คุณแม่...ครับผม !!! “...นี่ หนูลินดูที่โมบายเร็ว... มีเสียงกุ๊งกิ๊งด้วย...เห็นมั้ยครับ... นี่...หนูเอื้อมไปจับแล้วเขย่าแบบนี้...นี่เห็นมั้ย?...” น้ำฟ้าอุ้มหนูลินด้วยแขนข้างที่ไม่เจ็บ แล้วเอื้อมมืออีกข้างไปเขย่าโมบายสีฟ้าอ่อนน่ารักให้มันมีเสียง หนูลินมองตามมือคุณแม่ตาโต แล้วพอได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งก็ร้องกิ๊วก๊าวชอบใจใหญ่... จากนั้นมือเล็กเลยพยายามเอื้อมมือไปจะทำตามบ้าง... น้ำฟ้าก็ช่วยจับโมบายให้อยู่นิ่งๆ หลอกล่อหนูลินให้ฝึกพัฒนาการกล้ามเนื้อแขนให้แข็งแรงตามคำแนะนำของหมอกานต์...
ตั้งแต่วันที่เขาฟื้นขึ้นมาจากโรงพยาบาลในวันแรก ช่วงบ่ายวันนั้นเขาก็ได้รับคำบอกเล่าจากรังสิมันต์ว่าเขาได้รับอนุญาตให้ไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้... หลังจากนั้นก็มีการชุลมุนกันนิดหน่อยเมื่อลูกน้องชายหนุ่มรีบเข้ามาเก็บของเล็กๆน้อยๆของเขาไป ส่วนเขาเองก็ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดาที่ไม่รู้ว่ารังสิมันต์ไปหามาจากไหนด้วย... แล้วเขาก็ถูกบังคับพาขึ้นรถที่มีทั้งคุณหญิงดารกานต์และคุณศิลานั่งรออยู่พร้อม... น้ำฟ้าขัดขืนพยายามปฏิเสธว่าเขาขอไปพักฟื้นที่บ้านเองได้... แต่พี่สาวเป็นยังไงน้องชายก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครสามารถเอาชนะคนจากตระกูลภูบดีอัศวเมศวร์ได้เลยซักคน...
สุดท้ายเขาก็ถูกพามาส่งที่หน้า ‘คฤหาสน์’ หลังเบ่อเริ่ม... น้ำฟ้ายืนนิ่งตัวลีบเล็กไม่กล้าขยับ... เมื่อลักษณะบ้านหลังนี้ไม่ค่อยต่างจากบ้านรังสิมันต์ที่เขาเคยไปเยือนเมื่อคราวแรกเลย เพียงแต่คฤหาสน์หลังนี้มันเป็นลักษณะขยายของบ้านหลังนั้นเท่านั้นเอง... คนชุดดำเดินกันยั้วเยี้ย...แต่นี่ดีหน่อยที่ท่าทางจะมีคนที่เป็นแม่บ้านอยู่บ้าง... ไม่อย่างนั้นน้ำฟ้าคงได้คิดว่าตัวเองหลงยุคเข้ามาอยู่ในสมัยเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้แน่ๆ...
