สัตยาไม่ได้ตอบโต้อะไร เขานิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานจนกระทั่งความมืดเข้าครอบคลุมผืนฟ้า อินทุกานต์จุดเทียนและเดินเข้ามาในห้องเพื่อให้แสงสว่าง สัตยาจึงพูดขึ้น
“ทะเลสาบอยู่กลางป่า...”
รักตปักษ์และอินทุกานต์มองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมา
“โชคดีนะ เจ้ากรพินธุ์” อินทุกานต์กล่าวอวยพรแล้วโน้มตัวลงจุมพิตหน้าผากมนของน้องชาย “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่เสมอ”
“แล้วข้าจะพามาหาแน่นอน” รัตกปักษ์ให้คำสัญญา เขาอุ้มร่างผอมบางสัตยาขึ้นในวงแขนก่อนจะก้าวออกไปด้านนอก สายลมนิ่งสงัด ไร้วี่แววของพายุ ท้องฟ้ากว้างห่มคลุมด้วยกำมะหยี่สีดำสนิท และแสงดาวพร่างพราย ดูงดงามยิ่งกว่าที่เคยเห็นที่ใดโดยเฉพาะท้องฟ้าของกรุงเทพ น่าเสียดายที่สัตยาไม่อาจมองเห็นได้ แต่สักวันเขาจะต้องให้สัตยาได้เห็นภาพนี้ด้วยกันอีกอย่างแน่นอน ได้เห็นจากสถานที่แห่งนี้ ภาพฟ้าผืนเดียวกัน บนพื้นดินผืนเดียวกัน
“เดินทางระวังด้วยล่ะ ครุฑ แผลเจ้ายังไม่หายดี หากออกแรงมากเกินไปอาจปริเอาได้ เจ้าจะต้องบินไปทางตะวันออกและขึ้นเหนือ เจ้าจะเจอทะเลสาปแห่งนั้นได้ไม่ยาก” อินทุกานต์บอกเส้นทางก่อนจะเอ่ยคำลา “แล้วพบกันใหม่”
“ขอบคุณมาก เจ้าอินทุกานต์ สำหรับทุกอย่าง” รักตปักษ์กล่าวขอบคุณจากใจจริง ในขณะที่สัตยาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เขากอดรักตปักษ์นิ่ง เกรงว่าจะไม่อาจทำใจจากไปได้อีกครั้ง
“ข้ายินดี” อินทุกานต์ตอบ เขายิ้มกว้างด้วยความสุขใจ
ปีกสีแดงสยายออกจากแผ่นหลังกว้างบดบังผืนฟ้ายามราตรี ก่อนจะโบกสะพัดหอบเอาเจ้าของร่างและคนในอ้อมแขนขึ้นจากพื้นดิน และมุ่งตรงไปในทางที่ถูกชี้นำอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเขาในตอนนี้จะทำได้ ในอ้อมแขนโอบกอดร่างผอมบางที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผลในผ้าห่มผืนหนาแนบอกอุ่น เสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะหนักแน่นพาให้สัตยาเคลิ้มหลับไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย
------------------------------>
ทางบ้านชลวรินทร์ กิ่งแก้วต้องอยู่ดูแลบ้านในขณะที่พงษ์ศักดิ์ไม่อยู่ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอถูกสั่งให้อยู่เฉยๆ แต่คนที่เคยทำงานมาตลอดอย่างเธอ การให้อยู่นิ่งๆนั้นเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน ในที่สุดกิ่งแก้วก็ดื้อแพ่งลุกขึ้นมาทำงานบ้านโดยที่ใครก็เอ่ยห้ามไม่ได้ แต่ว่าในตอนที่กำลังทำคามสะอาดห้องของสัตยานั้นเอง หญิงสาวก็สังเกตเห็นกล่องเล็กๆใบหนึ่งซ่อนอยู่ใต้เตียง ตามปกติแล้วเธอคงไม่ถือวิสาสะเปิดของของเจ้านาย แต่ว่ากล่องนั้นแง้มออกจากกันอยู่เล็กน้อยเธอจึงหวังดีจะหยิบมาปิดให้ แต่แล้วสายตาของเธอก็เผอิญเหลือบไปเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
มันเป็นกล่องไม้ขนาดเล็กพอๆกับฝ่ามือแต่มีความยาวมากกว่าเล็กน้อย มีลายแกะสลักสวยงามอย่างปราณีตบรรจง เธอจดจำได้ว่าเป็นกล่องที่วางขายอยู่ในตลาดพัทยา และพงษ์ศักดิ์นึกถูกใจจึงซื้อมาให้สัตยาใช้เก็บของชิ้นเล็กๆ
ทว่า สิ่งที่บรรจุอยู่ข้างในนั้นกลับไม่ใช่ของประดับหรือของมีค่าอะไร แต่เป็นขนนกสีแดงหลายเส้น
เท่าที่กิ่งแก้วจำได้ สมัยเด็กสัตยาเคยเกลียดขนนกสีนี้เข้าไส้ ทำไมของที่เกลียดนักหนาถึงได้ถูกนำมาเก็บไว้ใต้เตียงอย่างนี้กันนะ?
