สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 12 (12/02/11)-END <ปิดจองรวมเล่มแล้วค่ะ>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 12 (12/02/11)-END <ปิดจองรวมเล่มแล้วค่ะ>  (อ่าน 323749 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #30 เมื่อ02-02-2011 15:49:28 »

   เชิดชัย เลขาวัยกลางคนรับคำด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินออกมาจากห้องของประธาน ก่อนจะเดินไปยังล็อบบี้เพื่อพบกับนักข่าวที่เขาไม่คุ้นหน้า คนๆนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวอย่างคนเอเชีย ทว่ากลับมีผมสีน้ำตาลแดงดูแปลกตาซ้ำยังเป็นสีธรรมชาติหาใช่สีย้อมแต่อย่างใด

   “คุณรักตปักษ์” เขาเอ่ยเรียก

   “ครับ” ชายหนุ่มที่กำลังมองไปรอบๆล็อบบี้หันมาตอบรับอย่างทันทีด้วยเสียงหนักแน่นเป็นเอกลักษณ์

   “ผมเชิดชัย เป็นเลขาของคุณสัตยา ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เชิดชัยกล่าวแนะนำตัวพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้า

   “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” รักตปักษ์ตอบรับมือของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มสุขุมทว่าดูเปิดเผย ต่างจากสัตยาที่ดูลึกลับอยู่เสมอ

   “ตอนนี้คุณสัตยายังไม่ว่าง จึงอยากเชิญคุณไปดื่มกาแฟในห้องรับแขกของบริษัทก่อนจะได้ไหมครับ” เลขาวัยกลางคนยิ้มเป็นเองพร้อมเอ่ยเชิญอย่างสุภาพ

   “ได้สิครับ ผมยินดี” เมื่อผู้เป็นแขกตอบรับน้ำใจ เชิดชัยจึงเดินนำไปยังห้องรับแขกที่ดูเรียบง่ายแต่หรูหรา รอบด้านตกแต่งด้วยของใช้ซึ่งทำจากผ้าไหม ทั้งโซฟา ผ้าฟูโต๊ะ ผ้าม่าน และอื่นๆจนดูละลานตาชวนให้หยิบฉวยอย่างยากจะห้ามใจสำหรับพวกมือไวใจโจร แต่ในสายตารักตปักษ์แล้ว เขากลับมองว่าเป็นของสวยงามน่าชม ไม่ได้ตีค่าราคาแต่อย่างใด

   กาแฟถูกนำมาเสิร์ฟหลังจากนั้นไม่นานนักโดยพนักงานสาวที่แอบจ้องเสี้ยวหน้าของรักตปักษ์ไม่วางตา

   จะว่าไปแล้วก็ไม่น่าแปลกที่เขาดึงดูดความสนใจได้ถึงขนาดนั้น ด้วยรูปหน้าคม จมูกโค่งเป็นสัน ตาคมแต่ดูหวานน่ามอง คิ้วเข้ม ริมฝีปากหยักได้รูป และเรือนร่างสูงกำยำอย่างนักกีฬา ด้วยสิ่งเหล่านี้ ผมสีน้ำตาลแดงของเขาจึงดูไม่น่าเกลียดเลย ซ้ำยังพาให้น่าดูน่ามองมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

   และเมื่อชายหนุ่มหันกลับมาสบตา พนักงานสาวก็ถึงกับอายม้วนเดินหนีออกไปทันที

   “แปลกคน” รักตปักษ์หัวเราะกับตัวเอง ก่อนจะหยุดไปเมื่อได้ยินเสียงมาตามทางเดิน

   “ไม่ตรงใจผมเลยแม้แต่แบบเดียว ช่วยส่งกลับไปให้ดีไซเนอร์แก้ใหม่ทั้งชุดด้วย” เสียงของฝ่ายนั้นทุ้มกังวาลหวานน่าฟัง ราวกับเสียงของสายน้ำยามไหลหลั่งมาตามลำธารใส รักตปักษ์ยินแล้วเดาได้ในทันทีว่าเป็นเสียงของผู้ใด เขาจึงยืนขึ้นทันทีที่ฝ่ายนั้นเปิดประตูเข้ามา

   “สวัสดีครับคุณสัตยา ผมรักตปักษ์จากนิตยสาร Business Idol ครับ”

   “ผมไม่เห็นเคยได้ยินชื่อ” สัตยาเดินเข้ามาในขณะที่เชิดชัยกุลีกุจอไปทำตามคำสั่ง “นั่งลงเถอะคุณรักตปักษ์” เขาว่าก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้เดี่ยวข้างโซฟาที่แขกนั่งอยู่

   “ถ้าอย่างนั้นคุณคงเคยได้ยินนิตยสาร Business Daily สินะครับ” ชายหนุ่มผมแดงนั่งลงพลางชวนคุยไปเรื่อยๆ เป็นกลเม็ดหนึ่งที่ใช้ก่อนการสัมภาษณ์เพื่อให้การสัมภาษณ์เป็นธรรมชาติที่สุด

   “ผมเคยได้ยิน เพิ่งมีคนมาสัมภาษณ์ผมวันก่อน” สัตยาว่า

   “ครับ เป็นนิตยาสารเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในแวดวงธุรกิจ พ่อของผมเป็นบรรณาธิการอยู่” รักตปักษ์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นธรรมชาติ แม้ว่าสัตยาจะตีหน้านิ่งเพียงใดก็ตาม “ผมรู้สึกสนใจงานนิตยสารและสิ่งพิมพ์ และจบทางนั้นมาด้วย ผมเลยขอเปิดSectionใหม่ในเครือเดียวกัน พ่อก็ยอมให้แต่มีเงื่อนไขว่าผมต้องจัดการหาคน หาข่าวเอง และงานนี้ก็เป็นงานแรกของผม โดยมีผมเป็นบรรณาธิการ นักข่าว ช่างภาพ และทุกอย่างในตัวคนเดียว” ท่าทางตอนเล่านั้น ชายหนุ่มดูจะมีความภาคภูมิใจอยู่จนน่าหมั่นไส้ ทำให้สัตยารู้สึกไม่ถูกชะตา ซ้ำผมสีแดงนั่นยังทำให้นึกถึงเรื่องแย่ๆ

   “ผมก็ยังไม่เข้าใจว่านิตยสารของคุณเกี่ยวกับอะไร” นาคในร่างมนุษย์ว่าก่อนจะหันไปขอบคุณเมื่อพนักงานสาวคนเดิมนำกาแฟมาให้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าเธอลอบมองรักตปักษ์บ่อยครั้งจนสัตยาต้องขึ้นบัญชีดำผู้ชายคนนี้ว่าเป็นบุคคลที่ทำให้พนักงานของเขาเสียสมาธิ

   “คอนเซปต์คือ การใฝ่หาผู้ชายที่สมบูรณ์แบบน่ะครับ” รักตปักษ์ว่า “อย่างที่รู้กันว่าผู้ชายสมัยนี้มีดีแค่หน้าตามันเก่าไปแล้ว พวกผู้หญิงเริ่มสนใจผู้ชายที่หน้าตาดี หัวดี และฐานะดี ดังนั้นผมเลยคิดว่า คนในแวดวงธุรกิจเองก็มีคนแบบนั้นอยู่หลากหลายทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ จึงน่าจะมีนิตยสารที่ตอบสนองความต้องการด้านนี้ แทนที่จะมีแต่นิตยสารที่มีแต่คนหน้าตาดีมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงเท่านั้น”

   “มันก็คือนิตยสารขายผู้ชายดีๆนี่เอง” สัตยาวิจารณ์ไม่ไว้หน้า “แล้วมีธุระอะไรกับผม ผมคงไม่ใช่หนึ่งในเป้าหมายของคุณหรอกนะครับ คุณรักตปักษ์”

   “บังเอิญว่าผมตั้งใจจะออกฉบับแรกปลายเดือนนี้ และคุณก็เป็นผู้บริหารอายุน้อยอนาคตไกลที่กำลังโด่งดัง ผมเลยอยากจะขอสัมภาษณ์คุณสัตยาลงนิตยสารในฐานะ Popular Businessman น่ะครับ” สิ้นประโยค รักตปักษ์ก็หยิบเครื่องบึนทึกเสียงออกมาพร้อมกับกล้องถ่ายรูป

   “ผมยังไม่ได้ตอบรับ” สัตยามุ่นคิ้ว “ผมแนะนำให้คุณลองมองหาคนอื่น เพราะผมยุ่งเกินกว่าจะสละเวลาให้ได้” ชายหนุ่มร่างเล็กขยับเนคไทเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้น แต่ทว่า เขากลับโดนขวางทางโดนร่างที่สูงใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อมายืนเทียบกันใกล้ๆ

   “ช่วยผมหน่อยสิครับ ผมอยากทำข่าวของคุณจริงๆนะ” รักตปักษ์ทำเสียงหวาน

   “ทำไมคุณไม่ไปขอแบ่งมาจากพ่อของคุณล่ะ คุณรักตปักษ์” ดวงตาคมสีดำสนิทจับจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่าย ทั้งดื้อดึงและแข็งขืน รักตปักษ์สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคนๆนี้เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองไม่ยอมใครซ้ำยังหวงเนื้อหวงตัวจนอยู่ในขั้นน่าหมั่นไส้และน่าเอ็นดูไปพร้อมๆกัน

   “อืม....ทำแบบนั้นนิตยสารสองฉบับมันจะต่างกันตรงไหนล่ะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงพยายามใช้เหตุผล ซึ่งดูเหมือนจะยาก เพราะอะไรบางอย่างบอกเขาว่าอีกฝ่ายไม่ถูกชะตากับเขาอย่างรุนแรง

   “ผมให้สัมภาษณ์กี่ครั้ง คำตอบก็ไม่ต่างจากเดิมหรอกครับ”

   “ต่างสิ คำถามต่าง คำตอบก็ต้องต่าง คุณยังไม่ลองให้ผมถามเลย” มือและแขนของรักตปักต์ดูเก้งก้างขวางตาสัตยาไปเสียหมด ทำให้เขานึกถึงพี่น้องต่างมารดาที่เป็นคู่แค้นกันเสียจริง เพราะรายนั้นมีปีกกว้างจนบดบังฟ้าแทบมิด ซ้ำพ่อก็แสนรัก มีทุกอย่างที่อยากได้ สุดท้ายยังได้เป็นใหญ่ในสวรรค์เสียอีก คิดแล้วก็แค้นใจ สัตยาเม้มปากสะกดกลั้นอารมณ์แล้วจ้องมองอีกฝ่ายอย่างมาดร้าย

   “ผมจะไม่พูดซ้ำ หรือจะให้ผมเรียกรปภ.” สัตยาไม่พูดเปล่า เขากลับหลังหันเดินไปทางโต๊ะซึ่งมีโทรศัพท์ต่อสายตรงอยู่ทันที รักตปักษ์จึงรีบถลาเข้าไปคว้ามืออีกฝ่ายด้วยความตกใจ ทำให้สัตยาเสียสูญเซกลับมาพิงอกรักตปักษ์อย่างพอดิบพอดี ในตอนแรก เหมือนว่าชายหนุ่มร่างสูงจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเมื่อสัมผัสร่างของสัตยาแล้ว เขาก็นิ่งงันไป.....เช่นเดียวกับสัตยา

   แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสัมผัสตัวเขาได้โดยที่เขาไม่อนุญาต ล้วนแต่ถูกบาดด้วยคมเกล็ดเสียทุกราย แล้วทำไมคนๆนี้ถึงสัมผัสได้โดยไม่รู้สึกอะไร.....

   “.....กลิ่นน้ำ.....” รักตปักษ์เปรยขณะสูดดมเรือนผมสีดำเงาราวขนนกกาน้ำ “ข้ารู้จักเจ้า.....”

   “......ครุฑ....” สัตยาเบิกตากว้าง “ปล่อยข้า!” ทันใดที่ประจักษ์ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เกล็ดสีมรกตก็เริ่มปรากฏขึ้นตามร่างกายของนาคจำแลง เขี้ยวงอกยาวออกมา และดวงตาสีดำก็เปล่งแสงแดงเรื่อพร้อมรูม่านตาที่หดตัวเรียวรีเป็นเส้นตรง

   “เปล่าประโยชน์ เกล็ดหรือเขี้ยวเจ้าทำอันตรายข้าไม่ได้” รักตปักษ์หรือร่างจุติของครุฑกอดร่างของอีกฝ่ายแน่น ไม่อนาทรต่อความคมของเกล็ดนาคหรือเขี้ยวที่พยายามฝังลงบนท่อนแขนแต่กลับฝังไม่เข้า

   “เจ้าฆาตกร! ฆ่าพี่น้องตัวเอง!”

   “ข้าคืนชีวิตให้พี่น้องเจ้าหมดแล้ว มีแค่เจ้าเท่านั้นที่หนีมา” รักตปักษ์กล่าว “ข้าตามมาขอโทษ”

   “คุณสัตยา คุณรักตปักษ์ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” เชิดชัยได้ยินเสียงโวยวายขณะกำลังเดินมาที่ห้องรับแขก เขาเกรงว่าจะมีเรื่องใหญ่จึงเปิดประตูโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน แต่เขากลับพบทั้งสองคนยืนอยู่ข้างกัน โดยสัตยากำลังขยับเนคไทให้เรียบร้อย ในขณะที่รักตปักษ์กำลังหันไปดูกล้อง

   “อ้าว คุณเชิดชัย คุณสัตยากำลังเล่าถึงคุณอยู่พอดี” รักตปักษ์เงยหน้ามองอีกฝ่ายพลางยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   “ไปกันเถอะ คุณเชิดชัย” สัตยาไม่ตอบรับอะไร เขาเดินห่างออกมาด้วยท่าทีเฉยเมย

   “แล้วเรื่องสัมภาษณ์....”

   “ผมคุยกับคุณรักตปักษ์แล้วว่าผมจะไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆทั้งสิ้น ฝากเชิญคุณรักตปักษ์กลับไปด้วย” ว่าแล้ว สัตยาก็เดินออกมาโดยไม่หันกลับมาพูดอะไรอีกเลย เชิดชัยซึ่งไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวจึงเดินเข้าไปช่วยรักตปักษ์เก็บของด้วยใบหน้าเจื่อนๆ ไม่รู้ว่าเจ้านายของตนเกิดอารมณ์เสียอะไรขึ้นมา

   “ขอโทษแทนคุณสัตยาด้วยนะครับ วันนี้ท่านคงอารมณ์ไม่ดี”

   “ไม่เป็นไรครับ ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มร่างสูงตัดใจด้วยรอยยิ้ม เขาเก็บของเดินออกไปโดยไม่ลืมร่ำลาเชิดชัยและพนังานสาวที่มาเสิร์ฟกาแฟให้ และเมื่อเขาเดินออกมาถึงด้านหน้าตึก รักตปักษืก็รู้สึกถึงสายตาที่แสดงถึงความชิงชังส่งมาจากหน้าต่างกระจกบ้านหนึ่งบนตึกนั้น เขาเดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นสายตาของใคร ชายหนุ่มได้แต่ส่ายศีรษะอย่างระอาใจกับพี่น้องแต่ปางก่อนตนนี้ ทั้งดื้อดึง เอาแต่ใจ และเย่อหยิ่งยิ่งกว่านาคตนใดๆ ขนาดว่ามาเกิดในร่างมนุษย์แล้ว นิสัยเดิมก็ยังแก้ไม่หาย


------------------------->


   สัตยาจ้องมองลงมาจากหน้าต่างห้องประธานบริษัท ในดวงตาคู่นั้นปรากฏเพียงแววของความเคียดแค้นชิงชังไร้ก้นบึ้ง จ้องมองตรงไปยังแผ่นหลังผึ่งผายนั้นจนกระทั่งลับสายตา สัตยากัดริมฝีปากตนเองจนห้อเลือด ทุบมือลงไปบนโต๊ะไม้ขัดเงาด้วยความโกรธแค้นที่ถูกหยามซึ่งหน้าอีกครั้ง ทันใดนั้น ขนนกสีแดงก็ปลิดปลิวลงมาจากเสื้อสูทและร่วงลงบนพื้น ชายหนุ่มเหยียบขยี้ขนนกสีแดงนั้นแทนผู้เป็นเจ้าของจนมันขาดวิ่นไม่เหลือความงาม

   คราวนี้ข้าจะทำลายสิ่งที่เจ้ารักบ้าง....ครุฑ....