เข้าบ้านมาวันแรกน้ำฟ้าก็เป็นเหตุให้ ‘คุณผู้หญิง’ และ ‘คุณชายรอง’ ของบ้านทะเลาะกันบ้านแทบแตก เมื่อจู่ๆคุณหญิงก็ประกาศเปรี้ยงกลางโต๊ะอาหารว่าห้ามคุณรังสิมันต์เข้ามานอนกับน้ำฟ้าโดยเด็ดขาด เพราะเธอต้องการลงโทษลูกชายที่เป็นต้นเหตุให้น้ำฟ้าไม่ไว้วางใจครอบครัวของเธอ...ไม่อย่างนั้นหล่อนจะรีบจดทะเบียนรับน้ำฟ้าเป็นลูกบุญธรรมอย่างด่วน แถมยังขู่อีกว่าจะเป็นคนพาทั้งน้ำฟ้าทั้งหนูลินกลับไปอยู่อังกฤษด้วยตัวเอง ถึงเวลานั้นแล้วรังสิมันต์จะไม่ได้เจอพวกเขาอีก
แต่รังสิมันต์ก็ใช่ว่าจะยอมเสียเมื่อไหร่... เขาเถียงขาดใจรวมถึงเรื่องจะรีบจดทะเบียนรับหนูลินเป็นลูกบุญธรรมตัดหน้ามารดาด้วย เรื่องนั้นยิ่งทำให้คุณหญิงยิ่งเต้นเป็นเจ้าเข้า... สุดท้ายก็ได้คุณศิลามาเป็นกรรมการห้ามมวย อาหารมื้อนั้นเลยผ่านไปอย่างทุลักทุเลพอสมควร...
“เอ๊... เฮ่ะๆ...” หนูลินยิ้มปากกว้างให้มารดา อวดโชว์ฟันกระต่ายน้อยๆซี่ข้างหน้าที่เริ่มแทงเหงือกออกมาให้เห็นรำไรบ้างแล้ว... น้ำฟ้าก้มลงโขกเหม่งใส่ลูกชายตัวน้อย เด็กน้อยท่าทางจะไม่ยอมเลยโงศีรษะจะโหม่งกลับ ทว่าแม่ฟ้ากลับเอียงแก้มให้ชนแทน ก็เป็นที่สนุกสนานของสองแม่ลูกกันไป...
รังสิมันต์ที่แอบมองลอดประตูอยู่ถือโอกาสนั้นค่อยย่องเงียบเข้าประกบหลังคนเป็นแม่ แล้วสอดมือเข้าที่ราวเอวพร้อมแกล้งรัดแน่นๆแล้วป่ายจมูกโด่งสูดความหอมที่กลุ่มผมยาวสลวยไปฟอดใหญ่...
“ทำอะไรอยู่ครับแม่ลูก... คุณพ่อไม่อยู่ เหงามั้ย...” รังสิมันต์ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้พูดจาหวานเลี่ยนขนาดนี้กับใครมาก่อนเลย... แต่ไม่รู้ทำไม ตอนนี้ถึงได้พูดคล่องมันเสียเหลือเกิน...
“...น้องลินตอบเร็ว... ...ป๋มเฉยๆก๊าบ...” น้ำฟ้าทำเสียงเล็กเสียงน้อยพร้อมคว้ามือหนูลินขึ้นตีแก้มสากของอีกคนเบาๆ...
ยอมรับว่าแรกๆเขินมากที่โดนชายหนุ่มเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงแบบไม่ให้ทันตั้งตัวแบบนี้ ทว่าตอนนี้ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว ไม่ให้ชินบ้างมันก็คงจะไม่ได้ อีกอย่างขัดขืนไปแบบช่วงแรกๆก็ดูจะไร้ประโยชน์สิ้นดี...เปลืองแรงเปล่า แถมแลดูเหมือนยิ่งดิ้นจะยิ่ง ‘เปลืองเนื้อเปลืองตัว’ หนักกว่าเดิมอีก... น้ำฟ้ายินยอมเอียงแก้มให้อีกคนขโมยจูบไปจนพอใจ... แล้วถึงค่อยดิ้นตัวเองเบาๆเพื่อบอกว่า... ‘ถ้าพอใจแล้วก็ปล่อย...’
ทว่าคราวนี้คุณชายเธอทำหน้ามึนเดินรุนหลังเขากับหนูลินไปนั่งแปะลงบนเตียง โดยมีอ้อมแขนใหญ่โอบกอดเขาไว้ทั้งแม่ทั้งลูกอีกที... หนูลินได้ช่องพอเหมาะเริ่มตะกายปีนไปตามท่อนแขนใหญ่ ทำตัวเป็นทาซานน้อยห้อยเถาวัลย์ไปเสียอย่างนั้น... รังสิมันต์ก็คอยอำนวยความสะดวกดิ้นมือหนีไปมาให้หนูลินได้เต้นยุกยิกพอเป็นพิธี จากนั้นจึงเอ่ยปากถามน้ำฟ้าด้วยประโยคที่น้ำฟ้าจำได้ขึ้นใจเรียบร้อย...
