออเฮ้ย... พอบอกว่าจะนินทาเจ้านาย... มันไปเลยเว้ยแก... นี่แสดงว่าเจ้านายเขาคงสอนมารยาทมาดีมากอ่ะ...” หมอกานต์ค่อยๆหันมามองเพื่อนตาโต...
“ทำไมแกไปโกหกเขาแบบนั้นล่ะ... เขาแค่ทำตามหน้าที่นะหมอกานต์...”
“แหม... ไม่เท่าไหร่ก็เข้าข้างคนของแฟนเชียวนะ...”
“หมอกานต์ ! ปากนะ... แรงขึ้นทุกวัน...”
“อะไรล่ะ... ก็พูดเรื่องจริงอ่ะ... เพื่อนอุตส่าห์ช่วยไม่ให้เป็นนักโทษ นี่อะไรมาซักเพื่อนอย่างกับว่าฉันผิดนักหนาที่ไปไล่เขางั้นอ่ะ... เนอะหนูลินเนอะ...”
“งื้อ...” หนูลินเงยหน้าขึ้นมามองคนที่มาตีแปะเข้าที่เหม่งน้อยๆของตัวเองแล้วพ่นน้ำลายพองฟู่ออกมาแทน...
“เห็นมั้ยหนูลินยังเห็นด้วยเลยว่าแม่ฟ้าน่ะลำเอียง... เห็นสามีดีกว่าเพื่อน !”
“หมอกานต์ !!”
“ไม่ต้องเสียงดังก็ได้... จำได้อยู่หรอกน่าว่าชื่อณัฐกานต์... ไม่ใช่แกนี่...เปลี่ยนนามสกุลแล้วก็ไม่บอก... ใช่มั้ยคุณน้ำฟ้า ภูบดีอัศวเมศวร์...”
.
.
.
“อย่ามาเอานามสกุลของฉันไปแปดเปื้อนกับพวกคนอย่างแกนะ !”---------------------------------- ---- - -- -- - - - -
to be continue...