-------------------------->


   ในวันนั้นสัตยากลับบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเหลือประมาณ กิ่งแก้วที่เดินออกมารับถึงกับไม่กล้าคุยเล่นด้วยอย่างเคยจนสัตยาต้องคลายสีหน้าลงให้ดูสบายขึ้นและชวนคุยก่อน

   “วันนี้คุณตาเป็นยังไงบ้าง กิ่งแก้ว” เขาเอ่ยถามพลางถอดเสื้อสูทให้

   “คุณท่านก็ยังเหมือนเคยแหละค่ะคุณยา ตื่นเช้ามาก็รดน้ำต้นไม้ ช่วงสายก็อ่านหนังสือ พอตกบ่ายเจ้าก้องเจ้าเกริกกลับมาจากโรงเรียนก็เล่นด้วยจนหลับไปทั้งคู่ ตอนนี้คุณท่านก็อยู่ที่ห้องหนังสือแหละค่ะ” กิ่งแก้วเล่าเสียงแจ้วๆ

   “ตอนนี้เจ้าก้องเจ้าเกริกคงเป็นหลานคุณตาแทนผมแล้วมั้ง” สัตยาพูดเสียงเย้าหยอกพลางยิ้มให้หญิงสาวที่คอยดูแลเขามาแต่เล็กแต่น้อย ยายพิมก็เสียไปได้สองปีแล้ว กิ่งแก้วก็แต่งงานกับนายพจน์คนสวน มีลูกแฝดเป็นเจ้าก้องเจ้าเกริกที่ตอนนี้อายุได้ห้าขวบ คุณตาที่เพิ่งเกษียณอายุมาอยู่กับบ้านจึงไม่เหงามากนักแม้ยายพิมจะไม่อยู่คอยดูแลใกล้ชิด

   “คุณยาล่ะก็ คุณท่านน่ะรักคุณยาเสมอแหละค่ะ แต่เจ้าก้องเจ้าเกริกมันขี้อ้อน” กิ่งแก้วเย้าด้วยความเอ็นดู “จริงสิคะ ตอนนี้คุณท่านกำลังคุยกับแขกอยู่น่ะค่ะ เห็นว่าเป็นคนรู้จักคุณยาด้วย”

   “คนรู้จักผม? แต่ไม่เห็นมีใครโทรมาบอกผมว่าจะมาเยี่ยมที่บ้านเลยนะ” สัตยามุ่นคิ้วด้วยความสงสัย

   “ไม่รู้สิคะ แต่กิ่งว่าเขาหล่อดีนะคะ ดูเหมือนลูกครึ่ง”

   คำของกิ่งแก้วทำให้สัตยาสังหรณ์ใจไม่ดี เขาวางกระเป๋าที่ห้องทำงาน ก่อนจะเดินไปหาคุณตาที่ห้องหนังสือ หมายจะดูให้รู้แน่ว่าใครกันที่มาหาถึงบ้าน แต่ว่าดูเหมือนสัตยาจะไม่ต้องคาดเดาให้เปลืองสมอง เพราะเขาพบขนนกสีแดงตกอยู่ที่ทางเดินหน้าห้องหนังสือพอดี สัตยาสูดลมหายใจลึก ไม่ให้แสดงปฏิกิริยาให้คุณตาสงสัย เตือนตนเองให้รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ ก่อนจะเคาะประตู

   “สัตยาครับ”

   “เจ้ายากลับมาพอดี เข้ามาสิ” เสียงของชายวัยชราที่ยังดูแข็งแรงเอ่ยอนุญาต สัตยาจึงเปิดประตูเข้าไป ก็พบพงษ์ศักดิ์นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมแบบยุโรป ในมือของชายชราถือหนังสือไว้เล่มหนึ่ง ถัดไปด้านข้าง มีชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่ใกล้ๆ ดูเหมือนทั้งสองจะกำลังคุยกันอยู่ตอนที่เขาเดินมา

   “กลับมาแล้วหรือครับ คุณสัตยา” รักตปักษ์เอ่ยทักทาย

   “ครับ กลับมาแล้ว ไม่ทราบว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ คุณรักตปักษ์” สัตยามองอีกฝ่ายด้วยความเฉยชาและใช้น้ำเสียงที่แสดงการไม่ต้อนรับอย่างชัดแจ้ง

   “สัตยา อย่าเสียมารยาทกับแขกสิ โทษทีนะคุณรักต์ หลานของผมไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์” พงษ์ศักดิ์หันไปขอโทษแทนสัตยา

   คุณรักต์?

   สัตยาเบ้หน้า

   “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ” รักตปักษ์ตอบ “คุณยาแกค่อนข้างขี้อาย ผมพอเข้าใจครับ” คำเรียกชื่อของชายหนุ่มผมแดงเรียกสายตาคมตวัดมองควับด้วยความไม่พอใจ แต่ก็แสดงออกมากกว่านั้นไม่ได้เพราะคุณตาไม่ชอบให้เสียมารยาทกับผู้มาเยือน

   “เอ้อ เจ้ายา ช่วยพาคุณรักต์ไปเดินเล่นรอบบ้านทีสิ อีกนานเลยนะกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น แล้วคุณรักต์เขาอยากจะถ่ายรูปกับสัมภาษณ์หลานไปลงนิตยสารด้วย ให้ความร่วมมือด้วยนะ” เสียงนั้นคล้ายจะเป็นคำสั่งกึ่งคำบอกเล่า แต่จะหนักไปทางคำสั่งหากพูดด้วยเสียงของพงษ์ศักดิ์ ดวงตาคมดุดันของชายชราทำให้สัตยาปฏิเสธไม่ออก จำต้องรับคำอย่างช่วยไม่ได้

   “ตามมาสิครับ คุณรักต์....” คำเรียกชื่อนั้น สัตยาจงใจเน้นให้ดูประชดประชัน ก่อนจะเดินนำออกไป  ทิ้งให้รักตปักษ์เดินตามโดยไม่หันกลับมาดู

   ทั้งสองเดินออกมาจนถึงสวนเล็กๆด้านนอก ซึ่งมีการจัดสวนด้วยน้ำตกและเฟิร์นจนดูร่มรื่นเหมือนอยู่ใกล้น้ำตกจริงๆ เป็นส่วนที่สัตยาชอบที่สุดในบ้าน เพราะความชื้นช่วยให้เขารู้สึกสบายตัวมากกว่า

   “มีอะไรก็รีบว่ามา คุณรักต์” ความชื้นจากน้ำตกเทียมทำให้สัตยาอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย

   “ทำหน้าแบบนั้นระวังรูปออกมาไม่สวยนะครับ คุณยา” รักตปักษ์ทำเสียงล้อ เรียกสายตาคมตวัดฉับมอง

   “อย่ามาเรียกข้าแบบนั้น!”

   “ดูเหมือนเจ้าจะมีเรื่องโกรธข้ามากกว่าเรื่องเมื่ออดีต ข้าไปทำอะไรให้อีกหรือไง?” รักตปักษ์ว่าไป ก็หยิบกล้องขึ้นมาเตรียม

   “อย่ามาทำไขสือ เจ้านกยักษ์ไร้สมอง! เจ้าส่งขนนกมาให้ข้าเมื่อสิบปีที่แล้ว จำไม่ได้หรือไง!” สัตยาขู่ฟ่อ ดวงตาของเขาเริ่มเปลี่ยนสี ก่อนที่รักตปักษ์จะพยักหน้ารับเนือยๆ

   “อา....ตอนนั้นเอง” ชายหนุ่มกล่าว “วันนั้นวันเกิดอายุสิบห้าปีของข้าในฐานะรักตปักษ์ ก็เป็นวันที่ข้าสลัดขนชุดแรกพอดี ข้าเลยเอาเส้นหนึ่งมาใส่กล่องของขวัญ อธิษฐานว่าหากเจ้ามาเกิดแล้วและยังจดจำทุกเรื่องในอดีตได้ ขอให้ขนนกนี้ไปหาเจ้า แต่ตอนนั้นข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นใครอยู่ที่ไหน ความจริงแล้วข้าเพิ่งรู้เอาวันนี้ที่ได้กลิ่นจากเจ้านั่นแหละ”

   “คนโป้ปด!” นาคจำแลงคำราม

   “จะเปิดเครื่องบันทึกเสียงแล้ว สงบอารมณ์ซะ คุณยา” รักตปักษ์พูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะกดเปิดเริ่มบันทึก เป็นการบังคับให้สัตยาต้องกลับสู่ภาวะปกติในร่างมนุษย์อย่างทันที

   “เจ้าเล่ห์” เขากระซิบในคอขณะฟังคำถามแรก


------------------------------->


   ไม่กี่วันต่อมา ก็ถึงกำหนดวางแผงนิตยสาร Business Idol ฉบับแรก แต่สัตยาก็ไม่ได้นึกสนใจและลืมไปเสียด้วยซ้ำ เขาเดินเข้าบริษัทตามปกติแต่กลับรู้สึกผิดปกติ เพราะพนักงานหลายคนจ้องมองมาทางเขาอย่างชื่นชมและสเน่หาเกินปกติ สัตยารู้สึกแปลกใจเป็นกำลังแต่ก็เลือกที่จะเดินขึ้นห้องประธานไปโดยไม่ได้เอ่ยถาม เพราะเขาเกรงว่าจะมีใครเผลอเข้ามาสัมผัสตัวเขาจนได้แผล ในตอนที่สัตยาไปถึงห้องนั้น เขาพบว่ามีพัสดุไปรษณีย์วางนิ่งอยู่บนโต๊ะ รูปร่างของมันเดาไม่ยากนักว่าเป็นหนังสือ ความหนาไม่มาก รูปเล่มขนาดนิตยสาร สัตยานึกแปลกใจ จึงเดินเข้าไปพลิกดู ก่อนจะเปิดปากห่อเพื่อดึงเอาของข้างในออกมาดูชัดๆ แล้วคำตอบทั้งหมดก็กระจ่างแจ้งแก่ใจ.....

   ในมือของสัตยา คือนิตยสาร Business Idol ฉบับแรก ซึ่งหน้าปกนั้น คือภาพของสัตยาดังที่บรรณาธิการของหนังสือเล่มนี้เคยสัญญาเอาไว้ แต่ภาพนั้นไม่รู้ว่าได้แสงได้มุมดี หรือมีการแต่งภาพอย่างลงตัว ใบหน้าของสัตยาที่ดูหวานคมอยู่แล้วจึงน่ามองยิ่งขึ้นแม้จะเชิดขึ้นอย่างรั้นๆ เบื้องหลังคือน้ำตกเทียมกับสวนสวย ล้อมกรอบร่างในเสื้อเชิ๊ตให้ดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติที่ถูกปั่นแต่ง ทว่าภาพนั้นกลับดูเสมือนจริงราวกับสัตยาไปนั่งให้สัมภาษณ์หน้าน้ำตกที่ไหนสักแห่งจริงๆ แม้ไม่อยากจะเอ่ยชม แต่สัตยาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่ารักตปักษ์เป็นช่างภาพที่ฝีมือดีทีเดียว

   ชายหนุ่มไม่ได้เปิดดูเนื้อหาด้านใน เขาเพียงเปิดลิ้นชักแล้วโยนเข้าไปโดยไม่ได้นึกใส่ใจมากกว่านั้น เนื่องจากตอนนี้งานมารออยู่ตรงหน้า ดูเหมือนแบบกระเป๋าที่สั่งแก้จะมาถึงแล้ว สัตยาจึงเลือกที่จะทำงานให้เสร็จก่อน ส่วนเรื่องอื่นต้องไว้ทีหลัง

   คิดๆดูแล้ว การมาเกิดในยุคสมัยนี้ อะไรๆก็ดูจะยากกว่าเมื่อก่อน เพราะในสมัยเก่าก่อนนั้น มีเพียงชั้นกษัตริย์ที่จะถือได้ว่ามีอำนาจเต็ม รองลงมาก็เป็นพวกขุนนางและทหารชั้นผู้ใหญ่ ขอเพียงเกิดในชนชั้นเหล่านั้น จะชี้นกก็เป็นนก ชี้ไม้ก็เป็นไม้ ทว่าในยุคนี้ที่ระบอบกษัตริย์กำลังค่อยๆเลือนหายไป และประชาชนมีอำนาจมากขึ้น อำนาจของกษัตริย์ไม่ได้ล้นฟ้าอีกต่อไป และชนชั้นปกครองก็ถูกริดรอนอำนาจลงเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกๆชีวิตจึงอยู่ในกฏเกณฑ์เดียวกัน นั่นคือกฏที่ตั้งขึ้นของหมู่คณะที่อยู่ร่วมกัน เป็นการยากที่จะพูดว่าใครมีอำนาจเหนือกว่าใคร และไม่มีใครที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดชี้เป็นชี้ตายได้เหมือนสมัยก่อน การจะได้มาซึ่งสิ่งใดต้องแลกไปด้วยค่าของงานที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น สัตยาจึงไม่อาจหันไปสนใจกับการลงมือแก้แค้นครุฑได้เต็มที่ เขายังคงต้องเจียดสมองไว้กับงาน และรอคอยโอกาสอันเหมาะสมเท่านั้น กระนั้นสัตยาก็เชื่อว่าหนทางนั้นจะมาหาเขาเองอย่างแน่นอน

   สัตยานั่งลงที่โต๊ะ เปิดตัวอย่างงานดูทีละชิ้นและใช้สมาธิจดจ่อกับงานของตน พงษ์ศักดิ์หวังเอาไว้มากว่าหลานชายคนนี้จะนำพาเครือบริษัทชลวรินทร์ได้ดีกว่าที่ตนเองเคยทำ สัตยาที่แบกรับความหวังนั้นจึงไม่ทำลายฝันของผู้มีพระคุณได้

   ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ล้วนรู้ผิดชอบชั่วดี รู้คุณรู้แค้น สัตยาต้องมาเกิดในร่างมนุษย์จึงต้องอาศัยการตั้งครรภ์ของหญิงชาวมนุษย์และการเลี้ยงดูโดยมนุษย์ในฐานะลูกมนุษย์ ทั้งผู้ให้กำเนิดและผู้เลี้ยงดูล้วนแต่มีพระคุณที่ต้องทดแทน แม้จะมีไฟแค้นสุมทรวง แต่สัตยาก็รู้แยกแยะ