“วันนี้เขามาอีกแล้วใช่มั้ย... เธอตอบตกลงเขาไปรึเปล่า...” รังสิมันต์ถาม
“เฮ้อ... ผมว่าผมบอกคุณไปพันครั้งแล้วนะ...ว่าผมตัดสินใจแล้ว ...หนูลินอยู่ที่ไหน ผมก็จะอยู่ที่นั่นกับแกด้วย... ไม่เชื่อใจกันซักนิดเลยเหรอ...” น้ำฟ้าตอบ
“...ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ... แต่วันนั้นที่เธออยู่โรงพยาบาล... เธอเคยบอกฉันว่าเธอจะกลับไปอังกฤษ...”
“แล้วจะทิ้งหนูลินไว้กับคุณ... ไม่ดีเหรอครับ... คุณกับคุณแม่อยากได้หนูลินมาเลี้ยงเองตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่...”
“...แต่ตอนนี้ฉัน ‘จำเป็น’ ต้องมีเธอ... อยู่ช่วยฉันเลี้ยงหนูลินอยู่ที่นี่เถอะนะ... อังกฤษน่ะ ถ้าคิดถึงฉันจะเป็นคนพาไปเอง... อย่าไปกับเขาเลย...”
“อืม... แต่พี่หมอบอกว่า... ถ้าฟ้ากลับไปกับเขาคราวนี้ เขาจะออกค่าใช้จ่ายให้หมดเลย... แล้วอีกอย่าง ฟ้าก็ไม่ชอบอยู่กับคนชอบเผด็จการด้วย... มีอย่างที่ไหนมาบังคับให้ผมอยู่บ้านนี้แล้วยังออกกฎอะไรก็ไม่รู้ว่าห้ามผมคุยกับผู้ชายคนอื่นภายในเขตบ้านเกินสามสิบนาที...”
“...” รังสิมันต์ไม่พูดอะไรตอบเพียงแต่อมยิ้มมุมปากเล็กๆแล้วก้มลงหอมแก้มน้ำฟ้าไปหนึ่งที โทษฐานปากบ่นนักแต่ตัวก็ทำตามไม่มีอิดออด เด็กหนุ่มหันมองค้อนเขาด้วยปลายหางตาเล็กๆ ก่อนจะหันไปปล่อยจอมซนตัวเล็กที่ดิ้นดุ๊กดิ๊กเรียกร้องความสนใจของพวกเขาสองคนให้ลงไปนอนบนเตียงแทน...