-------------------------->
การบินด้วยระยะทางไกลที่สุดและใช้พลังงานมากที่สุดของรักตปักษ์ ในที่สุดเขาก็มาถึงจุดหมายเมื่อเกือบรุ่งสาง ใจกลางป่าและแมกไม้สีเขียว คือที่ตั้งของทะเลสาปลึกลับไร้ชื่อเรียกขาน หรือหากจะพูดให้ถูก ที่ตรงนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลสาป....ทว่าบัดนี้กลับแห้งขอดจนไม่เหลือน้ำแม้สักหยด รักตปักษ์ยืนมองพื้นดินที่ยุบตัวลงไปเป็นแอ่งแต่กลับแห้งแตกระแหงนั้นอย่างอับจนหนทาง สัตยายังหลับอยู่ในอ้อมแขนทว่าสีหน้าที่แสดงถึงความทรมานนั้นบาดหัวใจของชายหนุ่มจนเจ็บแปลบ อีกทั้งบาดแผลของเขาเองก็เริ่มเจ็บขึ้นมาเพราะโหมแรงมากเกินไป
“ข้าจะทำยังไงดี...สัตยา....” เขาครวญออกมาพลางเงยหน้ามองฟ้า เวลานี้ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อน อย่าว่าแต่เม็ดฝนเลย เมฆสักก้อนก็ยังไม่เห็น แล้วเขาจะหาน้ำในทะเลสาปมาจากไหน....
ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้น รักตปักษ์จึงตลบผ้าให้คลุมร่างเปลือยเปล่านั้นมิดชิดก่อนจะกระโดดลงไปในแอ่งที่แห้งผาก รองเท้าหนังสัมผัสพื้นดินแตกอย่างนุ่มนวลด้วยแรงพยุงกายจากปีกบนแผ่นหลัง ก่อนที่ปีกนั้นจะกระจายออกกลายเป็นขนนกสีแดงปลิวไปกับสายลม
รักตปักษ์มองไปรอบกายอย่างจนตรอก ไม่มีน้ำ ไม่มีแอ่ง ไม่มีแม้แต่ปากทางเข้าถ้ำของสัตยา
“เจ้ามองหาตลอดชาตินี้ก็ไม่เจอหรอก...” สัตยากล่าวเสียงแหบแห้งก่อนจะเลิกผ้าที่คลุมศีรษะขึ้น
“ตื่นแล้วหรือ?” ชายหนุ่มผมแดงเอ่ยถาม
“เช่นที่เจ้าเห็น” สัตยาตอบก่อนจะมองไปรอบๆ “ข้าหายไปนานเกินไปทะเลสาปจึงเหือดแห้ง ครุฑ เจ้าจงมองไปทางตะวันออก จะเห็นหินก้อนหนึ่งซึ่งมีรอยเกร็ดครูดเล็กๆ เจ้าต้องผลักหินนั้นออกจึงจะเจอถ้ำ”
“อา....ข้าเห็นแล้ว” รักตปักษ์มองตามแล้วเดินไปยังจุดที่สัตยาบอก เขามองสำรวจหินก้อนใหญ่ที่วางแถวนั้นก่อนจะพบก้อนหนึ่งซึ่งมีรอยเกล็ดฝากไว้เป็นทาง เขาวางสัตยาลงบนพื้นอย่างเบามือ และไม่ลืมที่จะคลุมผ้าเอาไว้ป้องกันอีกฝ่ายจากแสงแดดที่กำลังไล่มาอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปยังหินใหญ่ สูดหายใจเข้าลึก และออกแรงผลักหินนั้นเต็มกำลัง ไม่นานนัก เขาก็เห็นปากทางขนาดใหญ่พอที่นาคตนหนึ่งจะเลื้อยผ่านเข้าไปได้ รอบปากถ้ำมีรอยเกล็ดเป็นบางจุด
รักตปักษ์เดินกลับไปอุ้มสัตยาขึ้นมา แล้วพาเดินเข้าไปในถ้ำอันมืดมิด
“เดินเข้าไปข้างในสุด เจ้าจะพบแอ่งน้ำเล็กๆ จงวางข้าลงที่นั่น” สัตยาสั่งขณะที่อีกฝ่ายก้าวเดินตามอย่างเร่งรีบ กลิ่นชื้นของน้ำโชยเข้าจมูก รักตปักษ์จึงได้รู้ว่า แอ่งน้ำที่สัตยาว่านั้นอยู่ใกล้ๆนี้เอง ทว่าเป็นเพราะความมืด จึงยากที่จะระบุตำแหน่งแน่นอน
เขาอุ้มสัตยาพาดบ่าแล้วพยุงด้วยมือหนึ่ง ก่อนจะย่อตัวลงนั่ง แล้วใช้มืออีกข้างคลานสำรวจพื้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมือของเขาสัมผัสได้ถึงความชื้นของดิน และเมื่อขยับไปอีกเล็กน้อย มือของรักตปักษ์ก็จุ่มลงไปในแอ่งที่มีน้ำอยู่เต็ม
“ข้าเจอแล้ว” เขาว่าแล้วพยุงสัตยาลงมา ดึงห่อผ้าออก แล้ววางชายหนุ่มร่างเล็กซึ่งมีหางเป็นนาคลงในแอ่งน้ำนั้น
สัตยาผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อร่างกายของเขาได้สัมผัสกับน้ำอีกครั้ง เขาเอนศีรษะลงปล่อยให้ร่างกายส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ รวบขนดหางลงมาขดอยู่ในแอ่ง และหลับตาลงซึมซับกลิ่นอายอันคุ้นเคยของสถานที่ซึ่งเป็นบ้านแต่กาลก่อน และแล้วในเวลานั้นเอง ถ้ำก็กลับสว่างขึ้นด้วยแสงซึ่งไร้ที่มา สะท้อนกับเพชรนิลจินดาที่ฝังตัวอยู่ในผนังเป็นแสงแวววับจับตา รักตปักษ์จึงเพิ่งเห็นว่า แอ่งที่ตนพาสัตยามานั้นมีขนาดใหญ่พอๆกับอ่างน้ำเขื่องๆใบหนึ่ง อยู่บนดินที่ยกสูงขึ้นมาจากพื้นถ้ำ ล้อมกรอบด้วยหินซึ่งรักตปักษ์ไม่ทราบชนิด คาดเดาแล้วน่าจะเป็นแท่นนอนของสัตยาก่อนที่จะมาเป็นมนุษย์
ชายหนุ่มครึ่งครุฑขยับเข้าไปใกล้แอ่งมากขึ้น มองดูสัตยาซึ่งนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติงอยู่ใต้ผิวน้ำ สายน้ำใสอาบไล้ผิวกายและครอบคลุมร่างนั้นอย่างอ่อนโยน
บาดแผลบนร่างกายของสัตยาที่รักษามานานยังไม่ยอมหายกลับค่อยๆเชื่อมผสานกันจนเป็นเนื้อเดียวอย่างช้าๆ เรือนกายซึ่งไม่ต่างกับเคยโดนทารุณกรรมกลับค่อยๆกลับมามีสีขาวนวลเนียนน่าสัมผัส รักตปักษ์เอื้อมมือลงไปในน้ำ แกะผ้าผูกตาอย่างเบามือและมองดูใบหน้าที่สงบนิ่งนั้นด้วยความรู้สึกสุขลึกๆในใจที่ไม่มีวี่แววของความทรมานฉาบบนใบหน้าดวงนั้นอีกแล้ว
บาดแผลบนร่างกายเลือนหายไปจนสิ้นอย่างน่าอัศจรรย์ สัตยาลืมตาขึ้น ดวงตาสีนิลเป็นประกายราวไข่มุกดำจับจ้องบนใบหน้าคร้ามคมของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
“เจ้ามองเห็นข้าไหม สัตยา?” รักตปักษ์เอ่ยถามแล้วพยุงศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมา
“เห็น....” สัตยาตอบสั้นๆพร้อมกับยกมือขึ้นไล้ใบหน้าของชายหนุ่ม “ข้าเห็นเจ้า”
รักตปักษ์ไม่รอช้า เขาดึงสัตยาขึ้นมากอดรัดแนบแน่นทั้งที่กายท่อนล่างของอีกฝ่ายยังอยู่ในร่างของนาค ลูบไล้ไปตามเนื้อตัวเพื่อสำรวจบาดแผลที่อาจหลงเหลือโดยไม่ขออนุญาต กระนั้นก็น่าแปลกใจ ที่สัตยาไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนหรือเอ่ยห้ามปรามการกระทำ เขาเพียงแต่โอบแขนรอบบ่ากว้างแล้วซุกซบอยู่อย่างนั้น พวงแก้มของสัตยามีสีแดงทาบอยู่จางๆ
แต่แล้ว ขณะที่รักตปักษ์ยังไม่ทันสำรวจได้ทั่วนั้น เขาก็รู้สึกถึงความชื้นที่ไหลผ่านขา จึงก้มลงมอง และพบว่าน้ำในแอ่งของสัตยากำลังรื้นล้นขึ้นมาจนไหลอาบไปตามทางของชั้นดินชื้นฉ่ำ ซ้ำยังค่อยๆล้มทะลักออกไปถึงภายนอก
“ทะเลสาปกำลังฟื้นคืน หากเจ้าไม่รีบกลับขึ้นไป เจ้าจะจมน้ำตาย” สัตยากล่าวเตือน
“ข้าไม่ไปถ้าไม่มีเจ้า” รักตปักษ์กุมมือสัตยาไว้แน่นขณะที่น้ำกำลังเอ่อขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของเขาขณะทอดมองใบหน้าของสัตยา แฝงความนัยบางอย่างเอาไว้อย่างลึกซึ้ง
“ทำไมเจ้าถึงดื้อด้านได้ถึงขนาดนี้กันนะ” เจ้าของร่างกึ่งนาคหลุบตาลง ในตอนแรก เขาคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะบอกลาชีวิตมนุษย์ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปในเมื่อเป้าหมายที่จะแก้แค้นของเขาได้จบสิ้นลงไปแล้ว ทว่าดูเหมือนรักตปักษ์จะไม่ยอมง่ายๆ เพราะตัวรักตปักษ์เองนั้นเป็นครุฑจุติลงมาเกิด จึงต้องเฝ้ารอจนครบอายุขัยจึงจะสามารถกลับไปเป็นครุฑดังเดิมได้ และช่วงเวลาต่อจากนี้ หากไม่มีสัตยา ชีวิตของชายหนุ่มก็จะว่างเปล่าไร้จุดหมาย
“ข้ามาเพื่อเจ้า และจะอยู่ต่อไปก็ต่อเมื่อมีเจ้าอยู่เท่านั้น” รักตปักษ์กล่าว ทว่าการจะเอาตัวเขาคนเดียวมาดึงรั้งให้สัตยากลับไปด้วยกันก็กระไรอยู่ เขาจึงเอ่ยอ้างถึงคนอื่นร่วมด้วย “แล้วคุณตา แม่และพ่อของเจ้า ก็เฝ้ารอเจ้าอยู่เช่นกัน”
“คนเจ้าเล่ห์” สัตยาทำหน้างอ ขณะนี้น้ำได้ท่วมถึงเอวรักตปักษ์แล้ว หากว่าทอดเวลาออกมานานขึ้น เขาไม่คิดว่าคนอย่างรักตปักษ์จะยอมถอยง่ายๆด้วยเหตุผลว่ากลัวตาย และหากคิดดีๆแล้ว สิ่งที่รักตปักษ์พูดก็ใช่ว่าผิด เพราะเขานั้นหายตัวไปกะทันหัน ป่านนี้ไม่รู้ว่าพงษ์ศักดิ์ จันทร์วนา ยศ รวมทั้งคนอื่นๆจะเป็นห่วงมากแค่ไหน อีกทั้งเรื่องที่บริษัทเขาก็ยังต้องดูแล นอกจากนี้....ดูเหมือนเขาจะยังมีเรื่องต้องสะสางกับกฤตนันท์
การเป็นมนุษย์....ช่างมีห่วงเยอะเสียเหลือเกิน....
สัตยาคิดพลางถอนหายใจ
“ไปกันเถอะ” รักตปักษ์ยื่นมือให้ด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างที่เคยเห็นเมื่อแรกพบกัน ภาพนั้นทำให้สัตยานึกสงสัยว่า หากพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและเพิ่งเคยได้พบกันเพียงครั้งแรกในตอนนั้น เวลานี้ เขากับรักตปักษ์จะเป็นยังไง จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หรือว่าเป็นแค่คนรู้จักเพียงผิวเผินต่อไป เรื่องนั้น....คงมีแต่พระพรหมเท่านั้นที่รู้ได้....
สัตยาตอบรับมือของอีกฝ่าย คลานขึ้นมาจากแอ่งทั้งร่างที่ยังเป็นนาคเช่นนั้น เพราะเป็นร่างที่สะดวกต่อการเคลื่อนไหวในน้ำมากกว่า
ตอนนี้น้ำเอ่อขึ้นมาจนจะถึงคอของรักตปักษ์แล้ว แต่เจ้าตัวกลับไม่นึกร้อนใจ เขากลั้นลมหายใจปล่อยให้น้ำท่วมมิดศีรษะ และดึงสัตยาให้แหวกว่ายไปด้วยกัน ในวินาทีที่สัตยาเคลื่อนยพ้นปากถ้ำ หินเกล็ดนาคก็เคลื่อนตัวกลับไปยังที่เดิมของมัน เฝ้าพิทักษ์ที่อยู่ของเจ้านายจนกว่าจะกลับมาเยือนบ้านหลังนี้อีกครั้ง
รักตปักษ์และสัตยาพากันแหวกว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ และในระหว่างทางนั้น ชายหนุ่มผมแดงได้มองย้อนกลับมายังเสี้ยวหน้าของอีกคนหนึ่ง เสี้ยวหน้าที่ดูไม่ต่างจากครั้งแรกที่เจอกัน ทั้งความดื้อรั้น ความหยิ่งทะนงหลอมรวมอย่างครบถ้วนไม่ขาดหาย ทว่าในวันนี้กลับมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป เพราะหัวใจของเขากำลังเต้นแรงจนน่าแปลกเมื่อสบเข้ากับดวงหน้าน่าเอ็นดูนั้น ชายหนุ่มครึ่งครุฑไม่คิดหาคำตอบ เพราะเขารู้อยู่แก่ใจดี เขาเอื้อมมือไปยังเรียวแขนที่เล็กกว่าเขามาก และดึงเข้าหาตัว ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปเมื่อสัตยาอ้าปากหมายจะถามว่ามีอะไร
ร่างเล็กกว่าในอ้อมแขนดิ้นขลุกขลักด้วยความตกใจในการกระทำที่กะทันหันซ้ำยังอุกอาจจนไม่ทันตั้งตัว เรียวหางปัดป่ายกระพือน้ำจนไหวกระเพื่อม ปลาน้อยใหญ่ที่ไม่รู้ว่าไปหลบลี้อยู่ที่ใดก่อนหน้านี้ว่ายวนรอบทั้งคู่ราวกับเห็นสิ่งแปลกใหม่น่าสนใจ ก่อนจะแตกฮือไปเมื่อหางของสัตยาฟาดไปใกล้ฝูง