   โปรเจคที่วางไว้ครั้งนี้เป็นงานชิ้นแรกที่สัตยาจะได้ลงมือทำด้วยตัวเองโดยไม่มีพงษ์ศักดิ์คอยชี้แนะ โดยสัตยาตั้งใจจะตีตลาดสินค้าประจำฤดูกาลซึ่งคนไทยมักหมดเงินไปกับสินค้านำเข้าซึ่งเป็นแฟชั่น ถึงอย่างนั้น สัตยาก็ต้องยอมรับว่าคนของเขายังมีความสามารถไม่พอในด้านการตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า เพราะพวกเขาล้วนแต่คุ้นชินกับการทำตลาดใหญ่และสามารถตอบสนองลูกค้ากลุ่มใหญ่ในต่างประเทศ ดีไซเนอร์ของเขาล้วนแต่ออกแบบมาเป็นแนวไทยร่วมสมัยและเหมาะสมกับคนวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป แต่สัตยาคิดว่า แฟชั่นนั้นคือตลาดของเด็กและวัยรุ่น ดังนั้นจึงต้องฉีกแนวเดิมจากร่วมสมัยเป็นนำสมัย และดีไซเนอร์ที่เขามีในมือไม่อาจตอบสนองความคาดหวังของเขาได้

   อีกไม่นานจะถึงฤดูหนาว ซึ่งแม้ประเทศไทยจะไม่ค่อยพบเจออากาศหนาวแต่ก็เป็นฤดูแห่งแฟชั่นฤดูหนึ่ง สัตยาต้องปิดโปรเจคนี้ให้ทัน มิเช่นนั้นก็ล่มกันทั้งหมด

   ชายหนุ่มโยนแบบงานที่ยังไม่ตรงใจลงบนโต๊ะพลางถอนหายใจ

   ตอนนี้โปรเจคยังดูไม่เป็นรูปร่าง หากจะขอให้งบเพื่อจัดหาดีไซเนอร์ใหม่เพิ่มคงไม่ได้รับมติ หรือจะโล๊ะชุดดีไซเนอร์เก่า งานส่วนอื่นก็ยังต้องใช้ดีไซเนอร์ชุดนี้ทำ เพราะตลาดใหญ่นั้นเป็นงานของกลุ่มนี้ เขาควรจะทำอย่างไรดีนะ?

   สัตยานั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา

   หากเปิดรับผลงานจากดีไซเนอร์มือสมัครเล่นและจัดเป็นการประกวด งบประมาณจะไม่ได้เสียมากมาย ซ้ำยังอ้างกับบอร์ดบริหารได้ด้วยว่าเป็นโปรเจคอีกชิ้นที่แตกออกมาเพื่อมองหานักคิดนักออกแบบรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์

   คิดได้ดังนั้น สัตยาก็ลงมือพิมพ์ร่างเสนอโปรเจคโดยทันที

   “คุณสัตยา มีสายตรงถึงคุณครับ” เชิดชัยเปิดประตูเข้ามาบอกตอนที่ชายหนุ่มกำลังเริ่มร่าง สัตยาจึงพยักหน้ารับคำ แล้วหันไปหาโทรศัพท์

   “สัตยาครับ” เขากรอกเสียงลงไป

   “สวัสดีครับ คุณสัตยา ผมกฤตนันท์ หวังว่าคุณคงเคยได้ยินชื่อผมมาบ้าง” ฝ่ายนั้นแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงอย่างที่สัตยาไม่ชอบใจ เสียงที่แสดงถึงความทระนงและแสดงตนว่าอยู่เหนือผู้อื่น

   “ครับ ผมเคยได้ยิน” สัตยาตอบกลับไปด้วยเสียงไม่ยินดียินร้าย

   เขาจะไม่เคยได้ยินได้อย่างไร ในเมื่อกฤตนันท์เป็นหัวหน้ามาเฟียตัวเอ้ที่คุมถิ่นละแวกนี้ ทั้งซ่อง ทั้งบ่อนล้วนแต่อยู่ในบัญชา รับทำสิ่งผิดกฏหมายทุกชนิด ทั้งค้ายา ผู้หญิง และเก็บค่าคุ้มครอง ซ้ำยังมีอิทธิพลกับนักธุรกิจและนักการเมืองหลายๆคนในด้านการเอื้อประโยชน์ให้กันและกัน แต่ก็เป็นคนประเภทที่สัตยาไม่คิดอยากข้องเกี่ยว


ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 1 (1/02/11)
«ตอบ #31 เมื่อ02-02-2011 15:49:44 »

ชอบค่ะ



 o13 o13

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #32 เมื่อ02-02-2011 15:50:02 »

   “งั้นเราคงคุยกันง่ายขึ้น คุณสัตยา” กฤตนันท์พูดพลางหัวเราะในคอเบาๆ

   “ถ้าคุณไม่มีสิ่งที่ผมต้องการมาเสนอ เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกัน” สัตยาเลือกที่จะตัดบทง่ายๆ

   “เขี้ยวลากดินจริงๆนะคุณเนี่ย” ชายหนุ่มมาเฟียหัวเราะออกมา

   โดยปกติแล้ว เขาจะติดต่อกับนักธุรกิจและนักการเมืองโดยฝ่ายนั้นเป็นคนเสนอผลประโยชน์ให้เขา และขอผลประโยชน์จากเขา หรือหากเขาติดต่อมาเอง ฝ่ายตรงข้ามก็มักจะเป็นคนเสนอก่อนเพื่อจะได้ไม่เสียเปรียบมากนัก แต่สัตยาคนนี้ดูท่าจะไม่ได้เจรจาง่ายๆเหมือนคนเหล่านั้น ทั้งไม่เสนอก่อน และไม่แสดงท่าทีต้องการแลกเปลี่ยน ราวกับว่า....จงใจยกตนเองให้อีกฝ่ายคิดว่ามีดีมากกว่าที่จะมาแลก ซึ่งท่าทีเช่นนี้มักได้ผลในแวดวงธุรกิจ เพราะจะทำให้คู่เจรจาสนใจและอยากจะลองแลกเปลี่ยนด้วยอะไรก็ตามที่คิดว่าคุ้มค่า

   สัตยาวางสายไปโดยไม่ได้สนทนาต่อเพราะแบบร่างโปรเจคที่เริ่มไว้ยังรอคอยให้เขาจัดการ ทั้งนี้ สัตยาคิดว่า การเจรจากับมาเฟียเป็นเรื่องไร้สาระ คนเหล่านี้แม้ในตอนแรกจะเหมือนยอมเสียเปรียบทุกประตู แต่เมื่อทำธุรกิจด้วยกันไป ก็มักเกิดการหักหลังขึ้น หรือไม่ คู่เจรจาก็มักถูกสูบเอาผลประโยชน์ที่คิดว่าได้เปรียบไปโดยไม่รู้ตัว

   หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาควรรู้ในวงการนี้ถูกถ่ายทอดโดยพงษ์ศักดิ์ซึ่งผ่านมรสุมร้อนหนาวมานับไม่ถ้วนกว่าที่เครือชลวรินทร์จะเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ ดังนั้นสัตยาจึงเชื่อว่าสิ่งที่พงษ์ศักดิ์สอนมานั้นคือสิ่งที่มีค่ายิ่งและควรจะปฏิบัติตามอย่างระมัดระวัง


-------------------------------->


   สัตยาไม่อาจร่างโปรเจคใหม่ให้เสร็จได้ในวันนั้น จึงต้องนำกลับมาทำต่อที่บ้าน ทว่า ทันทีที่กิ่งแก้วออกมารับ สัตยาก็ได้รับข่าวที่เขาไม่อยากจะรับบ่อยนัก

   “คุณรักต์แกมาอีกแล้วล่ะค่ะ” กิ่งแก้วบอก “วันนี้แกมาตั้งแต่บ่าย พาเจ้าก้องเจ้าเกริกไปเล่นในสวน แล้วตอนนี้ก็คุยกับคุณท่านอยู่ค่ะ”

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ กิ่งแก้ว?” สัตยาเอ่ยถามเมื่อเขาสังเกตว่าตอนพูดถึงรักตปักษ์ กิ่งแก้วจะทำหน้าเคลิบเคลิ้มเหมือนฝันอยู่อย่างไรอย่างนั้น

   “แหม คุณยาล่ะก็ ก็คุณรักต์แกหล่อซะขนาดนั้น พวกสาวๆในครัวน่ะ แย่งกันเอาน้ำเอาท่ามาเสิร์ฟกันจะตายไป” กิ่งแก้วว่าไปก็ทำเขินอาย

   “เดี๋ยวผมจะฟ้องนายพจน์”

   “คุณยา!” หญิงสาวร้องเสียงเง้างอน “โธ่ คุณยาอย่างอนกิ่งเลยนะคะ คุณยาก็หน้าตาหล่อเหลาชวนมองเหมือนกันนั่นแหละค่ะ แต่กิ่งเห็นคุณยาตั้งแต่เด็กแล้ว ส่วนคุณรักต์น่ะ กิ่งเพิ่งจะเคยเห็น กิ่งก็ต้องชื่นชมเป็นธรรมดาสิคะ”

   “ไม่ต้องประจบแล้วกิ่งแก้ว” สัตยาหัวเราะ “ตอนนี้ของกินเล่นคงเต็มโต๊ะรับรอง ผมไม่ต้องยกไปเพิ่มแล้วล่ะมั้ง”

   หลังจากคุยเล่นกับกิ่งแก้วแล้ว สัตยาจึงเดินไปยังห้องรับรองซึ่งพงษ์ศักดิ์มักใช้รับแขก เขาเดาได้ไม่ยากเลยว่ารักตปักษ์ต้องอยู่ที่นั่นด้วย และมันก็เป็นจริง เพราะทันทีที่เขาเดินไปถึง เขาก็ได้ยินเสียงคุยดังออกมา เป็นเสียงของเด็กสองคนสลับกับเสียงชายหนุ่ม ส่วนเสียงของพงษ์ศักดิ์นั้นจะแทรกมาเป็นระยะเพียงสั้นๆแล้วเงียบไปเมื่อเด็กๆเริ่มพูดแจ้วๆ

   สัตยาเดินเข้าไปในห้องรับรอง ยกมือไหว้พงษ์ศักด์แล้วเอ่ยทักทายรักตปักษ์สั้นๆ

   “พี่ยากลับมาแล้ว~” ก้องและเกริก ลูกแฝดของกิ่งแก้ววิ่งเข้ามากอดขาสัตยาคนละข้าง

   ในเวลานี้ สัตยาซึ่งโตเต็มวัยในร่างมนุษย์สามารถควบคุมอำนาจของนาคได้มากขึ้น คนในบ้านจึงสามารถสัมผัสตัวได้เป็นปกติไม่โดนสิ่งใดทำร้าย

   “พี่ยา พี่รักต์เล่าเรื่องพี่ยาเยอะแยะเลย” เจ้าก้องซึ่งเป็นพี่ชายรีบพูดก่อน

   “พี่รักต์เอาหนังสือมาให้ด้วย” เจ้าเกริกพูดบ้าง

   “หนังสือ?” สัตยามุ่นคิ้ว หวังว่าหนังสือนั่นคงไม่ได้หมายถึง.....

   “พี่ยาเขากลับมาเหนื่อยๆ ให้ได้พักกินน้ำกินท่าก่อนเถอะ” พงษ์ศักดิ์กล่าวขึ้น ก้องและเกริกจึงยอมล่าถอยออกมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน สัตยาจึงเดินไปนั่งที่โซฟาอีกตัวที่มีรักตปักษ์นั่งอยู่ก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

   “สวัสดีครับคุณรักต์” สัตยาเอ่ยทักทายโดยไม่มองหน้า

   “สวัสดีครับคุณยา” ชายหนุ่มผมแดงรับคำแล้วหัวเราะเบาๆ

   “ไม่ทราบว่าอารมณ์ดีอะไรนักหนาครับ” สัตยาปรายสายตามองด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่เข้ามาเห็นรักตปักษ์ยิ้มไม่หุบเลย

   “จะไม่อารมณ์ดีได้ยังไงกันล่ะครับ ก็นิตยสารของผมวางแผงวันแรกก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีออร์เดอร์สำหรับฉบับต่อไปเข้ามาไม่ขาด” รักตปักษ์กล่าวพลางมองหน้าสัตยา “ต้อบขอบคุณคุณยานั่นแหละครับ ยอมเป็นตัวชูโรงขึ้นปกให้ผม ทำให้ขายดีขนาดนี้”

   “แล้วคุณรักต์เขาก็เอามาฝากเล่มหนึ่งด้วย” พงษ์ศักดิ์พูดแล้วก็หยิบขึ้นมาวางบนตัก “หลานน่าจะยิ้มให้กล้องมากกว่านี้เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นกันเอง นักธุรกิจที่หยิ่งยโสน่ะ ไม่มีใครอยากจะร่วมงานด้วยหรอกนะ สัตยา”

   “ก็แค่รูป....”