น้ำฟ้าจับลูกนอนคว่ำบ้างครั้งละไม่กี่นาที เพราะหมอกานต์บอกว่ามันจะช่วยทำให้ลูกฝึกพัฒนาการคลานได้ดียิ่งขึ้น... หนูลินตัวน้อยถูกจับนอนคว่ำแล้วมองดูคล้ายเจ้าเต่าต้วมเตี้ยมจริงๆ น้ำฟ้าขยับออกห่างรังสิมันต์ไปนั่งข้างลูก ส่วนรังสิมันต์ก็ขยับตามไปนั่งใกล้ๆ เขาสองคนนั่งมองลุ้นพัฒนาการใหม่ๆของหนูลินที่มีท่าทางเหมือนกำลังพยายามจะขยับตัวเพื่อทำอะไรบางอย่าง
“งื้อ...” เด็กน้อยส่งเสียงร้องครางออกมาราวกับกำลังรวบรวมพละกำลังเพื่อจะทำอะไรซักอย่าง... ซักพักแขนสั้นป้อมก็ตั้งชันขึ้นกับเตียง... เด็กน้อยหันมองหน้าแม่แล้วพ่นฟองฟู่ออกมาจากปาก ท่าทางเหมือนขัดใจเมื่อแม่ตัวเองไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วยเจ้าหนูเลย... หนูลินย่นคิ้วเล็กๆเข้าหากันก่อนจะค่อยขยับขาให้เหยียดลงบนเบาะเพื่อดันก้นตัวเองให้โด่งสูงขึ้น
“คะ...คุณ... คุณ...ลูก...กำลังจะคลาน...ใช่มั้ย...ใช่มั้ยคุณดูสิ...!” เสียงน้ำฟ้าฟังดูตื่นเต้นเพราะสั่นพร่าไปหมด... เด็กหนุ่มจ้องมองเด็กน้อยที่ตอนนี้ก้นโด่งแต่ศีรษะยังค้ำอยู่กับเบาะ... เผลอเอื้อมมือตัวเองไปแตะแขนผู้ชายร่างสูงอีกคนที่ตอนนี้เผยยิ้มกว้างบนใบหน้าที่มีแต่จะติดบึ้งตึงให้เห็นกันเป็นปกติ... น้ำฟ้าเผลอมองใบหน้าคร้ามคมที่ช่างดูหล่อเหลาราวเทพอพอลโลสมชื่อเจ้าตัวนัก...
ถ้ายิ้มแบบนี้ได้บ่อยๆก็คงจะดี... น้ำฟ้าคงได้มองเพลินทั้งวัน...
“สู้เขาลูกพ่อ... หนูต้องทำได้ครับ... อย่ายอมแพ้นะแม่ฟ้าอยู่ห่างนิดเดียวเอง... สู้ๆนะลูก...” และเพราะประโยคนี้ที่ดังออกมาจากปากคนที่กำลังจ้องมอง น้ำฟ้าถึงได้สะดุ้งตัวออกจากภวังค์ความคิดตัวเองหันกลับไปมองลูกน้อยตามเสียงเชียร์ของคนข้างๆ
หนูน้อยตอนนี้ร้องอื้ออ้าพร้อมพยายามไถตัวเองมาทางเขา... แม้ว่าหัวเด็กจะยังตั้งขึ้นไม่ได้ แต่ความพยายามของเจ้าหนูตัวน้อยที่ใช้ขาสั่นๆค่อยๆกระเถิบร่างกายมาหาน้ำฟ้า เด็กน้อยจ้องแม่ตาเขม็ง สายตามุ่งมั่นว่าต้องไปถึงให้ได้ และน้ำฟ้าก็รับรู้ความแน่วแน่ของลูกชายที่มองมาทางเขาอย่างเต็มหัวใจ ความปลื้มปริ่มมันผุดออกมาจากไหนไม่รู้มากมายจนน้ำตาเอ่อคลออยู่ตรงหน่วยตาในทันที...
ระยะทางระหว่างน้ำฟ้ากับหนูลินห่างกันแค่เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปหา แต่สำหรับหนูน้อยมันช่างห่างไกลและยากเย็นเสียเหลือเกินที่จะเข้าใกล้คนเป็นแม่ ในเมื่อตัวเองยังไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ไปได้ดั่งใจนึก...
เมื่อดูแล้วตัวเองคงขยับไปให้ไกลกว่านี้ไม่ได้แน่ เด็กน้อยก็ทำท่าจะเบะปาก เริ่มสะอึกสะอื้นพร้อมมือที่พยายามตีแปะลงกับเบาะเป็นเชิงบอกแม่ว่า... มาหาเขาหน่อยๆ... สุดท้ายร่างตุ้ยนุ้ยก็ล้มแผละลงกับเตียงพร้อมปากเจ้าหนูที่ร้องไห้จ้าเพราะไม่ได้ดั่งใจ...