รักตปักษ์ยอมปล่อยสัตยาก็เมื่อพวกเขาลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ ชายหนุ่มกึ่งนาคผลักไสอีกฝ่ายแล้วเช็ดปากอย่างโกรธเคือง
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ สัตยา?” รักตปักษ์เอ่ยถามเสียงรื่นเริงพลางปัดปอยผมเปียกน้ำออกจากใบหน้าอีกฝ่าย
“เจ้าเล่นอะไรของเจ้า! อยากจมน้ำตายนักหรือไง!” สัตยาตะคอกเสียงขุ่นแล้วว่ายหนีไปหาฝั่ง ทว่ากลับถูกรั้งกลับมาในอ้อมแขนแกร่ง ริมฝีปากซุกซนซุกไซ้ข้างใบหูนิ่มพร้อมขบกัดให้พอสะดุ้ง ไม่อนาทรต่อคำด่าว่าที่ตามมาพร้อมการทุบตีไม่เบาแรง
“ข้าไม่ได้อยากจมน้ำตาย แต่ข้ากลัวจมน้ำตายต่างหาก” ชายหนุ่มผมแดงแก้ตัวแล้วจับมือทั้งสองของสัตยาที่ประทุษร้ายเขาไม่หยุดไว้ “ข้าดำน้ำไม่เก่ง กลั้นหายใจในน้ำได้ไม่นาน จึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเจ้า ทำไมต้องโกรธข้าด้วย?”
“แล้วทำไมเจ้าไม่บอกดีๆ!”
“ข้าไม่ใช่นาคนี่จะได้พูดในน้ำได้ แค่อ้าปากน้ำก็ท่วมปอดข้าได้แล้ว” รักตปักษ์อธิบายไปก็หัวเราะขำขันกับใบหน้าง้ำงอของชายหนุ่มอีกคน “ขึ้นฝั่งกันเถอะ ก่อนที่ข้าจะจมน้ำจริงๆ”
สัตยาไม่ใคร่เชื่อคำของรักตปักษ์นัก กระนั้นเขาก็ไม่ได้ต่อความและว่ายเข้าหาฝั่งอย่างชำนาญแม้จะไม่ได้ว่ายน้ำในร่างนี้มานาน ขณะที่ปีนขึ้นฝั่ง ร่างกายท่อนล่างก็ค่อยๆกลายจากสภาพที่เป็นหาง เกล็ดจางลงเรื่อยๆพร้อมกับหางที่หดสั้นลงและแยกออกจากกันกลายเป็นขาสองข้างให้ปีนขึ้นฝั่ง ถึงอย่างนั้น ร่างเปลือยเปล่าขาวนวลก็ทำให้รักตปักษ์นึกอยากเข้าไปขย้ำให้หายหมั่นเขี้ยว
ดวงตาสีนิลทอดมองไปยังท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ยามเช้าที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันดูสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ สัตยาไม่เคยคิดจะมองดวงอาทิตย์อย่างนี้มาก่อนเลย
ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกสะบัดหลายครั้งก่อนจะถูกนำมาห่อหุ้มร่างของสัตยา เขาจึงกลับหลังหันไปมองรักตปักษ์ที่กำลังพันตัวเขาด้วยผ้าห่มอย่างตั้งอกตั้งใจ
“พวกเราจะกลับกันยังไง?” เขาเอ่ยถาม “หากเจ้าบินไปตอนนี้ คนทั้งกรุงเทพจะได้อ่านพาดหัวข่าว “คนบินได้” ในเช้าวันรุ่งขึ้นแน่”
“เราจะยังไม่กลับตอนนี้หรอก” รักตปักษ์ตอบแล้วจัดผ้าให้สัตยาเดินได้สะดวก
“ทำไม? ข้ายังมีงานต้องทำอีกนะ แ ล้วยังเจ้ากฤตนันท์ตัวแสบที่ข้าต้องสะสางด้วย”
“เพราะอย่างนั้นพวกเราจึงควรจะยังหายตัวไปแบบนี้อีกสักพัก” ชายหนุ่มผมแดงว่า “เชื่อข้าเถอะว่า ตาของเจ้าไม่ใช่คนโง่งม เจ้าจะได้จัดการกับกฤตนันท์สมใจแน่ แต่ต้องรอเวลา เพราะข้าเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นมีคนอยู่เบื้องหลังอีกทีหนึ่ง”
“....อาจจะเป็นคนใน....” สัตยาต่อคำ
“ใช่” รักตปักษ์พยักหน้ารับ “เห็นได้จากที่รู้เรื่องรอบตัวเจ้าเป็นอย่างดี ช่วงเวลาที่พวกเราหายไปอย่างนี้ พวกมันจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องรอเฉยๆน่ะหรือ?” สัตยามุ่นคิ้ว เมื่อรักตปักษ์พยักหน้าแทบคำตอบ เขาก็ถอนหายใจออกมา “ตามข้ามา ข้ารู้จักกระท่อมหลังหนึ่งใกล้ๆนี้” ว่าแล้ว สัตยาก็เดินนำเข้าไปในป่าให้รักตปักษ์เดินตามมาข้างหลังอย่างไม่รีบร้อน
----------------------------->
หลังจากสัตยาหายตัวไปได้อาทิตย์กว่า เหล่าผู้บริหารของเครือชลวรินทร์ก็ทนอยู่เฉยกันไม่ไหว เพราะนอกจากจะไม่มีวี่แววของประธานแล้ว หุ้นที่พงษ์ศักดิ์ถืออยู่ก็ทำให้คนอื่นๆตัดสินใจเรื่องในบริษัทแทนไม่ได้เพราะสัตยาและพงษ์ศักดิ์ไม่ได้มอบหมายอำนาจให้กับใครเพื่อดำเนินการแทน ซึ่งเป็นเหตุให้งานภายในไม่สามารถเดินได้สะดวกนัก แม้ว่างานส่วนใหญ่นั้นสัตยาจะจัดการให้สามารถดำเนินงานได้แล้วก่อนจะหายไป แต่ก็ต้องได้รับการอนุมัติจากสัตยาก่อนอยู่ดี โชคดีที่ช่วงนี้ไม่มีโปรเจคอะไรมากนัก จึงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในบริษัทและการส่งออก
บอร์ดบริหารเคยยื่นเรื่องให้พงษ์ศักดิ์หาตัวแทนแล้วครั้งหนึ่ง ทว่ากลับไม่มีข่าวคราวใดตอบรับกลับมาทำให้ผู้บริหารส่วนใหญ่เริ่มไม่พอใจ เพราะไม่มีหลักประกันใดจะบอกได้ว่า สัตยาจะกลับมาเมื่อใด พวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางมาพบพงษ์ศักดิ์ที่โรงพยาบาลด้วยตัวเองเพื่อพูดคุยให้รู้เรื่อง
“ฉันบอกแล้วว่าฉันจะไม่ขายหุ้นอย่างเด็ดขาด และจะยังไม่แต่งตั้งตัวแทนในตอนนี้” พงษ์ศักดิ์ยืนยันเสียงหนักแน่นทั้งที่ยังนอนซมอยู่บนเตียง เชิดชัยผู้เป็นอดีตเลขาได้แต่ยืนฟังอย่างหวาดๆเพราะรู้กิตติศัพท์ความดุของเจ้านายเก่าตัวเองดี
“ต.....แต่ว่า ตอนนี้งานภายในไม่กระเตื้องเลยนะครับ” เลขาวัยกลางคนว่า
“ตอนนี้ราคาหุ้นบริษัทเราในตลาดหุ้นตกหรือยัง?” พงษ์ศักดิ์ถามพลางกราดสายตามองแต่ละคนในห้อง ซึ่งต่างคนก็มองหน้ากันไม่ตอบคำถาม ซึ่งก็หมายความได้ว่ายังไม่ตก มันจะตกได้อย่างไรในเมื่อสัตยาเพิ่งหายตัวไปอาทิตย์เดียวและในช่วงที่งานไม่ชุกชุม ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเปิดตัวโปรเจคใหม่ที่ทำให้ส่วนแบ่งตลาดต่างประเทศกระเตื้องขึ้นมา จึงยังคงได้รับความเชื่อถือจากต่างชาติและบริษัทคู่ค้าอยู่
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มิสเตอร์พงษ์ศักดิ์ คุณจะมีอะไรมาคอมเฟิร์มได้ว่ามิสเตอร์สัตยายังไม่ตาย” ผู้บริหารคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยสำเนียงแบบยุโรป “ผมเข้าใจว่ามิสเตอร์สัตยาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของคุณ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่คุณต้องเสียใจและทำใจไม่ได้ แต่คุณควรยอมรับความจริงนะ มิสเตอร์พงษ์ศักดิ์”
“เรื่องคนในครอบครัวเป็นเรื่องใหญ่ก็จริง แต่เรื่องในเครือบริษัทก็สำคัญนะคุณพงษ์ศักดิ์ ตอนนี้ยังไม่มีปัญหา แต่อีกไม่นานจะหมดฤดูร้อนแล้ว แล้วโครงการที่คุณสัตยาทำไว้ก็ต้องมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆทุกฤดูกาล ตอนนี้พวกเราต้องเริ่มวางแผนแล้วนะครับ” ผู้บริหารชาวจีนว่าโล้งเล้งและดูหัวเสียมากกว่าคนอื่นๆ เพราะโครงการนี้เขาช่วยผลักดันให้เป็นโครงการของบริษัท คิดว่าจะช่วยกระเตื้องยอดขายและราคาหุ้นของบริษัทได้ แต่แล้วกลับต้องมาชะงักเพราะคนสำคัญในโครงการหายตัวไปเสียเฉยๆ
“ฉันถามจริงๆเถอะ พวกคุณโดนใครเป่าหูยุแยงมา?” พงษ์ศักดิ์เอ่ยถาม เขาแน่ใจว่าต้องมีใครบางคนมากระตุ้นผู้บริหารของเขาอย่างแน่นอน หากผ่านไปสักเดือนแล้วถูกกดดันเช่นนี้เขาจะไม่แปลกใจ แต่นี่ยังไม่ทันถึงสองอาทิตย์ด้วยซ้ำไป ผู้บริหารแต่ละคนกลับร่ำๆทนรอไม่ไหว ต้องการให้เขาหาตัวแทนอย่างเร่งด่วน และจากที่เขาพิจารณาแล้ว เรื่องที่ผู้บริหารหยิบยกมามักจะเป็นโครงการในความดูแลของสัตยาซึ่งสามารถให้หัวหน้างานอนุมัติแทนได้ในกรณีจำเป็น
บางที....หัวหน้างานเองก็อาจจะโดนล็อบบี้ว่าหากเกิดผลเสียหายจากการอนุมัตินั้น หัวหน้างานต้องรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมดก็เป็นได้
ใครบางคนในบริษัทของเขากำลังคิดจะฮุบปลาชิ้นโต....