   “รูปคือสิ่งที่แสดงตัวตนต่อสายตาผู้อื่น ถึงหลานจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ทุกคนก็รู้จักหลานในภาพอย่างนี้ไปแล้ว” พงษ์ศักดิ์พูดพร้อมกับวางมืองบนปก เขาไม่ได้ใช้ถ้อยคำดุด่าหรือใช้น้ำเสียงดุดัน ถึงอย่างนั้นสัตยาก็รู้ว่ากำลังโดนตำหนิ

   “ผมจะทำให้ดีขึ้นในครั้งหน้าครับ” เขาได้แต่พูดเช่นนั้น เพราะพงษ์ศักดิ์ไม่ชอบคนที่เอาแต่ขอโทษ แต่ชอบคนที่คิดจะปรับปรุง

   “ขออนุญาตค่ะคุณท่าน” กิ่งแก้วเดิมค้อมตัวเข้ามาในห้อง สายตาของเธอแอบเหลือบมองรักตปักษ์เล็กน้อยก่อนจะทำขวยแล้วหันไปหาพงษ์ศักดิ์ “กิ่งขอเอาเจ้าก้องเจ้าเกริกไปทำการบ้านนะคะ”

   “ไม่เอา!” เด็กน้อยทั้งสองร้องพร้อมกันแล้ววิ่งไปหลบหลังเก้าอี้

   “เจ้าก้องเจ้าเกริก! อย่ามาดื้อกับแม่นะ!” กิ่งแก้วส่งเสียงดุ ก่อนจะชะงักแล้วยิ้มอายๆให้กับรักตปักษ์

   “ก้อง เกริก ไปทำการบ้านซะ” เดือดร้อนพงษ์ศักดิ์ต้องดุเสียเอง ด้วยสุ้มเสียงทรงอำนาจนั้น เด็กน้อยทั้งสองก็ยอมฟังคำโดยไม่อิดเอื้อน แม้จะส่งสายตาอยากเล่นมาทางสัตยาและรักตปักษ์ แต่ทั้งสองก็ทำได้เพียงส่งยิ้มให้ในขณะที่ก้องและเกริกถูกกิ่งแก้วจูงมือออกไป

   “ถ้าอย่างนั้น.....วันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ คุณพงษ์ศักดิ์” รักตปักษ์ตั้งท่าจะกลับ เพราะรู้แก่ใจว่าสัตยาคงไม่อยากเห็นหน้าเขานานนัก

   “เดี๋ยวก่อนคุณรักต์ อยู่ทานข้าวเย็นกันก่อนเถอะ ปกติก็มีแค่ฉันกับเจ้ายากันสองคน” พงษ์ศักดิ์เอ่ยชวน

   “คุณรักต์เขาอาจจะมีธุระนะครับคุณตา” สัตยารีบแก้ตัวแทนเพื่อจะได้ไล่อีกฝ่ายไปไวๆ

   “เพิ่งจะปิดเล่มแรกไป จะมีธุระอะไรอีกล่ะ ถือว่าอยู่เป็นเพื่อนคนแก่ก็แล้วกันนะคุณรักต์” ดูเหมือนลูกดื้อของพงษ์ศักดิ์จะไม่แพ้สัตยาเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มผู้เป็นหลานจึงได้แต่ทำหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเงียบๆเมื่อรักตปักษ์ตอบรับคำเชิญ

   เย็นวันนั้น บ้านชลวรินทร์จึงมีแขกเพิ่มในโต๊ะอาหารอีกคนหนึ่ง

   “ทานให้เยอะๆนะคุณรักต์ ฉันให้คนในครัวหุงเผื่อแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่พอ” พงษ์ศักดิ์กล่าวขณะกิ่งแก้วคดข้าวใส่จานของรักตปักษ์

   “อาหารดูน่าทานไปซะทุกอย่างเลยนะครับ แบบนี้เดี๋ยวผมติดใจอยากมาฝากท้องบ่อยๆจะทำยังไงครับเนี่ย” รักตปักษ์เอ่ยชม

   “อยากมาเมื่อไหร่ก็มาแล้วกัน มาตอนไหนฉันก็ให้คนหุงข้าวเพิ่ม เพิ่มแขกอีกสักคนขนหน้าแข้งฉันไม่ร่วงหรอก” พงษ์ศักดิ์พูดในเชิงอนุญาตเสมือนลูกหลาน ทำให้สัตยานึกแปลกใจว่ารักตปักษ์ทำเสน่ห์อะไรใส่คุณตาของเขา เหตุใดจึงดูถูกใจในตัวคนๆนี้เหลือเกิน ทั้งที่โดยปกติแล้ว พงษ์ศักดิ์เป็นคนที่ไม่ให้ความสนิทชิดเชื้อเกินขอบเขตเพื่อนทางธุรกิจกับใครง่ายๆ

   “ขอบคุณครับคุณพงษ์ศักดิ์” รักตปักษ์ยกมือไหว้ผู้อาสุโสอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ

   “งั้นก็กินเข้าไปเยอะๆนะครับ คุณรักต์” สัตยาพูดตอบด้วยความหมั่นไส้ พร้อมกับตักอาหารใส่ให้จนพูดจาน เอาอันนั้นใส่ เอาอันนี้ราดทับ จนเหมือนกับจานข้าวภิกษุอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะลงมือกินไม่สนใจคนที่นั่งมองจานข้าวตัวเองว่าควรจะตักอย่างไหนกินก่อนเพราะมันผสมกันมั่วเสียทุกอย่าง แต่แล้วรักตปักษ์ก็ลงมือกินโดยไม่ได้บ่นว่าอะไร ซ้ำยังทำท่าเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา จนสัตยาคิดว่าบางทีการราดทับคงไม่ได้ทำให้อาหารผสมกันมากนักจนเสียรส คราวหลังเขาน่าจะคลุกเคล้าให้เสียด้วยเลย

   พงษ์ศักดิ์มองการกระทำของหลานตัวเองอย่างระอาใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาคิดว่าสัตยาโตพอแล้วที่จะรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ เมื่อทำในสิ่งที่ไม่สมควรก็ควรจะคิดได้เองโดยไม่ต้องมีใครบอก และเรื่องนี้ ตัวสัตยาก็น่าจะรู้ดีว่าควรหรือไม่

   สัตยาเป็นคนแรกที่กินอิ่ม เนื่องจากเขาเป็นคนตัวเล็กจึงกินได้เพียงเล็กน้อยเป็นปกติ ในขณะที่พงษ์ศักดิ์กินไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อน ส่วนรักตปักษ์นั้นก็กินใกล้จะหมดจาน

   “อิ่มไหมคุณรักษ์ ตักเพิ่มให้คุณรักต์อีกสิ เจ้ายา” ชายชรากล่าวโดยไม่รอคำตอบ

   “ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง แค่นี้ผมก็จุกแล้วล่ะครับ” รักตปักษ์รีบปฏิเสธ เพราะจานแรกนั้นกิ่งแก้วตักไปมองหน้าเขาไป เล่นคดข้าวใส่เสียหลายทัพพี ส่วนกับก็โดนสัตยาแกล้งใส่จนพูน ไม่อิ่มก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร

   หลังมื้ออาหาร สัตยาตั้งใจจะปลีกตัวไปร่างโปรเจคต่อ แต่พงษ์ศักดิ์กลับสั่งให้อยู่เป็นเพื่อนคุยกับรักตปักษ์ก่อน ซึ่งเจ้าตัวก็ขัดไม่ได้อีกตามเคย คืนนั้นกว่าที่รักตปักษ์จะขอตัวกลับได้ เวลาก็ปาเข้าไปถึงสามทุ่ม ส่วนสัตยาก็หมดพลังจะทำงาน เพราะโดยปกติเขาก็เป็นคนนอนหัวค่ำเป็นทุนเนื่องจากต้องตื่นเช้าทุกวันเพื่อไปทำงาน แม้แต่วันเสาร์ อาทิตย์ สัตยาก็ยังตื่นเช้ามานั่งอ่านหนังสือในห้องหนังสือรอเวลาอาหารเช้า

   สัตยาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ล้มตัวลงนอน เขาค่อยๆหลับตาลงและผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน ทว่า....หลังจากด่ำดิ่งสู่ห้วงนิทรา เขากลับพบว่าเขากำลังเริ่มฝัน......

   ร่างกายของสัตยาหาใช่ร่างมนุษย์ชายวัยหนุ่ม ทว่าเป็นร่างของงูใหญ่ มีเกล็ดสีมรกต เนตรสีทัมทิมและหงอนเป็นทองคำ เขากำลังลาบเลื้อยไปตามพื้นดินและหินใต้บาดาล สู่ปากถ้ำอันวิจิตรพิศดารและโอ่อ่า ภายในนั้นคือแดนบาดาลอันเป็นที่อาศัยของเหล่านาคทั้งหลาย บ้างก็มีเก้าเศียร บ้างก็มีเจ็ดเศียร บ้างก็มีห้าเศรียร บ้างก็มีสามเศียร และบ้างก็มีเศียรเดียว สัตยานั้นเป็นนาคเศียรเดียว อยู่ท่ามกลางหมู่พี่น้องนับพันที่เกิดจากมารดาเดียวกัน และลูกหลานอีกนับแสน เป็นนาคผู้ปกครองแดนบาดาลโดยไม่แบ่งเขตคร้ามความใด ปกครองร่วมกัน ดูแลร่วมกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน มีนาคซึ่งฤทธิ์อำนาจสูงที่สุดเป็นผู้ปกครองเหล่านาคให้อยู่ในระเบียบไม่ก้าวก่ายกันละกัน

   ที่นั่น....มีหญิงสาวนางหนึ่งถูกกักขังในกรงแก้วอยู่ด้วย....

   สัตยาเคลื่อนกายใหญ่โตโอฬารของตนไปยังแท่นหินซึ่งยกสูงขึ้นมาจากพื้น ประดับประดาด้วยแก้วแหวนเงินทองในสินแร่ ขดกายล้อมเป็นวง ชูคอมองดูรอบกายอย่างถ้วนถี่ก่อนจะโน้มศีรษะวางบนขนดหาง รอคอยว่าเหล่าพี่น้องมีสิ่งใดจะเล่าสู่กันฟัง

   ......น้ำอมฤต........

   สัตยายินเสียงนาคบางตนกล่าวถึงมันขึ้นมา แล้วทันใดนั้นเมื่อสัตยาปรือตาลง ภาพรอบกายก็พลันเปลี่ยนไป กลายเป็นเหล่านาคมหาศาลกำลังล้อมรอบกายของครุฑ และเขาก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น กำลังชูคอมองครุฑซึ่งเอ่ยขอบางอย่างกับหัวหน้าของประดานาคทั้งหลาย

   สัตยาไม่อาจได้ยินสิ่งที่ครุฑและพญาแห่งนาคต่อตอบต่อกัน เพราะเสียงของนาคตนอื่นฟังอื้ออึงไปเสียหมด คล้ายกับว่ากำลังต่อรองด้วยบางสิ่งบางอย่างซึ่งนาคต้องการแต่ยากนักที่ครุฑจะนำมาได้

   ภาพทั้งหมดนั้นมลายหายไป ก่อนจะเปลี่ยนอีกครั้ง

   หยดน้ำหลายหยดตกต้องหญ้าคาเป็นประกายใสสวยงาม พี่น้องนาคที่อยู่ละแวกนั้นต่างชวนกันไปดื่มกินน้ำที่หยดจากฟ้า สัตยาก็เลื้อยไปพร้อมกับพี่น้องอื่นๆ ตวัดลิ้นเลียหยดน้ำเหล่านั้น ทว่ากลับถูกหญ้าคาบาดลิ้นเป็นแฉกนำความเจ็บปวดอย่างมหันต์ สัตยาไม่อาจลิ้มรสของน้ำจากฟ้าได้เพราะรสของเลือดซ่านอยู่เต็มลิ้น เขาเลื้อยหนีลงน้ำไปเพื่อรักษาแผลเช่นเดียวกับพี่น้องตนอื่นๆที่ต่างก็ถูกบาดด้วยกันทั้งสิ้น

   ความเจ็บปวดที่ลิ้นมลายหายไปอย่างช้าๆ พร้อมกับภาพที่สัตยาไม่มีวันลืมปรากฏขึ้น

   ครุฑกางปีกกว้างบดบังผืนฟ้าจนมืดมิด ถลาโฉบลงมาบนพื้นดิน บังเกิดเป็นลมพายุและเสียงฟ้าร้องกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงบาดาล อุ้งเท้าจิกเอาร่างนาคบางตนขึ้นไปยื้อยุดในอากาศ จงอยปากแหลมคมจิกดวงตานาคให้มืดบอด อุ้งเท้าจิกร่างผ่านคมเกล็ดลึกถึงเนื้อจนเลือดไหลอาบร่างก่อนจะฉีกกระชากร่างนั้นออกเป็นสองท่อนแล้วทิ้งลงมาบนพื้นดิน หลังจากนั้น นาคอีกหลายตนก็ถูกกระทำเฉกเดียวกัน ต่อหน้าต่อตาพี่น้องและลูกหลานที่ได้แต่หนีหัวซุกหัวซุนไปซ่อนตัวอยู่ในแดนบาดาล นาคล้มตายเกลื่อนกลาด ถูกจิกกินจนเหลือแต่กระดูก

   ดวงตาสีแดงก่ำละจากซากศพนับร้อย จับจ้องมายังสัตยา เขาถูกสายตานั้นตรึงไว้โดยไม่อาจขยับตัวได้ ทีละก้าวที่ครุฑย่างเข้าใกล้ เลือดในกายของสัตยาก็พลันเย็นเฉียบด้วยความหวาดกลัว

   ทันใดนั้น สัตยาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝัน

   ร่างกายของเขาไม่มีเหงื่อออกแม้สักหยด ทว่ากลับมีเกล็ดปรากฏขึ้นบนท่อนแขนและขา ชายหนุ่มหอบด้วบลมหายใจที่สั่นพร่าด้วยความกลัว

   แน่นอนว่าสัตยาจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้ ในตอนนั้นมีนาคบางตนคิดขึ้นมาว่า ทำไมน้ำอมฤตและความเป็นอมตะจึงสงวนแต่เพียงหมู่ทวยเทพ จึงพากันไปต่อรองกับครุฑให้นำน้ำอมฤตมาแลกกับมารดาของตนที่ถูกกักขังอยู่ในวังบาดาล ทว่าครุฑกลับตลบหลังจงใจทำอุบายร่วมกับเทพ เอาน้ำอมฤตมาให้แล้วก็มีเทพมาแอบเอาคืนไปตอนที่เผลอ ส่วนน้ำอมฤตที่หยดลงบนหญ้าคานั้น มีนาคบางส่วนเท่านั้นที่ได้ดื่มกิน....รวมทั้งเขาเองด้วย ทว่านาคเหล่านั้นถูกสังหารหมดสิ้นแล้ว

   เสียงโทรศัพท์มือถือดังเป็นจังหวะเพลง ทำให้สัตยาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เขาหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะดูเบอร์

   รักตปักษ์

   สัตยาเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ชั่งใจอยู่นานก่อนจะกดรับสาย

   “ฝันร้ายใช่ไหม?” ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายทักก่อน

   “มีญาณวิเศษขึ้นมาหลังจากเป็นพาหนะของนารายณ์หรือยังไง?” ชายหนุ่มผู้อยู่ต้นสายแขวะ

   “เปล่า ข้าก็ฝันเช่นกัน” รักตปักษ์ตอบ

   ทั้งคู่ต่างก็เงียบไปหลังประโยคนั้น พวกเขารู้ว่ามันมีความหมายบางอย่าง เพราะต่างก็ไม่ได้ฝันถึงภาพอดีตเลยแม้แต่ครั้งเดียวนับแต่ดำรงอยู่ในฐานะมนุษย์

   “พรุ่งนี้ข้าต้องตื่นเช้า” สัตยาเตรียมตัดบท “แล้วก็ลบเบอร์ออกจากมือถือเสีย” ว่าจบ สัตยาก็วางสายไปทันทีโดยไม่รอคำตอบใดๆทั้งสิ้น เขาถอนหายใจ รอยเกล็ดนั้นจางไปหมดแล้ว สัตยาจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย


------------------------------>
TBC


ตอบคำถามค่ะ~
เรื่องนี้เซียร์เคยลงในบอร์ดปิดค่ะ ^ ^
แล้วก็ ถูกค่า เซียร์จากสมาคม D18 เองค่า~ (แอบตกใจ โดนเจอตัว XD)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2011 15:52:38 โดย ZIar »

COTton

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #33 เมื่อ02-02-2011 16:37:50 »

 :pig4: :L1:

pigg

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #34 เมื่อ02-02-2011 16:43:45 »

สนุก  :-[ เม้นไม่ถูกแฮะ
สรุปว่าที่ครุฑทำให้น้องนาคแค้น ความจริงมันมีลึกตื้นหนาบางอยู่สินะ
หรือเป็นเพราะพวกน้องนาคที่ไปทำร้ายครุฑก่อน....กันแน่

แต่เก๊าชอบรักต์กับยาจังเลย
โดยเฉพาะน้องยา...ยิ่งอ่านก็กลิ่นไอความซึนแพร่ซ่าน(ฮา)

อัพต่อไวไวนะฮะ

ปล.ติดตามD18พี่เซียร์มาหลายเรื่องมากไม่เคยผิดหวังสักเรื่องเลย..สนุก^^


 :L2:

กระต่ายชมจันทร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #35 เมื่อ02-02-2011 17:13:49 »

“ไม่ตรงใจผมเลยแม้แต่แบบเดียว ช่วยส่งกลับไปให้ดีไซเนอร์แก้ใหม่ทั้งชุดด้วย” เสียงของฝ่ายนั้นทุ้มกังวาลหวานน่าฟัง
-----------------------------------

มามี๊จะลงวันละตอนเลยเหรอคะเนี่ย 555+

จะอ่านให้ทันให้ได้ ><!