“ร้องซะแล้ว...” รังสิมันต์อมยิ้มให้ลูกก่อนจะเอามือตัวเองข้างเดียวช้อนเข้าที่ใต้พุงนุ่มนิ่มน้อยๆ แล้วพามาพาดบ่าพร้อมกอดปลอบ... “ไม่ร้องครับไม่ร้อง... ทำไมขี้แยจัง...ฮืม? แม่ฟ้าสอนหนูร้องไห้เหรอครับ... ไม่เอาน่า เป็นลูกชายพ่อต้องอดทน !” รังสิมันต์พูดเย้าคนเป็นแม่แล้วเลยมาสอนลูกไปในตัว... น้ำฟ้ารอรังสิมันต์พูดจบก็ตีเพี๊ยะเข้าให้ที่แขนแกร่งหนึ่งทีก่อนจะเอ่ย...
“ถ้าคุณว่าผมอีกทีนะ... ผมจะไปบอกแม่คุณ...ว่าผมจะพาลูกกลับไปอังกฤษ...พร้อมพี่หมอ...” น้ำฟ้าขู่ และมันก็ได้ผลเมื่อชายหนุ่มตีหน้าหงิกขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน... ถึงจะรู้น้ำฟ้าอาจแค่พูดล้อเล่น...แต่การมาล้อเล่นกับเขาอย่างนี้มันออกจะรุนแรงเกินไปนิด เมื่อในตอนนี้นอกจากความสัมพันธ์ทางกายเพียงครั้งเดียวนั่นแล้ว ก็ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันใดๆอีกเลยที่จะพอบ่งบอกว่าน้ำฟ้าเป็นของเขาแน่ๆ... และไม่มีทางที่ใครจะมาพรากเอาไปได้...
เสียงริงโทนเรียกเข้าเป็นเพลงภาษาฝรั่งเศษดังขึ้น แล้วเมื่อน้ำฟ้าหยิบโทรศัพท์มามองก็ต้องรีบเหลือบตามองคนที่อุ้มลูกแต่อารมณ์เริ่มขุ่นขมุกขมัวเสียแล้ว เด็กหนุ่มกดรับและกรอกเสียงลงไป... พยายามเรียกชื่อปลายสายให้เบาที่สุดแต่ในห้องที่มีกันเพียงแค่สามคนมันก็ยังทำให้ชายหนุ่มร่างสูงได้ยินอยู่ดี ดังนั้นเพื่อความพอใจของตัวเองรังสิมันต์จึงคว้ามือถือเครื่องเล็กของน้ำฟ้ามาเปิดลำโพงแล้วถือเอาไว้ด้วยตัวเองเพื่อฟังบทสนทนาไปด้วยกัน...
‘ฮัลโหลฟ้า... ฟังอยู่รึเปล่า...ฮัลโหล...’
“เอ่อ... พี่หมอฟ้าฟังอยู่ครับ... เมื่อพี๊พี่หมอจะพูดว่าอะไรนะครับ ฟ้าได้ยินไม่ชัด...” น้ำฟ้าจำใจต้องยอมคุยกับปลายสายที่ช่างรู้จังหวะจะโทรมาดีจริงๆ
‘พี่จะบอกว่า ตอนนี้มีงานด่วนเข้ามา... ทีมแพทย์ต้องการเรียกประชุมตัวพี่ด่วน... พี่คงต้องรีบบินกลับไปอังกฤษพรุ่งนี้แล้ว... พี่เลยจะโทรมาถามฟ้าว่า... คิดดีแล้วเหรอที่จะเอา ‘ลูกเรา’ ไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น... ฟ้ายังเปลี่ยนใจตอนนี้ทันนะ ถ้าเราจะกลับไปอยู่ที่อังกฤษด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนตอนหนูลินเกิด คุณภาพชีวิตที่โน่นก็ดีกว่า... พี่ว่าหนูลินน่าจะมีความสุขมากกว่าอยู่ที่นี่นะฟ้า...’ นายแพทย์เชษฐาพยายามเกลี้ยกล่อมคนที่กำลังคุยอยู่อย่างสุดชีวิต หูแว่วได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังมาแผ่วๆ...
“คือ... ฟ้า...คงจะยังไปตอนนี้ไม่ได้หรอกครับ... คือ...ถ้าจะให้ไปพรุ่งนี้เลย ฟ้าคงเตรียมเอกสารอะไรไม่ทัน...แล้วก็... คือ...”
‘ฟ้า...’
“...ครับพี่หมอ...”
‘ตอนนี้...มีความสุขมั้ย...’
“...”
‘...ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ใจร้ายกับฟ้า นอกจากออกกฎว่าห้ามเข้าใกล้พี่เกินสามสิบนาทีแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรฟ้าอีกใช่มั้ย...’
“...” คำถามของนายแพทย์เชษฐา ผู้เปรียบเสมือนทั้งพ่อและพี่ชายของตัวเอง ทำให้น้ำฟ้านิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เพื่อลองใช้เวลาสั้นๆในการพิจารณาหัวใจตัวเอง... ว่าตอนนี้เขากำลังมีความสุขอยู่รึเปล่า...
แม้ว่าจะยังรู้สึกแปลกที่กับไม่ชินบุคคลที่รายล้อมรอบตัวเองอยู่บ้าง... แต่ในเรื่องชีวิตส่วนตัวและความสะดวกสบายถือว่ามีเต็มขั้น... เขายังสามารถทำงานกับสำนักพิมพ์คุณธาดาได้อยู่ และยังสามารถทำขนมส่งไปขายที่ร้านคุณหมอกได้อยู่เหมือนเดิม
แต่ที่สำคัญ...ความสุขของน้ำฟ้าที่รู้สึกได้แน่ๆในตอนนี้ก็คือ... การที่ครอบครัวนี้ยอมรับในตัวตนและความดีของเขา... มันเหมือนพี่ฝนก็พลอยจะได้รับการยอมรับไปด้วย... มันเป็นความฝันอย่างหนึ่งของพี่ฝนเเลยทีเดียวที่น้ำฟ้ารับรู้ได้ ว่ามันคือสิ่งที่พี่สาวของเขาต้องการอยู่ลึกๆภายในใจมากที่สุด แต่ตอนนี้พี่สาวของเขาไม่อาจพิสูจน์ตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว... และการที่เขาได้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้คล้ายเป็นตัวแทนของแม่จริงๆของหนูลิน... มันเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกพองโตในหัวใจมากที่สุด...
รังสิมันต์สังเกตอาการนิ่งเงียบของน้ำฟ้าที่มีนานเกินไปแล้วก็รู้สึกใจแกว่งๆ ใจหนึ่งก็กลัวว่าน้ำฟ้าจะตอบออกไปว่าไม่มีความสุข ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็คงจะหมดแรงรั้งเด็กหนุ่ม และต้องยอมปล่อยมือให้น้ำฟ้าได้เลือกไปในทางที่ตัวเองมีความสุขมากกว่า เพราะเขาคงทนเห็นคนที่ตัวเองรักไม่มีความสุขไม่ได้ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากได้ยินและลุ้นอยู่ลึกๆ... ว่าการที่เขายอมปรับตัว ปรับนิสัยอะไรหลายๆอย่างเพื่อให้อีกคนอยู่ด้วยแล้วสบายใจนั้น มันจะได้ผล และมันจะทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีและเต็มใจที่ใช้ชีวิตร่วมไปด้วยกัน...
“...ฟ้า... มีความสุขดีครับพี่หมอ... พี่หมอไม่ต้องห่วงนะ... เขา...ดีกับฟ้าแล้วก็ลูกมาก... ฟ้าจะรู้สึกปลอดภัยแล้วก็อบอุ่นทุกครั้ง...ที่ได้อยู่ใกล้เขา...”
ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไงตอนที่พูดประโยคนั้นออกไป รู้แต่ตอนนี้มันรู้สึกร้อนฉ่าทั่วหน้าเต็มไปหมด น้ำฟ้ามัวแต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์ไม่ยอมเงยมอง ‘เขา’ ที่ถูกพาดพิงถึงเลยซักนิด... เลยไม่ทันได้รู้ว่า ‘เขา’ กำลังทำตาโตเพราะจู่ๆหัวใจก็เต้นสูบฉีดเลือดขึ้นมาอย่างหนักหน่วง... และถือเอาคำพูดนั้นของน้ำฟ้าเป็นประโยคบอกรักตัวเองเรียบร้อย...
และมันก็ทำให้ประโยคต่อมาของรังสิมันต์หลุดออกมาจากปากแบบอัตโนมัติ...แต่มั่นคงในทุกคำพูด...
“ฟ้า... ถ้าอย่างนั้น...
เราแต่งงานกันนะ... แต่งงานกับฉัน...แล้วเรามาช่วยกันเลี้ยงดูหนูลินไปด้วยกัน... ฉันสัญญา จะทำให้เธอกับลูกมีความสุขมากที่สุด มากจนคนทั้งโลกต้องอิจฉาเธอ...” รังสิมันต์เอ่ย นัยน์ตามีแววพราวระยิบ วางโทรศัพท์ที่เงียบลงไปแล้วบนเตียง เอื้อมมือข้างที่ว่างของตัวเองไปลูบแก้มคนที่นั่งตาโตมองเขาอย่างตื่นตกใจ... คงจะยังทำความเข้าใจคำพูดของเขาไม่ทันสินะ ถึงยังไม่ยอมตอบตกลงในทันที...
“นะฟ้า... ช่วยมาอยู่... เป็นท้องฟ้าให้กับฉัน ให้ตะวันดวงนี้ได้มีที่อยู่ของมันเองเสียที...”
…ฟ้าไม่อาจ…ตัดขาดสายใยปรารถนา
ตะวันกล้า…หมื่นภูผาไม่อาจขวางกั้น
ร้อยทะเลล้ำลึกปิดทาง
ปีกบางๆ แห่งรักไม่หวั่น
บินข้ามฟ้า…หอบฝันกำนัลแด่เธอ
รักแรกเจอ…สยบเธอแค่เพียงสบตา
ฟ้าลิขิต…ถูกผิด ไม่คิดให้รกใจ
แค่ได้รักรักเธอไม่แคร์ แพ้ชนะไม่ใช่เรื่องใหญ่
อยากให้รู้ หัวใจฉันสยบยอม…
“...แต่ดวงอาทิตย์อย่างคุณมันร้อนแรงเกินไป... บางที...ฟ้าอย่างผมอาจไม่คู่ควรกับคุณก็ได้นะ...”
“...แต่ฉันเลือกแล้วที่จะอยู่กับเธอ... ตอนนี้แค่จะจินตนาการว่าวันต่อไปจะไม่มีเธอกับลูกอยู่ด้วยกันกับฉันแล้ว... ฉันยังรู้สึกเหมือนจะตายเลย... อย่ากลัวฉันอีกเลยนะฟ้า... ช่วยยกโทษกับทุกเรื่องที่ผ่านมาให้ที แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่... ในฐานะใหม่... ที่ไม่ใช่น้ากับลุงของหนูลิน... แต่เรามาช่วยกันทำหน้าที่พ่อและแม่ของหนูลินแทน...จะได้มั้ย...”
“...” น้ำฟ้าเงียบไปอีกครั้ง... และคราวนี้เขาก็รู้สึกว่าสมองมันช่างเชื่องช้าเฉื่อยชาไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยซักนิด... สมองเขาคงจะฝืดทำงานไม่ได้เสียแล้วล่ะมั้ง... คงต้องเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นคิดหาคำตอบแทน...
“สมองผมตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว...เพราะคุณเล่นถามไม่ให้ผมทันตั้งตัวเลย... งั้นผมคงต้องใช้หัวใจตัวเองคิดแทน...” เด็กหนุ่มหยุดเว้นวรรค แล้วถอนหายใจเข้าลึก... มือหนาใหญ่และอบอุ่นเลื่อนลงมาตามแขนของเขาแล้วค่อยๆสอดประสานมือเข้าหากันอย่างอัตโนมัติ... น้ำฟ้าเผยรอยยิ้มมอบให้คนที่นั่งมองตาตรงข้ามกัน... ก่อนจะเอ่ยตอบไปว่า...
“...ผมมีลูกติดมาหนึ่งคนนะครับ... ลูกชายผมอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอนด้วย แถมยังกินจุสุดๆ... และท่าทางจะซนมากในอนาคต ไม่รู้คุณจะเลี้ยงไหวรึเปล่า...”
“เฮ้อ...คุณก็ตัวแค่นี้ ลูกคุณก็ตัวอย่างกับมด... ต่อให้คุณมีลูกติดมาอีกยี่สิบคน...ผมก็เลี้ยงไหวสบายมาก...” รังสิมันต์เอ่ยพลางจ้องตาตอบอีกคนเสียจนคนตัวบางอาบหน้าแดงแจ๋... พอได้ทีชายหนุ่มก็โถมร่างเข้าใส่น้ำฟ้า โดยมีตัวหนูลินที่โดนทับจนร้องแอ๊กเบาๆเอาไว้ตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคน
“อู้ว...วา...วาๆ...แม่~...” เด็กน้อยหันหน้านอนคว่ำตัวไปทางน้ำฟ้า จึงโดนชายหนุ่มหอมกระหม่อมน้อยๆเข้าไปทีโทษฐานเป็นตัวก่อกวนบรรยากาศหวานๆของพวกเขาสองคน จากนั้นชายหนุ่มก็ก้มลงหอมหน้าผากคนที่นอนใต้ร่างของเขาอีกทีก่อนเอ่ยกระเซ้าด้วยความโล่งใจเมื่อได้คำตอบตกลงที่ต้องการแล้ว
“...ทีนี้ก็เปลี่ยนตำแหน่งได้แล้วนะ... เป็นคุณแม่ครับผมมาหลายเดือนแล้ว... ลองเปลี่ยนมาทำหน้าที่ ภรรยาครับผมดูบ้าง... มันน่าจะสนุกดีนะ...ว่ามั้ยน้ำฟ้า...” ชายหนุ่มเอ่ย แต่อีกคนกลับทำหน้าเบ้ใส่แล้วบอก
“ใครบอกว่าเปลี่ยน... ได้ตำแหน่งเพิ่มมาอีกน่ะสิไม่ว่า... อย่าลืมสิ...ตำแหน่งแม่ไม่มีการลาออกนะคุณ ถ้าลงว่าทำไปแล้วก็ต้องรักษาการณ์ไปทั้งชีวิต... ส่วนตำแหน่งอื่นเนี่ย ถ้าไม่พอใจ...ผมยังลาออกด้วยการหย่าได้นะคุณ...” น้ำฟ้าถือตัวว่าเหนือกว่าเลยออกปากเอ่ยทางเลือกให้อีกคนใจแป้วเล่นๆ ฝ่ายคนทำหน้าที่เจ้าของหัวหน้าบริษัทครอบครับได้ยินเข้าก็เริ่มหน้าหงิกขึ้นมาอีก จึงจัดการสำเร็จโทษลูกน้องตัวร้ายที่ทำท่าจะขอลาออกทั้งที่ยังไม่ทันได้เริ่มงานอย่างจริงจัง ด้วยการประทุษร้ายสองข้างแก้มเสียจนเกือบช้ำ แถมมีเลยเผื่อแผ่ให้คนลูกน้องตัวน้อยอีกคนที่ยังนอนตีมือเปาะแปะชอบใจคั่นกลางระหว่างพวกเขา และคาดว่าแก้มน้ำฟ้าคงจะช้ำจนบวมแน่ๆถ้าเสียงทางโทรศัพท์ไม่ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน...