“ลูกยา.....” จันทร์วนาถึงกับร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นหน้าลูกชายสุดที่รักอีกครั้ง เธอโผเข้ากอดชายหนุ่มแล้วปล่อยโฮไม่อายใครพร้อมกับเรียกชื่อของลูกชายซ้ำไปซ้ำมา ในตอนแรกเธอคิดจะเรียกยศออกมาด้วย แต่สัตยากลับปรามไว้และเข้าไปหาด้วยตัวเอง จันทร์วนาจึงชวนรักตปักษ์ไปช่วยกันทำอาหารที่ในครัวเพื่อให้สองพ่อลูกได้พูดคุยกัน
สัตยาเดินเข้าไปในตัวบ้าน เขารู้ว่ายศมักจะนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นและอ่านหนังสือบนเก้าอี้ตัวโปรด ชายหนุ่มชาวนาคสูดหายใจลึกแล้วเดินเข้าไปหายศ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วกราบลงบนตัก
“สัตยา” ยศดูจะตกใจที่อยู่ๆลูกชายก็กลับมา แต่เหนือกว่าความตกใจนั้นคือความปิติอย่างเหลือล้น เขาดึงลูกชายของตนขึ้นมากอดแน่นแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ดูสิ ลูกผิวคล้ำขึ้นตั้งเยอะ แอบไปเที่ยวไม่บอกพ่อแม่เลยนะ รู้ไหมว่าแม่จันทร์เขาห่วงลูกแค่ไหน”
“ผมทราบครับ ขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกคนลำบาก” สัตยาเสียงอ่อน
“ไม่เป็นไร เหตุสุดวิสัยใช่ไหมล่ะ พ่อเข้าใจ” ยศลูบผมลูกชายตนเองอย่างรักใคร่ทำให้สัตยารู้สึกแน่นในอก
“พ่อครับ ผมมีเรื่องจะบอก....”
“หือ? อะไรหรือ?” ยศถามกลับพลางยิ้มกว้าง
“ความจริงแล้วผม....ไม่ใช่มนุษย์หรอกนะครับ แล้วก็...ไม่ใช่ลูกของพ่อด้วย” สัตยาก้มหน้าไม่กล้าเงยมองสายตาของผู้เป็นพ่อ บางทียศอาจจะโกรธมากก็ได้ที่ได้รู้ความจริงเอาป่านนี้ ซ้ำยังให้ความรัก ฟูมฟักเลี้ยงดูเป็นลูกแท้ๆ “ความจริงแล้ว...ผมเป็นนาคที่จำแลงตัวมาเกิดกับแม่เท่านั้น ถึงจะมีรูปร่างเป็นมนุษย์ปกติ แต่ความจริงแล้วก็ไม่ใช่มนุษย์แล้วก็ไม่ใช่ลูกจริงๆของพ่อกับแม่ด้วย” สัตยาพูดแค่นั้นก็เงียบไป คอยทำใจรับฟังการตอบรับของยศ
เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้สัตยาเผลอกลั้นหายใจด้วยความกลัว
“โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร ทำพ่อตกใจหมดเลย สัตยา” คำของยศเรียกสัตยาให้เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะงุนงงเมื่อพบว่ารอยยิ้มอารีนั้นยังไม่หายไปไหน
“พ่อเขารู้เรื่องนั้นนานแล้วล่ะจ้ะ แม่ก็ด้วย” จันทร์วนาถือสำรับกับข้าวเดินเข้ามาจัดโต๊ะ
“ม....หมายความว่ายังไงกันครับ?” ครั้งนี้กลายเป็นสัตยาเองที่ตกใจและแปลกใจ เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกจึงยืนค้างอยู่อย่างนั้น
“ลูกยาอาจจะไม่รู้นะ แต่ตอนที่อยู่ในท้องแม่น่ะ แม่เห็นลูกยาในฝันเป็นประจำ เห็นเป็นนาคบ้าง เป็นคนบ้าง แล้วตอนลูกยาเด็กๆน่ะ คิดว่าใคนกันที่ช่วยเช็ดเอาคราบออกให้ทุกปี” จันทร์วนาเฉลยความ “แล้วพ่อยศเขาน่ะ มาดุแม่ว่าถูผิวลูกแรง ทำลูกถลอกหมด แม่เลยช่วยอธิบายให้เข้าใจ”
“นอกจากแม่จันทร์กับพ่อแล้ว ก็มียายพิมอีกคนที่รู้เรื่อง เพราะต้องดูแลลูกตอนไปอยู่บ้านชลวรินทร์ไง” ยศว่าต่อ
“แสดงว่า....รู้มานานแล้วหรือครับ?” สัตยาถามทั้งที่ยังค้างอยู่อย่างนั้น ทั้งสองคนจึงพยักหน้า “แล้ว...ไม่โกรธเกลียดผมหรือครับ?”