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #36 เมื่อ02-02-2011 17:18:39 »

 :L1:

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #37 เมื่อ02-02-2011 17:34:34 »

สนุก สนุก

OT

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #38 เมื่อ02-02-2011 17:56:26 »

 o13 ชอบ ๆๆๆ

ออฟไลน์ kazhiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-2
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #39 เมื่อ02-02-2011 18:29:08 »

เรื่องน่าลุ้นน่าติดตามมากๆๆๆๆ  ชอบค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
« ตอบ #39 เมื่อ: 02-02-2011 18:29:08 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






hahn

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #40 เมื่อ02-02-2011 18:58:18 »

มารอตอนต่อไป เรื่องสนุกมากจ้า

kihaezzzzzz

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #41 เมื่อ02-02-2011 19:48:12 »

ไม่ค่อยได้อ่านเรื่องเเบบนี้เลย

อ่่านเเล้วชอบมากกก มันไม่เหมือนกับเรื่องที่เคยอ่านมาเลย

หนุกๆๆ  รีบมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #42 เมื่อ02-02-2011 20:01:51 »

พี่รักต์น้องยา


ชอบๆ

รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #43 เมื่อ02-02-2011 20:28:05 »

ที่แท้ลิ้นงูมี 2 แฉก เพราะแบบนี้นี่เอง  o13

ออฟไลน์ จันทร์ผา

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-2
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #44 เมื่อ02-02-2011 20:50:03 »

รอตอนต่อไปครับ :pig4:

คนของเธอ

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #45 เมื่อ02-02-2011 21:56:20 »

นาคกับครุฑ เค้ามีเบื้องหลังซับซ้อนกันดีจริง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แต่ว่า เค้าเป็นพี่น้องกันนี่นา ถึงตอนเป็นมนุษย์จะไม่ใช่ก็เถอะนะ...
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #46 เมื่อ02-02-2011 23:08:56 »

สนุกค๊า

รอตอนต่อไป

 o13 o13

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #47 เมื่อ02-02-2011 23:19:01 »

สนุกม๊าก
มาต่อไวๆ นะค๊า

aekporamai2

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #48 เมื่อ03-02-2011 01:32:47 »

สนุกมากครับ

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #49 เมื่อ03-02-2011 02:03:52 »

สนุก ชอบ
+1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
« ตอบ #49 เมื่อ: 03-02-2011 02:03:52 »





-N-

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 2 (2/02/11)
«ตอบ #50 เมื่อ03-02-2011 10:35:52 »

มาบอกว่าเรื่องนี้ สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 3 (3/02/11)
«ตอบ #51 เมื่อ03-02-2011 11:21:39 »

เมื่อรุ่งอรุณมาถึง สัตยาก็ลุกขึ้นมาแต่เช้าและไปถึงบริษัทก่อนใคร เขาลงมือร่างโปรเจคจนเสร็จและบันทึกไว้ในแฟลชไดรฟ์ เตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมในอาทิตย์หน้า

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณสัตยา” เชิดชัยเข้ามาทักทายเมื่อมาถึงที่ทำงาน

“มาพอดีเลยคุณเชิดชัย” สัตยากล่าวแล้วหยิบแฟ้มงานที่สั่งแก้ขึ้นมา “งานพวกนี้ส่งคืนไปให้ดีไซเนอร์ด้วย และบอกพวกเขาว่า ผมยังคาดหวังในตัวพวกเขาอยู่ แต่ไม่ใช่ตลอดไป” กล่าวจบ สัตยาก็วางแฟ้มลงอีกฟากของโต๊ะ ซึ่งเชิดชัยก็เดินมารับไปก่อนจะเดินลับออกไปทางประตูที่เข้ามา

งานในวันนั้นไม่ได้มีอะไรมากมายนัก ทำให้สัตยากลับบ้านด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ กอปรกับตลอดอาทิตย์นั้นไม่มีเงาของรักตปักษ์โผล่มากวนใจเลยแม้แต่น้อย ทำให้ในอาทิตย์ต่อมา สัตยาสามารถนำเสนอโปรเจคย่อยได้อย่างดีเยี่ยม และโน้มน้าวบอร์ดบริหารให้คล้อยตามจนยอมอนุมัติได้ ซึ่งเป็นผลให้อาทิตย์นั้นเป็นอาทิตย์ที่สุดแสนจะวุ่นวาย เนื่องจากเครือชลวรินทร์ไม่เคยจัดประกวดใดๆมาก่อน นักข่าวซึ่งทำข่าวในวงการธุรกิจจึงพากันแห่มาสัมภาษณ์สัตยาไม่เว้นวัน

“ทำไมคุณถึงคิดจะเปิดรับผลงานจากมือสมัครเล่นครับ?”

“คิดว่าผลตอบรับจะเป็นยังไงบ้างคะ?”

“การตัดสินจะเป็นไปอย่างยุติธรรมไหมครับ? แล้วคุณจะเป็นหนึ่งในกรรมการด้วยไหม?”

คำถามเหล่านี้วนเวียนซ้ำซากให้สัตยาตอบด้วยคำตอบเดิมๆไม่รู้กี่ครั้ง เขาต้องปั้นหน้ายิ้มให้ถ่ายรูป ตอบคำถามนักข่าว และนัดพบสปอนเซอร์ทั้งหลายจนตัวเป็นเกลียวแทบไม่มีเวลาว่างคิดถึงเรื่องของครุฑหรือรักตปักษ์เลย

“ระยะนี้หลานดูยุ่งนะ” พงษ์ศักดิ์ตั้งข้อสังเกตเมื่อสัตยากลับมาถึงบ้านในตอนค่ำวันหนึ่ง

“ครับ พอดีผมคิดโปรเจคใหม่ที่แตกย่อยมาจากโปรเจคเดิม งานเลยเพิ่มเป็นสองเท่าน่ะครับ คุณตา” สัตยากล่าวพลางเดินเข้ามานั่งข้างๆชายชรา “แต่ผมคิดว่าน่าจะไปได้ด้วยดี บางทีบริษัทเราอาจได้คนมีความสามารถมาเพิ่ม”

“ถ้าหลานว่าดีตาเห็นดีด้วย แต่ระวังจะล้มหมอนนอนเสื่อก็แล้วกัน” พงษ์ศักดิ์ตักเตือนด้วยความเป็นห่วง “แล้วระยะนี้หลานไม่ค่อยอยู่บ้าน พ่อกับแม่หลานมาเยี่ยมทีไรก็ไม่ได้เจอ”

“พอพ้นช่วงนี้ไปแล้ว ผมว่าจะไปเยี่ยมพวกท่านด้วยตัวเองน่ะครับ”

“ก็ดี” ชายชราพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม “แล้วคุณรักต์ไปไหนซะล่ะ ช่วงนี้ไม่เห็นติดต่อมาเลยนะ เจ้ายา หลานคงไม่ได้ไปชวนคุณรักต์ทะเลาะจนเข้าหน้ากันไม่ติดใช่ไหม?”

“ช่วงนี้เขาก็คงยุ่งเหมือนกันครับ” สัตยาตอบทั้งหน้ามุ่ย ทำไมพงษ์ศักดิ์ถึงต้องถามถึงรักตปักษ์ด้วยนะ “อีกไม่กี่อาทิตย์ก็ต้องออกนิตยสารฉบับที่สองแล้ว ผมคิดว่าคุณรักต์คงวิ่งหาข่าวอยู่น่ะครับ”

“อ้อ ก็ดีนะ ขยันดี เห็นว่าทำคนเดียว ตาก็คิดว่าจะไม่รอดตั้งแต่ฉบับแรก” พงษ์ศักดิ์เอ่ยชื่นชมอย่างออกหน้าจนสัตยานึกอิจฉา เพราะโดยปกติแล้ว พงษ์ศักดิ์ไม่ใช่คนที่จะชื่นชมใครง่ายๆ

“นี่ก็ดึกแล้ว ทำไมคุณตายังไม่เข้านอนล่ะครับ?”

“ตาว่าจะนั่งอีกสักพักค่อยนอน หลานไปนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไม่ไหว” ชายชราโบกมือไล่พลางยิ้มบางๆด้วยความเอ็นดูในตัวหลานชายคนนี้

“ถ้าอย่างนั้น ผมไปนอนก่อนนะครับ คุณตาก็รีบนอนนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย” สัตยากล่าวอำลา ก่อนจะเดินออกมาจากห้องหนังสือ และตรงกลับไปยังห้องนอน ทว่าสัตยากลับรู้สึกมึนหัวขึ้นมาจนเดินเอียงไปวูบหนึ่ง ถึงเขาจะตั้งตัวตรงได้ในทันที แต่อาการนั้นกำลังร้องเตือนเขาว่า เขาได้ทำเกินกำลังตัวเองไปแล้ว ชายหนุ่มรีบเปิดประตูห้องนอนแล้วเอนหัวลงบนหมอน อาการวิงเวียนเริ่มดีขึ้นเล็กน้อยโดยเฉพาะเมื่อปลดเนคไทและเข็มขัดออกจนสบายตัว สัตยาจึงเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น


------------------------->


รักตปักษ์ ซึ่งตอนนี้เป็นบรรณาธิการเต็มตัวเริ่มยุ่งกับการวิ่งหาข่าวเพื่อออกนิตยสารฉบับใหม่ในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า เขาจดรายชื่อนักธุรกิจไว้หลายรายแล้วต้องมานั่งคัดแยกว่าในฉบับนี้จะใช้คอมเซปต์ใดเป็นหลัก เพื่อจะได้คัดเลือกได้ตรงความต้องการ อย่างฉบับก่อนนั้น รักตปักษ์เน้นที่นักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรง จึงเน้นที่นักธุจกิจที่เพิ่งได้รับตำแหน่งกันหมาดๆ รวมถึง สัตยา ชลวรินทร์ ซึ่งเพิ่งได้เป็นประธานบริษัทเครือชลวรินทร์ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น โดยได้รับการโอนหุ้นใหญ่มาจากพงษ์ศักดิ์ผู้เป็นตา และในฉบับนี้ รักตปักษ์ตั้งใจจะใช้คอนเซปต์เกี่ยวกับนักธุกิจที่เนื้อหอม มีคนมาติดพันมากจนเป็นข่าวบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงไม่มีเวลาที่จะติดต่อไปหาสัตยาเลยแม้สักครั้ง

สัตยาไม่น่ามาเกิดเอาป่านนี้เลยจริงๆ

นั่นคือความคิดของรักตปักษ์ เพราะหากเกิดในยุคสมัยที่มีชนชั้นปกครองและการข่าวยังไม่แพร่หลาย ป่านนี้เขาคงจะฉุดลากอีกฝ่ายให้ยอมฟังสิ่งที่เขาจะพูดจนได้ ทว่าเพราะมาเกิดในสมัยนี้ที่หูตาผู้คนกว้างไกลด้วยข่าวสาร ซ้ำยังมีความเท่าเทียมตามกฏหมายขีดกั้น ทำให้รักตปักษ์ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะมันคงจะกลายเป็นข่าวใหญ่ทีเดียว เนื่องจากสัตยาเป็นคนดังในขณะนี้ ซ้ำเขายังมีโอกาสติดคุกหัวโต เพราะทำการกักขังหน่วงเหนี่ยวโดยไม่ยินยอม

ความจริงแล้ว แม้สัตยาจะไม่ยกโทษให้ รักตปักษ์ก็ไม่มีสิทธิไปเรียกร้อง ทว่าสิ่งที่เขากลัวคือ หากว่าสัตยาฝังใจกับความแค้นนั้นไม่สร่าง แล้วเกิดลากคนอื่นมาติดร่างแหด้วย มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ยากจะย้อนกลับไปแก้ไข

รักตปักษ์ยังจำได้ถึงอดีตภพ เมื่อครั้งที่เขาเป็นครุฑที่ไม่ได้รับใช้องค์นารายด์ เขามักจะเห็นสัตยาหลบอยู่หลังพี่น้องเสมอ เจ้าตัวเป็นนาคที่ไม่ชอบแสดงตัว และมักจะอยู่เงียบๆ ปลีกวิเวกจากคนอื่นๆ แต่ก็มีความดื้อรั้นและเย่อหยิ่งเกินใคร แม้เขาจะไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง ก็เห็นได้ในตอนที่อีกฝ่ายมีเรื่องโต้เถียงกับพี่น้องนาคด้วยกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังหัวอ่อน ถูกชักจูงง่ายจากคนรอบข้าง เป็นนาคที่เขานึกหมั่นไส้ทุกครั้งที่ได้เห็น และยิ่งช่วงนั้นเขาเกลียดนาคอยู่เป็นทุน เขาและสัตยาจึงไม่เคยมีโอกาสได้คุยกันโดยตรงเลยแม้สักครั้งเดียว

ในตอนที่กำลังคิดเพลินๆนั้นเอง ก็มีเสียงเรียกให้เขาเข้าพบกับนักธุรกิจที่นัดไว้ได้แล้ว ชายหนุ่มผมแดงจึงสลัดสิ่งที่อยู่ในสมองทิ้ง แล้วเดินเข้าห้องรับรองแขกเพื่อสัมภาษณ์นักธุรกิจรายแรกสำหรับนิตยสารฉบับที่สองนี้


------------------------------>


สามวันมาแล้วที่สัตยาต้องดำเนินการติดต่อสปอนเซอร์เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการแก่บุคคลทั่วไป เป็นเรื่องธรรมดาที่เครือบริษัทยักษ์ใหญ่ย่อมมีคนอยากร่วมเป็นสปอนเซอร์ให้มากมาย และนั่นทำให้งานของสัตยามากขึ้นไปด้วย ทั้งนี้เพราะเป็นงานในฐานะมือใหม่ เขาต้องเผชิญการทดสอบหลายอย่างจากเหล่าสปอนเซอร์ที่พร้อมจะเชือดเขาอยู่ทุกเวลา แน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะทุ่มทุนกับคนมือไม้อ่อนทำอะไรไม่เป็นและใจโลเลด้วยเกรงโครงการจะล่มเสียก่อน สัตยาจึงต้องพยายามโน้มน้าวให้สปอนเซอร์เหล่านั้นเชื่อให้ได้ว่าเขาจะดำเนินโครงการนี้จนประสบความสำเร็จอย่างดี

ถึงอย่างนั้น การโหมงานอย่างหนักมาหลายวันก็เริ่มส่งผลกับสัตยาที่สุขภาพไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่บ่อยๆ เขาเวียนหัวและหน้ามืดเป็นบางครั้ง แต่ก็ยังทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่คิดดูแลสุขภาพ

“คุณสัตยา สีหน้าคุณไม่ดีเลยนะครับ” เชิดชัยกล่าวขณะที่อีกฝ่ายเพิ่งเดินเข้ามาในบริษัทในเช้าวันหนึ่ง

“เพราะมันยังเช้ามั้งครับ เลือดลมเลยยังเดินไม่สะดวก” สัตยาตอบปัดแล้วนั่งลงที่โต๊ะทำงาน “ขอกาแฟด้วยนะ คุณเชิดชัย” คำสั่งนั้นทำให้ผู้เป็นเลขาเลิกคิ้วอย่างสงสัย ด้วยปกติแล้ว สัตยาจะไม่เคยร้องขอกาแฟด้วยตัวเองเลย ดูท่าครั้งนี้จะเหนื่อยมากจริงๆ

เชิดชัยหายไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมกาแฟหอมกรุ่นเสิร์ฟถึงโต๊ะ ซึ่งสัตยารับมาเป่าจนอุ่นดีจึงค่อยๆจิบให้สมองแล่นบ้าง

“คุณสัตยา นอนไม่พอใช่ไหมครับ?” เชิดชัยถามอย่างเป็นห่วง

“นิดหน่อย เมื่อคืนผมไปทานอาหารค่ำกับสปอนเซอร์รายหนึ่งมา” สัตยาตอบโดยไม่แสดงความรู้สึกเหนื่อยออกมาให้เห็น มีเพียงสีหน้าเท่านั้นที่บ่งบอกว่าถึงเวลาพักแล้ว “วันนี้มีงานอะไรบ้างไหม? แล้วที่ผมให้ดีไซเนอร์แก้ไปถึงไหนแล้ว?”

“วันนี้ไม่มีอะไรครับ ส่วนเรื่องแก้งาน ทางนั้นบอกว่าต้องการเวลาอีกหน่อยเพราะไม่ค่อยเข้าใจคอนเซปต์ของคุณสัตยานัก” เลขาวัยกลางคนตอบด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน ก่อนจะอ่อนลงเมื่อเห็นสัตยาดื่มกาแฟเข้าไปอึกใหญ่ “ไปเดินเล่นข้างล่างให้สดชื่นหน่อยไหมครับ คุณสัตยา เผื่อว่าจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง”

“ก็ดี....งั้นผมฝากบนนี้สักพักนะ คุณเชิดชัย” สัตยากล่าวตอบ แล้วจึงลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกไปจากห้อง
ข้างล่างของบริษัทนั้น มีสวนหย่อมร่มรื่นอยู่ มันถูกสร้างไว้เพื่อให้พนักงานที่เหน็ดเหนื่อยและเครียดจากการทำงานได้มีที่พักผ่อนหย่อนใจ จึงถูกประดับประดาด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ และมีน้ำพุเล็กๆที่ช่วยให้รู้สึกเย็นเนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน

สัตยาเดินเข้าไปนั่งที่น้ำพุเพื่อให้ความชื้นทำให้ร่างกายของเขารู้สึกดีขึ้น มันช่วยได้มากทีเดียวสำหรับสัตว์ซึ่งชอบน้ำอย่างเขา

มันเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับสิ่งที่ไม่ได้เป็นอะไรบางอย่างอย่างเต็มตัว เพราะสัตยาไม่ได้ตายแล้วมาเกิด เขาเพียงฝังร่างในมดลูกของหญิงสาวชาวมนุษย์ ดังนั้นร่างกายของเขาจึงเป็นมนุษย์ผสมกับงู ทำให้ร่างกายของเขาไม่มีต่อมเหงื่อ ไม่อาจขับความร้อนออกจากร่างกายได้ด้วยตัวเอง ความชื้นจากสายน้ำจึงเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยบรรเทาความทรมานได้

ภายใต้ร่มไม้ แดดไม่อาจทำอันตรายได้มากนัก สัตยาจึงเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงนั้นจนกว่าอาการวิงเวียนจะหายไป ทว่า เมื่อเขาพยายามจะลุกขึ้นยืน ร่างของเขากลับเซถลาและเอนวูบโดยไม่อาจทรงตัวได้ ซ้ำสมองของเขายังหมุนคว้างราวกับโลกกำลังกลับด้าน

ก่อนที่เขาจะล้มลงหัวฟาดพื้นนั้น กลับมีมือข้างหนึ่งคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ ถึงอย่างนั้น สัตยากลับหมดสติไปกลางอากาศ จึงไม่ทันได้เห็นว่าใครกันที่คว้าตนเอาไว้.....


------------------------------->


สัตยาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางกลิ่นฉุนของยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล เขาปรือตามองเพดานอย่างเลื่อนลอย แต่มันกลับต้องใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะจับโฟกัสภาพได้โดยไม่เบลอ เพดานสีขาวและหลอดไฟทำให้สัตยารู้ได้ว่าตนอยู่ที่ไหน เขาเอนศีรษะไปทางซ้ายและพบกับหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งปิดด้วยผ้าม่านสีขาวป้องกันแสงภายนอกสาดส่องเข้ามา สัตยาจึงพลิกศีรษะกลับมาอีกด้านทั้งที่สมองของเขายังโคลงเคลงอยู่ เขาก็พบเก้าอี้ตัวหนึ่งวางอยู่ข้างเตียงมีกระเป๋าเป้ใบโตวางอยู่บนนั้น บนโต๊ะเล็กใกล้ๆกันมีแก้วน้ำและเหยือกวางอยู่

ชายหนุ่มพยุงตนเองขึ้นจากเตียง รินน้ำจากเหยือกใส่แก้ว ก่อนจะนำมาดื่มดับกระหาย ริมฝีปากของเขาแห้งผากลงไปถึงลำคอ พอได้น้ำกลั้วเข้าไปจึงสดชื่นขึ้น

หูของสัตยาได้ยินเสียงประตูเปิด จึงเงยหน้าขึ้นมอง

“คุณยา ฟื้นแล้วหรือครับ?” รักตปักษ์นั่นเอง เขาแย้มยิ้มให้สัตยาก่อนเดินเข้ามาแล้ววางถุงสีขาวลงบนโต๊ะ ก่อนจะตามด้วยหมออีกคนหนึ่ง

“ทำไมผมมาอยู่ที่นี่?” สัตยาเอ่ยถาม

“เพื่อนของคุณไปเจอคุณกำลังเป็นลม ก็เลยอุ้มมาถึงที่นี่แหละครับ” หมอเป็นคนตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ร่างกายของคุณปกติดี แต่พักผ่อนไม่พอ แล้วก็มีปัญหาจากสภาพอากาศด้วย พอคุณหายเวียนหัวแล้วก็กลับบ้านไปนอนพักเยอะๆนะครับ เพื่อนของคุณจัดการธุระให้คุณเรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วง”

“ขอบคุณครับ คุณหมอ” รักตปักษ์หันไปกล่าวขอบคุณ

“ไม่เป็นครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ” หมอหนุ่มกล่าวก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

“ตอนนี้กี่โมงแล้ว?” สัตยาถามขณะมองไปยังถุงบนโต๊ะ “แล้วนั่นอะไร?”

“ตอนนี้บ่ายแก่แล้ว และนั่นคืออาหารของเจ้า” ชายหนุ่มผมแดงตอบทั้งสองคำถาม แล้วหยิบข้าวกล่องออกมาจากถุง ทันทีที่เปิดฝา กลิ่นข้าวสวยหอมฉุยก็พุ่งพวยขึ้นมากับควันร้อนพร้อมกับกลิ่นอาหารหอมกรุ่นเหมือนเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ

“ข้าไม่หิว” สัตยาตอบแล้วพยายามจะลงจากเตียง แต่รักตปักษ์กลับกดไหล่ให้นั่งที่เดิม แรงของรักตปักษ์นั้นมากมายมหาศาลจนสัตยาไม่อาจขยับตัวได้ กระนั้นก็หาได้บีบรัดจนเจ็บ เพียงแค่กดไว้เฉยๆไม่ให้ลุกลงมาเท่านั้น

“อย่าดื้อนักนาคน้อย ข้าไม่ได้มีความอดทนมากนักกับคนที่ไม่รู้จักดูแลตัวเอง” น้ำเสียงของรักตปักษ์ฟังดูดุดันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่เหลือคราบของชายหนุ่มท่าทางสบายๆดังก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย

“ข้าไม่ใช่นาคน้อย” สัตยากัดฟันขู่เสียงฟ่อ

“ถ้าอย่างนั้น.....คุณยา ทานข้าวซะเถอะ” รักตปักษ์ยอมเปลี่ยนวิธีเรียก เพราะหากจะพูดตามจริง เขาจดจำชื่อนาคที่ร่วมบิดาเดียวกันไม่ได้เลยสักตน ทั้งที่ถูกกดขี่ข่มเหงอยู่นานหลายร้อยปีร่วมกับมารดา

ในที่สุดสัตยาก็ยอมนั่งอยู่ที่เดิม และรับข้าวกล่องมาวางบนตัก ก่อนจะเป่าให้พออุ่นแล้วตักใส่ปาก เมื่อเห็นเห็นเช่นนั้น รักตปักษ์จึงยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจ เป็นรอยยิ้มที่สัตยาไม่ใคร่ชอบนัก เพราะเสมือนรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูต่อผู้อ่อนวัย ถึงอย่างนั้นหากจะนับอายุจริงๆ ครุฑนั้นอายุน้อยกว่าเขามากโข เพราะกว่าไข่ของครุฑจะฟัก ก็ใช้เวลานานจนนาคโตเต็มวัยกันหมดแล้ว ซึ่งทั้งหมดที้งปวงนี้ ทำให้สัตยาไม่ชอบใจที่ครุฑปฏิบัติกับเขาเหมือนน้องน้อยในหมู่นาค

เมื่ออาหารคำแรกเข้าปาก สัตยาก็พบว่ามีรสชาติเอร็ดอร่อยจนไม่น่าจะใช่อาหารที่ขายตามทาง นาคจำแลงจึงเงยหน้ามองรักตปักษ์พลางส่งคำถามทางสายตา

“ข้าทำเอง” รักตปักษ์ตอบ “ขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับไปทำมาให้ เพราะตาของเจ้าบอกว่า เจ้าไม่ชอบอาหารตลาด”
“คุณตา?” เรียวคิ้วของสัตยาขมวดเข้าหากัน

“ท่านโทรมาบอกว่า เจ้าดูอาการไม่ดี เตือนก็ไม่ฟัง จึงฝากฝังให้ข้ามาดู” ชายหนุ่มผมทองว่าพลางกอดอกมองดูอีกฝ่ายกินอาหาร “ร่างกายของเจ้าเป็นกึ่งนาคกึ่งมนุษย์ ไม่ใช่นาคแท้หรือมนุษย์แท้ ทนอากาศร้อนหนาวได้ไม่เท่ามนุษย์ ปรับเปลี่ยนสภาวะเข้ากับรอบกายไม่ได้อย่างนาค เจ้าควรรู้ตนเองมากกว่าผู้อื่น”

“อย่ามาทำเป็นสอน! เจ้าเองดีกว่าหรือยังไง เอาขนนกโปรยไปทั่ว เป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์เหมือนกับข้านั่นแหละ!” สัตยาสะบัดหน้าพรืด กระแทกกล่องข้าวลงกับโต๊ะ

“นั่นไม่ใช่ความต้องการของข้าเอง เป็นองค์นารายด์ทรงเมตตา ให้พรข้าให้มีความเป็นครุฑอยู่ครึ่งหนึ่ง ร่างกายข้าจึงทนทานต่อเกล็ดและเขี้ยวของเจ้า มีการสลัดขนตอนเริ่มโต และยังจำแลงร่างได้เช่นเดียวกับเจ้า ถึงอย่างนั้นหากถูกทำร้ายโดยมนุษย์ข้าก็จะยังได้รับบาดเจ็บและล้มตายได้เฉกเช่นสิ่งมีชีวิตทั่วไป” รักตปักษ์อธิบายอย่างใจเย็นก่อนจะก้มลงมองกล่องข้าวที่ไม่ค่อยพร่องเอาเสียเลย “เจ้ากินน้อยผิดปกตินะ สัตยา ระยะนี้เจ้ากินอาหารได้ตามปกติหรือเปล่า?”

“ข้าไม่ค่อยหิว” สัตยาหรี่เปลือกตาลงแล้วเสมองไปรอบข้าง ยกมือขึ้นลูบบริเวณต้นแขนเบาๆ

“สัตยา หันมาทางนี้สิ” รักตปักษ์จับใบหน้าอีกฝ่ายให้หันกลับมา “มองข้าแล้วตอบว่าเห็นข้าชัดไหม?”

สัตยาหรี่ตาลงมองอยู่นาน ก่อนจะหลับตาแล้วจ้องมองอีกครั้ง

“พอจะเห็น....” เขาว่า “คงถึงช่วงนั้นอีกแล้ว....”

“กลับไหวไหม? ไปซ้อนรถข้าดีกว่า” รักตปักษ์ยื่นมือไปหมายจะช่วยพยุง แต่สัตยากลับปฏิเสธอย่างไม่ใยดี เขาปัดมือนั้นออกไป แล้วพยายามลุกขึ้นด้วยตัวเอง

“ข้าไม่ต้องการความหวังดีจากเจ้า” ชายหนุ่มผมดำยืนยันเสียงแข็ง ทว่าตาของเขากลับเริ่มเบลอทำให้เดินเซไปทางหนึ่ง รักตปักษ์คว้าตัวเอาไว้แล้วดึงแนบตนเอง แม้สัตยาจะแข็งขืนก็ไม่อาจต้านแรงได้ ด้วยแต่เดิมแรงของครุฑนั้นมหาศาล ถึงจะเป็นมนุษย์แล้ว เรี่ยวแรงเหล่านั้นก็ยังนับว่ามากสำหรับมนุษย์ทั่วไป

ตอนนี้ตาของสัตยาเริ่มจะมองอะไรยากขึ้น เหมือนกับมีฝ้าขาวบดบังจนเบลอมัว รักตปักษ์จึงเสนอตัวเป็นที่พยุงกาย อย่างน้อยแค่เพียงจับมือเดินก็ยังดี สัตยาซึ่งไม่มีทางเลือกจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาจับมือของรักตปักษ์แล้วเดินตามไปไม่ให้ใครผิดสังเกต คอยให้อีกฝ่ายนำทางไม่ให้เดินไปชนกับใครหรืออะไรที่กีดกั้นระหว่างทางเดิน ในที่สุดทั้งสองก็ลงมาถึงลานจอดรถมอเตอร์ไซด์ของโรงพยาบาล รักตปักษ์จังปล่อยมือสัตยา แล้วนำถุงข้าวไปแขวนที่แฮนด์มอเตอร์ไซด์ ก่อนจะหยิบหมวกกันน็อคอันหนึ่งใต้อานนั่งมาสวมที่ศีรษะของชายหนุ่มร่างเล็กกว่าตน

“อะไรน่ะ?” สัตยาถามขึ้นด้วยความโมโหเมื่อรู้สึกว่าถูกบางอย่างสวมลงมาบนหัว และสิ่งนั้นเป็นของครุฑ

“ไม่ใช่หมวกประดับขนครุฑหรอก แค่หมวกกันน็อคเท่านั้นเอง” รักตปักษ์เย้าแหย่

“เรื่องนั้นมัน....!” เจ้าของเรื่องราวหมวกประดับขนครุฑร้องโวยวายขึ้นมา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2011 11:23:12 โดย ZIar »

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 3 (3/02/11)
«ตอบ #52 เมื่อ03-02-2011 11:22:07 »

“ตาของเจ้าเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆเจ้าได้ขนนกสีแดงสวยมากอันหนึ่ง แต่กลับทำท่ารังเกียจจนทุกคนแปลกใจ” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะ “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไม่ชอบให้ข้าอยู่เหนือหัวขนาดนั้น”

“ตลอดเวลา เจ้าก็อยู่เหนือหัวพวกข้ามาตลอด เจ้าบินบนฟ้า เจ้าอาศัยบนวิมาน แล้วพวกข้ากลับต้องเลื้อยคลานอยู่บนดิน!” สัตยาตะคอกเสียงแข็ง

“แต่พวกเจ้าก็มีถ้ำใหญ่สวยงามยิ่งกว่าวิมานของข้าเสียอีก ซ้ำยังปกครองทุกสิ่งใต้ผืนน้ำ” รักตปักษ์ตอบกลับอย่างเป็นเหตุผลพลางหยิบหมวกกันน็อคมาสวมหัวตนเองบ้างแล้วขึ้นขี่มอเตอร์ไซด์ “ขึ้นมาสิ เจ้าคงเคยขี่มาบ้างใช่ไหม?”

“ข้าไม่เคยขี่ แต่ในอดีตข้าเคยขี่ม้ามาบ้างเมื่อครั้งจำแลงเป็นมนุษย์ขึ้นมาเที่ยวเล่น”

“อ้อ” รักตปักษ์ยิ้มมุมปาก “ก็คล้ายกัน แต่เร็วกว่าม้ามาก”

สัตยาปีนขึ้นคร่อมด้านหลังอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย รักตปักษ์จึงแนะนำให้เหยียบบนแท่นวางเท้าทั้งสองข้างเพื่อจะได้นั่งสะดวก และให้เกาะหลังให้แน่น ทว่าสัตยากลับยอมทำตามเพียงคำแรกเท่านั้น และเลือกจะนั่งจับอานนั่งด้านหลังแทนการโอบเอวอีกฝ่าย

“เจ้าคงเป็นนาคที่ดื้อที่สุดเป็นแน่” รักตปักษ์ว่าเช่นนั้นก่อนจะขี่รถออกไป เขาพยายามที่จะไม่ขับเร็วมากนัก และหลีกเลี่ยงการตีวงเลี้ยวสั้นๆเพราะเกรงว่าสัตยาซึ่งไม่ชินกับมอเตอร์ไซด์จะถูกเหวี่ยงตกลงไปเสียก่อนจะถึงบ้าน ตัวสัตยาเองก็รู้สึกกลัวเพราะมอเตอร์ไซด์ไม่เหมือนม้าสักนิด ทั้งไม่มีบังเหียนให้จับ ซ้ำยังเหวี่ยงแรงและวิ่งเร็วยิ่งกว่าม้าเสียอีก และตอนที่ตีโค้งกลับรถนั้นเอง สัตยาก็ปล่อยมือจากอานนั่งมาโอบเอวรักตปักษ์เพื่อดึงตนเองไว้ไม่ให้ตกลงไป ตอนนั้นสัตยามัวแต่เกร็งตัวบนอานและอยู่ด้านหลัง จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มบางๆบนเรียวปากหยักของชายหนุ่มอีกคน

รักตปักษ์ชะลอความเร็วเมื่อถึงหน้าบ้าน และบีบแตรเสียงแหลมเป็นจังหวะสั้นๆ นายพจน์ซึ่งกำลังดูแลต้นไม้อยู่แถวนั้นจึงรีบวิ่งมาเปิดให้

“อ่าว สวัสดีครับคุณรักต์ ไปรับคุณยามาหรือครับ?” นายพจน์ทักทายด้วยเสียงออกจะเหน่อนิดๆค่อนไปทางสุพรรณบุรี

“คุณยาไม่สบายนิดหน่อย เดี๋ยวผมจะพาคุณยาไปพักบนห้อง ฝากบอกทุกคนว่าหมอสั่งให้นอนพักหลายวัน อย่าเพิ่งให้ใครกวนนะครับ” รักตปักษ์ตอบด้วยรอยยิ้มไม่ถือตัว แล้วขี่มอเตอร์ไซด์เข้าไปจอดถึงหน้าตัวบ้าน จึงดับเครื่องแล้วรอให้สัตยาก้าวลงไปก่อนตนเองจะจูงรถไปจอดด้านข้างทางเข้า แล้วจึงกลับมาจูงสัตยาเข้าไปในบ้าน

“เจ้ายา? ทำไมหลานถึงดูย่ำแย่ขนาดนั้น?” พงษ์ศักดิ์ถามเสียงเครียดเมื่อเห็นสัตยาเข้ามาถึงในบ้าน “ไปๆ ไปอาบน้ำพักผ่อนซะ คุณรักต์ ฉันต้องขอบคุณมากนะที่ดูแลเจ้ายามันให้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี เดี๋ยวผมขอพาคุณยาขึ้นไปบนห้องนะครับ” รักตปักษ์เอ่ยขออนุญาตโดยไม่ทะเล่อทะล่าขึ้นไปก่อน เมื่อได้รับคำยินยอมจึงจูงสัตยาขึ้นไปบนห้องนอน แต่ครั้งนี้ต้องให้สัตยานำเพราะรักตปักษ์ไม่รู้ทาง และเมื่อถึงห้อง สัตยาก็ปล่อยมือคนจูง แล้วเดินเข้าไปทิ้งตัวนอนบนเตียงใหญ่ รักตปักษ์จึงปิดประตูแล้วเดินตามมานั่งลงบนเตียง

“มีอะไร?” สัตยาถามทั้งที่หลับตา

“เช็ดตัวก่อนไหม ถึงเจ้าจะไม่มีไข้แต่น้ำจะทำให้เจ้าสบายตัวขึ้น” ชายหนุ่มร่างสูงเกลี่ยปอยผมออกจากใบหน้าอีกฝ่าย หน้าของสัตยายังดูซีดจากการอดนอน เมื่อมาผนวกกับช่วงนั้นของปี สัตยาจึงดูแย่หนักทั้งที่ทั้งสองอาการไม่ได้มีอะไรข้องเกี่ยวกันแม้แต่น้อย ทว่าในสายตามนุษย์แล้ว คงเหมือนว่าสัตยากำลังป่วยซ้ำซ้อนอย่างไรอย่างนั้น

“เดี๋ยวข้าไปอาบ” นาคจำแลงกล่าวตอบเสียงเนือย

“เจ้าต้องพักผ่อนเฉยๆสองสามวัน”

“นี่มันร่างกายข้านะ ข้ารู้ดีกว่าเจ้า”

“แต่เจ้าก็ยังหักโหมเอาช่วงนี้” รักตปักษ์ดุ “ไม่กลัวความแตกหรือยังไง?” และโดยไม่รอคำตอบ ชายหนุ่มก็ลุกเดินออกไป และกลับมาอีกครั้งพร้อมอ่างน้ำและผ้าขนหนูสีขาว เขาวางอ่างลงจุ่มผ้าขนหนูลงในน้ำ บิดพอหมาดๆ แล้วนำมาเช็ดตัวให้สัตยาที่ทำท่าจะหลับ

สัตยาส่งเสียงครางเบาๆจากในคอเหมือนกำลังรู้สึกสบายตัว

หลังจากนั้น สัตยาก็หลับไปทำให้ไม่ทันรู้สึกตัวตอนที่รักตปักษ์ลากลับไปแล้ว ถึงอย่างนั้นในตอนเช้ารักตปักษ์ก็กลับมาอีกครั้ง เขาขึ้นมาบนห้องพร้อมถาดอาหารเช้าเป็นข้าวต้มร้อนๆกับซีอิ๊วซอสและไข่ลวก มีนมแก้วหนึ่งเป็นเครื่องดื่ม

“งานล่ะ?” นั่นคือสิ่งที่สัตยานึกสงสัย เพราะรักตปักษ์พูดมาตลอดว่างานนี้ตนเองไม่มีลูกมือ ทุกอย่างต้องทำด้วยตัวคนเดียว มีเพียงโรงพิมพ์เท่านั้นที่พ่อให้ใช้ร่วมได้ และอีกไม่นานก็จะถึงกำหนดวางแผงแล้ว หากขาดไปสักเดือนก็จะเป็นการดิสเครดิตตัวเอง ทำให้ชื่อนิตยสารเสียได้ทั้งที่ลงแรงไปถึงขนาดนั้น

“ข้านัดสัมภาษณ์เป็นตอนกลางคืน” รักตปักษ์ตอบแล้วเป่าข้าวต้มในช้อนก่อนนำมาจ่อปาก “อีกอย่าง ดูเหมือนเจ้าจะโด่งดังจากฉบับที่แล้วมาก มีคนส่งจดหมายถามมามากมาย ดังนั้นเมื่อพ้นช่วงนี้ไปแล้ว ข้าคงต้องขอใช้งานเจ้าบ้าง”

“ข้าไม่ให้ความร่วมมือ” สัตยาตอบปัดเสียงแข็ง

“หรือนาคจะไม่รู้คุณคน” เมื่อโดนสวนเช่นนั้น สัตยาถึงกับหน้าตึงและเงียบไป รักตปักษ์จึงอนุมานว่าอีกฝ่ายตอบรับ

รักตปักษ์เฝ้าดูแลสัตยาอยู่เช่นนั้นทั้งวันเพื่อป้องกันคนอื่นในบ้านเข้ามาในห้อง และเพราะเหตุนั้น รักตปักษ์จึงต้องทำหน้าที่ทุกอย่างแทนคนรับใช้ ทั้งจัดที่นอน ป้อนข้าวป้อนน้ำ พาจูงไปอาบน้ำแต่โดนสัตยาบังคับให้อยู่ข้างนอก ถึงแม้ว่าสิ่งที่รักตปักษ์ทำจะทำให้สัตยารู้สึกอึดอัดใจจากความไม่ลงรอยตั้งแต่อดีตกาล แต่เขาก็ไม่อาจขัดได้ เพราะยังดีกว่าให้ความแตกในเร็ววัน

ในตอนเย็น รักตปักษ์จะกลับไปก็ต่อเมื่อสัตยากินข้าวเย็นเรียบร้อย แต่ยังไม่วายกำชับให้อยู่แต่ในห้องและพักผ่อนมากๆ

และเช้าอีกวันหนึ่ง รักตปักษ์ก็มาถึงตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เมื่อป้อนอาหารเช้าเสร็จ ชายหนุ่มก็นั่งลงบนเตียง หยิบโน๊ตบุ๊คออกมาต่อสายไฟและวางไว้บนตักก่อนจะหยิบแว่นมาสวม และลงมือทำงานอย่างคร่ำเคร่ง ตอนนี้สัตยามองอะไรแทบไม่เห็นแล้วแต่เขาได้ยินเสียงเคาะคีย์บอร์ดดังอยู่ใกล้หู จึงขยับเข้าไปมองใกล้ๆ

“เดี๋ยวสายตาก็เสียหรอก” รักตปักษ์เตือนโดยยังจับจ้องอยู่บนหน้าจอ

“จะเสียได้ยังไงในเมื่อมีฝ้าขาวบังตาอย่างนี้” สัตยาตอบก่อนจะถอยออกมาเพราะถึงจะเข้าไปจ้องจนใกล้ เบื้องหน้าเขาก็ยังขาวโพลน มีแสงลอดเข้ามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกคันผิวหนังตั้งแต่เช้าจึงเกาอยู่ตลอดเวลา อาการครั่นเนื้อครั่นตัวมีมากขึ้นจนทำให้วันนี้สัตยาอารมณ์ไม่ค่อยดี ด้วยเหตุนั้นรักตปักษ์จึงพยายามพูดให้น้อยที่สุดเพราะไม่อยากชวนทะเลาะ

พอสายๆ สัตยาก็เริ่มมีอาการแปลกๆคือไถตัวไปมากับเตียงและเกาตัวเองไม่หยุด รักตปักษ์เห็นดังนั้นจึงวางมือจากงานที่ทำ และเข้ามาอุ้มอีกฝ่ายเดินไปห้องน้ำโดยระวังไม่ให้ใครเห็น

น้ำอุ่นถูกเปิดให้ไหลลงอ่าง ขณะที่สัตยานั่งบนเก้าอี้เล็กที่พื้น รักตปักษ์จัดการถอดเสื้อผ้าอีกฝ่ายออกขณะที่เจ้าตัวกำลังแกะเกาผิวตนเองจนหนังเปิดทว่าไม่มีเลือดไหลออกมา

ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นถูกนำมาเช็ดอย่างเบามือบนผิวของสัตยาทีละส่วน เริ่มจากแขนเรียวเล็กที่รักตปักษ์ไม่กล้าจะจับลงไปเต็มแรง เมื่อผ้าขนหนูลูบผ่าน ผิวหนังของสัตยาก็หลุดลอกออกมาจนเห็นเนื้อด้านใน รักตปักษ์บรรจงเช็ดถูอยู่เช่นนั้นไม่ปริปากบ่นแม้สัตยาจะประท้วงว่าทำเองได้

หลังเสร็จจากแขน รักตปักษ์ก็ไล่ไปที่ใบหน้า ค่อยๆลูบไล้จนผิวบางหลุดออกทีละชิ้นโดยไม่ทำให้เกิดรอยถูแดงบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย

กว่าที่ผิวจะหลุดออกหมดก็ใช้เวลาไปร่วมชั่วโมง รักตปักษ์อุ้มสัตยาไปวางในอ่างน้ำอุ่น แล้วนำอ่างน้ำที่เต็มไปด้วยเศษผิวหนังนั้นไปเททิ้งบนพื้นดินชุ่มชื้นในสวน เสร็จแล้วจึงย้อนกลับมาเขาก็แทบจะสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อเห็นสัตยากำลังขึ้นมาจากอ่าง

ผิวพรรณที่นวลเนียนอยู่แล้วกลับดูเปล่งปลั่งขึ้นจนผิดหูผิดตา ส่งให้ใบหน้าหวานและเรือนร่างนั้นน่ามองยิ่งขึ้นจนยากจะละสายตา

สัตยาเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง ก็รีบคว้าชุดคลุมอาบน้ำมาห่อพันร่างไว้ เสียงน้ำไหลลงท่อระบายเป็นเสียงเดียวที่ดำรงอยู่ ณ เวลานั้น

ทั้งสองเดินกลับห้องด้วยกัน สัตยาปล่อยให้รักตปักษ์ทำงานเงียบๆในระหว่างที่ตนเองเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนี้ดวงตาของสัตยามองเห็นเป็นปกติแล้ว เขาจึงเห็นว่าผู้ดูแลจำเป็นกำลังนั่งคร่ำเครียดอยู่กับการจัดรูปและตกแต่งรูป

“นั่นอะไรน่ะ?” ชายหนุ่มร่างเล็กเดินมายืนอยู่ข้างๆแล้วถาม

“จัดอาร์ตเวิร์ค อีกอาทิตย์หนึ่งข้าต้องส่งต้นฉบับไปโรงพิมพ์แล้ว มานั่งจัดทีเดียวคงไม่ทันข้าจึงทำไปเรื่อยๆ” รักตปักษ์ว่าแล้วเงยหน้าขึ้นมาจากคอมโน๊ตบุ๊ค “คุณเชิดชัยโทรมาบอกว่า ได้ช่วยจัดการเรื่องแทนเจ้าหมดแล้วระหว่างที่เจ้าป่วย”

“งั้นหรือ.....”สัตยาตอบรับพร้อมหันไปมองนาฬิกา “ไปตอนนี้คงทัน”

“เจ้าต้องพักต่อ” รักตปักษ์ห้ามไว้ “หากเจ้าออกไปตอนนี้ ข้าเกรงว่าจะร้ายมากกว่าดี”

“หมายความว่ายังไง?” เมื่อถูกถาม รักตปักษ์ก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมาทางจมูกอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร

เมื่อแรกลอกคราบ เป็นธรรมดาที่นาคและงูและมีสีสันของเกล็ดสดสวยขึ้นกว่าปกติ ทว่าเมื่อเป็นมนุษย์ การลอกคราบก็ถือการลอกชั้นของหนังกำพร้า ทำให้ตอนนี้ผิวของสัตยาเป็นสีชมพูแดงผุดผ่องเปล่งปลั่งเหมือนผิวเด็ก นาคเมื่อจำแลงเป็นมนุษย์มักจะมีเสน่ห์ดึงดูดอันน่าประหลาด หากเป็นสัตยาในตอนนี้ รักตปักษ์จะไม่สงสัยเลยหากว่าจะมีใครเข้ามาอ้อล้อโอ้โลม ซึ่งคนที่รักตปักษ์ห่วงหาใช่ตัวสัตยา ทว่าเป็นคนที่เผลอตกบ่วงเสน่ห์นาคเสียมากกว่า คมเกล็ดของนาคโตเต็มวัยนั้นไม่ใช่น้อยๆเลย โดยเฉพาะเมื่อเพิ่งลอกคราบไปใหม่ๆยิ่งคมกริบกว่ามีดเสียอีก

“คุณพงษ์ศักดิ์อยากให้เจ้าพัก” รักตปักษ์อ้างถึงคนที่สัตยาต้องยอมฟังอย่างแน่นอน และก็เป็นไปตามคาด เพราะสัตยาไม่เถียงต่อแม้สักคำ กลับยอมพักแต่โดยดี ด้วยเหตุนั้น รักตปักษ์จึงได้นั่งทำงานอย่างสงบต่อไปในห้องนั้นจนกระทั่งตกเย็นจึงลากลับไปเพราะนัดคนเอาไว้

“คุณรักต์เป็นคนดีนะ เจ้ายา” พงษ์ศักดิ์เอ่ยเมื่อสัตยาสามารถลงมาร่วมโต๊ะอาหารค่ำที่รักตปักษ์ไม่อาจร่วมได้ในเย็นวันนั้น

สัตยาขึงหน้าตึงทันทีที่ได้ยิน เพราะในความทรงจำในอดีตของเขานั้น สัตยาไม่อาจนึกถึงความดีของรักตปักษ์ที่เป็นครุฑอยู่ได้เลย กลับนึกได้แต่ความชั่วร้ายและน่าหวาดกลัว สัตยาจึงนึกสงสัยว่า ทำไมรักตปักษ์จึงต้องมาเป็นมนุษย์ ตามหาเขา และทำดีกับเขาถึงขนาดนั้น หลังจากทำลายครอบครัวของเขาจนย่อยยับ.....


------------------------->


หลังจากนั้นสัตยาก็ไม่ได้พบรักตปักษ์เลยจนกระทั่งถึงกำหนดวางแผงนิตยสาร Business Idol ฉบับที่สอง ซึ่งในตอนนั้นทางเครือบริษัทก็จัดการเรื่องงานประกวดเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว สัตยาจึงเริ่มว่างมากขึ้นและมีเวลาที่จะดูแลตัวเองมากขึ้น ร่างกายของเขาจึงปกติดีเหมือนเดิม

รักตปักษ์ปรากฏตัวอีกครั้งที่บริษัทในฐานะนักข่าวเช่นเดิม แต่ครั้งนี้เขามาพร้อมกับเป้ที่อัดจดหมายมาเต็มเอียด

“จดหมายจากแฟนๆที่อยากรู้จักคุณแน่ะครับ คุณยา” รักตปักษ์ว่าพลางหยิบจดหมายออกมาเป็นฟ่อน โดยแยกมัดตามลำดับก่อนหลัง ถึงอย่างนั้นมันก็ดูมากจนสัตยานึกเหนื่อยใจก่อนจะได้ลงมืออ่านเสียอีก “ผมจะทิ้งจดหมายไว้ที่นี่ พอใกล้สิ้นเดือนผมจะมารับก็แล้วกันนะครับ”

“คุณจะทิ้งไว้ที่นี่?” สัตยามุ่นคิ้ว จดหมายมากมายขนาดนี้เขาจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน?

“ผมเดาว่าคุณคงไม่อยากเห็นหน้าผมบ่อยนัก ไม่อย่างนั้นผมคงทยอยเอามาให้แล้วรอคุณตอบแต่ละครั้งถึงเอากลับไป” เพราะคุยอยู่ต่อหน้าเชิดชัย ทั้งสองจึงไม่แสดงอาการใดๆที่ใจอยากแสดง รักตปักษ์ก็ปั้นยิ้มสุภาพตามปกติ ส่วนสัตยาก็ตีหน้านิ่งสุขุมไม่ต่อต้านเกินจำเป็น

“แบบนั้นคงลำบากคุณแย่ คุณรักต์” สัตยาหรี่ตาลงก่อนจะตัดสินใจ “ทิ้งไว้ที่นี่ก็ได้ถ้าคุณต้องการ ผมจะเก็บไว้ในตู้ห้องทำงานผม อีกสองอาทิตย์คุณค่อยมาเอา แต่คุณอาจจะได้ไปไม่หมดเพราะผมยุ่งเกินกว่าจะมานั่งตอบจดหมายอย่างเดียวได้”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณยา เพราะจดหมายนี่ไม่ใช่ของคุณทั้งหมดหรอก เพียงแต่มากกว่าคนอื่นเยอะเท่านั้นเอง” รักตปักษ์หัวเราะเมื่อเห็นสัตยาทำหน้าเบ้ “ผมคิดว่าจะเอาลงเดือนละห้าถึงสิบฉบับโดยคละคนไป ดังนั้นคุณไม่ต้องตอบทั้งหมดก็ได้ ตอบแค่จดหมายที่อยากจะตอบก็พอ ซึ่งผมคิดว่ามีไม่น่าถึงสิบฉบับหรอก ส่วนมากก็มักจะเป็นอย่างนั้นเท่าที่ผมลองดูจากจดหมายที่เข้ามาในกองของพ่อน่ะนะครับ”

“แล้วคุณไม่พกกล้องกับเครื่องบันทึกเสียงแล้วหรือครับ?” สัตยาเลิกคิ้วพลางถามเมื่อเห็นว่าในเป้ใบเก่งของอีกฝ่ายมีแต่จดหมายกับจดหมาย

“พอดีผมเพิ่งตัดสินใจรับคนเข้าทำงานสองสามคนเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้งานก็เลยยุ่งน้อยลงนิดหน่อยน่ะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงว่าพลางปิดกระเป๋าเมื่อนำจดหมายออกมากองหมดแล้ว

สัตยาได้สั่งให้พนักงานมาขนจดหมายไปที่ห้องทำงานหลังจากรักตปักษ์ลากลับไป แล้วจึงเดินกลับห้องพร้อมกับเชิดชัยผู้เป็นเลขา

“พวกคุณสองคนสนิทกันเร็วดีนะครับ” เชิดชัยพูดพลางยิ้มกว้าง

“อย่าพูดแบบนั้นต่อหน้าผมเลยจะดีกว่า คุณเชิดชัย ถ้าคุณรู้ว่าความจริงเขาเป็นคนยังไงคุณจะพูดไม่ออก” ดวงตากลมดำของสัตยาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที

“เขาก็เป็นคนดีนะครับ คุณสัตยา หรือว่าความจริงแล้วเขาจะเป็นเสือผู้หญิง? นิสัยแบบนั้นปกติของผู้ชายออกจะตายไป คุณสัตยาถือหรือครับ?” เชิดชัยถามด้วยความซื่อ เนื่องจากเขาจับต้นชนปลายของสองคนนี้ไม่ออกเอาเสียเลย วันแรกก็ไม่ถูกกัน ต่อมารู้ตัวอีกทีก็สนิทกันจนเรียกเป็นชื่อย่อ แต่แล้วสัตยากลับทำราวกับว่ารังเกียจรักตปักษ์เสียเต็มประดา มันยังไงกันแน่หนอ?

“คุณอย่ารู้เลย” ชายหนุ่มตัดบทเหมือนไม่อยากจะพูดถึงไปมากกว่านี้ แต่แล้วโทรศัพท์มือถือของเขากลับดังขึ้นมาเป็นจังหวะเพลง สัตยากดรับโดยไม่ทันได้มองเบอร์ว่าเป็นใคร

“ขอโทษที่โทรมารบกวนอีกครั้งนะครับคุณยา” เสียงรักตปักษ์ดังมาตามสายเคล้ากับเสียงรถยนต์ดังกระหึ่มแสดงว่ากำลังอยู่กลางถนน ด้วยเหตุนั้น สัตยาจึงได้ยินเสียงไม่ชันเจนนักแต่พอจับใจความได้เพราะรักตปักษ์ตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ที่ถูกเร่งเต็มสูบทั้งหลาย “ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีจดหมายที่ส่งมาทางอีเมลล์ด้วย ผมขอเมลล์คุณยาหน่อยได้ไหมครับ ผมจะได้โอนจดหมายไปให้”

“เดี๋ยวผมส่งไปทางเมสเซจก็แล้วกัน”

“อะไรนะครับ?” เสียงรักตปักษ์ดังขึ้นเพราะเสียงรถบนถนนกลบเสียงของสัตยาเสียหมด

“ผมบอกว่า เดี๋ยวผมส่งไปให้ทางเมสเซจ” สัตยาย้ำอีกครั้ง

“ผมไม่ได้ยินเลย คุณยาช่วยพูดดังๆหน่อยได้ไหมครับ?” คำขอของรักตปักษ์ทำให้สัตยาเม้มปากนิ่ง เพราะในโถงทางเดินของบริษัทนั้นเงียบสนิท เสียงรองเท้าหนังระทบพื้นยังได้ยินชัดเจน ไม่เหมือนบนถนนที่รักตปักษ์อยู่ ณ ขณะนี้ หากตะโกนคงได้ยินไปถึงสุดทางเดิน

สัตยาเกลียดการเป็นเป้าสายตา และแน่นอนว่าเขาไม่ยอมทำ

สิ่งที่สัตยาทำ คือการกดตัดสายไปโดยไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะกดพิมพ์เมสเซจอย่างว่องไวแล้วส่งไปให้อีกฝ่ายแทนการพูดคุยที่ไม่รู้เรื่อง

ทางฝั่งรักตปักษ์นั้น เพราะโทรกลางถนนจึงเตรียมใจอยู่แล้วว่าคงจะคุยไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็ยังจงใจที่จะโทรไปในตอนนั้นด้วยเหตุผลบางประการ ตอนที่ถูกกดตัดสาย รักตปักษ์ไม่แปลกใจมากนัก ซ้ำยังยิ้มบางๆในความขี้อายของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะยิ้มกว้างขึ้นเมื่อสัตยาส่งอีเมลล์มาให้ทางเมสเซจ เพราะนั่นคือเรื่องเหนือความคาดหมาย เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ใยดีคำขอเสียด้วยซ้ำไป

“อายุมากกว่าอะไรกัน ถูกพี่น้องโอ๋มากไปแน่ๆ” รักตปักษ์เปรย ด้วยนาคอื่นๆที่เขารู้จักนั้นมักเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจ ไม่ค่อยสนใจสายตาคนอื่นมากนัก ผิดกับสัตยาที่เอาแต่หลบหลังคนอื่นและไม่ค่อยชอบเป็นจุดเด่น ส่วนตัวเขาที่แทบจะเรียกได้ว่าลูกโทนเพราะพี่ชายมารดาเดียวกันเกิดก่อนนานมากและไปเป็นพาหนะของพระอาทิตย์ก่อนจะได้เจอหน้ากันทำให้เขาชินกับการทำอะไรด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่แคร์ว่าใครจะมองยังไง แค่ทำในสิ่งที่คิดว่าดีก็พอแล้ว หากมองจริงๆ รักตปักษ์จึงมีนิสัยที่เป็นผู้ใหญ่กว่าสัตยาอยู่หลายส่วนทีเดียว แม้แต่ในภพมนุษย์....สัตยาก็แก้นิสัยเดิมไม่ได้ทั้งที่เกิดเป็นลูกคนเดียวแท้ๆ ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะอิทธิพลจากตอนเป็นนาคมีผลมาก เนื่องจากสัตยาไม่ได้ตายแล้วมาเกิด แต่เกิดทั้งที่ยังไม่เคยตาย

รักตปักษ์ส่ายศีรษะน้อยๆ ก่อนจะกลับขึ้นรถมอเตอร์ไซด์เพื่อนำจดหมายไปให้กับ Idol ในนิตยสารรายอื่นๆ โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่า มีสายตาบางคู่กำลังแอบมองมาจากซอกตึกใกล้ๆนั้น


----------------------------->
TBC

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 3 (3/02/11)
«ตอบ #53 เมื่อ03-02-2011 11:30:58 »

คุณรักแค่เห็นผิววิ้งๆเข้าหน่อยถึงกับตะลึงเชียวหรือ อิอิ

ว่าแต่ใครโผล่มาอีกอ่ะ อยากรู้ๆๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2011 11:57:00 โดย samsoon@doll »

ออฟไลน์ จันทร์ผา

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-2
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 3 (3/02/11)
«ตอบ #54 เมื่อ03-02-2011 12:01:09 »

ใครจะโผล่มาอีกนิ

hahn

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 3 (3/02/11)
«ตอบ #55 เมื่อ03-02-2011 12:01:40 »

ี่พี่ครุฑเริ่มจะรุกนาคน้อยแล้เหรอเนี่ย

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 3 (3/02/11)
«ตอบ #56 เมื่อ03-02-2011 12:04:34 »

ใครแอบมอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2011 12:13:02 โดย Little Devil »

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 3 (3/02/11)
«ตอบ #57 เมื่อ03-02-2011 12:45:07 »

มีตัวละครเพิ่มมาอีกแล้ว


 :L2: :L2:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 3 (3/02/11)
«ตอบ #58 เมื่อ03-02-2011 14:27:48 »

มาเห็นแบบนั้นใครก็ต้องจ้องล่ะนะ

แต่ชอบตอนนี้จัง คุณยาน่าร้ากเชียว
เป็นเด็กดีมากเลยเนอะ ขยันทำงาน รักคุณตา (และบวกอีก100แต้ม ให้ความหยิ่ง)

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
Re: สัตยาธิษฐาน ตอนที่ 3 (3/02/11)
«ตอบ #59 เมื่อ03-02-2011 14:54:38 »

ใครอีกละ :really2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด