“ตะวัน...ไปเปลี่ยนชุดก่อนไปลูกไป... แม่ให้เขาเปิดห้องพิเศษให้ลูกไว้อาบน้ำแล้ว... ท่าทางแบบนี้คงไม่กลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้านใช่มั้ยล่ะ” ดารกานต์ยกมือวางบนบ่าลูกชายแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม พอมาถึงโรงพยาบาล รังสิมันต์ไม่ยอมแม้แต่จะปล่อยร่างน้ำฟ้าลงนอนบนเตียงเข็น ต้องอาศัยลูกน้องชายหนุ่มผมสีทองกับผมดำช่วยกันดึงไว้ ร่างเด็กน้ำฟ้าถึงได้สามารถถูกเข็นเข้าไปอยู่ในห้องฉุกเฉินเพื่อทำการรักษาได้สำเร็จ...
หลังจากนั้นหล่อนกับหนูลินก็ได้รับการรักษาตามมา ส่วนรังสิมันต์ก็เอาแต่นั่งก้มหน้ามองมือเปื้อนเลือดของตัวเองอยู่ตรงเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินไม่พูดไม่จาจนถึงตอนนี้...
“นั่นสิครับบอส... ไปล้างตัวเปลี่ยนชุดก่อนเถอะครับ เดี๋ยวพอเขาพาคุณหนูลินมาให้แกจะตกใจเอานะครับ...” ซึโยชิยื่นชุดเปลี่ยนที่คนจากบ้านใหญ่นำมาให้ให้เจ้านาย... รังสิมันต์เพียงปลายตามอง นัยน์ตาร้อนผ่าว เขาอยากจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนั้น... นึกถึงตอนที่น้ำฟ้าพยายามขยับปากพูดเรียกชื่อลูกน้อยก่อนจะสลบไม่ได้สติ เขาก็รู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคงจะห่วงลูกมาก แม้ตอนที่ตัวเองเจ็บหนักขนาดนั้นก็ยังไม่วายคิดถึงหนูลินเป็นอันดับแรกอยู่ทุกลมหายใจ...
รังสิมันต์ถอนหายใจยาวเหยียดหันมองประตูห้องฉุกเฉินเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ดารกานต์หันมองหน้าซึโยชิที่ส่ายหน้าให้แล้วก็โบกมือบอกให้เก็บชุดลงถุงไปเหมือนเดิม หล่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองขึ้นมารินน้ำจากขวดน้ำดื่มที่ทางโรงพยาบาลแจกให้ แล้วก็นำมาซับเลือดที่เปื้อนเปรอะมือลูกชายคนรองให้แผ่วเบา... หล่อนมองอาการนิ่งเงียบของลูกชายแล้วก็ไม่รู้จะช่วยปลอบยังไง ถ้าร้องไห้ให้เห็นกันก็ยังพอช่วยซับน้ำตาให้ได้ แต่นี่ลูกชายหล่อนกลับร้องไห้อยู่ในใจ... คนที่จะช่วยได้ก็ยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน ตอนนี้ก็ได้แต่รอเวลาให้เด็กน้ำฟ้าพ้นขีดอันตรายออกมาช่วยปลอบใจลูกชายหล่อนแทนเพียงเท่านั้น...
“ตอนอยู่ในรถ... ฟ้าเลือดออกเยอะมาก ตัวเขาเย็นเฉียบ ...เขาเป็นโรคเลือดอยู่ด้วย...” รังสิมันต์พูดขึ้นมาเบาๆ “...เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะจะปกป้องผม... คนที่เอาแต่กลั่นแกล้ง เอาแต่ทำร้ายเขาอยู่ตลอดเวลา... ถ้าเขาเป็นอะไรไป...ผม... ผม...” ตะวันพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้หยดน้ำตาลูกผู้ชายร่วงหล่นออกจากตา...
“...แม่ขอโทษนะลูก... แม่ขอโทษ...” คุณหญิงดารกานต์มองความเสียใจและความเจ็บปวดของลูกชายคนรองด้วยอาการใจสั่น ภาพของตะวันในตอนนี้มันซ้อนทับกับภาพของรวีในวันที่รู้ว่าหล่อนทำอะไรลงไปกับพี่สาวของเด็กน้ำฟ้านั่น... ลูกชายที่หล่อนรักทั้งสองคนต้องมาเสียใจกับเรื่องที่หล่อนเป็นต้นเหตุ ...คำว่าขอโทษจากแม่คนนี้มันช่างน้อยมากเกินไปจริงๆ...
“เด็กน้ำฟ้าต้องไม่เป็นอะไร... เขาห่วงหนูลินมากไม่ใช่เหรอลูก...เขาคงไม่ปล่อยให้ลูกชายเขาอยู่กับเรานานหรอก...” คุณหญิงดารกานต์เอ่ย หล่อนกระชับฝ่ามือใหญ่โตของลูกชายแล้วบีบเบาๆให้กำลังใจ รังสิมันต์เหลือบตามองมารดานึกสงสัยในถ้อยคำอยู่ในทีที่ฟังแลดูห่วงใยน้ำฟ้าและปลอบเขาแบบนี้
“...แม่ ตะวัน...” สุริยะมณฑลเดินหิ้วถุงของกินเข้ามาตามทางเดิน เขายื่นถุงให้กับลูกน้องของน้องชายที่ยืนอยู่สี่ห้าคนเอาไปทานพลาง ก่อนจะเดินเข้าไปหาแม่กับน้องชายที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน...
“เมียแกเป็นยังไงบ้างวะ...” พี่ชายทรุดลงนั่งข้างน้องชายพลางเอ่ยปากถาม แต่สายตามองเด็กพระจันทร์ที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นข้างเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เด็กคนนั้นนั่งนิ่งเงียบไม่กระดุกกระดิก มีเพียงเหลือบสายตามามองสบเขาตอนที่เขาเดินเข้ามาเท่านั้น...
“...” รังสิมันต์ไม่ตอบพี่ชาย เขาเพียงแต่ส่ายศีรษะให้นิดๆ... คนเป็นพี่พยักหน้ารับรู้... ในใจประมวลผลอย่างรวดเร็วและพบว่าเขาสงสัยเล็กน้อยถึงปานกลางว่าเหตุใดน้องชายเขาถึงได้หันมาเอาผู้ชายทำเมียอย่างออกหน้าออกตาขนาดนั้น และที่สำคัญ แลดูคุณหญิงดารกานต์ก็ไม่ได้มีท่าทีโกรธขึ้งและอาละวาดอย่างคราวรวีนั่นเลย...
...แม่เขารับได้งั้นเหรอที่ลูกชายคนรองของแม่หันมาเอาผู้ชายเป็นเมีย...
“ตายะ...แล้วพ่อล่ะลูก...” คุณหญิงถามถึงสามี... ลูกชายคนโตยิ้มมุมปากให้แล้วบอก
“จัดการเก็บกวาดอยู่แม่... พวกนักข่าวมันจมูกไว... แต่ผมว่าพ่อเอาอยู่นะ...” สุริยะมณฑลแสร้งหัวเราะนิดๆกับคำพูดตัวเอง... เขาบอกมารดาว่าจะขอตัวกลับก่อนพร้อมลุกขึ้นแล้วย่างสามขุมเข้าหาเด็กหนุ่มนามพระจันทร์ ที่เขาเพิ่งลงมือสังหารบิดาของเด็กหนุ่มออทิสติกผู้น่าสงสารคนนี้ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว...
“ไม่ไป...ไปไหน... จันทร์จะหาพ่อ...พระจันทร์จะไปหาพ่อ...” เด็กหนุ่มถูกเขาลากข้อมือขึ้นมาจากพื้น... สภาพเนื้อตัวที่มอมแมมเหมือนถูกใครซักคนช่วยลอกคราบให้แล้ว...
เขาไม่พูดอะไรโต้ตอบ ทำเพียงกระชากข้อมือเด็กหนุ่มให้ยอมเดินตามเขามาดีๆ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพาเด็กหนุ่มคนนั้นเดินไปพ้นช่วงเก้าอี้ ประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกผลักเปิดออกมา พยาบาลในชุดสีเขียวพร้อมหมวกคลุมผมรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วเข้ามาที่พวกเขาแล้วเอ่ยถามพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า
“พวกคุณเป็นญาติคนไข้ใช่มั้ยคะ...”
“ใช่ครับ...เขาเป็นยังไงบ้าง... ผมเข้าไปหาเขาได้รึยัง...” รังสิมันต์รัวคำถามใส่พยาบาลชุดเขียว นัยน์ตาแห้งผากมีวี่แววของความหวังอยู่ในนั้นทันทีทันใด
“ใจเย็นๆนะคะ... ตอนนี้คนไข้ยังไม่พ้นขีดอันตราย เพราะคนไข้ร่างกายอ่อนแอมาก และที่สำคัญเราขาดเลือดค่ะ กรุ๊ปโอที่เรามีมัน...”
“ผมกรุ๊ปโอ...! คุณใช้เลือดผมได้เลย... ผมยินดี...” รังสิมันต์ยื่นแขนที่ยังเหรื่อรอยเลือดไปที่พยาบาล แต่เจ้าหล่อนกลับย่นคิ้วใส่เขาแล้วบอก
“คนไข้ไม่ได้มีกรุ๊ปโอธรรมดานะ... เขาเป็นกรุ๊ปพิเศษ... โอ-เนกาทีฟค่ะ ตอนนี้เรากำลังติดต่อกลุ่มโอ-เนกาทีฟที่เขารวมตัวกันอยู่ แต่ว่าคุณศิรนันท์ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มที่นี่บอกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จะมาสามารถเดินทางมาถึงได้เร็วที่สุดก็อีกประมาณชั่วโมงครึ่ง... ซึ่งคนไข้รอเลือดนานขนาดนั้นไม่ไหว... ดิฉันเลยอยากทราบว่าในบรรดาญาติมีใครที่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกับคนไข้บ้างคะ... เราต้องการด่วนมากเลย...” พยาบาลสาวเอ่ยเสียงเครียด... มองหน้าบรรดาญาติคนไข้ที่มีอาการเครียดและถามกันระงมว่ามีใครมีเลือดกรุ๊ปนี้บ้าง และเท่าที่มองจากอาการแล้ว ไม่น่าจะมีใครมีแน่ๆ...
“ใช้เลือดโอธรรมดาไม่ได้เหรอครับ...” สุริยะมณฑลลากแขนพระจันทร์ให้ตามตัวเองเข้ามาใกล้คุณพยาบาล แล้วเอ่ยถามแทนน้องชายที่ตอนนี้มีท่าทางสติกับร่างกายคงตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง...
“ไม่ได้ค่ะ... คนไข้ต้องการแค่โอ-เนกาทีฟเท่านั้น...” คุณพยาบาลตอบ
“...ทำไงดีแม่ ผมกับตะวันโอทั้งคู่ แต่ไม่ใช่เนกาทีฟ...” พี่ชายคนโตหันมองมารดาที่มีแววความกังวลไม่ต่างจากน้องชาย จึงไม่ทันได้สังเกตุว่าใบหน้าพระจันทร์แปรเปลี่ยนเป็นเครียดขึ้งชั่วแว่บหนึ่งก่อนค่อยๆเอ่ยกับพยาบาลสาวคนนั้นว่า...
“...ผมมีโอ-เนกาทีฟ...กรุ๊ปเลือดเดียวกับพี่ฟ้า... ใช้เลือดผมได้...” เด็กหนุ่มบอกหน้าตาใสซื่อ มือก็พยายามแงะข้อแขนตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมของชายร่างสูงใหญ่ด้านข้าง บุคคลรอบข้างเงียบไปชั่วอึดใจเมื่อได้ยินว่าใครซักคนตรงนั้นมีเลือดกรุ๊ปที่ต้องการแล้ว...
“คุณมีเลือดกรุ๊ปนี้ใช่มั้ยคะ งั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ...” พยาบาลสาวผายมือไปห้องตรวจด้านข้างห้องฉุกเฉิน พระจันทร์บิดข้อมือตัวเองพร้อมร้องบอกว่าปล่อยหนเดียวก็ได้รับอิสรภาพดังที่ตั้งใจ เด็กหนุ่มลูบแขนตัวเองเบาๆแล้วเดินตามคุณพยาบาลไปยังห้องตรวจที่ว่าทันที
สุริยะมณฑลมองตามหลังตัวเล็กๆของเด็กหนุ่มออทิสติกคนนั้นด้วยแววตาครุ่นคิด หันบอกลูกน้องรังสิมันต์ว่าให้ตรวจเช็กให้ดีว่าทางออกห้องตรวจนั้นมีแค่ทางเดียวเพื่อกันคนคิดหนี... ถึงแม้ว่าคนคิดหนีที่ว่าจะเป็นเด็กออทิสติกที่มีมันสมองเท่ากับเด็กหกขวบก็ตามทีเถอะ...
เวลาผ่านไปอีกประมาณเกือบสองชั่วโมง ร่างของพระจันทร์ก็ออกมาจากห้องตรวจ เด็กหนุ่มมีอาการหน้าซีดเล็กน้อย และที่ข้อพับแขนทั้งสองข้างก็มีสำลีสีขาวแปะอยู่... พยายามในชุดขาวนางหนึ่งเดินนำน้ำหวานมาให้เด็กหนุ่มและบอกว่าหากเขาต้องการพักผ่อน หล่อนจะเปิดห้องตรวจที่ยังว่างอยู่ตอนนี้ให้เด็กหนุ่มได้พัก แต่สุริยะมณฑลบอกปัดแล้วบอกว่าจะพากลับไปพักที่บ้านเอง...
ในที่สุดคล้อยหลังพี่ชายอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ... รังสิมันต์ก็ได้รับข่าวดีที่ว่า...
...หัวใจของเขา...พ้นขีดอันตรายแล้ว...------------------------------------------ ----- - - - - - ----- - - - --- - - -
to be continue...
...แห่ะๆ มาม่าหมดลังแล้วจ้าาาา...
...ตอนนี้เหลือแต่ปลากระป๋องและน้ำตาลปี๊บ...
ปล. แพทไม่ได้ตอบคอมเม้นท์เลย แต่แพทอ่านของทุกคนเลยนะคะ อ่านแล้วก็นั่งชื่นใจยิ้มบ้าบออยู่คนเดียว ห้าห้าห้า
...ขอบคุณที่ติดตามให้กำลังใจน้องฟ้า น้องหนูลิน และคุณลุงม้าน้ำมาจนถึงตอนนี้นะคะ ^^...
...ขอบคุณมากจากใจจริงๆ ขอบคุณค่ะ...
...แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ ^^ น่าจะตอบจบแล้วมั้ง เหอๆ...
ปล2. รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ T^T อย่าเป็นไข้และปวดฟันพร้อมกันล่ะ เพราะมันทรมานขึ้นสมองและลงกระเพาะมาก เหอๆ เจอกันใหม่จ่ะ จุ๊บ !