บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]  (อ่าน 245723 ครั้ง)

@StaR@

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #30 เมื่อ15-02-2011 15:00:57 »

ฮู้ยยยย...คุณฉู่ท่าทางจะไม่ง่ายซะแล้ว
คิดไว้แล้วว่าพี่ท่านน่าจะมีฝีมือแน่ๆ
แถมยังดูน่าค้นหาอีกด้วยยิ่งอ่านยิ่งลุ้น
 :กอด1: :L2: :pig4:

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #31 เมื่อ15-02-2011 15:40:12 »

เข้ามาอ่านเรื่องใหม่
สนุกมากเลยอ่ะ รุนแรงกันจริงคู่นี้
ริจะรักเด็กต้องอดทนนะจ๊ะ   :m26:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #32 เมื่อ15-02-2011 15:40:51 »

โหดจริงนะคุณฉู่ 55
อย่างนี้สิถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย อิอิ

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #33 เมื่อ15-02-2011 16:43:15 »

ฟาดฟัดกันสุดฤทธิ์ ตื่นเต้นๆ ^^

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #34 เมื่อ15-02-2011 16:53:54 »

 o18คุณฉู่ก็ร้ายใช่เล่นนะเนี่ย

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #35 เมื่อ15-02-2011 18:18:07 »

ชอบคุณฉู่  โดนตบไปฉาดนึงเจ็บมั้ยล่ะนั่น :กอด1: :กอด1: :กอด1:

mumoo

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #36 เมื่อ15-02-2011 18:39:38 »

ขอตามมาอ่านด้วยคนค่า^^
คุณเซินอารมณ์ร้ายจัง ส่วนคุณฉู่ก็ท่าทางร้ายลึกซ่อนเล่ห์
รอวันคุณเซินพลาดพลั้งกันดีกว่า(ซะงั้น?)

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #37 เมื่อ15-02-2011 18:47:27 »

เนื้อเรื่องเข้มข้นมาก ท่าทางจะหักเหลี่ยม เฉือนคมกันน่าดู
จะมีฉากบู๊ ล้างผลาญด้วยไหมเนี่ย? ( ก็เรื่องเกี่ยวกับแก็งค์มาเฟียมักจะมีแบบนั้น )

โดยรวมแล้วน่าสนใจ และ น่าติดตามค่ะ ....

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #38 เมื่อ15-02-2011 20:00:26 »

เดาไม่ถูกว่าฉู่จะมาดี หรือจะตลบหลังเลยแฮะ :try2:

YELLOWSTAR

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #39 เมื่อ16-02-2011 00:40:14 »

โว้วววว  ดูน่ากลัวใช่ย่อยน่ะเนี่ย

เท่ห์อ่ะ :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
« ตอบ #39 เมื่อ: 16-02-2011 00:40:14 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #40 เมื่อ16-02-2011 00:44:21 »

โอ้น่ากลัวจริงๆๆๆ


ท่าจะไม่รอดรีบขายเถอะ

pigg

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #41 เมื่อ16-02-2011 00:49:37 »

เพิ่งเห็นว่าพี่เซียร์ลงเรื่องใหม่...

เข้ามาแปะก่อนอ่าน :mc4: :mc4:

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #42 เมื่อ16-02-2011 01:05:16 »

ตัดฉับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

wichaiP

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #43 เมื่อ16-02-2011 01:15:02 »

งานนี้ น่าจะประเภท ความรักแบบมาเฟีย ที่ร้าย รัก โหด แต่เเฝงด้วยเสน่หาแน่ๆ
อูย อ่านไป ปวดตับ เครียด คนแต่ใช้ฝีมือมากในการเรียบเรียง ประโยค พล็อดก็น่าสนใจ แต่กลัวจะเหมือนหงส์เหนือมังกรอ่ะ
สาธุ อย่าเป็นแบบนั้นนะ

ออฟไลน์ จันทร์ผา

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-2
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #44 เมื่อ16-02-2011 02:17:36 »

นี้มันหงส์เหนือมังกรแน่ๆ55

ออฟไลน์ puppyluv

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2539
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2000/-20
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #45 เมื่อ16-02-2011 08:21:48 »

อ่านไปลุ้นไป สนุกมาเฟีย ชอบ
แต่ทว่า คุณน้องราชินีจะแกล้งท่านผู้ติดตามอีกนานมั้ย

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #46 เมื่อ16-02-2011 14:48:22 »

เข้ามารอคุณฉู่กับน้องเซินค่า 55

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
«ตอบ #47 เมื่อ16-02-2011 19:42:10 »

-4-



“ใช้ทุนน้อยกว่าที่คิด” เซินเฟยเปรยเมื่อมองหนังสือสัญญา อย่างน้อยฉู่เหวินจือก็รู้ว่าจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ หนังสือสัญญาต้องเรียบร้อยไม่มีรอยเลือดกระเด็นมาเปรอะอย่างเด็ดขาด เรื่องลายเซ็นที่หางตวัดแบบสั่นนิด ๆ นั่นช่างมันเถอะ ให้ใช้ได้ในทางกฏหมายก็พอ

“ครับ คุณหวู่ยอมขายตึกและที่ดินให้แต่โดยดี เขาขอบคุณในความกรุณาของคุณเซินด้วย” ฉู่เหวินจือว่าด้วยรอยยิ้ม แต่อย่างไรเสีย เงินที่ได้ไปจาการขายกิจการตัวเองก็คงต้องเอาไปใช้ในโรงพยาบาลเสียกระมัง....

คนที่ตามไปดูแลฉู่เหวินจือถึงที่เองก็ไม่ได้พูดอะไร แสดงว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เซินเฟยจึงพยักหน้ารับแล้วยื่นหนังสือสัญญาให้หวางซิงเก็บเอาไว้

“แล้วนายจะทำยังไงต่อ?”

“ผมอยากจะขอบริหารทุนสักจำนวนหนึ่ง เพราะยังไงพื้นที่ตรงนั้นก็ต้องเอาตึกเก่าออกก่อนถึงจะทำอะไรต่อได้ ทั้งยังต้องวางแปลนโครงสร้าง และต้องเตรียมหาบุคลากร” ฉู่เหวินจือเริ่มแจกแจงให้ฟัง “แต่คุณเซินยังไม่ต้องรีบอนุมัติก็ได้ ผมจะเขียนรายงานไปยื่นขออนุมัติจากบอร์ดบริหารก่อนแล้วค่อยเอามาให้คุณเซ็น แล้วจะทำรายการบัญชีมาให้ตรวจสอบด้วย คุณคิดว่ายังไง?”

ตอนนี้เซินเฟยเริ่มจะเชื่อขึ้นมานิด ๆ แล้วว่า ผู้ชายคนนี้เป็นคนมีฝีมือจริงดังที่ไป๋หู่รับรองไว้ กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ตอบรับทันที

“ต้องการคนสักเท่าไหร่?”

“ตอนนี้ผมขอแค่ที่ปรึกษาทางวิศวกรรมสักคนก็พอครับ”

เซินเฟยพยักหน้ารับอีกครั้ง หวางซิงจึงรีบค้อมรับแล้วหมุนตัวออกไปทันที เลขายอดเยี่ยมอย่างหวางซิงแทบจะไม่จำเป็นต้องสื่อสารด้วยคำพูดอีกแล้ว แค่เพียงเขาพยักหน้า สบตา หรือขยับปลายนิ้ว หวางซิงก็สามารถแปลความหมายและปฏิบัติตามได้อย่างดีและครบถ้วนกระบวนความ

“คุณเซิน ผมขอถามอะไรได้ไหม?” ฉู่เหวินจือเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือพวกเขาอยู่ในห้องเพียงสองคน

“ว่ามาสิ”

“ทำไมคุณถึงให้ผมทำงานนี้?”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะเพิ่มขนาดสมองตัวเองมาแล้วจึงได้ถามเรื่องแบบนี้ออกมาได้

“ไม่พอใจอะไรหรือ?”

“เปล่าหรอกครับ เพียงแต่....ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนคุณทดสอบอยู่เลย หรือว่าคุณอยากจะรู้ขีดความสามารถของผม? หรือว่าจะเป็นความภักดี?” ฉู่เหวินจือถามไปก็แย้มยิ้มไม่ได้แสดงท่าทีหวั่นเกรงเมื่อถามออกมาแม้แต่น้อย เซินเฟยมองรอยยิ้มของชายหนุ่มร่างสูงอย่างนึกหมั่นไส้ คน ๆ นี้บทจะโง่ก็โง่เง่าจนน่าฆ่าทิ้ง แต่พอฉลาดขึ้นมาก็ดูจะเห็นอะไรทะลุปรุโปร่งไปเสียหมด

“เข้าข้างตัวเองเกินไปหน่อยหรือเปล่า?” เซินเฟยว่าแล้วหมุนเก้าอี้เล็กน้อยให้นั่งสบายขึ้น “ฉันก็แค่อยากให้นายสร้างผลงานสักชิ้น เผื่อว่าฉันจะพิจารณาตำแหน่งของนายได้”

“ตำแหน่งของผม?” ฉู่เหวินจือทวนคำแล้วหัวเราะออกมา “คุณไม่ต้องกรุณาผมมากถึงขนาดนั้นหรอกครับ หน้าที่ของผมคือดูแลรับใช้ใกล้ชิดจูเชว่ ดังนั้นถึงคุณจะให้ตำแหน่งไหนกับผม ผมก็ต้องทำงานรองมือรองเท้าคุณอยู่ดี”

“ยังไงมีตำแหน่งค้ำเอาไว้ก็ดีกว่าไม่ใช่หรือยังไง” เด็กหนุ่มชักหงุดหงิดขึ้นมา คนอะไร พอหยิบยื่นตำแหน่งให้นอกจากจะไม่แสดงท่าทางกะตือรือร้นแล้วยังทำท่าราวกับไม่แยแส หากปล่อยให้ลอยชายไปมาอย่างนี้เขาจะควบคุมได้ยากและไม่อาจซื้อความภักดีได้ ตำแหน่งผู้ติดตามเขานั้น เป็นสิ่งที่ไป๋หู่หยิบยื่นให้ หากให้ดีควรจะพ่วงตำแหน่งที่เขาให้ไปด้วยจะได้เสมอกัน

ทว่า....ถึงจะไม่แสดงความกะตือรือร้น แต่พอกลับถึงบ้าน ฉู่เหวินจือก็ขอตัวเข้าห้องเพื่อร่างโครงการทันที เซินเฟยได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบไป เพราะโครงการพวกนี้ต้องผ่านตาผู้บริหารทั้งหมดก่อนจะถึงมือเขา อย่างไรเสีย หากมีอะไรผิดปกติเขาก็จะสามารถรู้ได้ก่อนจะเกิดขึ้น หากผู้ชายคนนี้คิดจะติดสินบนกับผู้บริหารด้วยก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้เขี่ยพวกหน้าไหว้หลังหลอกพวกนั้นออกไปเสียให้หมด

“ไม่เชิญคุณฉู่ลงมาทานข้าวด้วยกันหรือ?” ซากุระเอ่ยถามเมื่อเห็นเซินเฟยเดินลงมาจากทางห้องนอนสำหรับแขก

เพื่อให้เกียรติกับคนของไป๋หู่ ซากุระจึงให้ฉู่เหวินจือร่วมโต๊ะอาหารได้โดยไม่ต้องไปกินกับหวางซิงและคนรับใช้อื่น ๆ ในบ้าน ในตอนแรก เซินเฟยก็คัดค้านแต่ในเมื่อซากุระชี้แจงเหตุผลเขาจึงจำยอมในที่สุด

“เห็นว่ากำลังทำงานน่ะครับ”

“ได้ยังไงกัน ถึงเวลาทานก็ต้องทานนะ เดี๋ยวอาขึ้นไปเองแล้วกัน” ซากุระไม่ทันจะก้าวผ่านไป เซินเฟยก็รีบรั้งตัวไว้ทันที

“เดี๋ยวผมเรียกให้เอง คุณอาไปรอที่โต๊ะเถอะครับ” เซินเฟยคิดหลายตลบแล้ว มองยังไงเขาก็รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยที่จะให้ฉู่เหวินจืออยู่กับอาสะใภ้ของเขาตามลำพัง อาสะใภ้ของเขานั้นแม้จะหม้ายสามีแต่ก็ยังสาวยังแส้ อายุน่าจะน้อยกว่าฉู่เหวินจือเสียอีก การที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังนอกจากจะมองไม่ดีแล้วเขายังไม่อาจรับรองได้ว่าฝ่ามือของเขาจะทำให้ฉู่เหวินจือหลาบจำได้จริงไหม

เมื่อซากุระเดินลับหลังไป เซินเฟยก็เรียกให้คนรับใช้คนหนึ่งขึ้นไปตามตัวฉู่เหวินจือลงมา

“คุณฉู่บอกว่าจะทำงานก่อนครับ ให้ท่านหญิงกับนายน้อยทานกันไปได้เลยไม่ต้องรอ” คนรับใช้รายงานตามคำพูดของฉู่เหวินจือทำให้หางคิ้วเซินเฟยกระตุกปึก นี่อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน....