“จะไปโกรธไปเกลียดทำไมกัน ถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ๆแต่ก็เกิดมาจากท้องของแม่ ก็ต้องเป็นลูกของแม่สิ” จันทร์วนากอดลูกชายในวงแขน “ความจริงแล้วหลังจากคลอดลูกน่ะนะ แม่ก็ไปตรวจร่างกาย ปรากฏว่าความจริงแล้วแม่มีลูกไม่ได้เพราะรังไข่ของแม่ไม่ผลิตไข่ แม่ถึงได้ขอบคุณลูกอยู่ทุกวันที่อุตส่าห์มาเกิดเป็นลูกของแม่ ให้แม่กับพ่อแล้วก็คุณตาได้ชื่นใจ”
“แล้วคุณรักต์เขารู้หรือเปล่า สัตยา เดี๋ยวเขาเข้ามาได้ยินเราคุยกันจะตกใจเสียเปล่าๆ” ยศว่าขณะเหลือบตามองนอกประตู เห็นว่ารักตปักษ์ยังไม่มา
“คุณรักต์เขารู้ตั้งแต่ชาติก่อนแล้วล่ะครับ” สัตยาถอนหายใจ
“แหม โรแมนติกจริงนะ สงสัยชาติก่อนเป็นคู่กันล่ะมั้งเนี่ย” จันทร์วนาเย้า ก่อนจะนิ่งไปเมื่อสัตยาหน้าแดงขึ้นมา เธอมองหน้ายศที่ส่ายศีรษะแล้วทำไม่รู้ไม่ได้ยินไปเสียอย่างนั้น
“ข้าวสุกแล้วครับ จะให้ผมยกมาเลยไหม.....ครับ.....” รักตปักษ์ไม่รู้เรื่องรู้ราว เดินเข้ามาถามเรื่องในครัวก็ต้องชะงักคำพูดเมื่อสายตาสองคู่ของผู้อาวุโสจ้องตรงมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียง ทางสัตยานั้นกลับยืนหน้าแดงอยู่ห่างๆไม่ยอมสบตา
“อ่อ...เอ่อ....ยกมาเลยคุณรักต์ มาๆ มากินข้าวกินปลากัน” ยศกระแอมเรียกสติและไล่บรรยากาศแปลกๆให้ออกไป
มื้ออาหารวันนั้น รักตปักษ์รู้สึกแปลกๆที่จันทร์วนากับยศแอบลอบมองหน้าเขาเป็นระยะสลับกับสัตยา แล้วก็หันไปมองหน้ากัน พอเขาเหลือบขึ้นไปเห็นก็จะยิ้มให้เหมือนกำลังมีเรื่องปิดบัง พวกเขาสี่คนแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย แต่ส่งภาษาทางสายตาที่ทำให้รักตปักษ์กับสัตยารู้สึกกระอักกระอ่วนไปตามๆกัน
หลังจากคุยกันจนบ่ายคล้อย สัตยาก็ขอลากลับเพื่อไปรับตัวพงษ์ศักดิ์ออกจากโรงพยาบาล จันทร์วนาและยศจึงออกมาส่ง
“เดี๋ยวผมขับกลับให้นะ คุณยา” รักตปักษ์ยื่นมือไปขอกุญแจรถ
“นี่มันรถผมนะ แล้วคุณขับรถสี่ล้อเป็นที่ไหน” สัตยาไม่ยอมยื่นกุญแจให้แล้วเดินนำไปไขรถเอง
“ผมเคยขับรถของพ่อตั้งแต่อายุสิบห้าแล้ว ผมขับรถสี่ล้อเป็นก่อนจะจับมอเตอร์ไซด์อีก” ชายหนุ่มร่างสูงจับมือสัตยาที่กุมกุญแจรถไว้ แล้วดึงมือมาแบออกหยิบกุญแจรถจากมือข้างนั้น สัตยาหน้าแดงรีบชักมือกลับไม่ต่อเถียงเพราะพ่อกับแม่กำลังมองมาอย่างไม่ละสายตา รักตปักษ์เห็นเช่นนั้นจึงพอเดาความได้ ก็หัวเราะออกมาจนสัตยาต้องเตะหน้าแข้งไปเสียทีให้หยุด
ทั้งสองคนหันมาเอ่ยอำลากับจันทร์วนาและยศ ก่อนจะขับรถออกไป
“พี่ยศว่า....คุณพ่อจะรู้หรือยังคะ?” จันทร์วนาเอ่ยถาม
“ผมว่าคุณท่านคงรู้ก่อนพวกเราอีก คุณจันทร์ ท่านออกจะสายตาเฉียบคมขนาดนั้น” ยศพูดพลางถอนหายใจ มีลูกชายกับเขาสักคน ไม่ใช่ลูกแท้ๆไม่พอ กลับมีเนื้อคู่เป็นผู้ชายด้วยกันเสียอีก พระพรหมท่านออกจะเล่นตลกเกินไปเสียหน่อยแล้ว
------------------------->
“บอกพ่อกับแม่เรื่องนั้นหรือ?” รักตปักษ์ถามเมื่อขับออกมาไกลแล้ว
“เปล่า พวกท่านเดาเอง” สัตยานั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามไม่หันมามองเสี้ยวหน้าของรักตปักษ์ที่ปรากฏรอยยิ้มอยู่ไม่ยอมจาง
“สัตยา หลังข้าสิ้นบุญในภพมนุษย์แล้ว เจ้าจะไปอยู่บนวิมานกับข้าไหม?” คำถามนั้นเรียกให้สัตยามุ่นคิ้ว จะว่าไปแล้ว เขายังไม่เคยเห็นวิมานของครุฑเลยสักครั้ง เพราะตอนรู้จักกันนั้น ครุฑยังไม่มีวิมาน แต่มาอาศัยในบาดาลเพื่อรับใช้พวกนาค
“ทำไมข้าจะต้องไปด้วย?” เขาถามกลับ รักตปักษ์จึงเบนรถเข้าจอดข้างทางแล้วหันมาดึงสัตยาให้เผชิญหน้า
“เพราะเจ้าต้องมีข้า สัตยา เจ้าไม่อาจตายจากร่างนี้ได้เพราะเจ้าดื่มน้ำอมฤตเข้าไป และยังไม่สละร่างเดิมทิ้ง” รักตปักษ์ว่าแล้วไล้มือไปบนใบหน้านวล “ร่างนี้ของเจ้าอ่อนแอกว่านาค อ่อนแอกว่ามนุษย์ ข้าอยากจะปกป้องเจ้า สัตยา”
“....ถึงอย่างนั้นวิมานของเจ้าก็ไกลจากแหล่งน้ำ”
“เช่นนั้นก็อยู่บนวิมานครึ่งปี ทะเลสาปครึ่งปี ข้าจะลงมาอยู่กับเจ้าด้วย” ชายหนุ่มผมแดงตัดสินใจโดยไม่ถามความเห็นอีกฝ่าย สัตยาเบ้ปากแล้วเบือนหน้าหนี เกรงว่ารักตปักษ์จะนึกพิศวาสจนอยากกอดจูบเขาขึ้นมาอีก และนี่ก็ยังอยู่ในรถซ้ำยังกลางถนน หากมีใครมองเข้ามาเห็นเข้า เขาคงจะไม่มีหน้าไปมองใครที่ไหนได้อีกเป็นแน่
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องขอข้าด้วยชื่อจริงของข้า” สัตยาตั้งเงื่อนไข คิดจะถ่วงเวลาให้คำตอบ เพราะชื่อของเขานั้นรักตปักษ์ไม่มีทางจำได้ แต่แล้ว ชายหนุ่มร่างสูงกลับยิ้มออกมาแล้วประคองมือของสัตยาขึ้นแนบริมฝีปาก
“รัตนกรพินธุ์ เจ้าจะอยู่กับข้าไหม?”
“เจ้าไปรู้มาจากไหน!?” สัตยาร้องถามเสียงดัง
“เจ้าอินทุกานต์บอกมาน่ะสิ ข้าไม่คิดเลยว่าชื่อของเจ้าที่ได้ฟังในตอนนั้นจะมีประโยชน์เอาตอนนี้” รักตปักษ์ตอบเสียงรื่นเริง “คำตอบล่ะ เจ้ากรพินธุ์?”
สัตยาบ่นอุบอิบก่อนจะกลั้นใจตอบออกไป
“ก็ได้”
รักตปักษ์ฟังคำตอบก็หัวเราะอย่างสมใจแล้วดึงสัตยาแล้วมากอดพร้อมกับจูบลงบนกระหม่อม สัตยาดิ้นขัดขืนครู่หนึ่งก่อนจะนิ่งไปแล้วมุ่นคิ้วขัดเคือง
“องค์นารายณ์รังแกข้าเป็นแน่ คำอธิษฐานของข้าจึงไม่เป็นจริง” คำของสัตยาเรียกให้รักตปักษ์เลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย
“เจ้าอธิษฐานว่าอะไร?”
“ข้าอธิษฐานให้เกิดเป็นที่โปรดปรานของผู้มีอำนาจ และได้แก้แค้นเจ้า” สัตยาว่า “ข้าไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้น คุณตาก็โปรดปรานเจ้ายิ่งกว่าข้า กฤตนันท์ยิ่งอย่าให้พูดถึง หากมันฟื้นจากความตายข้าจะส่งมันไปโลกหน้าอีกครั้ง นอกจากนี้ ข้ายังแก้แค้นเจ้าไม่ได้ มาโดนเจ้าแก้แค้นกลับเสียอีก” คำกล่าวของสัตยาทำให้รักตปักษ์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เรียกความไม่พอใจปรากฏบนใบหน้าของนาคจำแลง สัตยาจ้องรักตปักษ์อย่างเอาเรื่อง
“คำอธิษฐานของเจ้าช่างกำกวมเสียจริง” รักตปักษ์ว่า “หากมองจริงๆแล้ว ก็นับว่าเป็นจริงอยู่หรอก ไม่มีใครกลั่นแกล้งเจ้าสักคน”
“เป็นจริงตรงไหนกัน?” สัตยาถามกลับเสียงขุ่น
“เจ้าจำที่แม่ของเจ้ากับข้าขอพรถึงลูกของตนได้ไหม?” สัตยาพยักหน้ากับคำถามนั้น รักตปักษ์จึงว่าต่อ “ข้าเกิดจากพรที่แม่วินตาของข้าขอไว้ว่า ขอให้ลูกของนางเกิดมาเป็นผู้มีอำนาจ แล้วเจ้าก็เป็นที่โปรดปรานของข้าเสียขนาดนี้ จะว่าไม่ตรงได้อย่างไร” ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็ซุกไซ้จมูกกับเรือนผมและใบหูนิ่ม
“แล้วอีกข้อล่ะ ข้าขอให้ได้แก้แค้นเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ!”เจ้าของเรือนผมสีดำถามต่อแล้วผลักใบหน้าของอีกฝ่ายออก
“ตอนกฤตนันท์ยิงข้า ก็เพราะเขารู้จักกับเจ้า ก็ถือว่าแก้แค้นแล้วไม่ใช่หรือ? หากตอนนั้นเจ้าไม่กระโดดลงมาช่วย ป่านนี้ข้าคงได้สละร่างมนุษย์แล้ว” รักตปักษ์เฉลยด้วยรอยยิ้มก่อนจะปล่อยเมื่อสัตยาเริ่มหน้าบึ้งอย่างขัดใจ เขาหันกลับมาจับพวงมาลัย ก่อนจะหันไปบอกสัตยา “คืนนี้อย่าล็อคประตูล่ะ”
สัตยาไม่ได้ตอบคำ แต่ค่ำคืนนั้นก็มีนกสีแดงตัวหนึ่งเข้าไปในห้องของเขา....
END....
-------------------------
จบแล้วค่า~
สำหรับผู้ที่ต้องการจองรวมเล่ม >>>
จิ้มได้เลยค่ะเปิดจองถึงวันที่ 15 มี.ค. 2554 นะคะ
พบกันเรื่องหน้าค่ะ