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปบอกคุณฉู่ว่าถ้าไม่ลงมาภายใน 5 นาที ผมจะส่งการ์ดขึ้นไปลากคอลงมา” เสียงของเซินเฟยกดต่ำจนคนรับใช้ไม่กล้าโต้แย้ง ได้แต่วิ่งกลับขึ้นไปรายงานตามคำพูดทุกคำอย่างไม่ผิดเพี้ยน รออยู่ไม่นานร่างของฉู่เหวินจือก็ปรากฏขึ้นเหนือบันไดขั้นบนสุดตามด้วยคนรับใช้ที่ถูกใช้ขึ้นไปตาม

เซินเฟยเห็นดังนั้นจึงพ่นลมหายใจออกไปแล้วเดินนำไปยังห้องอาหาร

ทำไมถึงต้องขัดใจอยู่เรื่อยนะ

เขานึกในใจอย่างหงุดหงิด วันนี้เห็นว่ามีผลงานก็คิดจะชมเชยอยู่ พอเห็นอาการขัดขืนแล้วก็อดไม่ได้อยากจะทำลืม ๆ ผลงานเหล่านั้นไปซะ

หลังมื้ออาหาร ฉู่เหวินจือก็กลับไปทำงานต่อในทันที เซินเฟยเริ่มจะคลางแคลงว่าโครงการครั้งนี้มีลูกเล่นอะไรหรือไม่ เจ้าตัวจึงดูตั้งอกตั้งใจทั้งที่ไม่ได้หวังตำแหน่งใด ๆ จากเขาเลย

ในขณะที่เซินเฟยกำลังนึกถึงความเป็นไปได้อยู่นั้น หวางซิงก็เดินเข้ามาด้วยทีท่าไม่ค่อยมั่นใจนัก

“มีอะไรหรือเปล่า?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เซินเฟยจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

“คือ...เรื่องของเฉียนหยุนน่ะครับ...” หวางซิงพูดไปก็เหงื่อตก “ไม่รู้ว่าใครคาบข่าวไปบอก แต่กิจการที่เทคโอเวอร์มาวันนี้อยู่ใกล้กับเขตของเฉียนหยุน เขาเลยบอกว่ายากจะขอที่ตรงนั้นเข้าไปรวมไว้ในเขตด้วยจะได้ควบคุมพวกที่เข้ามาก่อกวนได้ง่ายขึ้น”

เฉียนหยุนกล้าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?

เซินเฟยหรี่ตาลง ถึงเฉียนหยุนจะเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการนั่งตำแหน่งของเขา แต่ก็ควรจะให้เกียรติเขาในฐานะจูเชว่บ้างไม่ใช่หรือ? คนฉลาดอย่างเฉียนหยุนไม่น่าจะทะเยอทะยานออกนอกหน้าถึงขนาดนี้ได้ หากคิดตลบหลังเขายังสมเหตุสมผลเสียกว่า จะว่าไป เรื่องของคนแซ่หวู่นั่นก็เหมือนกัน โดยปกติเจ้าปลิงไร้ประโยชน์นั่นไม่น่าจะกล้าอาจเอื้อมถึงเขา แต่นี่ถึงขนาดกล้าต่อรองจนต้องบีบด้วยกำลัง นอกจากนี้ เฉียนหยุนยังรู้เรื่องการซื้อขายกิจการได้รวดเร็วอย่างหลือเชื่อ โครงการก็ยังเป็นแค่โครงการ ไม่ได้พิมพ์ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเสียด้วยซ้ำ

สองเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?

“แค่พวกก่อกวนกลุ่มเล็ก ๆ ยังจัดการไม่ได้ เอาพื้นที่ไปเพิ่มก็เสียเปล่าเท่านั้น” เซินเฟยว่าเช่นนั้นเมื่อเห็นหวางซิงยังรอฟังคำตอบ

“เฉียนหยุนบอกว่าคุณต้องพูดอย่างนี้แน่ ๆ เขาเลย....ฝากว่าจะเข้าไปพบที่บริษัทพรุ่งนี้น่ะครับ....”

“อืม....” เซินเฟยเพียงรับคำในคอโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ หวางซิงจึงขอตัวไปช่วยหวางซือและหวางซานทำงานต่อก่อนจะแยกย้ายไปนอน ตอนนี้ซากุระขึ้นนอนไปแล้วจึงไม่มีใครได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน เซินเฟยคิดเช่นนั้นโดยไม่รู้ว่าหลังกำแพงถัดไป ฉู่เหวินจือกำลังยืนกอดอกและยิ้มขันกับสิ่งที่ได้ยิน

---------------------->

เซินเฟยสั่งประชาสัมพันธ์ว่าหากคนชื่อเฉียนหยุนมาแล้วให้เชิญขึ้นห้องทำงานเขาได้เลย แม้ประชาสัมพันธ์นึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรด้วยคิดว่าคงจะเป็นแขกพิเศษของประธานเท่านั้น

“คุณเฉียนหยุนคนนี้สำคัญมากหรือครับ?” ฉู่เหวินจือกระซิบถามหวางซิง

“ก็อย่างที่คุณรู้แหละครับ เพราะเป็นคนเก่าคนแก่ก็เลยต้องให้เกียรติกันหน่อย” หวางซิงอธิบายสั้น ๆ แต่ฉู่เหวินจือก็พยักหน้ารับและไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาพอจะเข้าใจอยู่ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับธุรกิจทุกแบบอยู่แล้วที่ต้องเอาอกเอาใจผู้อาวุโสที่เป็นประโยชน์กับองค์กรมากกว่าพวกมือใหม่หัดบริหาร

เซินเฟยนั่งรอเฉียนหยุนในห้องอย่างใจเย็น ระหว่างนั้นก็ตรวจสอบงานไปด้วยเพื่อไม่ให้ตัวเองว่างจนเกินไปนัก

จนกระทั่งเกือบเที่ยงแล้ว เฉียนหยุนจึงเพิ่งปรากฏตัว เซินเฟยรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจงใจจะท้าทายแต่เขาก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา

“นั่งลงก่อนสิ” เซินเฟยเชิญแขกของตนให้นั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ สายตาของเขาลอบสังเกตชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงแต่ยังดูภูมิฐานอยู่ทุกอากัปกิริยา

“ไม่ได้เข้ามาที่ห้องนี้ซะนานเลยนะ ไม่เปลี่ยนไปเลย” เฉียนหยุนว่าก่อนจะนั่งลง “แล้วว่ายังไงจูเชว่ ที่ตรงนั้นน่ะให้ผมไม่ได้งั้นหรือ? ยังไงคุณก็ซื้อมาด้วยราคาแสนจะถูก แล้วก็จงใจจะใช้ขยายเขตปกครองอยู่แล้ว ยังไงเขตนั้นมันก็ต้องเป็นผมดูแลอยู่ดี สู้ยกให้ผมจัดการแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่วุ่นวายถึงคุณยังไงล่ะ”

“ขอโทษด้วยนะเหล่าเฉียน แต่ที่ตรงนั้นผมยกให้คนอื่นไปแล้ว” เซินเฟยจงใจตอบอย่างตรงไปตรงมาเพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย และเขาก็เห็นได้ถึงการกระตุกมุมปากเบา ๆ กระนั้นเฉียนหยุนก็ยังคลี่ยิ้มเย้ยหยันออกมาตามแบบฉบับของตัวเอง

“ใครกันนะที่ได้ที่ตรงนั้นไป ผมล่ะอยากรู้จริง ๆ”

“เรื่องนั้นผมไม่จำเป็นต้องบอกให้คุณรู้ แต่เขาเป็นคนที่ได้ที่ตรงนั้นมาในขณะที่คุณปล่อยมันให้อยู่นอกสายตาตลอดหลายปีมานี้ ผมคิดว่าสมควรแล้วที่เขาจะได้เป็นคนจัดการ” เซินเฟยไม่ได้คิดจะบอกเรื่องของฉู่เหวินจือให้เฉียนหยุนรู้ เขาไม่อยากจะต้องมานั่งทนสายตาเหยียดหยันด้วยเหตุผลนั้น “อีกอย่าง ในขณะที่เขามีผลงานมาเสนอผม คุณกลับดูแลถิ่นของตัวเองไม่รอด ถ้ามันหนักเกินไปนักบางทีคุณน่าจะพักผ่อนได้แล้วนะเหล่าเฉียน”

ความหมายของเซินเฟยไม่ต้องแปลให้มากความเท่าใดนัก เขาจงใจจะบอกอีกฝ่ายว่า หากจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ในเร็ววัน ถึงจะเป็นเฉียนหยุนเขาก็ลดอำนาจลงได้เหมือนกัน

เซินเฟยปล่อยให้เฉียนหยุนเหลิงในอำนาจและความยำเกรงมานานแล้ว อาจจะถึงเวลาเสียทีที่เขาต้องแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดเสียบ้าง

“อย่าเพิ่งโมโหไปสิจูเชว่ ผมมันก็แก่แล้วอย่างที่คุณว่านั่นแหละนะ” อยู่ ๆ เสียงของเฉียนหยุนก็อ่อนลงจากตอนแรก “พออายุเริ่มมากขึ้นจะทำงานทำการอะไรมันก็ขัดไปหมด เด็กหนุ่ม ๆ สมัยนี้มันก็ขี้เกียจกันเหลือเกิน เอาแต่นั่งเก้าอี้ชี้นิ้วสั่งไม่ลงไปทำงานเสียบ้าง”

หัวคิ้วของเซินเฟยเริ่มจะขยับเข้าหากัน เขาใช่ว่าจะโง่ขนาดฟังคำเสียดสีนั้นไม่ออก

ผู้ชายคนนี้คิดจะท้าทายเขาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?

โง่จริง....

เซินเฟยคิดอย่างขุ่นใจ คนที่เหมือนจะใช้งานได้มากกว่าคนอื่นกลับมาทำเล่นตัวเป็นเด็ก ๆ เสียอย่างนั้น คิดจะให้เขาง้ออย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ คนอย่างจูเชว่ไม่มีวันก้มหัวให้ใคร ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีเชื้อสายโดยตรงแต่อย่างน้อยเขากับจูเชว่คนที่แล้วก็มีบรรพบุรุษคนเดียวกัน สายเลือดมันจะห่างกันสักแค่ไหนกัน

“หมายความว่า...คุณจัดการให้ผมไม่ได้?”

“ผมก็ไม่ได้พูดแบบนั้น แต่ถ้าจะให้ผมขยับตัวมันก็...ต้องรอเวลากันหน่อย” เฉียนหยุนหัวเราะเสียงขัดหู

“คุณพยายามจะบอกว่าอยากให้ผมลงไปจัดการเองสินะ” เซินเฟยหรี่ตาลง

“เหล่าเฉียนไม่กล้ารบกวนจูเชว่ถึงขนาดนั้นหรอก” เฉียนหยุนโบกมือปฏิเสธเหมือนว่าจะทำแค่พอเป็นพิธี เซินเฟยคร้านจะอ้อมค้อม เขาผ่อนคลายร่างกายที่เกร็งเครียดแล้วเอนหลังให้สบายที่สุดก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วหลับตานิ่งสักครู่

“ในเมื่อมันลำบากสำหรับคุณนัก ผมจะลงไปจัดการให้เพราะเห็นแก่เหล่าเฉียน” เซินเฟยพูดทั้งที่ยังหลับตาก่อนจะค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมามองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง “แต่ว่า ตอนที่ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว เหล่าเฉียนกับลูกน้องทั้งหมดก็ส่งใบลาออกให้ผมด้วยก็แล้ว”

“เห.....” เสียงเสียดหูไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ “จูเชว่จะไล่เหล่าเฉียนออกหรือ? ไม่เห็นใจคนแก่บ้างหรือไงกัน?”

“บอกตามตรงนะเหล่าเฉียน ผมตั้งใจไว้ว่าจะทำตามที่จูเชว่รุ่นก่อน ๆ ทำมา ใครที่ทำประโยชน์ให้องค์กรจนถึงที่สุด แม้จะชราหรือทุพพลภาพก็จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีรวมไปถึงครอบครัวที่รออยู่ข้างหลังด้วย แต่สำหรับคนที่ยังทำประโยชน์ได้ไม่เท่าไหร่ เลี้ยงไปมันก็เปลืองข้าวสุกเสียเปล่า ๆ” ถึงตอนนี้ เซินเฟยไม่คิดจะไว้หน้าอีกฝ่าย เขาอยากแสดงให้เห็นว่าเขาไม่คิดจะทำตัวเป็นเด็กหัวอ่อนตลอดไป ที่เขายอมให้อีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาจนถึงตอนนี้ก็มาถึงจุดที่สุดสิ้นความอดทนแล้ว ทั้งการเพิกเฉยต่อคำสั่งและการต่อรองอย่างอวดดีนั่นล้วนเป็นการแข็งข้ออย่างไม่น่าให้อภัย ถึงจะเสียดายคนเก่ง แต่คนเก่งที่มือเท้าไม่ทำงานนั้นมีค่าต่ำเสียยิ่งกว่าคนไร้ประโยชน์

เฉียนหยุนดูเหมือนจะไม่พอใจต่อคำตอบ เขากัดฟันกรอด

“หึ!”

เขาส่งเสียงออกมาเท่านั้นก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็วต่างจากท่าทางเหมือนคนแก่เมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เฉียนหยุนเป็นคนฉลาด เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าตนเองไม่สามารถเสนอหน้ามาหาเซิยเฟยได้อีก ทำไม่ได้แม้แต่จะเป็นหัวหน้าแก๊งค์ต่อได้ด้วยซ้ำ

เสียงประตูกระแทกปิดดังจนสะเทือนประสาทเจ้าของห้อง เซินเฟยยกมือขึ้นนวดขมับที่เริ่มเกร็งเครียดจนปวดหนึบ

ทำไมอะไร ๆ มันถึงไม่ได้ดังใจเสียทีนะ

“ขออนุญาตครับ” หวางซิงนำเครื่องดื่มเย็น ๆ เข้ามาในห้องเมื่อเห็นเฉียนหยุนออกไปแล้ว ท่าทางของเซินเฟยดูไม่ค่อยดีนักทำให้เขานึกเป็นห่วง “คุณเซิน....”

“ไม่เป็นไร ไปส่งเหล่าเฉียนเถอะ” เซินเฟยโบกมือไล่ เขาอยากอยู่เงียบ ๆ สักครู่ให้อาการปวดหัวบรรเทาลง

สำหรับเซินเฟยแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาต้องเริ่มทำงานมาตั้งแต่อายุ 12 เผชิญกับความกดดันอยู่ตลอดเวลา พอนานวันเข้าอาการไมเกรนก็เริ่มปรากฏก็เท่านั้น

เซินเฟยหลับตาลงเพื่อให้สายตาพักผ่อน เส้นประสาทยังเต้นตุบ ๆ จนรู้สึกได้ หูของเขาแว่วเสียงประตูเปิดและปิดลงโดยเลขาประจำตัวและห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เมื่อประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ผ่อนคลายอาการปวดจึงเริ่มบรรเทาลง ตอนนั้นเอง เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เซินเฟยคิดว่าเป็นหวางซิงกลับมาเอาของหรือรายงานอะไรจึงไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง เขาเพียงแต่ส่งเสียงถาม

“มีอะไร?”

ไม่มีเสียงตอบรับ เซินเฟยเริ่มรู้สึกผิดสังเกต เท้าคู่นั้นยังคงสาวเข้ามาเรื่อย ๆ และเมื่อเขาลืมตาขึ้น เสียงฝีเท้าก็หยุดลง

“เข้ามาทำไม?” เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผู้ที่อยู่ในห้องคือฉู่เหวินจือ

“หวางซิงบอกว่าคุณอาการไม่ค่อยดีเลยวานให้เอายากับน้ำมาให้” ฉู่เหวินจือตอบก่อนจะวางแก้วน้ำกับเม็ดยาลงบนโต๊ะ

“เท่านี้หรือ?”

“คุณมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ?” ชายหนุ่มแย้มยิ้มด้วยท่าทางสบาย ๆ “เรื่องที่คุยกับเฉียนหยุนจะให้ผมจัดการแทนไหม?”

“สู่รู้เกินไปแล้ว” เซินเฟยไม่พึงพอใจต่อกริยาที่ทำราวกับว่ารู้ทุกเรื่องของอีกฝ่าย “นายอยู่เฉย ๆ แล้วทำงานของตัวเองไปเถอะ อย่าสอดรู้ให้มากนัก”

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นจะทานยาเลยไหม? ผมจะได้เก็บแก้วออกไปด้วย”

เซินเฟยเหลือบตาลงมองยาแบบอัดเม็ดที่บรรจุอยู่ในบลิสเตอร์แพคอย่างดีไม่มีรอยฉีกขาด สีสันและลักษณะรวมทั้งแผ่นอลูมิเนียมที่ปิดด้านหลังบลิสเตอร์แพคก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต เขาแกะเม็ดยาออกแล้วโยนใส่ปาก ดื่มน้ำตามอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ทำให้ฉู่เหวินจือรับรู้ถึงอาการระแวดระวังตัวแม้แต่น้อย เซินเฟยทิ้งบลิสเตอร์แพคที่แกะแล้วลงในแก้วเปล่าก่อนจะส่งคืนให้โดยเลื่อนไปไว้ตรงมุมโต๊ะ

ฉู่เหวินจือเดินเข้ามารับแก้วไปโดยไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่กลับออกไปอย่างเงียบเชียบเหมือนตอนที่เข้ามา ถึงอย่างนั้น ชั่วแวบหนึ่งที่เซินเฟยแน่ใจว่าเขาเห็นรอยยิ้มในดวงตาอีกฝ่าย

ความเงียบโรยตัวลงปกคลุมห้องทำงาน มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่ง ๆ อยู่ไม่นานก็ตัดไปเมื่ออุณหภูมิห้องถึงที่กำหนด เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างมีมารยาท หวางซิงก้าวเข้ามาเพื่อรายงานว่าได้ส่งเฉียนหยุนขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว เซินเฟยเพียงพยักหน้ารับแล้วหันมองนาฬิกา


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
«ตอบ #48 เมื่อ16-02-2011 19:42:52 »

“วันนี้มีใครนัดอะไรอีกไหม?”

“ไม่มีครับ แต่เย็นนี้มีงานเลี้ยงงานหนึ่ง จะให้เตรียมเลยไหมครับ?” ที่หวางซิงพูดหมายถึงเครื่องแต่งกายที่จะผลัดเปลี่ยนก่อนไปงาน

“ให้คนจัดการเลยก็แล้วกัน แล้วก็เตรียมให้ฉู่เหวินจือด้วย” หวางซิงไม่ได้ถามเหตุผลเพราะรู้กันอยู่ว่าฉู่เหวินจือถูกส่งมาเพื่อจับตาดูเซินเฟย ไม่ว่ายังไงก็ต้องอยู่ข้างกาย โดยเฉพาะงานสังคม หากบังเอิญเจอไป่หู่เข้า เจ้าตัวอาจไม่พอใจหากเห็นว่าคนของตนเองไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่กำชับไว้

----------------------->

งานสังคมครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่างครั้งอื่นมากนัก เซินเฟยต้องยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของพวกสอดรู้สอดเห็นทั้งชายหญิง เพียงแต่ไม่กดดันเท่าครั้งก่อน ๆ เนื่องจากมีคนช่วยแบ่งเบาจำนวนสายตาอยู่สองคน หวางซิง ที่หากพูดจริง ๆ แล้ว แม้จะอายุถึงเลข 3 แต่ก็ยังหนุ่มแน่น ใบหน้าอ่อนกว่าอายุจริงหลายปี ท่าทางสุภาพของเจ้าตัวทำให้หญิงสาวหลายคนถึงกับมองตาเยิ้ม ส่วนฉู่เหวินจือ เมื่ออยู่ในชุดแบบทางการก็ยิ่งดึงดูดความสนใจ เจ้าตัวโปรยยิ้มให้กับทุกคนที่เดินผ่านจนเซินเฟยนึกสงสัยว่านิสัยเช่นนี้ติดมาจากไป๋หู่หรือเป็นนิสัยส่วนตัวกันแน่

“คุณเซินครับ นั่นคุณหลวน” หวางซิงก้มลงกระซิบข้างหูเจ้านาย เซินเฟยพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มให้กับชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพลางเอ่ยทักทาย

“ยินดีที่ได้พบครับคุณหลวน”

การจดจำผู้คนมักจะทำให้เกิดความประทับใจอย่างยิ่งยวด ความทรงจำจึงมีความสำคัญมากในเชิงธุรกิจ กระนั้นสมองคนก็มีขีดจำกัด การติดต่อเจรจางานกับคนมากหน้าหลายตาไม่มีทางจำจดจำได้ทุกคน ด้วยเหตุนั้นนักธุรกิจใหญ่ทั้งหลายที่ต้องออกงานสังคมจึงมักใช้วิธีคล้าย ๆ กัน นั่นคือให้ผู้ติดตามช่วยจดจำหน้าแขกแต่ละคนที่อาจจะมาในงานเดียวกันและกระซิบบอกชื่อก่อนที่แขกจะเข้าถึงตัว

ที่เซินเฟยพาฉู่เหวินจือมาด้วยเพราะอยากให้อีกฝ่ายช่วยแบ่งเบางานของหวางซิงไปบ้าง งานนี้ไม่ใช่เล็ก ๆ คนเยอะขนาดนี้ให้หวางซิงจำคนเดียวคงไม่ไหว และจากที่เขาเคยประจักษ์ความช่างสังเกตสังกาของฉู่เหวินจือ จึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเหมาะกับงานนี้อย่างแน่นอน

เซินเฟยทักทายคนไปเรื่อย ๆ สายตาก็คอยดูว่าไป๋หู่มาด้วยหรือไม่ ทว่าเขากลับได้พบคนที่ไม่ได้คิดถึงแทน

“ยินดีที่ได้พบครับ เสวียนอู่”

หญิงสาวในชุดราตรีสีดำดูสง่าเลิกคิ้วหันมามองต้นเสียงก่อนจะแย้มยิ้มลึกลับเมื่อพบว่าผู้ทักตนเป็นใคร

“ไม่คิดว่าจะได้พบจูเชว่ที่นี่ ได้ยินว่าไม่ชอบออกงานไม่ใช่หรือ?” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ใบหน้าของหญิงสาวก็ไม่ได้แสดงความตระหนกหรือแปลกใจออกมาแม้แต่น้อย “ไม่ได้พบกันตั้งแต่งานศพของท่านตาสินะคะ คุณดูต่างจากตอนนั้นมากทีเดียว”

“คุณก็เช่นกัน” เซินเฟยพูดและหมายความตามนั้น เขาได้พบกับเสวียนอู่คนนี้เมื่อ 3 ปีก่อน เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ได้พบกัน ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กอายุ 15 ที่ตามหลังอาสะใภ้ไปเรื่อย ๆ ส่วนหญิงสาวคนนี้ก็เป็นเหมือนเด็กสาวแรกรุ่นทั่วไป หากไม่นับว่าเธอคือทายาทของเสีวยนอู่ที่สิ้นลมไปใครจะเชื่อว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถกลั้นน้ำตาและความขมขื่นภายใต้ใบหน้าสุขุมลึกล้ำในขณะที่ญาติทุกคนต่างพากันร่ำไห้ได้ ในตอนนั้นเขาจำได้ว่าตัวเองนึกชื่นชมในความเข้มแข็งของเธอ

ถ้าไม่มีข่าวลือเรื่องขายพี่ชายตัวเองเพื่ออำนาจ....เขาอาจเต็มใจจะผูกมิตรกับเธอมากกว่านี้ แต่สำหรับผู้หญิงที่เสมือนงูพิษ หากเกี่ยวดองด้วยมากเกินไป รังแต่จะถูกคมเขี้ยวนั้นขย้ำคอเข้าสักวัน

“นั่นลูกน้องคนใหม่หรือ? ไม่เคยเห็นหน้าเลยนะ” เสวียนอู่ดูจะให้ความสนใจฉู่เหวินจือพอสมควร ด้วยสัญชาตญาณหญิงและสัญชาตญาณหนึ่งในผู้นำองค์กรมาเฟียฮ่องกง เธอรู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา ทำไมจูเชว่จึงยอมให้คนแบบนี้มาอยู่ข้างกายได้ทั้งที่ไม่เคยมีวี่แววว่าจะรู้จักหรือมีผลงานมาก่อน

“ก็ทำนองนั้น....”

การที่เสวียนอู่ไม่ได้เอ่ยถึงไป๋หู่ แสดงว่าไป๋หู่ไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องฉู่เหวินจือให้ใครรู้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีสำหรับเซินเฟย เพราะหากคนนอกรู้ว่าเขายอมให้คนของไป๋หู่มาจับตาดูใกล้ชิดอย่างนี้ ฐานะจูเชว่ของเขาคงยิ่งตกต่ำลงกว่าเดิม

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณผู้หญิง” ฉู่เหวินจือเอ่ยทักทายเสวียนอู่อย่างเป็นธรรมชาติ “ผมได้ยินข่าวลือมาว่าเสวียนอู่คนปัจจุบันเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยเสน่ห์ วันนี้ผมก็ได้เห็นกับตาแล้ว”

เซินเฟยกลอกตา.....ช่างเป็นคำพูดที่ชวนให้อาเจียนเสียจริง....

แต่เอาเถอะ ขอแค่กริยาเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นกับอาสะใภ้ของเขาก็พอแล้ว

“ตายจริง” เสวียนอู่หัวเราะคิก “เป็นคนปากหวานต่างจากเจ้านายเลยนะ ทำให้ฉันคิดถึงใครบางคนขึ้นมา.....ไป๋หู่เองก็ท่าทางเจ้าชู้กรุ้มกริมอย่างนี้เหมือนกัน”

เซินเฟยเกร็งตัวเมื่อเสวียนอู่ทักเช่นนั้น

“มีหลายคนบอกว่าผมเหมือนเขา แต่ผมยังไม่กล้าเทียบเทียมคนที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ฉู่เหวินจือแก้สถานการณ์ด้วยคำพูดพื้น ๆ ไม่ได้แสดงพิรุธอะไรออกมา

“จะว่าไปก็น่าเสียดายจริง ๆ ชิงหลงก็ไปติดต่องานที่ต่างประเทศ ส่วนไป๋หู่ก็ติดธุระด่วน อย่างน้อยได้มาเจอคุณก็ยังดีนะคะ จูเชว่” เสวียนอู่ว่า เธอดึงมือที่ฉู่เหวินจือดึงไปครอบครองกลับมาหลังจากฝ่ายนั้นจุมพิตจนพอใจ

อย่างนั้นเองหรือ.....

เซินเฟยนึกกับตนเองในใจ มิน่าเล่าจึงไม่เห็นคนอื่น ๆ เพราะไป๋หู่นั้นนับเป็นคนสังคมจัดคนหนึ่ง หากมีงานที่ใดต้องพบที่นั่น วันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา

“ดนตรีนี่....มีลีลาศด้วยหรือ? เหล่าเฉินช่างละเอียดอ่อนเสียจริง” หญิงสาวเอ่ยถึงเจ้าของงานพลางหัวเราะเบา ๆ แล้วหันมามองเซินเฟยอย่างมีความหมาย เด็กหนุ่มรู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิปฏิเสธคำเชิญชวนด้วยสายตา เขาส่งแก้วคอกเทลในมือให้หวางซิงถือก่อนจะโค้งคำนับอย่างสง่างาม

“กรุณาให้เกียรติเต้นรำกับผมได้ไหมครับ?”

“คำขอของจูเชว่ ฉันจะปฏิเสธได้ยังไงกัน” เสวียนอู่ตอบรับมือที่ยื่นขอก่อนที่ทั้งสองจะควงกันตรงไปยังฟลอร์เต้นรำ

เพลงแรกเป็นจังหวะวอลซ์ซึ่งเสมือนเป็นธรรมเนียมของการเต้นลีลาศก็ว่าได้ที่จะต้องอุ่นเครื่องด้วยจังหวะวอลซ์ก่อนจะเริ่มจังหวะอื่น ๆ

เสียงทุ้มสลับกับไวโอลินกรีดเสียงหวานพาให้ผู้เต้นรำพากันก้าวเดินตามจังหวะอันเนิบช้าทว่าแฝงไปด้วยเสน่ห์ละมุนละม่อม เซินเฟยขยับเท้าก้าวนำการประสานจังหวะอย่างชำนาญ การต้องออกงานสังคมบ่อยครั้งทำให้การเต้นรำเป็นงานอดิเรกที่จำเป็นต้องทำ เสวียนอู่เองก็ขยับตัวไปตามการนำอย่างสวยงามไม่แพ้กัน แม้ทั้งสองจะไม่ได้มีเทคนิคล้ำเลิศขนาดขันแข่งกับใครได้ แต่ก็สามารถตรึงสายตาคนทั้งฟลอร์ได้อย่างชะงัดงัน

ทั้งสองจบเพลงได้อย่างสวยงาม เซินเฟยพาเสวียนอู่ออกมาจากฟลอร์แล้วโค้งให้อีกครั้งเมื่อมาส่งถึงที่ก่อนหันไปรับแก้วคอกเทลคืนจากหวางซิง

“ไม่ได้เต้นเข้าคู่กับใครอย่างนี้มานานแล้ว คราวหน้าคราวหลังอาจต้องรบกวนบ่อย ๆ เสียแล้วสิคะ จูเชว่” เสวียนอู่เอ่ยเป็นนัยแต่เซินเฟิงก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกสนุกกับการได้เห็นเขาทำบางสิ่งบางอย่างในการควบคุมของเธอโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“ผมอาจไม่ว่างบ่อยเท่าไหร่” เซินเฟยเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพเป็นการบอกอย่างเป็นนัยว่าเขาไม่คิดจะทำตามความปรารถนาของเธอเสมอไป

“พ่อหนุ่มคนนี้ล่ะคะ จะมาแทนเมื่อคุณไม่ว่างไหม?” หญิงสาวว่าพลางปรายสายตาไปทางฉู่เหวินจือ

“ฉู่เหวินจือเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน ยังต้องให้ฝึกอีกมากครับ” หวางซิงชิงตอบแทนด้วยเกรงว่าฉู่เหวินจือจะเผลอตกปากรับคำอะไรไปจะทำให้เซินเฟยเดือดร้อนได้

“งั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดาย” เสวียนอู่กล่าวได้เพียงเท่านั้นก็มีชายท่าทางภูมิฐานและสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบบางอย่างกับเธอ หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับมาหาเซินเฟย “ฉันมีธุระต้องไปต่อ คงต้องขอตัวกลับก่อน หวังว่าเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกนะคะ จูเชว่”

“ผมก็เช่นกัน” นั่นคือการตอบรับตามมารยาทซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ดี

เสวียนอู่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะเดินจากไปโดยเซินเฟยไม่ได้ละสายตาจากแผ่นหลังบางนั้นเลย

หญิงสาวไปร่ำลากับเจ้าของงานก่อนจะถูกส่งขึ้นรถโดยการ์ดของเธอเอง เสวียนอู่คลี่ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีเข้มพลางหัวเราะเบา ๆ

“สนใจเจ้าหนุ่มแซ่ฉู่คนนั้นหรือครับ?” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นเจ้านายของตนดูจะมีความสุขอย่างน่าประหลาด

“ใช่ เป็นคนน่าสนใจทีเดียว” เสวียนอู่ตอบตามตรง

“ถ้าอย่างนั้นผมจะจัดการ....”

“ไม่ต้อง”

โดยปกติแล้วหากมาเฟียคนหนึ่งต้องการคนของผู้อื่นอาจจะใช้หลายวิธีแย่งยื้อมาได้ อาจเสนอผลประโยชน์ให้หักหลังนายเก่าหรือเจรจาแลกเปลี่ยนอย่างสมน้ำสมเนื้อกับเจ้านายโดยตรง การใช้วิธีเหล่านี้จะไม่ต้องขัดแย้งกับกฎที่ค้ำคอพวกเขาอยู่ด้วย เสวียนอู่เองก็เคยใช้วิธีเหล่านี้กับคนเก่งกาจในวงการ แต่กับผู้ชายแซ่ฉู่คนนี้เธอกลับไม่ได้นึกอยากได้ไว้ข้างกายแม้แต่น้อย

“ผู้ชายคนนั้นภายนอกดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ฉันรู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นคนอันตราย การที่จูเชว่เอาคนอย่างนั้นมาอยู่ด้วยไม่รู้ว่าคิดดีแล้วหรือยัง แต่ฉันไม่ชอบเลี้ยงจิ้งจอกให้หันมาลอบกัดหรอกนะ” ตอนที่สบตากัน เสวียนอู่สามารถรู้ได้จากแววตาที่ปรากฏเพียงวูบเดียวว่าฉู่เหวินจือมีบางสิ่งที่น่าพรั่นพรึง เป็นคนที่ไม่น่าเป็นมิตรและไม่น่าเป็นศัตรู แน่นอนว่าลำพังตัวผู้ชายคนนั้นไม่อาจทำให้ผู้ครองอำนาจหนึ่งในสี่ของฮ่องกงอย่างเธอหวั่นไหวได้ แต่กับจูเชว่ที่เป็นมือใหม่ของวงการ เธอยังนึกสงสัยอยู่ว่าจะสามารถควบคุมคน ๆ นั้นได้จริงหรือไม่

“แล้วถ้าปล่อยไป....”

“ในตอนนี้ปล่อยไปก่อน” เสวียนอู่ว่า “ถ้าเริ่มจะขัดแข้งขาเมื่อไหร่ก็ค่อยกำจัดทิ้งแล้วกัน ออกรถเถอะ ป่านนี้พี่ชายของฉันคงรอนานแล้ว” หญิงสาวตัดบทแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้นุ่ม นาน ๆ เธอจะได้ไปเยี่ยมพี่ชายที่ย้ายไปอยู่กับไป๋หู่เสียที จะมาเสียเวลากับคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งนั้นจึงไม่ได้อยู่ในความคิดเลยแม้แต่น้อย

--------------------->

เซินเฟยอยู่ในงานต่อจนกระทั่งดึกพอสมควรเขาจึงขอลากลับด้วยเหตุผลว่าพรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำ เจ้าของงานทำท่าเสียดมเสียดายแต่เขาก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงการประจบประแจงเท่านั้น เท่าที่เขารู้ ตาแก่แซ่เฉินคนนี้ไม่เคยคิดจะมองเห็นเขาอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ เพราะธุรกิจของเจ้าตัวก็ขึ้นกับเสวียนอู่ไปมากกว่าครึ่ง กับจูเชว่ที่ไม่ได้มีผลได้เสียต่อกันจึงไม่เห็นความสำคัญแต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่ทำเรื่องขุ่นใจกับผู้มีอิทธิพล

“ดูเหมือนเสวียนอู่จะสนใจนายนะ” เซินเฟยเอ่ยทักขึ้นเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัว

“แต่ผมว่าเธอดูสนใจคุณมากกว่า” ฉู่เหวินจือทำซื่อโยนลูกกลับไปให้คนเริ่มเรื่อง

“ฉู่เหวินจือ ถ้านายคิดหักหลังฉันคงรู้ผลที่จะตามมาใช่ไหม?” โดยปกติ เซินเฟยไม่ใช่คนที่ชอบคิดอะไรในแง่ร้าย แต่ด้วยอิทธิพลจากการทำงานในวงการใต้ดินทำให้เขาต้องระแวดระวังคนรอบข้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งช่วงนี้เฉียนหยุนเกิดแข็งข้อขึ้นมา เขาก็ยิ่งไว้ใจใครยากขึ้น

แต่ฉู่เหวินจือกลับหัวเราะกับคำพูดนั้นราวกับมันเป็นแค่คำขู่ลอย ๆ

“คุณลืมไปแล้วหรือครับว่าผมถูกส่งมาเพื่ออะไร” เขาพูดพลางยิ้มกว้าง “ถ้าผมหักหลังคุณ คุณเซินไม่จำเป็นต้องลงมือให้เหนื่อยหรอกครับ เพราะไป๋หู่ก็คงไม่ปล่อยผมไว้เหมือนกัน”

“ให้มันจริงเถอะ” เซินเฟยเปรยเบา ๆ “ตอนนี้นายสนใจงานของตัวเองไปก่อนจะดีกว่า นายไม่มีตำแหน่งอะไรค้ำประกันแต่ได้มาอยู่ข้างฉันก็ถือว่าเกินหน้าคนอื่นไปมากแล้ว ทำผลงานอย่างให้ฉันผิดหวังล่ะ”

“รับทราบครับ” ฉู่เหวินจือรับคำอย่างว่าง่าย ทว่าในดวงตาคู่สวยนั้นกลับมีประกายแปลกประหลาดออกมาวูบหนึ่ง กระนั้นหวางซิงกับเซินเฟยก็ไม่ทันได้เห็น....


TBC


แอบมีศัพท์เฉพาะโผล่มาเล็กน้อยเลยขออธิบายเผื่อนึกภาพไม่ออกนะคะ

บลิสเตอร์แพค (Blister Pack) มีอีกชื่อว่าบรรจุภัณฑ์กดทะลุ ประกอบด้วยพลาสติกที่ผ่านกระบวนการขึ้นรูปตามผลิตภัณฑ์และแผ่นอลูมิเนียมปิดด้านหลัง ถ้าใครนึกภาพไม่ออกก็ดูตามรูปเลยค่ะ
ตามประวัติการวิจัยบรรจุภัณฑ์ บลิสเตอร์แพคเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภทหนึ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อป้องกันการปลอมปนโดยเฉพาะ จึงถูกนำมาใช้กับยาเป็นส่วนใหญ่

aekporamai2

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
«ตอบ #49 เมื่อ16-02-2011 21:11:17 »

ขอบคุณครับ
น่าค้นหามากครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
« ตอบ #49 เมื่อ: 16-02-2011 21:11:17 »





YELLOWSTAR

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
«ตอบ #50 เมื่อ16-02-2011 21:35:36 »

ฉู่เหวินจือเป็นคนยังไงกันแน่อ่ะ??  งง

ว่าแต่ทำไมพี่ชายของเสวียนอู่ ถึงไปอยู่กับไป๋หู่ได้อ่ะ??

งง งงมากก หรือว่าไปอู่เป็นใบ ???? :m28: :m28: :m28: :m28: :m28:

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
«ตอบ #51 เมื่อ16-02-2011 21:58:50 »

คุณฉู่จะทำอะไรอาเฟยอ่ะ

อย่านะๆๆๆๆๆๆๆ o18 o18 o18

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
«ตอบ #52 เมื่อ16-02-2011 22:49:10 »

โอ้ขนาดเสวียอู่ยังคิดว่าอันตรายแล้วจูเชว่จะเอาอยู่หรือ

ออฟไลน์ NY_JK

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 639
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
«ตอบ #53 เมื่อ16-02-2011 23:09:02 »

 :t3:อยากรู้จักพี่ชายของเสวียนอู่ที่ไปอยู่กับไป๋หู่จัง
คงจะมีบางช่วงที่เหมือนจะหักหลังเซินเฟยแต่ก็ไม่ใช่
ปล.เดาเอา รอติดตามดีกว่าน่าลุ้นดี

ออฟไลน์ จันทร์ผา

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-2
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
«ตอบ #54 เมื่อ17-02-2011 02:12:07 »

พี่ชายของเสวียนอู่คือใคร

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
«ตอบ #55 เมื่อ17-02-2011 02:59:23 »

 o18ฉู่เหวินจือชักไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่แล้ว ขอให้เซินเฟยระวังเอาไว้ให้ดีนะคะ

อยากรู้เรื่องพี่ชายของเสวียนอู่ที่ไปอยู่กับไป๋หู่เหมือนกันค่ะ ว่าเรื่องเป็นมายังไงกันแน่ แล้วที่ว่าเสวียนอู่เป็นคนขายพี่ชายตัวเองไปเป็นเรื่องจริงรึเปล่า :really2:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
«ตอบ #56 เมื่อ17-02-2011 09:37:08 »

เออนะ ลึกลับกันจริง หึหึ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
«ตอบ #57 เมื่อ17-02-2011 17:45:49 »

-5-



ฝ้าขาวเกาะอยู่บนกระจกรถที่ติดฟิล์มกรองแสงจนมืดสนิท เซินเฟยมองผ่านออกไปด้านนอกแต่ภาพก็ดูลางเลือนเสียเหลือเกิน เริ่มจะสู่ฤดูหนาวแล้ว สำหรับเกาะเล็ก ๆ อย่างฮ่องกงที่มีทะเลล้อมรอบ การที่อุณหภูมิจะลดฮวบกะทันหันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยเหตุนั้น อากาศคืนนี้จึงหนาวเย็นเสียจนคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างเซินเฟยรู้สึกหนาวเยือกและต้องสั่งให้คนนำเสื้อคลุมตัวหนามาสวมทับก่อนออกจากบ้าน

“คืนนี้อากาศหนาวนะครับ” หวางซิงออกความเห็นขณะขยับเสื้อให้ตัวเอง

“นั่นสินะ” เซินเฟยรับคำสั้น ๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องภายนอก เงาคนมากมายที่เห็นผ่านกระจกดูชุลมุนวุ่นวาย แต่ถึงอย่างนั้นความวุ่นวายก็อยู่ห่างไกลออกไปจากจุดที่รถจอดนิ่ง ซ้ำรอบรถยังมีบอดี้การ์ดคุมเชิงอย่างแข็งขันจึงไม่มีอะไรต้องห่วง

แสงไฟจากร้านรวงอยู่ถัดออกไปไม่มากนัก ณ จุดนี้เป็นที่ ๆ ไม่ค่อยจะมีคนผ่านไปมาจึงเหมาะสมอย่างยิ่ งที่จะใช้เป็นที่จัดการกับใครบางคนหรือบางกลุ่ม

“พวกเขาดูยังเด็กนะครับ” ฉู่เหวินจือว่า

“ก็เพราะอย่างนั้นน่ะสิถึงได้โง่นัก” เซินเฟยมุ่นคิ้วแล้วซุกมือเข้าไปในเสื้อ แม้แต่ตอนนี้เครื่องปรับอากาศของรถที่ดังหึ่ง ๆ อยู่ก็ทำให้เขารู้สึกเย็นขึ้นมา

“คุณน่าจะอายุพอ ๆ กับพวกเขาไม่ใช่หรือครับ?”

คำพูดของฉู่เหวินจือดูเหมือนจะไม่เข้าหูเซินเฟยอีกแล้ว เด็กหนุ่มตวัดสายตาเฉียบขาดปรามไม่ให้อีกฝ่ายพูดต่อ มิเช่นนั้นเขาอาจจะต้องหาวิธีลงโทษให้หลาบจำอีกครั้ง ในคืนที่ต้องออกมาทำงานเองก็หงุดหงิดใจมากพอแล้ว เขาไม่อยากเสียพลังงานที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายไปกับการคิดวิธีลงโทษคนไม่รู้จำคนนี้ ซึ่งฉู่เหวินจือก็อ่านสายตานั้นออกได้ในทันทีจึงเลือกที่จะไม่พูดวิจารณ์เรื่องอายุอีก

“ผมขอออกไปสูบบุหรี่หน่อยได้ไหม?”

“อย่าให้มีกลิ่นติดแรงนักแล้วกัน” เซินเฟยคร้านจะกำกับอีกฝ่ายทุกฝีก้าว เรื่องเล็กน้อยอย่างออกไปยืนสูบบุหรี่นั้นเขาจึงอนุญาตอย่างง่ายดาย กระนั้นเขาก็ไม่ใคร่ชอบกลิ่น อาจเป็นเพราะแม่เลี้ยงของจูเชว่คนก่อนมีอาการแพ้กลิ่นบุหรี่ทำให้ในบ้านใหญ่ไม่มีใครสูบบุหรี่สักคนจนกระทั่งถึงตอนนี้ และพาให้เซินเฟยเป็นคนไม่ชินกับกลิ่นบุหรี่ไปด้วย เมื่อใดที่ต้องไปติดต่องานกับคนสูบบุหรี่จัดครั้งใดก็ต้องรำคาญกลิ่นอยู่ร่ำไป

ฉู่เหวินจือเปิดประตูรถออกทำให้ความหนาวพัดเข้ามาวูบหนึ่งก่อนที่จะอบอุ่นเช่นเดิมเมื่อประตูปิดสนิท ชายหนุ่มขยับออกไปห่างตัวรถเล็กน้อยก่อนควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วจุดสูบ แสงจากไฟแช็คผ่านฝ้าบนกระจกเข้ามาถึงด้านในรถแวบหนึ่งก่อนที่มีจะถูกดับลงเมื่อหมดหน้าที่

เซินเฟยเบือนสายตากลับไปมองเงาคนจำนวนมากอีกครั้ง ดูเหมือนมันจะเริ่มสงบลงแล้ว เห็นได้จากมีหลายคนล้มลงไปกองบนพื้น และมีชายในชุดสูทดำคนหนึ่งหิ้วร่างที่อ่อนปวกเปียกเดินเข้ามาทางรถ เมื่อใกล้จะถึง การ์ดคนหนึ่งก็เคาะกระจก เซินเฟยจึงเลื่อนกระจกลงทำให้เห็นภายนอกชัดเจนมากขึ้น บอดี้การ์ดของเขาคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูรถในมือหิ้วคอของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ตอนนี้ใบหน้าบวมไปด้วยรอยช้ำและแผลแตก เลือดสีแดงไหลจากหน้าผากลงไปเปรอะคอเสื้อจนชุ่ม เรือนผมที่กัดและย้อมจนเป็นสีทองมีสีเลือดเปื้อนประปราย ถึงอย่างนั้นสภาพของคน ๆ นี้ก็ดูดีกว่าคนอื่น ๆ ที่ลงไปนอนหมดสติบนพื้นท่ามกลางคนชุดสูทดำที่คุมเชิงไม่ห่าง

“นี่เป็นหัวหน้าหรือ?” เขาเอ่ยถาม

“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นครับ” บอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่จัดการกล่าวตอบเพราะเขาเห็นว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่มจะชอบหันมาถามเด็กคนนี้ว่าจะทำยังไงต่อไป

“แสดงว่าอาจไม่ใช่” เซินเฟยสรุปแล้วกระชับเสื้อก่อนจะเดินลงจากรถแล้วยืนเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มวัยรุ่นอายุไล่เรี่ยกัน “เป็นยังไงบ้าง?” แน่นอนว่าคำถามนั้นไม่ได้พูดออกมาด้วยความห่วงใย ทว่าเขาอยากแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังพูดได้เท่านั้น

“.......” มีเสียงตอบรับออกมาตะกุกตะกักจับความได้ยากเซินเฟยจึงต้องเดินเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นเพื่อจะได้จับความคำพูดได้ แต่ว่า...

ถุด!

เลือดผสมกับน้ำลายหนึ่งกระเด็นใส่ใบหน้าของเซินเฟย เขาเหลือบตามองกลับไปเห็นรอยยิ้มสาแก่ใจปรากฏบนเรียวปากที่โดนชกจนเลือดแตกซิบ หวางซิงรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดออกให้ทันที

“ดูเหมือนจะยังมีแรงอยู่” เซินเฟยสรุปจากท่าทีตอบรับ ทันใดนั้นการ์ดที่จับตัวเอาไว้ก็กระแทกหมัดเข้าใส่ท้องอีกครั้ง เซินเฟยรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระดูกลั่นกร๊อบท่าทางกระดูกซี่โครงคงจะถูกอัดจนหักไปแล้ว การ์ดของเขาเบามือไม่เป็นเอาเสียจริง ๆ ถ้าหมดสติไปเสียก่อนก็ไม่ได้สอบสวนน่ะสิ

เสียงกรีดร้องโดนอุดโดยมือใหญ่ที่คว้าหมับเข้าที่ปากก่อนเสียงจะได้เล็ดรอดออกมา จนกระทั่งฝ่ายนั้นหยุดดิ้นรนการ์ดคนเดิมจึงปล่อยมือออกให้หายใจได้

ไม่มีเลือดประสมออกมากับการหายใจ แสดงว่าซี่โครงไม่ทิ่มปอด ก็ดีแล้ว เพราะเซินเฟยไม่อยากให้เกิดการตายขึ้น ไม่ใช่เพราะความเมตตา แต่การจัดการศพมันเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป

“รู้จักเฉียนหยุนหรือเปล่า?”

“ชื่อ...ม....ไม่เห็น....คุ้น...” เด็กหนุ่มผู้ถูกสอบสวนตอบเสียงสั่นพร่า ท้องของเขาเจ็บร้าวจนแทบจะขาดใจแต่ก็ยังโดนบังคับให้เงยหน้าขึ้นมองผู้ถามและจิกผมอย่างแรงให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา

“งั้นหรือ?” เซินเฟยไม่ได้แสดงความแปลกใจ “แล้วใครเป็นหัวหน้าของนายล่ะ?”

“....ไม่มี....”

“แสดงว่านายเป็นหัวหน้ากลุ่มนี้สินะ?”

ครั้งนี้ไม่มีเสียงตอบ เจ้าตัวเพียงพยักหน้าเบา ๆ เพราะไม่มีแรงเค้นเสียง เซินเฟยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉยเมย

“อ....ไอ้แก่นั่น.....ม........บ.......” เสียงของคนถูกสอบค่อย ๆ เบาลง กระนั้นคำพูดที่ไม่ได้ออกมาเพราะคำถามก็เรียกความสนใจของเซินเฟยได้ เขาเลิกคิ้วพลางยืนรอฟังแต่ฝ่ายนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก กระนั้นด้วยจังหวะการหายใจเขาก็รู้ว่ายังไม่หมดสติ

“ใครเป็นคนสั่งพวกนายมา?”

ทันทีที่เซินเฟยจบคำถาม ไม่ทันที่ผู้ถูกสอบจะได้อ้าปากตอบเสียงปืนนัดหนึ่งก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างปวกเปียกจะถูกแรงกระทบผลักให้ศีรษะกระเด็นไปด้านตรงข้ามกับเสียง เลือดจำนวนหนึ่งกระเซ็นออกมาสวนกับทิศของแรงผลัก ร่างนั้นกระตุกสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป

“นั่นใครนะ! ตามไปเร็ว!” เสียงตะโกนโวยวายดังขึ้น พวกการ์ดจำนวนหนึ่งวิ่งตามเงาตะคุ่มที่เห็นอยู่ไหว ๆ แต่เซินเฟยกลับไม่ได้แสดงความสนใจต่อคนที่กระทำอุกอาจแล้วหนีหายไปเลยแม้แต่น้อย เขาทรุดลงนั่งแล้วมองดูเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงศพเรียบร้อย

“ให้เตรียมที่สอบไว้ไหมครับ?” ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะสูบบุหรี่เสร็จแล้วจึงเดินเข้ามาถาม

“ไม่ต้องหรอก” เซินเฟยตอบแล้วลุกขึ้นยืน “กล้าทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ถ้าถูกจับได้ก็คงมีคนรอปิดปาก หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย เสียเวลาไปสอบสวนกับศพเสียเปล่า ๆ”

รอบตัวจูเชว่มีคนคุ้มกันมากมายรวมไปถึงบริเวณรอบ ๆ แม้จะเป็นกลางแจ้งก็ใช่จะมีใครเข้ามาง่าย ๆ ด้านข้างของเขาในจุดที่อาจถูกซุ่มยิงมีหวางซิงยืนขวางวิถีกระสุนรวมถึงการ์ดอีกจำนวนหนึ่ง การที่มีคนเข้ามาถึงจุดนี้และยิงคนตายไปต่อหน้าต่อตานับว่าใจกล้าไม่ใช่น้อย คนใจกล้าขนาดนั้นคงไม่เหลือชีวิตมาให้สืบสวนถึงคนจ้างวานหรือเจ้านายอย่างแน่นอน

สิ้นคำของเซินเฟยไม่กี่วินาที เสียงปืนอีกนัดก็ดังขึ้นจากจุดที่อยู่ไกลออกไป

“ถูกจับไวมากเลยนะครับ” หวางซิงออกความเห็น

“ถ้าชักช้าอืดอาดจะเป็นการ์ดไปทำไมกัน?” เซินเฟยกล่าวตอบก่อนจะสั่ง “อาซิง โทรหาสารวัตรหรงบอกให้ช่วยจัดการให้เรียบร้อย แล้วผมจะตอบแทนทีหลัง” ว่าจบ เซินเฟยก็เดินกลับขึ้นรถ หวางซิงรับคำแล้วหยิบมือถือขึ้นมาโทรไปยังเบอร์ที่คุ้นเคย คุยอยู่ไม่นานก็วางสายแล้วเดินขึ้นรถ

“เรียบร้อยแล้วครับ”

เซินเฟยพยักหน้ารับ และเมื่อฉู่เหวินจือกลับขึ้นรถรวมทั้งการ์ดกลับมากันแล้ว รถคันสีดำสนิทก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปจากบริเวณนั้น

------------------>

ใบลาออกของเฉียนหยุนและคนในกลุ่มถูกส่งมาที่บ้านในวันรุ่งขึ้น โดยผู้มาส่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนั้นเอง เจ้าตัวทำสีหน้าไม่พอใจต่อการทำหน้าที่นี้แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา แน่นอน จะมีใครบ้างที่โง่พอจะพูดความในใจด้านลบต่อหน้าผู้มีอิทธิพลกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิทธิพลนั้นเกี่ยวพันได้ถึงชีวิตของตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง กระนั้นเซินเฟยก็มั่นใจว่าเฉียนหยุนคงจะเล่าความไม่ตรงกับเรื่องจริงมากนัก เพราะเท่าที่เขาลองเปิดสุ่มอ่านพบว่าเป็นคำพูดตัดพ้อเสียดสีเสียส่วนใหญ่ นั่นไม่ได้รวมถึงคที่เขียนหนังสือไม่เป็น แม้จะไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ทำให้เขาได้รู้ว่าแท้จริงกลุ่มของเฉียนหยุนไม่ได้คิดจะอยู่ใต้อำนาจเขามานานแล้ว

ข่าวโทรทัศน์ในวันนั้นไม่มีเกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทหรือการฆาตกรรมเลยสักข่าวเดียว เซินเฟยรู้ว่าสารวัตรหรงจัดการให้เรียบร้อยอย่างที่สั่งไปเขาจึงไม่นึกกังวล สารวัตรหรงอยู่ในกรมตำรวจมานาน ย่อมรู้ว่าควรจะจัดการยังไงเมื่อเขาบอกว่า “จัดการให้เรียบร้อย”

อย่างไรก็ตาม เซินเฟยก็รู้สึกโล่งขึ้นบ้างเมื่อยกปัญหาหนึ่งออกไปได้ การปราบอันธพาลกลุ่มเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง เพียงแต่เขารู้สึกไม่ค่อยคุ้มค่าที่ลดตัวลงไปจัดการเอง แต่หากไม่ทำเช่นนั้น เฉียนหยุนคงนำปัญหามาให้อีกมาก

กระนั้นสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนั้นพูดก่อนจะถูกยิงก็ทำให้เขานึกแคลงใจ

ไอ้แก่นั่น

ไอ้แก่ไหน?

เซินเฟยมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และเฉียนหยุนอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยปละละเลยเช่นนี้ แต่ก็อาจจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ได้เพราะเฉียนหยุนต่อต้านเขาอยู่แล้ว อาจจะแค่เห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้ทดสอบเขา

ในขณะที่กำลังคิดทบทวนเหตุผลอยู่นั้น เสียงโทรศัทพ์สำหรับต่อสายภายในก็ดังขึ้น

เซินเฟยรับสายโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นเรื่องดีแม้สักนิด

“ได้ยินว่าคุณไล่เฉียนหยุนออก” เสียงฝ่ายนั้นดูเหมือนจะเป็นกรรมการบริหารที่ถือหางเฉียนหยุนมาตลอด เพราะเฉียนหยุนเป็นคนแนะนำเข้ามาอีกทั้งยังคอยจัดการปัญหาให้ แน่นอนว่าหากขาดเฉียนหยุนไปก็เหมือนขาดศีรษะเจ้าตัวจึงได้รีบร้อนโทรมาหาแต่หัววัน

“ใช่”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน! คุณบ้าไปแล้วหรือยังไงคุณเซิน!”

เสียงที่ตวาดเข้ามาในโทรศัพท์ทำให้รู้สึกปวดประสาทหู เซินเฟยมุ่นคิ้วแล้วดึงออกห่างก่อนจะแนบหูอีกครั้งเมื่อเสียงฝั่งนั้นเงียบไปแล้ว

“ธุรกิจของคุณกับเขาอยู่คนละส่วนกัน ทำไมคุณถึงต้องเดือดร้อนแทนด้วยล่ะครับ?” เซินเฟยกรอกเสียงลงไป เขานึกสงสัยจริง ๆ ว่าถ้าคนพวกนี้ไม่มีใครหนุนหลังแล้วจะทำอะไรเองไม่เป็นเลยหรือยังไง

“คุณเซิน!”

“คุณจะถอนหุ้นหรือครับ?” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังขึ้นเสียงไม่หยุด เซินเฟยจึงเริ่มจะเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง “ให้ผมช่วยซื้อไว้เองไหม?”

ปลายสายเงียบไปในทันที และเป็นความเงียบที่ยาวนานกระนั้นก็ไม่เกินรอ

“คุณก็รู้ว่าเฉียนหยุนดูแลบริเวณกว้างแค่ไหน คุณจะเอาใครไปแทนเขา” เสียงที่ตอบโต้กลับมาเบาลงกว่าตอนแรกมาก ทั้งยังหยิบยกเหตุผลอย่างน่าฟัง ทั้งที่หากคุยกันแบบนี้แต่แรกเขาก็ไม่ต้องตีบทโหดให้เสียพลังงานแล้ว

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องกังวล คนทำงานหาได้ง่ายกว่าไส้เดือนเสียอีก คุณมีธุระอย่างอื่นอีกไหม?” เซินเฟยว่าก่อนจะตัดบท เขาไม่อยากเสียอารมณ์กับเรื่องนี้อีก กับผู้บริการคนนี้ที่หัวอ่อนยอมตามเฉียนหยุนไปเสียทุกเรื่องบางทีก็มักเผลอยกตนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องไปถึงธุรกิจใต้ดินทั้งที่ความจริงแล้ว เจ้าตัวก็เป็นเพียงคนที่เฉียนหยุนเห็นว่ามีประโยชน์ต่อตนเองจึงคอยช่วยเหลือก็เท่านั้น และสำหรับเขา ผู้ชายคนนี้ก็เป็นแค่นักธุรกิจที่มีดีแต่เงินและชาติตระกูลไม่ต่างจากผู้บริการคนอื่น ๆ

“ไม่มีแล้วครับ” พอเห็นว่าเซินเฟยไม่ยอมลงให้ เจ้าตัวจึงเริ่มถอยกลับ

“ถ้าอย่างนั้นผมมี อีกเดี๋ยวฉู่เหวินจืออาจจะเข้าไปหาคุณเพื่อให้พิจารณาโครงการของเขา หวังว่าคุณจะทำตัวให้ว่างได้” ว่าจบ เซินเฟยก็วางสายไปโดยไม่รอคำตอบ ตอนนั้นเองที่หวางซิงเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาเพื่อนำสำเนาร่างโครงการของฉู่เหวิอจือมาให้ดู

“วันนี้ผมจะขอลางานช่วงเที่ยงสักหน่อยนะครับ” หวางซิงเอ่ยขออนุญาตขณะที่เซินเฟยรับสำเนามากางอ่าน เด็กหนุ่มจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ผมจะไปตัดแว่นน่ะครับ”

“ตัดแว่น?”

“ครับ ความจริงผมสายตาสั้นมานานแล้วแต่เห็นว่าไม่ได้มีอุปสรรคอะไรก็เลยไม่ได้ตัดแว่นแต่เนิ่น ๆ ตอนนี้มันก็เลยสั้นลงกว่าเดิมน่ะครับ”

เมื่อฟังเหตุผลจบเซินเฟยก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ หวางซิงเป็นคนที่ต้องทำงานเกี่ยวกับเอกสารอยู่ตลอด สายตาจะมีปัญหาก็ไม่แปลกอะไร จะว่าไประยะนี้เขาก็มักเห็นเลขาของตนต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้กระดาษหรือจอคอมพิวเตอร์เพื่ออ่านข้อความที่ปรากฏบนนั้น ตัดแว่นเสียทีก็ดีเหมือนกัน

หวางซิงขอตัวออกไปเมื่อได้รับคำอนุญาตแล้ว เซินเฟยวางสำเนาลงบนโต๊ะแล้วเริ่มผ่อนคลายร่างกายเพื่อกลับเข้าสู่ภวังค์ความคิดอีกครั้ง

เอาเถอะ....อีกไม่นานสารวัตรหรงคงมีคำตอบให้เขาอย่างแน่นอน

----------------->

“ระยะนี้ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?”

“อืม”

“แล้วอาการปวดหัวที่กำเริบล่ะครับ?”

“อาซิงบอกหรือ?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว แม้เขาจะมีอาการไมเกรนกำเริบเป็นบางครั้งแต่มันก็ไม่ได้หนักหนาขนาดต้องรายงานหมอไม่ใช่หรือ

“เปล่าหรอกครับ แต่ผมขอดูยาที่เคยจ่ายให้ว่ายังเหลืออยู่ไหม” จือหยินตอบพลางยิ้มกว้าง “จริงสิครับ คุณหวางซิงสวมแว่นทำให้ดูแปลกตามากทีเดียว ตอนแรกผมเกือบจะจำไม่ได้”

เซินเฟยเลิกคิ้วอย่างแปลกใจทั้งในอกยังรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา นี่อาจเป็นครั้งแรกก็เป็นได้ที่จือหยินคุยกับเขานอกเหนือจากเรื่องของการป่วยไข้ บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าจือหยินกำลังกันตัวเองออกจากเขา กระนั้นการพูดคุยครั้งนี้ก็ทำให้เซินเฟยรู้สึกดีขึ้น สำหรับจือหยินแล้ว...เขาขอแค่ได้เจอหน้าเดือนละครั้ง ได้พูดคุยด้วยบ้างก็เพียงพอแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กสาวมีรักแรกไม่มีผิด

“สรุปว่าอาการเป็นยังไงบ้างครับ?” จือหยินยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการจึงถามซ้ำ

“ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว....” ถึงอยากจะดีใจกับความห่วงใย แต่เซินเฟยก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงความห่วงใยตามหน้าที่ของแพทย์เท่านั้น

“คุณไม่ควรเครียดมากเกินไปนะครับ คนอายุน้อยอย่างคุณเป็นโรคเครียดอย่างนี้จะมีผลกับร่างกายตอนอายุมากขึ้น ยังไงก็ควรรักษาสุขภาพบ้างนะครับ” จือหยินรู้ฐานะของคนตรงหน้าตนเองดีเขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องการงานออกมาตรง ๆ รุ่นพี่ของเขาที่ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกันเคยเตือนมาว่าการทำงานกับมาเฟียใหญ่ไม่ควรวิจารณ์ถึงเรื่องงานโดยเด็ดขาด และเขาก็ยึดถือคำสอนนั้นมาโดยตลอด

“ผมจะพยายาม” ทางเซินเฟยก็สงวนคำพูดกับจือหยินโดยที่ตนเองไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่เมื่อพบหน้ากันเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทุก ๆ ครั้งหากไม่ใช่เสียงตอบรับสั้น ๆ ในคอ ก็จะเป็นคำพูดบอกอาการหรือตอบรับคำที่อีกฝ่ายพูด เขาเองยังอดรู้สึกอึดอัดกับตัวเองไม่ได้

หวางซิงยกน้ำเข้ามาในห้อง เซินเฟยหันมองก่อนจะรู้สึกเห็นด้วยกับจือหยินก่อนหน้านี้

หวางซิงตอนสวมแว่นดูแปลกตาจากเดิมไปเล็กน้อย เป็นเพราะวันก่อนเขาไม่ได้สังเกตกระมังจึงเพิ่งรู้สึก และเมื่อเขาเอาแต่จ้องเช่นนั้นหวางซิงก็ดูประหม่าขึ้นมา เจ้าตัวขยับแว่นอย่างเก้อเขินเหมือนทำอะไรไม่ถูก

“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณเซิน”

“เปล่าหรอก” เซินเฟยปฏิเสธ เขาไม่อยากให้หวางซิงประหม่ามากเกินไป หากเจ้าตัวรู้ว่าการใส่แว่นทำให้มาดตัวเองดูแปลกตาคงจะกังวลจนต้องส่องกระจกทุกหนึ่งชั่วโมงเป็นแน่ เพราะกลัวว่าการสวมแว่นจะทำให้มาดเลขายอดเยี่ยมของตนถูกกระทบกระเทือน กระนั้นโดยส่วนตัวแล้ว เซินเฟยไม่คิดว่าแว่นกับการเป็นเลขามีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย

จือหยินรับน้ำจากหวางซิงพลางเอ่ยขอบคุณ เขามองซ้ายขวาอย่างนึกสงสัยก่อนจะหันมาถาม

“วันนี้นายหญิงไม่อยู่หรือครับ?”

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
«ตอบ #58 เมื่อ17-02-2011 17:46:52 »

“คุณอาไปเยี่ยมเพื่อนตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ ถ้าคุณมีอะไรจะคุยด้วยฝากเรื่องไว้กับหวางซิงก็ได้” เซินเฟยว่าไปก็ตลบแขนเสื้อที่ถูกพับขึ้นไปถึงข้อศอกกลับมาอยู่ในทรงเดิม

“ไม่รบกวนหรอกครับ ผมแค่สงสัยเท่านั้น” จือหยินตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้เซินเฟยอุ่นวาบในอกทุกครั้งที่ได้เห็น

“จริงสิ ผมอยากให้คุณจัดยาเพิ่มให้ด้วย” เซินเฟยมีลางสังหรณ์ว่าตนเองอาจจะต้องมีเรื่องปวดหัวอีกมากในช่วงนี้ เขาควรเตรียมยาเอาไว้ดีกว่า ถึงจะถูกเตือนว่าไม่ควรกินมากเกินไป แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้อาการปวดหัวกำเริบยาวนานจนไม่เป็นอันทำงาน

“ทราบแล้วครับ ผมจะเบิกจากโรงพยาบาลให้ พรุ่งนี้ให้คนของคุณไปรับได้เลย” หมอหนุ่มรับคำโดยไม่ถามถึงเหตุผลก่อนจะมองนาฬิกา “ขอโทษด้วยนะครับแต่ผมต้องไปแล้ว”

“อ้อ....ผมจะให้คนไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจอดรถไว้ข้างหน้านี้เอง” จือหยินปฏิเสธความหวังดีอย่างสุภาพ เขาไม่ชอบรบกวนใครมากเกินไป ด้วยเหตุนั้นเซินเฟยจึงพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไร

จือหยินโค้งเป็นเชิงขอตัวก่อนจะเดินออกไปจากห้อง แต่เมื่อเขาเดินออกมาถึงด้านหน้าเขาก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่คุ้นตา ฝ่ายนั้นมองหน้าเขาแล้วแย้มยิ้มดูไม่น่าไว้ใจ ตามประสบการณ์ของแพทย์ที่คลุกคลีกับวงการใต้ดินอย่างเขา มองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นมาเฟียธรรมดา แต่เขาก็รู้จักคนในอาณัติตระกูลเซินทั้งหมด น่าแปลกที่เขาไม่สามารถเค้นความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายตรงหน้าได้เลย

“เราเพิ่งเคยพบกันครั้งแรก ผมชื่อฉู่เหวินจือ” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าจือหยินกำลังนึกคลางแคลงใจกับตัวตนจึงเอ่ยแนะนำตัวแล้วเดินเข้ามาจับมืออย่างสนิทสนม

“อย่างนี้เอง ผมจือหยินครับ” จือหยินโดยนิสัยแล้วเป็นคนที่ไม่เคยคิดระแวงใครจึงตอบรับมือของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

“คุณดูไม่น่าจะเป็นหมอที่ทำงานกับมาเฟียได้เลย” ฉู่เหวินจือวิจารณ์พลางหัวเราะ

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“เอ...นั่นสินะ” เมื่อถูกถาม ชายหนุ่มก็หยุดคิดครู่หนึ่ง “ในวงการนี้ผมเจอแต่คนระแวดระวังตัวทุกฝีก้าว แต่คุณหมอน่ะไม่มีการป้องกันตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้ผมนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมคุณถึงมาทำงานกับตระกูลเซิน...ไม่สิ จูเชว่ได้”

“คุณพูดเรื่องอะไรกัน” จือหยินหัวเราะบ้าง “ผมแค่ทำหน้าที่เท่านั้น เรื่องจูเชว่หรืออะไรนั่นผมไม่เกี่ยวข้องด้วยหรอกครับ”

“เป็นคำพูดที่โหดร้ายจังเลยนะ” ฉู่เหวินจือถอนหายใจ

“เอ๋?” จือหยินเลิกคิ้วด้วยความสนเท่ห์ เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ?

ฉู่เหวินจือเห็นท่าทางการตอบรับของจือหยินแล้วทำให้เขานึกสงสารเซินเฟยขึ้นมา แววตาเชื่อมแสงที่เซินเฟยมีให้กับจือหยินนั้น ใครเห็นก็น่าจะรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีความรู้สึกพิเศษให้กับหมอประจำตระกูล แม้จะเป็นสายตาที่มักจะเกิดเมื่อไม่มีใครเห็นแต่ก็น่าจะมีสักชั่ววินาทีหนึ่งที่สบเข้าโดยบังเอิญบ้าง กระนั้นจือหยินก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกพิเศษนั้นเลย เป็นหมอที่มีดีแต่สมองส่วนหน้าจริง ๆ

“ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ?” จือหยินนึกสงสัยจึงอดถามไม่ได้

“เปล่าหรอกครับ ไม่มีอะไร” มันไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะต้องเป็นพ่อสื่อ ฉู่เหวินจือจึงเลือกที่จะไม่ไขความสงสัยให้กระจ่างแต่อย่างใด

แต่ว่า....เรื่องที่จูเชว่มีความรู้สึกพิเศษกับแพทย์ประจำตระกูลนี่....มันช่างน่าสนุกจริง ๆ

เสียงสนทนาของพวกเขาไม่ได้ดังมากมายแต่กระนั้นมันก็ทำให้ใครบางคนได้ยินเข้าเพราะอยู่ไม่ห่างจากห้องมากนัก เซินเฟยไม่อยากจะทนฟังเรื่องพวกนี้ต่อจึงก้าวออกมาจากห้อง

“ฉู่เหวินจือ!”

“แย่ล่ะสิ” เจ้าของนามเปรยอย่างไม่ได้จริงจังมากนัก

“หมอจือกำลังรีบ นายถอยไปซะ” เซินเฟยออกคำสั่งเสียงเข้ม ฉู่เหวินจือจำต้องยกมือยอมแพ้เพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายโกรธมากเกินไปและเป็นการไว้หน้าฝ่ายนั้นต่อหน้าหมอจือด้วย

“ถ้าอย่างนั้น ไว้เราค่อยคุยกันใหม่คราวหน้านะครับ” จือหยินเอ่ยลาฉู่เหวินจือแล้วรีบเดินออกไปทันที

เมื่อจือหยินจากไปแล้ว เซินเฟยก็เดินมาหยุดยืนตรงหน้าฉู่เหวินจือ นัยน์ตาสีดำสนิทมีแววโกรธขึ้งปรากฏอยู่อย่างชัดเจนทำให้ตัวก่อปัญหารู้ว่าจะต้องเจ็บตัวอีกแล้ว กระนั้นการวิ่งหนีจะยิ่งทำให้เลวร้ายมากขึ่นจึงได้ยืนอยู่เฉย ๆ แล้วหลับตาลง

“คราวนี้ช่วยตบเบา ๆ หน่อยนะครับ”

เซินเฟยกระตุกยิ้มเย็น เขาง้างมือขึ้นหมายจะทำตามคำเรียกร้องนั้นแต่กระนั้นเขาก็ไม่ใช่คนใจดีถึงขนาดจะยอมให้ทุกอย่าง ในตอนแรกมือที่ง้างขึ้นยังเหยียดออกจนตรง ทว่าเมื่อถึงระยะได้ที่เซินเฟยกลับเปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่นก่อนเหวี่ยงเข้ากระแทกครึ่งปากครึ่งจมูกเต็มแรงเหนี่ยว เพราะแรงปะทะทแรงกว่าที่คาดไว้และความเจ็บที่แล่นจี๊ดจนถึงสมองส่วนหน้าทำให้คนถูกชกเกร็งตัวไม่อยู่และผงะถอยทรุดลงไปกองกับพื้น

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเสียหลัก เซินเฟยจึงชักมือกลับมากอดอกแล้วก้าวเท้าหนึ่งขึ้นไปเหยียบบนแผ่นอกตึงแน่น นัยน์ตาเยียบเย็นเลื่อนลงต่ำมองใบหน้าที่ลดความขี้เล่นลงไปกึ่งหนึ่งอย่างพึงพอใจ

ฉู่เหวินจือยกมือขึ้นกุมจุดที่โดนหมัดเข้าเต็ม ๆ เลือดกำเดาไหลออกมาเปื้อนมือเล็กน้อย

“ถึงนายจะทำผลงานให้ฉันพอใจได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายมีสิทธิมากกว่าคนอื่นหรอกนะ จำเอาไว้” ว่าจบ เซินเฟยก็เลื่อนเท้าขึ้นสูงไปถึงแนวบ่าแล้วกดส้นลงบนไหปลาร้า ความเจ็บเหมือนกำลังถูกหักกระดูกทำให้ฉู่เหวินจือเผลอคลายแรงพยุงที่แขนและลงไปนอนแผ่หลาบนพื้นโดยมีเท้าของเซินเฟยกดอยู่ด้านบน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพับพาบไม่เป็นท่าแล้วรอยยิ้มจึงจุดขึ้นบนมุมปากก่อนที่เจ้าตัวจะละฝ่าเท้าออกไป

“ไปให้อาซิงทำแผลซะ” ว่าจบ เซินเฟยก็เดินกลับเข้าไปในห้องก่อนกระแทกประตูปิด

ฉู่เหวินจือถอนหายใจออกมาพลางปาดเลือดกำเดา เขาลองจับกระดูกแนวบ่าตนเองแล้วขยับแขนพบว่ามันยังอยู่ดีไม่มีส่วนไหนรู้สึกเจ็บ

เจ้านายของเขาช่างอารมณ์รุนแรงได้อย่างน่ากลัวจริง ๆ กระนั้นเขาก็มักอดไม่ได้ที่จะทำให้ใบหน้าเย็นชานั่นเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธเกรี้ยว แม้เขาจะไม่ใช่พวกชอบความเจ็บปวด แต่การได้เห็นอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเซินเฟยมันก็น่าสนุกใช่เล่น

“ทำให้คุณเซินโกรธอีกแล้วหรือครับ?” หวางซิงเดินมาฉุดเขาให้ยืนขึ้นพลางทำสีหน้าอิดหนาระอาใจ

“ผมแค่คุยกับหมอจือเท่านั้นเองนะ ก็ผมเพิ่งเคยพบเขาก็ต้องสนทนาวิสาสะเป็นธรรมดาสิ” ฉู่เหวินจือเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง แม้จะรู้ว่าสำหรับที่นี่จูเชว่คือความยุติธรรมก็ตาม

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ มาให้ผมประคบน้ำแข็งให้ก่อนเลือดจะไหลจนทำให้คุณหายใจไม่ออกดีกว่า” หวางซิงคร้านจะฟังคำให้การ เขาเองก็ไม่ใช่ศาลเสียหน่อยแต่ทำไมฉู่เหวินจือชอบทำเหมือนเขาเป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยเสมอเลยนะ

ฉู่เหวินจือถูกพาเดินไปยังห้องด้านในที่หวางซิงใช้ทำงานตอนอยู่ที่บ้าน ชายหนุ่มเอาน้ำแข็งใส่ห่อผ้าแล้วให้ฉู่เหวินจือถือโปะจมูกตนเองไว้ในขณะที่เจ้าตัวเช็ดทำความสะอาดเลือดที่ไหลออกมาเกรอะกรังบริเวณจมูกและริมฝีปาก อย่างน้อยเซินเฟยก็ไม่ใจร้ายขนาดทำให้กระดูกอ่อนเกิดความเสียหายหรือดั้งหัก มิเช่นนั้นคงต้องพาไปให้ศัลยแพทย์สักคนช่วยแต่งจมูกให้ใหม่ คงน่าเสียดายรูปจมูกสวย ๆ เอาการ

ในระหว่างที่หวางซิงกำลังขะมักเขม้นกับการทำแผล ฉู่เหวินจือก็เหลือบตามองใบหน้าที่ดูแปลกตามาตั้งแต่เมื่อวาน

“คุณใส่แว่นแล้วดูแปลกดีนะ”

“เอ๋?” หวางซิงหยุดมือแล้วเลิกคิ้ว “ยังไงหรือครับ?”

“ไม่รู้สิ ก็แปลกตาล่ะมั้ง ดูบุคลิกเปลี่ยนไปนิดหน่อย” ฉู่เหวินจือออกความเห็น ความจริงมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเราเวลาสวมแว่นกับถอดแว่นจะดูแตกต่างกัน กระนั้นใบหน้าของหวางซิงกลับปรากฏเค้าความกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ จนฉู่เหวินจือรู้สึกว่าตนเองควรจะเงียบไว้ดีกว่า

“เปลี่ยนไปหรือครับ? เปลี่ยนไปยังไง?” แล้วก็เป็นดังคาด ความวิตกจริตของหวางซิงเริ่มปรากฏเมื่อพบว่าตนเองดูเปลี่ยนไป สมองเขาเริ่มจินตนาการไปต่าง ๆ นานาว่าหากสวมแว่นไปทำงานจะโดนที่บริษัทมองอย่างแปลก ๆ หรือไม่ หรือว่าเวลาพบปะคู่เจรจาเขาอาจจะดูเป็นตัวตลกยืนอยู่ข้างหลังเซินเฟย ด้วยตำแหน่งเลขาที่น่าภาคภูมิใจ เขายอมไม่ได้เด็ดขาดที่จะเป็นเช่นนั้น!

“เอาเป็นว่า...ผมบอกไม่ได้หรอก ก็ผมเพิ่งรู้จักคุณได้เดือนเดียวเอง ทำไมคุณถึงไม่ไปถามคนที่รู้จักหน้าคุณดีกว่าผมล่ะ?” ฉู่เหวินจือจัดการตัดช่องน้อยแต่พอตัว เขารู้สึกว่าระหว่างคุยกัน เลือดกำเดาของเขาจะหยุดไหลแล้วจึงลดผ้าห่อน้ำแข็งลงวางในอ่างแล้วหยิบผ้าชุบน้ำขึ้นมาเช็ดหน้าให้เรียบร้อย จมูกและปากของเขาแดงช้ำเอาการคงต้องเอาแป้งทาทับตอนไปทำงานเสียกระมัง

“งั้นผมจะลองไปถามดู” ว่าแล้ว หวางซิงก็รีบวิ่งออกไป

ประตูห้องของเซินเฟยถูกเปิดออกอย่างกะทันหันทำให้เจ้าของห้องตกใจเล็กน้อยก่อนจะมุ่นคิ้วเมื่อเห็นคนอุกอาจ

“มีอะไรหรือเปล่า?” ความเป็นกังวลบนใบหน้าของหวางซิงทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ

“คุณเซินครับ...คือ...แว่นนี่....”

“ไม่พอดีสายตาหรือยังไง?”

“เปล่าครับ แต่ว่า....มันไม่เหมาะกับเลขาใช่ไหมครับ! ผมไม่ได้ดูแปลก ๆ ใช่ไหมครับ!” หวางซิงแทบจะตะโกนใส่เขาซ้ำยังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ผมควรจะตัดแว่นใหม่ไหม หรือว่าจะใส่คอนแทคดี”

แล้วหลังจากนั้นหวางซิงก็พร่ำบ่นทางเลือกออกมาอีกยาวเหยียดจนเซินเฟยรู้สึกว่าขมับกำลังเต้นตุบ ๆ ทั้งที่เขาพยายามเลี่ยงจะพูดถึงเรื่องนี้แล้วแต่ใครกันนะที่มันกล้าทำให้หวางซิงเกิดวิตกจริตขึ้นมา

“ใครบอกว่านายแปลกกันล่ะ?” เซินเฟยกลั้นใจถามก่อนที่อาการไมเกรนจะกลับมา

“คุณฉู่ครับ....”

เซินเฟยได้ยินคำตอบก็รู้สึกว่าตนเองไม่ควรจะถามเลย ขมับของเขากำลังรู้สึกปวดหนึบ ๆ พลางนึกด่าฉู่เหวินจืออยู่ในใจ

เจ้าบ้านั่นมันปากไม่มีหูรูดหรือยังไงกัน!

--------------------->

“ขอโทษที่มาช้าครับ” จือหยินที่ผละจากบ้านตระกูลเซินมาไม่ได้กลับไปที่โรงพยาบาลในทันที เขาจอดรถที่คอฟฟี่ชอปแห่งหนึ่งแล้วเดินเข้าไปด้านในก่อนเอ่ยทักทายบุคคลที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะในสุด

หญิงสาวท่าทางสุภาพอ่อนโยนเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือนิยายแล้วแย้มยิ้มให้กับหมอหนุ่ม

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็เพิ่งมาถึง”

จือหยินหัวเราะแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ตนเอง เขานั่งลงและกุมมือหญิงสาวอย่างรักใคร่ หญิงสาวเองก็ไม่ได้ปฏิเสธมือของเขา เธอหัวเราะคิกแล้ววางนิยายในมือลงก่อนจะกุมมือที่ว่างอยู่ตอบกลับไป ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีความหมายและสามารถรับรู้ได้โดยไม่ต้องสื่อสารผ่านวาจาใด ๆ....


TBC

------------------

มีคนถามเกี่ยวกับพี่ชายเสวียนอู่เยอะ แต่อย่างที่บอกในเรื่อง มันคือข่าวลือเท่านั้น ดังนั้นจะเป็นจริงอย่างไรเชิญจินตนาการเอาเองค่ะ XD

aekporamai2

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
«ตอบ #59 เมื่อ17-02-2011 18:46:48 »

ลึกลับๆๆๆๆๆ..
น่าติดตามสุดๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด