บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]  (อ่าน 245703 ครั้ง)

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #180 เมื่อ27-02-2011 15:38:13 »

โดนคนรักทรยศมันคงจะเจ็บปวดที่สุดอ่ะนะ  :เฮ้อ: คุณฉู่วางแผนไรกันแน่อ่ะ อยากรู้
แต่ว่าอยากให้คุณฉู่หึงบ้างนี่นา นะๆไรเตอร์จ๋า
คิดเหมือนกันเลย
อยากให้คุณฉู่หึงบ้างอะไรบ้าง  :impress2:

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #181 เมื่อ27-02-2011 17:57:18 »

 :m16:หลิงหลิงคิดจะทำอะไรกันแน่  o18อยากรู้จริงๆ

ส่วนอาซิงขอยกให้เป็นเลขายอดเยี่ยมแห่งปีไปเลย o13


ออฟไลน์ yakusa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 340
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #182 เมื่อ27-02-2011 18:23:18 »

มอบโล่ เลขายอดเยี่ยม ให้หวางซิง  :a5:

ออฟไลน์ Little_Devil

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #183 เมื่อ27-02-2011 18:56:52 »


สงสัยมานานแระ  อาฉู่เป็นไป๋หู่ตัวจริงปะเนี่ย เจ้าเล่ห์เกิน

Miyabi

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #184 เมื่อ27-02-2011 23:47:59 »

ไม่ค่อยเข้าใจอาฉู่เลย แต่อย่าทรยศเซินเฟยเป็นพอ
อาซิงนี่เลขาดีเด่นสุดๆ  :L2: :L2:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #185 เมื่อ28-02-2011 10:09:30 »

อาซิงจะทำอะไรน่ะ
แล้วยัยหลิงๆอีก
เรื่องมันแลจะยุ่งจริงไรจริง

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #186 เมื่อ28-02-2011 10:45:32 »

 :beat: :beat: :beat: :beat:นังหลิงๆ

หวางซิงจะทำอะหยัง :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #187 เมื่อ28-02-2011 13:08:45 »

-18-



เซินเฟยค่อนข้างรู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ ในช่วงเย็นก็มีคนของเหล่าโหวมาขอยืมตัวฉู่เหวินจือออกไปช่วยทำงาน แต่เขาก็คิดว่าการที่ให้ฉู่เหวินจือไปทำงานข้างนอกบ้างจะได้รู้จักเปิดหูเปิดตา ต่อไปในอนาคตจะได้ให้ทำงานใหญ่ ๆ ได้สะดวกมือขึ้น ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเอ่ยอนุญาตแล้วสั่งให้ฉู่เหวินจือไปกับคนของเหล่าโหว ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะอิดออด ไม่คิดว่าพอสั่งปุ๊บ ฉู่เหวินจือก็ตอบรับแล้วออกไปทำงานอย่างกะตือรือร้น

ความจริงการที่ฉู่เหวินจือออกไปทำงานข้างนอกก็ดีต่อเขาเหมือนกัน ทุก ๆ คืนเขามักถูกฉู่เหวินจือรบเร้าให้มีสัมพันธ์ทางกาย ยกเว้นคืนที่เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักฉู่เหวินจือจึงยอมถอย ซึ่งในบางครั้ง เขาเองก็อยากจะนอนหลับสบาย ๆ ไม่ต้องมีใครรบกวน ดังนั้นการที่ฉู่เหวินจือออกไปทำงานอย่างนี้นับเป็นโอกาสดีที่ร่างกายและสมองของเขาจะได้พักผ่อนพร้อมกัน น่าเสียดายก็แต่คืนนี้เป็นคืนวันอาทิตย์ ถึงจะนอนสบายอย่างไร พรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องลุกขึ้นแล้วไปทำงานตามปกติอยู่ดี

ระยะนี้เพราะเซินเฟยใช้พลังงานในตอนกลางคืนไปมาก หวางซือที่รู้สถานการณ์ดีจึงจัดการทุกอย่างโดยไม่พูดอะไร เขาจะสั่งให้คนต้มชาซึ่งเป็นยาบำรุงไปให้เซินเฟยดื่มก่อนนอนทุกคืน หรือหากคืนไหนเซินเฟยบ่นว่าเบื่อยา เขาก็จะจัดการต้มเม็ดบัวหรือสมุนไพรอื่น ๆ ที่ทำเป็นขนมได้ไปให้แทน

หลังจากดื่มชาที่เจือจางแล้วและกำลังอุ่น ๆ เสร็จ เซินเฟยก็เตรียมตัวเข้านอนตามปกติ แม้จะรู้สึกอ้างว้างอยู่บ้างที่ต้องนอนคนเดียวหลังจากมีคนนอนด้วยมานาน แต่เขาก็ทำไม่ใส่ใจไปเสีย อย่างไรการที่ฉู่เหวินจือกับเขาได้ร่วมเตียงกันก็เป็นไปด้วยผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งเข้ามาพัวพัน ดังนั้นแค่นอนคนเดียวคืนหนึ่งก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร

เครื่องปรับอากาศส่งเสียงหึ่ง ๆ ในมุมของมัน นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้ยินเสียงที่จะดังต่อเมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบ ทั้งเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศ เสียงเดินของเข็มนาฬิกา เสียงผ้าเสียดสีสวบสาบเมื่อขยับตัว และเสียงลมหายใจของตัวเอง

เซินเฟยปรือตาลงท่ามกลางความมืด ทว่าเพิ่งจะคล้อย ๆ เคลิ้ม ๆ ไปได้นิดเดียวเท่านั้น เสียงประตูห้องก็ดังขึ้นในความเงียบ เซินเฟยไม่ได้สนใจจะหันไปดูเพราะคนที่เข้ามาต้องเป็นคนในอยู่แล้ว การที่ไม่เคาะประตูอย่างนี้คงจะเป็นฉู่เหวินจือ เขาไม่ได้คำนวนว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเร็วขนาดนี้ แต่เพราะรู้สึกเสียดายการพักผ่อนอันหาได้ยากเขาจึงแสร้งทำเป็นหลับลึกต่อไป อย่างน้อยฉู่เหวินจือก็ยังมีมารยาทพอที่จะรู้ว่าไม่ควรปลุกเขาตอนหลับ

เซินเฟยเป็นคนขี้หนาว เวลานอนจึงมักจะซุกตัวอยู่ในผ้าตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนถึงคอ ผู้ที่เข้ามาในห้องนั่งลงตรงปลายเท้าที่ถูกคลุมด้วยผ้าจนมิดก่อนจะแตะมือลงไปอย่างแผ่วเบาแล้วนวดคลึงจนเซินเฟยรู้สึกสบายตัว แม้จะอยู่ใต้ผ้าห่มแต่ความอุ่นของมือก็ส่งผ่านลงไปจนถึงผิวเนื้อได้

“อืม.....” เสียงครางจากลำคอทำให้ฝ่ามือนั้นชะงักไปเล็กน้อยเหมือนไม่แน่ใจก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วถลกขึ้นทีละน้อย

เซินเฟยมุ่นคิ้ว วันนี้ฉู่เหวินจือคึกอะไรนักนะ เห็นอยู่ว่าเขากำลังหลับยังไม่วายรบเร้าอยู่ได้

เด็กหนุ่มชักเท้าหนีทำให้ผู้กระทำหยุดมือไป แต่ก็ไม่ได้ขยับไปจากที่เดิม เจ้าตัวนั่งนิ่งไม่ไหวติงรอจนกระทั่งเซินเฟยสงบลงเช่นเดิมจึงค่อย ๆ โน้มตัวลงอย่างระมัดระวังจนแขนคร่อมอยู่เหนือร่างของผู้ที่แสร้งทำหลับใหล เซินเฟยรู้สึกได้ว่าที่นอนข้างตัวยุบลงไปด้วยแรงกดจึงขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่ทันที่จะลืมตาขึ้นมอง พลันร่างเบื้องบนก็โน้มลงมาเสียก่อน ฝ่ายนั้นไถสันจมูกไปกับรอยโค้งเว้าของร่างกายผ่านเนื้อผ้าตั้งแต่บริเวณสะโพกขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ เส้นผมที่ละลงมาบนคอทำให้รู้สึกจั๊กจี้แต่ก็ให้ความรู้สึกแตกต่าง เพราะฉู่เหวินจือเป็นคนผมแข็งและเส้นใหญ่ แต่ผมที่ละผิวเนื้อของเขาอยู่นั้นอ่อนนุ่มซ้ำยังเส้นเล็กละเอียด เซินเฟยที่รู้สึกผิดสังเกตจึงรีบลืมตาขึ้นทันที

เงาร่างที่คร่อมอยู่ด้านบนไม่ได้สูงใหญ่กว่าเขามากนัก เพราะสายตายังไม่ชินกับความมืดเซินเฟยจึงเพิ่งมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อฝ่ายนั้นรุกเข้าหาแล้วกดเขาลงกับเตียงอย่างเบามือ

“อ....อาซิง....” เขาจำโครงร่างและวิธีการสัมผัสได้ในทันที หวางซิงมักจะสัมผัสเขาด้วยความรักและเทิดทูนเสมอไม่ว่าเวลาใด

“คุณเซิน....” หวางซิงขานชื่ออีกฝ่ายอย่างระมัดระวังก่อนจะก้มลงจูบปรนเปรออย่างแผ่วเบา ไม่กล้ารุกล้ำรุนแรง

“เดี๋ยว....!” เซินเฟยตื่นตระหนกด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่วันนี้หวางซิงดูผิดแปลกไปจากปกติ ทว่าเมื่อยันมือผลักออก หวางซิงกลับตรึงแขนของเขาลงบนเตียงแล้วบดจูบแรงขึ้นราวกับจงใจยัดเยียดให้เขายอมรับ หวางซิงไม่เคยดื้อดึงอย่างนี้มาก่อนยิ่งทำให้เซินเฟยสับสนยิ่งกว่าเดิม สมองของเขายังไม่แจ่มชัดนักจากความเบลอเพราะถูกปลุกจากอารมณ์กึ่งหลับกึ่งตื่น

หลังจากตรึงมืออยู่ได้ไม่นาน หวางซิงก็เริ่มลดมือลงอีกครั้ง เขาปลดกระดุมเซินเฟยออกทีละเม็ดอย่างใจเย็นที่สุด ไม่เหมือนคนที่กำลังทำไปด้วยแรงอารมณ์แม้แต่น้อย ทุกกระบวนการล้วนแต่คำนึงถึงการตอบรับของเจ้าของร่างจนไม่น่าจะเป็นไปเพราะขาดสติ

“อาซิง....เกิดอะไรขึ้น?” เซินเฟยจับใบหน้าอีกฝ่ายแล้วพยายามจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่ถูกบดบังด้วยความมืด หวางซิงถอดแว่นออกด้วยรู้สึกเกะกะและเกรงว่าแว่นจะบาดโดนใบหน้าของผู้เป็นนายก่อนดึงมือของเซินเฟยมาจูบทีละนิ้ว ๆ ด้วยความทนุถนอม เซินเฟยรีบชักมือกลับและตะเกียกตะกายออกจากจุดที่ตนเองถูกตรึงไว้ แม้หวางซิงจะไมได้สูงใหญ่กว่าเขามาก แต่ท่าที่คร่อมทับกันก็ทำให้เขาเสียเปรียบ แต่ขยับได้ไม่เท่าไหร่เขากลับถูกโถมทับลงบนแผ่นหลัง ริมฝีปากอุ่นร้อนทาบลงบนหลังคอและเลื่อนไล้เข้าไปใต้เสื้อที่ถูกเลื่อนลงทีละน้อย

“เดี๋ยว....อ...อาซิง....ทำอะไร.....”

“เป็นผมไม่ได้หรือครับ?” หวางซิงที่เงียบไปนานถามขึ้นมาทำให้เซินเฟยชะงักจะมุ่นคิ้ว การชะงักท่าทีของทั้งสองทำให้เซินเฟยพอจะได้สติกลับคืนมาบ้าง

“หมายถึงเรื่องฉู่เหวืนจือหรือ?” เซินเฟยลองถามกลับไป

“....ครับ....” หวางซิงตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบาแล้วจูบเบา ๆ ที่ลาดไหล่ กริยาเหล่านั้นไม่ได้แสดงถึงความพิศวาสดังที่ฉู่เหวินจือกระทำ กลับเต็มไปด้วยความนอบน้อมและกริ่งเกรง
“ลุกออกไปซะอาซิง” เซินเฟยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ตอนนี้เขาต้องกำกับการกระทำของอีกฝ่ายให้ได้เสียก่อน มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันจะดีกว่า

“สิ่งที่ฉู่เหวินจือทำผมก็ทำได้ แค่คุณเซินสั่ง ถึงจะต้องไปตายแทนผมก็ยินดี” นอกจากจะไม่ยอมทำตามคำสั่งแล้ว หวางซิงยังโอบกอดเซินเฟยจนแน่น ตัวเขานั้นเลี้ยงดูเซินเฟยมาตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย เขาที่เห็นเซินเฟยตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นผ้าขาวแสนบริสุทธิ์และค่อย ๆ ถูกอาบย้อมด่ำดิ่งลงสู่อ่างหมึกสีดำใบใหญ่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงอยู่เคียงข้างและปกป้องจากสิ่งแปดเปื้อนทั้งมวล สำหรับเขาแล้วเซินเฟยไม่ได้เป็นเจ้านายแต่ยังเป็นสิ่งล้ำค่าเทียบได้กับชีวิตตนเอง ความผูกพันที่ก่อเกิดทำให้หวางซิงมองว่าการปกป้องเซินเฟยเป็นหน้าที่ของตนไปเสียแล้ว

สิ่งที่เขารู้สึกกับเซินเฟยไม่ใช่ความรักฉันท์ชู้สาว...เรื่องนั้นหวางซิงรู้อยู่เต็มอก

ทว่า....ฉู่เหวินจือก็เช่นกันไม่ใช่หรือ? ทั้งอย่างนั้นกลับกกกอดเซินเฟยได้โดยไม่รู้สึกผิดสักนิด

หวางซิงไม่อาจทนให้ความสัมพันธ์นั้นดำเนินต่อไปได้อีก เขารู้ว่าฉู่เหวินจือจะฉุดให้เซินเฟยตกต่ำลงไป ดังนั้นแม้อาจสายเกินไป แต่เขาก็จะต้องปลุกเซินเฟยให้ตื่นขึ้นเผชิญกับความจริง แม้ว่าจะต้องถูกเกลียดชังเขาก็ไม่นึกสนใจ ขอเพียงแค่เซินเฟยเข้มแข็งขึ้นอีกสักนิดเท่านั้นก็พอ เข้มแข็งพอที่จะต้านทานการเย้ายวนของฉู่เหวินจือที่กำลังค่อย ๆ ชักนำได้

“อาซิง!” เซินเฟยตะคอกเสียงเข้มเมื่อเห็นว่าหวางซิงเริ่มถอดเสื้อของเขาออกอีกครั้ง เพราะหวางซิงเป็นคนสนิทที่เขาให้ความรักและเคารพกว่าใคร ๆ รองแต่เพียงซากุระเท่านั้น จึงไม่กล้าที่จะลงไม้ลงมือด้วยกำลัง ทำได้เพียงขู่ด้วยเสียงเท่านั้น

แต่หวางซิงกลับไม่ฟังเสียง เขาข่มกลั้นความจงรักในหัวใจและกลั้นใจดึงเสื้อของเซินเฟยออกจนพ้นตัวก่อนจะเลื่อนมือลงไปดึงกางเกงยางยืดจนพ้นสะโพก

“อาซิง! หยุดนะ!” เซินเฟยดิ้นรนด้วยการผลักอีกฝ่ายออก ทว่าเพราะหวางซิงเป็นคนทับอยู่ด้านบน ด้วยน้ำหนักตัวจึงไม่อาจสู้ได้อยู่แล้ว

“ได้โปรด...อยู่เฉย ๆ เถอะครับ” หวางซิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนเซินเฟยใจหาย แต่ไหนแต่ไรมา เสียงที่หวางซิงใช้กับเขาจะแฝงไว้ด้วยความเทิดทูนสุดหัวใจ และต่อเมื่อหวางซิงกำลังหลดกางเกงตนเองลงเพื่อปลุกเร้าให้ตัวเองนั้น เซินเฟยก็มาถึงจุดสิ้นสุดของความอดทน เขาตวัดมือตบหน้าหวางซิงฉาดใหญ่จนใบหน้านั้นสะบัดไปอีกทางตามแรงกระทบ การกระทำของเซินเฟยทำให้ทุกอย่างนิ่งสงบไปชั่ววินาที

“ได้สติหรือยัง? ลุกออกไปซะ ผมไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์” เซินเฟยพูดจบก็ขยับตัวถอยหมายจะสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ทว่า หวางซิงที่หันกลับมาไม่แม้แต่จะคลำแก้มตนเองที่คงจะแดงเป็นปื้น กลับคว้าเอาตัวเซินเฟยลงมานอนราบแล้วกัดฟันดึงดันแทรกตัวเข้าไปในช่องทางที่ยังไม่ทันถูกตระเตรียม ความเจ็บจากการถูกขยายกะทันหันทำให้เซินเฟยขบกรามจนแน่นและเบิกตากว้างพยายามกลั้นลมหายใจตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

การร่วมรักที่ทุลักทุเลเพราะคนรุกไร้ประสบการณ์ คนรับก็ไม่ได้เต็มใจทำให้เซินเฟยแทบจะกัดลิ้นตัวเองหลายครั้ง ทั้งเจ็บปวดทรมานไม่ต่างจากตอนที่โดนฉู่เหวินจือข่มขืนสักนิด เพียงแต่ว่าตอนนั้นสติของเขาพร่าเลือนเต็มที ตอนนี้สติของเขากลับแจ่มชัดเสียจนอยากจะเอาหัวโขกผนังให้สลบไปเสียเลย

ใช้เวลายื้อยุดอยู่นานกว่าที่การร่วมรักที่เหมือนจะเป็นการลงทัณฑ์จบสิ้นลง ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครที่ได้ปลดเปลื้องสมใจ แต่หว่างขาเซิยเฟยกลับเกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดที่ไหลซึมออกมาตามรอยปริแยก เขาแทบไม่มีแรงขยับตัวเพราะแค่คิดจะลุกขึ้นท่องล่างก็ปวดระบมขึ้นมาเป็นริ้ว

หวางซิงลุกขึ้นเงียบ ๆ แล้วเดินหายไป สักครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมอ่างที่บรรจุน้ำจนเต็มและผ้าขนหนู

ไฟดวงสีเหลืองอ่อนถูกเปิดขึ้นเพื่อให้หวางซิงเห็นอะไรได้ชัดเจน ทว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นบนร่างของเซินเฟยทำให้หวางซิงคิดว่าไม่เปิดเสียยังจะดีกว่า

บนผิวซีดขาวมีรอยฟกช้ำจากการยื้ดยุดต่อสู้ปรากฏเป็นจ้ำหลายจุด ริมฝีปากเซินเฟยถูกขบด้วยฟันคมของตนเองจนแตกเลือดซิบ นัยน์ตาของเซินเฟยเหลือบขึ้นด้านบนอย่างคั่งแค้นแต่ไม่มีน้ำตาออกมาแม้สักหยด หวางซิงกลั้นใจก้มลงมองจุดที่เกิดความเสียหายมากที่สุด ช่องทางที่รองรับอารมณ์บวมแดงและเปรอะไปด้วยหยาดเลือดสีแดงสดที่ไหลหยดลงบนผืนผ้าสีขาวไม่ต่างกับเลือดแรกของหญิงพรหมจรรย์ เพียงแต่....ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นต่างกันมากนัก ต่างกันมากทั้งทางร่ายกายและจิตใจ

เซินเฟยหายใจแรงจนได้ยินเสียงชัดเจนท่ามกลางบรรยากาศที่กดดันพาให้อึดอัดหายใจแทบไม่ออก

หวางซิงใช้ผ้าสะอาดค่อย ๆ ชุบน้ำหมาด ๆ แล้วเช็ดบาดแผลอย่างเอาใจใส่ แค่เพียงกล้ามเนื้อกระตุกเกร็งสักน้อยก็ไม่มี

การที่เซินเฟยต้องเจ็บถึงอย่างนี้ใช้ว่าหวางซิงจะไม่รู้สึกอะไร หัวใจของเขาปวดร้าวยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ได้แต่คิดในใจว่าไม่ว่าจะถูกลงโทษเช่นไรก็เต็มใจจะก้มหน้ารับด้วยความเต็มใจ เพราะหากเซินเฟยสามารถออกปากลงโทษเขาได้ก็หมายความว่าจูเชว่ผู้เฉียบขาดคนเดิมได้กลับมาแล้ว

หลังจากทำความสะอาดเสร็จ หวางซิงก็ออกไปจากห้องแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกล่องยา เขาบรรจงชะโลมยาลงบนแผลอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงเก็บของทั้งหมดออกไปแล้วเดินเข้ามาคุกเข่าข้างเตียงอย่างเงียบ ๆ ในมือของเขามีแก้วน้ำอยู่ใบหนึ่งกับยาอีกเม็ด

“ออก.....ไป.....” เซินเฟยเค้นเสียงลอดไรฟัน

“ยาแก้อักเสบครับ” หวางซิงกล่าวเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“หูหนวกหรือยังไง!” เซินเฟยคำรามออกมาก่อนจะหายใจแรงเมื่อการตะคอกทำให้กระทบลงไปถึงท้องน้อย

“ได้โปรดทานยาก่อนเถอะครับ” หวางซิงอ่อนวอนก่อนจะพยุงตัวเซินเฟยขึ้นมา ทว่าเซินเฟยกลับเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม เขายกมือปัดแก้วตกพื้นแตกกระจายแล้วลงไปนอนหอบแรง นึกโมโหร่างกายตัวเองที่บอบบางแค่โดนใช้กำลังก็ลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว

หวางซิงก้มลงเก็บเศษแก้วที่แตกกระจายโดยไม่พูดอะไร แม้จะโดนเศษแก้วบาดนิ้วก็ไม่ปริปากอุทธรณ์ให้เซินเฟยระคายหู

จากนั้นเซินเฟยก็นำผ้ามาเช็ดน้ำที่นองพื้น แต่เสียดายที่เป็นพื้นพรมจึงไม่อาจซับให้แห้งได้ ต้องปล่อยให้น้ำระเหยไปเอง หากเหลือคราบจึงค่อยมากำจัดคราบอีกทีหนึ่ง ที่น่ากลัวกว่าคือเศษแก้วที่อาจฝังอยู่กับพรม หวางซิงจึงใช้มือกวาดไปตามผิวพรมเพื่อดึงเอาเศษแก้วออกมาให้หมดเพราะหากใช้เครื่องดูดอาจทำให้เซินเฟยอารมณ์เสียขึ้นมาได้ ดังนั้นกว่าจะเก็บจนแน่ใจว่าไม่เหลือเศษแก้วแล้ว มือของหวางซิงก็เต็มไปด้วยรอยขูดขีดและเลือดที่ไหลซิบจากบางบาดแผล เลขาหนุ่มลุกขึ้นนำเศษแก้วไปทิ้งถังขยะ แต่เขาก็พบว่าเซินเฟยยังนอนเบิกตาโพลงจ้องมองเพดานอยู่อย่างนั้น ไม่ได้หลับไปดังคาด

หวางซิงเดินไปคุกเข่าลงตรงปลายเตียงแล้วประคองเท้าของเซินเผยขึ้นมาอย่างเบามือก่อนจะจูบเบา ๆ แสดงถึงความเคารพเทิดทูนอย่างสูงสุด

เซินเฟยกัดฟันพยุงตัวเองขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนก่อนจะออกแรงถีบหวางซิงออกไปให้พ้นตัว

“กล้าดีนักนะ......” เขาพูดพลางหอบก่อนจะยิ่งเดือดมากขึ้นเมื่อเห็นหวางซิงก้มหน้าลงรอรับโทษแต่โดยดี ไม่มีคำแก้ตัวแม้สักคำ “ก็ดี....ดีมาก.......” เซินเฟยขบฟันแรงจนกรามแทบแตก

ตอนนี้ความโกรธบดบังความนับถือที่เซินเฟยเคยมีแทบหมดสิ้น คนสุดท้ายที่เขาเคยคิดว่าจะทำร้ายเขาก็คือหวางซิง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครหน้าไหนมันก็เหมือนกันไปหมด!

“นักสืบมู่.....ทำงานได้ดีเกินคาด คำขอนั่น....เขาสมควรจะได้รับ.....” เซินเฟยพูดพลางหอบหนัก พอขยับตัวก็รู้สึกเจ็บจี๊ดจนถึงก้านสมองแต่ก็ยังฝืนพูดต่อไป “ใช่ไหม.....อาซิง?”

“เข้าใจแล้วครับ” หวางซิงรับเรียบ ๆ ก่อนจะถอยออกไปจากห้องโดยไม่ต้องให้สั่งซ้ำสอง กระนั้นก็ยังไม่ลืมปิดไฟแล้วกล่าว “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

เซินเฟยทิ้งตัวลงนอนอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ความเหนื่อยล้าที่คิดว่าหายไปแล้วโถมทับเข้ามาในหัวใจราวกับว่าเขื่อนกั้นได้พังทลายลงและปล่อยให้สิ่งที่ปิดกั้นไว้ไหลทะลักออกมาจนท้นท่วม หยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลลงจากหางตา ทั้งที่เขาพยายามเก็บกลั้นเอาไว้แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำให้มันแห้งเหือด ทำได้เพียงแค่ชะลอการหยาดไหลของมันเท่านั้น

เหมือนกับถูกกระชากออกมาจากความฝันไม่มีผิด....

“ปลุกกันรุนแรงเกินไปแล้ว.....” เซินเฟยพึมพำในลำคอแล้วหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาหยาดไหลหยดแล้วหยดเล่าโดยไม่สนใจจะเช็ดมันออกจากแก้มแต่อย่างใด

----------------------->

มู่อี้จิงยืนค้างอยู่หน้าประตูเมื่อพบว่าคนที่เพิ่งกลับไปเมื่อตอนเย็นมาหาเขาที่ห้องอีกครั้ง ซ้ำยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะมาเยี่ยมใคร เรื่องนี้อีกฝ่ายน่าจะรู้ดี มู่อี้จิงจึงได้รู้สึกแปลกที่คนเคร่งครัดอย่างหวางซิงมากดออดเอาดึกดื่นป่านนี้ ซ้ำท่าทางก็ดูไม่สู้ดีนัก เสื้อผ้ายังไม่เรียบร้อย ชายเสื้อบางส่วนหลุดออกมานอกกางเกงแสดงถึงความเร่งรีบรวบรัดในการสวมใส่ เข็มขัดไม่ได้สวม ทั้งกระดุมยังกลัดเพียงไม่กี่เม็ด บางเม็ดก็หลุดออกไปเสียด้วยซ้ำ หากไม่นับรวมแว่นตาที่อยู่ในสภาพดี มู่อี้จิงก็นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายไปฟัดกับใครหรืออะไรมา

สีหน้าของหวางซิงดูไม่ได้นิ่งขรึมอย่างปกติ อีกฝ่ายทำหน้าราวกับว่าโลกแตกสลายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันนิ่งสนิท เบ้าตามีน้ำคลออยู่แต่ไม่ได้ไหลออกมา แก้มข้างหนึ่งมีรอยแดงช้ำและบางจุดมีรอยถูกเล็บเกี่ยว

มู่อี้จิงเชิญอีกฝ่ายเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู เขาไม่กล้าถามให้มากความ แต่ว่าเมื่อหวางซิงเข้ามาแล้ว เจ้าตัวกลับถอดเสื้อออกเสียอย่างนั้น

“เดี๋ยว! นี่คุณจะทำอะไรน่ะ!” มู่อี้จิงดึงเสื้อกลับเข้าที่ ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากจะคิดลึกเกินเหตุ ผู้ชายแก้ผ้าต่อหน้ากันเป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าปกติที่สุดในโลก แต่พอเป็นหวางซิงที่แต่งตัวเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่เสื้อยืดก็ไม่เคยสวมใส่ ซ้ำตอนกลางวันยังมาถามเรื่องแบบนั้นกับเขา แม้จะเป็นผู้ชายที่ซื่อบริสุทธิ์ก็คงจะรู้สึกขึ้นมาได้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติ

“คุณเซินบอกว่า....พิจารณาคำขอของคุณแล้วครับ” หวางซิงพูดเสียงเรียบ ๆ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“คำขอ?” มู่อี้จิงทวนคำแล้วมุ่นคิ้วก่อนจะก้มลงมองมือของหวางซิงที่เลื่อนขึ้นมาบนแผ่นอก ทันใดนั้นเขาก็รีบจับมือทั้งสองข้างขึ้นมามองให้ชัด ๆ “แผลพวกนี้มาจากไหนน่ะครับ?”

ทั้งที่ตอนออกไปยังไม่มีแท้ ๆ แต่ตอนกลับมานิ้วกลับมีแต่รอยขีดข่วน บางแผลก็เลือดซึม และบางนิ้วมีปลาสเตอร์ปิดไว้

“เอ่อ...ผม.....” หวางซิงอึกอักแล้วดึงมือกลับ “ผมทำแก้วแตก”

มู่อี้จิงไม่ใคร่เชื่อนัก เขารุนหลังให้หวางซิงไปนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบกล่องปฐมพยาบาลฉุกเฉินออกมา แน่นอนว่าความพรักพร้อมของอุปกรณ์ไม่อาจเทียบกระเป๋ายาส่วนตัวของหวางซิงได้ แต่เทียบกับคนปกติก็ถือว่าเป็นกระเป๋าปฐมพยาบาลที่พร้อมสรรพแล้ว

มู่อี้จิงจัดการใส่ยาฆ่าเชื้อให้บนแผล รวมถึงแผลที่เจ้าตัวปิดปลาสเตอร์ไว้ด้วย มองไปก็เห็นว่าเป็นรอยถูกแก้วบาดจริง ๆ แต่หวางซิงไม่น่าจะเป็นคนซุ่มซ่ามถึงขนาดนั้น

เขาปิดปลาสเตอร์ให้ใหม่อย่างเรียบร้อยก่อนจะนั่งเอนตัวบนโซฟา ความจริงแล้วเขากำลังจะนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงาน ไม่คิดว่าจะถูกรบกวนกลางดึกจึงรู้สึกง่วงอยู่นิด ๆ

“ว่าแต่ จูเชว่ฟังคำขอไหนของผมล่ะ?” ช่วงนี้สถานการณ์ทางนั้นดูปกติดีจึงไม่มีงานให้เขาเข้าไปแทรกแซงมากนัก อยู่ ๆ เซินเฟยคิดจะใจดีอะไรขึ้นมาถึงให้รางวัลคนที่ไม่ได้ทำงานอย่างเขา

“คุณเคยบอกว่า อยากจะนอนกับผมไม่ใช่หรือครับ?” หวางซิงพูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่

“เรื่องนั้นผมก็บอกแล้วว่า....”

“กรุณานอนกับผมเถอะครับ” โดยไม่รอให้ปฏิเสธ หวางซิงก็โผเข้าใส่มู่อี้จิง แต่ว่าเพราะขนาดตัวที่ต่างกันรวมถึงแรงกาย สิ่งที่หวางซิงทำจึงเป็นเพียงการโผเข้าไปซบอยู่บนอกของมู่อี้จิงที่ขืนตัวไว้ทัน “ได้โปรด....นอนกับผมเถะครับ” หวางซิงอ้อนวอนจนมู่อี้จิงใจอ่อนยวบ กระนั้นเขาก็ไม่คิดว่าการทำตามคำขอนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อีกฝ่ายกำลังสั่นเป็นลูกนกแบบนี้ใครจะไปทำลง

“คุณทะเลาะกับจูเชว่มาหรือครับ?” ทันทีที่มู่อี้จิงถามออกไป เสียงสะอื้นฮักก็เล็ดรอดออกมาให้ได้ยิน ของเหลวอุ่นหยดใส่แผ่นอกเปล่าเปลือยของเขา ชายหนุ่มลนลานตกใจทำอะไรไม่ถูก เขารีบดึงหวางซิงขึ้นนั่งแล้วโอบกอดเอาไว้หลวม ๆ “นี่เดี๋ยวสิ! ทำไมอยู่ ๆ ก็ร้องไห้ได้ล่ะ!”

หวางซิงยังคงร้องไห้ต่อไปโดยไม่พูดอะไร เขายกแขนเสื้อขึ้นป้ายน้ำตาแล้วถอดแว่นออก มู่อี้จิงถอนหายใจเฮือก ลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะพูดอะไรดี เกรงว่าหากพูดอะไรผิดหูเข้าอีกหวางซิงคงร้องไห้หนักกว่าเดิม ถึงตอนนั้นคืนนี้เขาคงหมดหวังจะได้นอนเป็นแน่

ชายหนุ่มถอนหายใจอีกเฮือก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #188 เมื่อ28-02-2011 13:10:26 »

ความจริงแล้วก่อนที่หวางซิงจะมาแค่แปบเดียว ก็มีคนโทรเข้ามาหาเขา เบอร์โทรดูไม่คุ้นตาเขาก็ลองกดรับดู ก่อนจะจำเสียงต้นสายได้ในทันที เป็นเสียงของจูเชว่ไม่ผิดแน่ อีกฝ่ายบอกเขาแค่ว่าอีกเดี๋ยวหวางซิงจะมาหาและบอกให้ดูแลให้ด้วย ซ้ำยังกำชับว่าอย่าบอกหวางซิงเด็ดขาดว่าตนเองโทรมา ก่อนจะวางสายไปโดยไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธ มู่อี้จิงรู้สึกว่าโทนเสียงของจูเชว่ฟังผิดหูไปคล้ายกับว่าเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ

จูเชว่น่ะหรือจะร้องไห้?

ตอนนั้นเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ ถึงแม้จะรู้เต็มอกว่ามาเฟียก็เป็นคนที่มีหัวใจ แต่เขาก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงที่เพิ่งผ่านการร้องไห้ของคนที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้น

แต่พอมาเห็นหวางซิง เขาก็เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่อาจรู้เหตุผล สำหรับจูเชว่คนนั้น หวางซิงเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่น ๆ ถ้าหวางซิงถึงกับหลั่งน้ำตาแบบนี้คงจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่

“ให้ตายสิ....คุณแก่กว่าผมอีกนะ มาร้องไห้ซบอกแบบนี้ไม่รู้สึกอายหรือ?” เพราะไม่รู้จะพูดอะไรให้บรรยากาศตึงเครียดคลายลง เขาจึงเลือกจะลองหยอดดู แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว หวางซิงกลับซุกหน้าฝังกับบ่าเขาแน่นขึ้นแล้วสะอื้นฮักออกมาอีกครั้ง มู่อี้จิงจึงตัดสินใจว่าปิดปากเงียบเสียจะดีกว่า

นายบ่าวคู่นี้นี่....ช่างขยันนำเรื่องปวดหัวมาให้คนอื่นเสียจริง....

มู่อี้จิงบ่นอุบอยู่ในใจ

“คืนนี้คุณจะนอนที่นี่หรือเปล่า?” จริงอยู่ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยเหมาะที่จะถาม แต่มู่อี้จิงเองก็เป็นมนุษย์ปุถุชนที่ต้องกินต้องนอน และตอนนี้มันก็เลยเวลานอนปกติของเขาไปมากแล้ว

หวางซิงพยักหน้ารับเงียบ ๆ

“ถ้าอย่างนั้นคุณนอนบนเตียงก็แล้วกัน” มู่อี้จิงกล่าวพร้อมกับดึงอีกฝ่ายให้ลุกตามก่อนพาเดินไปยังเตียงนอนที่อยู่ในห้องเล็ก ๆ มีประตูเชื่อมกับห้องนั่งเล่น หวางซิงยอมขึ้นนอนแต่โดยดีเมื่อเห็นว่าในห้องนอนมืดพอที่อีกฝ่ายจะไม่เห็นใบหน้าที่น่าสมเพชของตัวเอง มู่อี้จิงหยิบแว่นที่เจ้าของถอดทิ้งไว้เข้ามาด้วย เขาวางมันไว้บนตู้เล็กที่เขาใช้เก็บของจิปาถะก่อนเดินเข้ามาห่มผ้าให้แขกยามวิกาล

“แล้วคุณจะนอนที่ไหน?” หวางซิงกลั้นสะอื้นแล้วเอ่ยถาม เตียงของมู่อี้จิงไม่ได้กว้างใหญ่นัก ขนาดเพียงผู้ชายตัวโต ๆ นอนได้คนเดียว ซึ่งปกติมู่อี้จิงก็นอนคนเดียวเป็นประจำ

“ผมจะไปนอนที่โซฟา” ชายหนุ่มกล่าวตอบแต่กลับโดนหวางซิงดึงมือไว้

“ผมไปเองดีกว่า ยังไงที่นี่ก็ห้องของคุณ” หวางซิงลุกขึ้น

“แต่คุณเป็นแขกนะ” มู่อี้จิงมุ่นคิ้ว สถานการณ์ที่แขกกับเจ้าบ้านแย่งกันนอนโซฟานี้มีให้เห็นในหนังแทบทุกเรื่อง แต่เขาไม่คิดว่าจะมาเกิดเอากับตัวเองจึงไม่เคยคิดล่วงหน้าว่าหากเกิดขึ้นเขาจะเลือกนอนที่ไหน

“แต่ว่า.....”

“งั้นนอนด้วยกันนี่แหละ” มู่อี้จิงหมดอารมณ์เล่นแง่ เขาง่วงจนตาแทบปิดจึงเลือกทางที่สามอย่างที่หนังหลายเรื่องมักจะเลือก ก่อนจะเบียดตัวขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วดึงหวางซิงให้เข้ามานอนชิดกันจะได้ไม่ถูกเบียดตกลงไปกองข้างล่าง อาจจะนอนไม่สบายตัวอยู่สักหน่อยแต่ก็ดีกว่าเอาแต่ถกเถียงกันจนไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะหวางซิงเองก็หัวแข็งใช่ย่อยคงไม่ยอมง่าย ๆ เหมือนกัน

หวางซิงเป็นคนนอนตรงเวลาเสมอจึงหลับไปอย่างรวดเร็วในขณะที่มู่อี้จิงนั้นปกติเป็นคนประสาทแข็งหลับยากอยู่ล้วกลับโดนปลุกขึ้นมาฟังคนร้องไห้กลางดึกจึงต้องกระสับกระส่ายด้วยความไม่สบายตัวอยู่นานกว่าจะหลับไปได้โดยกอดหวางซิงเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยเกรงว่าเขาอาจเผลอถีบอีกฝ่ายตกเตียงตอนพลิกตัว

ในตอนเช้า หวางซิงซึ่งไม่มีเสื้อผ้าจะเปลี่ยนจำต้องขอยืมเสื้อผ้าของมู่อี้จิงที่ค่อนจะหลวมไปสักเล็กน้อยมาสวมใส่ก่อนเพื่อกลับไปเอาชุดที่บ้าน หวางซิงขอให้มู่อี้จิงไปหลัง 7 โมงเพราะเวลานั้นเซินเฟยน่าจะออกจากบ้านแล้วทำให้มู่อี้จิงต้องยอมไปทำงานสายสักวันหนึ่ง หลังจากหวางซิงกลับไปเปลี่ยนชุดเรียบร้อย มู่อี้จิงก็ขับมาส่งถึงที่ทำงานซึ่งก็สายกว่าเวลาเริ่มงานไปเล็กน้อย หวางซิงเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ

“ถ้าคุณมีอะไรที่ผมตอบแทนได้ก็บอกได้เลยนะครับ” เขากล่าวขณะยืนอยู่ข้างรถของมู่อี้จิง

“ถ้าอย่างนั้น คราวหลังเวลาคุณจะมาร้องไห้ก็ช่วยมาตอนหัวค่ำหน่อยก็แล้วกัน” มู่อี้จิงเย้าทำให้หวางซิงหน้าแดงวูบด้วยความขัดเขิน

หลังจากนั้นมู่อี้จิงก็รีบขับรถไปทำงานทันที ส่วนหวางซิง....เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ที่หน้าบริษัท ไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าอย่างไรตอนที่พบเซินเฟยอีกครั้ง แต่ว่า....เซินเฟยจะยอมให้เขาพบอีกน่ะหรือ? เมื่อคืนนี้ไม่ถูกทำโทษรุนแรงก็นับว่าโชคดีอย่างเหลือแสนแล้ว ก่อนหน้านี้ฉู่เหวินจือก็ถูกนำไปล่ามไว้ที่ห้องใต้ดินแล้วเฆี่ยนเสียจนหลังยับ สำหรับเขา...ถือว่าเซินเฟยอ่อนข้อให้มากจริง ๆ

หวางซิงสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วฝืนใจลากเท้าที่หนักอึ้งเดินเข้าไปในบริษัทที่เขาเคยคิดว่าคุ้นชิน แต่ตอนนี้แค่ทางเดินหน้าล็อบบี้ยังดูห่างไกลจนแทบจะไร้ที่สิ้นสุด ลิฟต์พิเศษที่ใช้ขึ้นไปยังห้องประธานก็รู้สึกอึดอัดทั้งที่กว้างขวางดี

สุดท้ายการเดินทางก็สิ้นสุดลง หวางซิงมายืนอยู่หน้าห้องของประธานเครือตระกูลเซินจนได้ ประตูไม้ขัดเงาเบื้องหน้าดูสูงใหญ่ทะมึนและแผ่รังสีกดดันออกมาอย่างน่ากลัว แม้จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงอุปทานของตัวเองแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงความโกรธเคืองของเซินเฟยเมื่อพบหน้ากัน แต่ว่า....ให้โกรธเสียก็ยังดีกว่าเย็นชากระมัง หากว่าเซินเฟยทำเป็นเหมือนว่าไม่มีเขาอยู่ในโลกอีกแล้วเขาจะทำยังไงดี....

คิดไปก็ทำอะไรไม่ได้....หวางซิงตัดสินใจเคาะประตู

“ใคร”

เสียงที่ผ่านบานประตูออกมาเยียบเย็นจนน่าใจหาย

หวางซิงกัดริมฝีปากก่อนจะเอ่ยตอบ

“หวางซิงครับ”

เสียงในห้องเงียบไปนาน ทำให้หวางซิงที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ถึบกับกลั้นหายใจตามไปด้วย ใจหนึ่งก็กลัวว่าเซินเฟยจะเงียบไปอย่างนั้นเลย แต่อีกใจก็กลัวจะถูกขับไล่ไสส่ง

“เข้ามา” ในที่สุดเซินเฟยก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง หวางซิงสะดุ้งจนตัวลอยก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้วยความสำรวมอย่างถึงที่สุด ทว่าก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเซินเฟยพูดต่อ “ทำไมถึงมาสาย เดี๋ยวนี้เริ่มจะหัดเถลไถลแล้วหรือ อาซิง?”

“ขอโทษครับ....” หวางซิงตอบก่อนจะปิดประตูแล้วค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองบุคคลเบื้องหน้า แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางกระจกผนังทำให้ใบหน้าของเซินเฟยถูกบดบังด้วยแสงสลัวราง เพิ่มบรรยากาศกดดันให้กับคนที่มีชนักติดหลังเช่นเขาจนเผลอกำมือแน่น เซินเฟยนั่งไขว่ห้าง ประสานมือโดนยันศอกกับโต๊ะแล้ววางปลายคางลงบนหลังมือที่ประสานเข้าหากัน นัยน์ตาเฉียมคมประดุจตาพญาหงส์จับจ้องเลขาของตนนิ่งงันจนหวางซิงรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุไปถึงไขสันหลัง เขาอดไม่ได้ที่จะสะท้านขึ้นมา

“เรื่องที่สั่งไป ได้ทำหรือยัง?” ริมฝีปากของเซินเฟยเปล่งเสียงทรงอำนาจออกมา น้ำเสียงที่น้อยครั้งจะใช้กับคนสนิทชิดเชื้อ

“คุณมู่ปฏิเสธครับ.....” เมื่อตอบออกไปแล้วหวางซิงก็ได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ เตรียมใจรับบทลงโทษต่อไปที่เซินเฟยจะมอบให้

“อ้อ” เซินเฟยรับคำในคอแล้วเอนตัวพิงพนักสูง “แล้ววันนี้มีอะไรบ้าง?” เสียงของเซินเฟยผ่อนคลายลงทั้งยังไม่ซักถามเรื่องเมื่อคืนแม้สักนิด หวางซิงยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระวีกระวาดหยิบสมุดบันทึกขึ้นมากวาดมองกำหนดการณ์ของวันนี้

เวลาในการรายงานกำหนดการณ์ประจำวันใช้ไปไม่มากนัก หวางซิงพูดจบก็ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ว่าเซินเฟยจะสั่งการอะไรต่อไป

“ออกไปได้แล้ว”

“....ครับ...” หวางซิงรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าเซินเฟยไม่คิดคาดโทษอะไรต่อ แต่ว่าแค่เปิดประตูออกไปเท่านั้น ร่างสูงของฉู่เหวินจือก็สวนเข้ามา ชายหนุ่มแย้มยิ้มให้หวางซิงเล็กน้อยก่อนจะปิดประตูลงเมื่อหวางซิงพ้นกรอบออกไป

ฉู่เหวินจือเดินตรงเข้าไปหาเซินเฟยที่กำลังอ่านเอกสารบนโต๊ะอยู่

“มีอะไร?” เซินเฟยถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

“เหล่าโหวให้ผมมารายงานว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เรียบร้อยแล้วครับ” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างแล้วเดินอ้อมโต๊ะไปยืนข้างๆ ก่อนจะโน้มศีรษะลงจนแนบใบหู “แล้วผมจะขอรางวัลได้ไหม?”

เซินเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อย

“รางวัลแบบไหนกันล่ะ?” เขาหมุนเก้าอี้มาเผชิญหน้ากับฉู่เหวินจือแล้วเหลือบตาขึ้นมอง พฤติกรรมที่แปลกไปให้ความรู้สึกสงสัยกับชายหนุ่มว่าคืนที่เขาออกไปทำงานข้างนอก เกิดอะไรขึ้นกับเซินเฟยกันแน่ ทั้งที่หากเป็นปกติ เซินเฟยคงขมวดคิ้วแล้วหาข้ออ้างไปแล้ว

“คุณคิดว่าแบบไหนดีล่ะครับ?” ถึงจะเป็บแบบนั้น ฉู่เหวินจือก็ไม่ได้นึกใส่ใจมากมาย เขาโน้มใบหน้าลงอีกนิดหนึ่งแล้วสัมผัสริมฝีปากกับปลายจมูกของผู้เป็นเจ้านาย เหมือนกับเวลาที่สุนัขออดอ้อนขอความรักและรางวัลที่สามารถทำงานได้ตามสั่ง

“ฉู่เหวินจือ นายเป็นสุนัขของฉันใช่ไหม?”

“ครับ” ฉู่เหวินจือรับพลางเลิกคิ้ว

“ถ้าอย่างนั้น นายกล้าดียังไงถึงยืนค้ำหัวฉัน ฉันไม่เคยฝึกสุนัขให้คร่อมเหนือหัวเจ้านาย เข้าใจไหม?” เซินเฟยเพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดออกมาเช่นนั้น ปลายเท้าของเขาสะกิดขาฉู่เหวินจือเป็นสัญญาณทางกายให้กระทำตามคำสั่ง ฉู่เหวินจือจึงคุกเข่าลงแล้วเงยหน้ามองเซินเฟยที่กำลังจ้องมองตอบด้วยท่าทางที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ฉู่เหวินจือคุกเข่าเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เซินเฟยก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง เขายกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงไปที่หว่างขาของชายหนุ่ม แม้ไม่ได้แรงนักแต่ก็ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งพลางเบ้หน้า

“พอจะรู้สถานะตัวเองแล้วหรือยัง?” เซินเฟยเอ่ยถามเสียงเรียบ

“ครับ”

ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเซินเฟยทำให้ฉู่เหวินจือจำต้องใช้สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่ามีเหตุผลใดบ้างที่ทำให้คน ๆ นี้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ แตกต่างจากเซินเฟยทั้งตอนเจอกันครั้งแรกและเมื่อเร็ว ๆ นี้ ราวกับว่า.....ฉู่เหวินจือยิ้มกับตัวเอง

เหมือนนกที่ผลัดขนกระมัง....

ที่เขาคำนวนไว้ เซินเฟยน่าจะเติบโตได้ช้ากว่านี้พอสมควร ไม่คิดว่าคืนเดียวที่เขาหายไปจะเกิดอะไรรอดหูรอดตาเขาขึ้นมาได้ซ้ำยังมีอิทธิพลต่อเซินเฟยมากถึงขนาดนี้

“ถึงนายจะเป็นสุนัขของฉันก็อย่าเหลิงเกินไปนัก”

“ครับ”

“ดี” เซินเฟยโน้มตัวลงแล้วเชยคางฉู่เหวินจือขึ้น “งั้นฉันจะให้รางวัลที่นายต้องการ” ว่าแล้ว เซินเฟยก็ทาบจูบลงบนริมฝีปากอุ่นที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายรุกเร้าเขามาตลอด เพียงครู่เดียวเซินเฟยก็ผละออกแล้วยืดตัวตรง

“ไปได้แล้ว”

ฉู่เหวินจือรับคำด้วยรอยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปตามคำสั่ง ที่หน้าห้องนั้นเขาเห็นหวางซิงกำลังยืนอิงผนังคล้ายว่าฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องอยู่ตลอด ฉู่เหวินจือแย้มรอยยิ้มให้กับหวางซิงโดยไม่แสดงท่าทีว่าเดือดร้อนกับการเปลี่ยนแปลงของเซินเฟยแม้แต่น้อย

“คงเป็นคุณล่ะมั้ง” เขาเปรยออกมา คนที่มีอิทธิพลกับเซินเฟยถึงขนาดนั้นคงไม่พ้นเลขาที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้ปกครองคนนี้ ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างขึ้น “ผมจะดูต่อไปว่าคุณทำอะไรได้อีก” ว่าจบ ฉู่เหวินจือก็หัวเราะเสียงต่ำในคอแล้วเดินจากไป หวางซิงถอนหายใจเฮือกแล้วยิ้มบาง...

อย่างน้อยความเย็นชาที่เขาได้รับกลับมาก็ไม่เสียเปล่าเสียทีเดียว....

TBC


-----------------------

เอิ่ม ฉู่หึง....ไม่ดีมั้งคะ คนอย่างฉู่คงหึงเงียบได้น่ากลัว 555+

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #189 เมื่อ28-02-2011 14:56:58 »

อาซิงทำอารายลงปายยยยยยยยยยย
กรี๊ดดด มีอะไรก็เคลียร์ด่วนน!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
« ตอบ #189 เมื่อ: 28-02-2011 14:56:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






daizodiac

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #190 เมื่อ28-02-2011 15:09:06 »

เฮ้ออ สงสารเซินเฟย

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #191 เมื่อ28-02-2011 15:24:01 »

 :a5: อาซิง ทำไมไม่ศึกษาวิธีรุกมาให้ดีก๊อนนนน

ต่อไปคุณเซินจะเป็นนางพญาแล้วใช่มั้ย คุณฉู่เสร็จแน่ๆ(รึป่าว)

 :3123:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2011 15:57:49 โดย sam3sam »

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: บัลลังก์ปีกหงŪ
«ตอบ #192 เมื่อ28-02-2011 15:47:11 »

อาซิงเป็นคนสุดท้ายในโลกที่เราคิดว่าจะทำร้ายอาเซินได้  แต่ตอนนี้ก็เป็นไปแล้ว
อาฉู่นึกรู้  แต่ก็คงนึกไม่ถึงว่าอาซิงจะใช้วิธีการนี้เรียกสติจากอาเซิน
หากอาฉู่รู้  อาซิงจะเป็นยังงัย  ตกลงใครเป็นพระเอกแน่วะ 

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #193 เมื่อ28-02-2011 16:09:47 »

อยากอ่านอีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ yakusa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 340
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #194 เมื่อ28-02-2011 17:25:39 »

วันนี้อ่านแล้วปวดตับ  :เฮ้อ: ขอน้ำหวานกินแก้มาม่าบ้างได้ปะ

Miyabi

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #195 เมื่อ28-02-2011 17:40:39 »

ปวดตับด้วยคน สงสารเซินเฟย  :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ IRIS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #196 เมื่อ28-02-2011 17:58:02 »

ขอบคุณค่า..

อ่านตอนนี้แล้วเกลียดอาซิงมากอ่ะ..ถึงหวังดีแต่ก็ไม่ควรทำแบบนี้..อาเซินไม่ใช่วันทองนะถึงได้มีสองผัวในเวลาเดียวTT

อาฉู่หึงแล้วน่ากลัวขนาดไหนน๊า..อยากเห็นจัง..

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #197 เมื่อ28-02-2011 19:32:57 »

:sad3: :sad3: :sad3:อาซิงงงงงงงงงงงงงง  ไหงทำงี้

แต่อีตาฉู่โคตรน่าสงสัย

เปลี่ยนพระเอกเลยเอาอาซิงเป็นแทน

ปล.ล้อเล่นจ้าเค้าว่าเป็นคุณฉู่ก็เหมาะและ

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #198 เมื่อ28-02-2011 20:51:21 »

 :a5:

:angry2:ทำไมอาซิงถึงทำอย่างนี้ ถึงจะทำไปเพราะความหวังดีก็เถอะ แต่มันเป็นความหวังดีที่โหดร้ายมากอ่ะ :z3:

 :o12:

 :m16:อยากเห็นฉู่เหวินจือหึงโหดซะแล้วซิ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #199 เมื่อ28-02-2011 22:16:57 »

อาซิง~ทำไมไม่เป็นรับ เอ่อ...ไม่ใช่แล้ว ทำไมถึงทำแบบนั้น !?
ถึงจะประสงค์ดีแต่การกระทำไม่ต่างจากการทรยศต่อความเชื่อใจ
เสี่ยวเฟยเจ็บใจ อาซิงเสียใจ ปวดร้าวกันทั้งคู่ งานนี้ต้องโทษตาฉู่ใช่ไหมเนี่ย?

ถึงตอนนี้จะดราม่าสะเทือนอารมณ์ แต่ซีนของน้องมู่กับอาซิง ทำเรายิ้มได้ซะงั้น ยังไง ๆ ก็เชียร์คู่นี้อ่ะ !!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
« ตอบ #199 เมื่อ: 28-02-2011 22:16:57 »





ออฟไลน์ erascal

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #200 เมื่อ01-03-2011 03:23:36 »

ปกติเป็นผีบอร์ดเฉยๆ แต่อ่านตอนล่าสุดแล้วอดมาให้ความเห็นไม่ได้

คนอื่นๆอาจจะเห็นว่าเซินเฟยน่าสงสาร ด่าหวางซิงที่ทำร้ายคนสำคัญของตัวเองได้ลงคอ
เราเองก็ไม่ชอบวิธีการของหวางซิง แต่เรื่องที่เกิดขึ้น เราว่าหวางซิงน่าสงสารสุด
เซินเฟยเจ็บปวด เซินเฟยโทษหวางซิงได้ ส่วนหวางซิงได้แต่โทษตัวเอง

ทำร้ายคนสำคัญด้วยมือตัวเองมันเจ็บนะคะ

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
«ตอบ #201 เมื่อ01-03-2011 12:27:39 »

ปกติเป็นผีบอร์ดเฉยๆ แต่อ่านตอนล่าสุดแล้วอดมาให้ความเห็นไม่ได้

คนอื่นๆอาจจะเห็นว่าเซินเฟยน่าสงสาร ด่าหวางซิงที่ทำร้ายคนสำคัญของตัวเองได้ลงคอ
เราเองก็ไม่ชอบวิธีการของหวางซิง แต่เรื่องที่เกิดขึ้น เราว่าหวางซิงน่าสงสารสุด
เซินเฟยเจ็บปวด เซินเฟยโทษหวางซิงได้ ส่วนหวางซิงได้แต่โทษตัวเอง

ทำร้ายคนสำคัญด้วยมือตัวเองมันเจ็บนะคะ


+1 ให้รีนี้
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
จริงๆก็นึกไม่ถึง และ ก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่อาซิงใช้  แต่เข้าใจว่าอาซิงคงสับสนและหาวิธีการที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว ณ.ช่วงเวลานั้น เข้าใจว่าเซินเฟยรับรู้และเข้าใจว่าอาซิงทำไปด้วยความหวังดีและเคารพนบไว้เหนือเกล้าแน่นอน  แต่ความเจ็บปวดมันก็ยังคงมีกับวิธีการแปลกๆของอาซิง แต่มันก็ได้ผลชะงักไม่ใช่หรือ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
«ตอบ #202 เมื่อ01-03-2011 13:26:55 »

-19-




“หมั้น.....” เซินเฟยทวนคำลอย ๆ

“ครับ....เราสองคนคิดมานานแล้วว่าพอหลิงหลิงเรียนจบก็จะแต่งงานกัน แต่ว่า.....ก็เกิดอะไรขึ้นหลาย ๆ อย่างก็เลยชะลอไป” จือหยินตอบพลางมองรอบตัวด้วยความประหม่า เขารู้สึกไปเองหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่บรรยากาศของเซินเฟยดูแปลก ๆ ไปเล็กน้อย ไม่เหมือนเซินเฟยที่เขาเคยเจอเมื่อไม่กี่วันก่อนเลย

“ตอนนี้เราก็เลยหมั้นกันไว้ก่อน พอจัดการเรื่องวุ่นวายเสร็จก็จะแต่งงานกันค่ะ” หลิงหลิงพูดต่อด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจ เซินเฟยจึงหลุบตาลง เขารู้สึกอิจฉาหญิงสาวเล็ก ๆ ที่ได้ตัวจือหยินไปแต่กลับไม่ได้รู้สึกเสียวแปลบในอกเหมือนครั้งก่อน ๆ อีกต่อไป แค่รู้สึกอาลัยก็เท่านั้น....เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจะได้มา ใช้เวลาอีกนิดหน่อยเขาก็คงจะเลิกรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ไปเอง

วันนี้จือหยินกับหลิงหลิงมาหาที่บ้านทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาตรวจสุขภาพตามปกติเพื่อแจ้งข่าวกับเขาว่ากำลังจะหมั้นกันในเร็ว ๆ นี้

อาการของหลิงหลิงดีขึ้นมา ตอนนี้เธอไม่ต้องไปกายภาพบำบัดแล้วและเปลี่ยนจากวอล์คเกอร์มาเป็นไม้เท้าสำหรับพยุงเดิน อีกไม่นานคงสามารถเดินได้ตามปกติ ซึ่งตอนนั้นคงจะเป็นช่วงที่จือหยินและหลิงหลิงตั้งใจจะจัดงานแต่งงาน

“วันนั้นผมคงไปไม่ได้” เซินเฟยตอบกลับ

“งั้นหรือคะ....” หลิงหลิงทำสีหน้าเสียดาย

“วันนั้นผมมีธุระนิดหน่อย แต่วันหลังผมจะทดแทนให้ก็แล้วกัน”

“ม...ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ” จือหยินรีบปฏิเสธเสียงตะกุกตะกัก “ผมไม่กล้ารบกวนคุณเซินถึงขนาดนั้นหรอกครับ”

“ตระกูลของคุณเป็นหมอประจำบ้านนี้มานานแค่ไหนแล้ว?” คำถามของเซินเฟยทำให้จือหยินชะงักไปเล็กน้อยแล้วเริ่มนับนิ้ว ตระกูลจือของเขาเริ่มทำงานให้ตระกูลเซินมาราว ๆ 3-4 รุ่นได้แล้วเท่าที่ปู่ของเขาเล่าให้ฟัง คนในบ้านของเขามีพี่น้องหลายคนทุกคนเป็นหมอกันหมด บอกว่าเป็นตระกูลผลิตแพทย์ก็ไม่ผิด และจะต้องมีสักคนหนึ่งที่ได้รับหน้าที่เป็นหมอประจำบ้านตระกูลเซินด้วย เขาเองก็ได้รับหน้าที่นี้ต่อจากพ่อซึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน นับ ๆ ดูแล้วก็หลายปีดีดักทีเดียวที่ตระกูลของเขาดูแลหัวหน้าตระกูลเซินมา

เซินเฟยเห็นจือหยินนับนิ้วอย่างเอาจริงเอาจังเช่นนั้นก็พรูลมหายใจออกมา เขาถามออกไปไม่ได้อยากได้ตัวเลขที่ชัดเจนมากมาย เพียงแค่อยากจะรู้ว่านานแล้วหรือยังเท่านั้น

“หลายรุ่นแล้วใช่ไหม?” เมื่อเห็นว่าจือหยินยังนับปีไม่หยุดเขาจึงแทรกขึ้น

“ครับ ใช่ครับ” จือหยินรีบตอบรับ

“สนิทสนมกันมานานขนาดนี้ คุณหมั้นทั้งทีจะไม่ให้ผมแสดงความยินดีเลยหรือ?” เซินเฟยเอ่ยถามเสียงนิ่งเป็นการบอกกล่าวแกมบังคับว่าเขาจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจแม้จือหยินกับหลิงหลิงจะปฏิเสธก็ตามที ทำให้หมอหนุ่มรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย เขาเองก็รู้ว่าได้รับความเอ็นดูจากจูเชว่รุ่นนี้อยู่มาก แต่ไม่เคยคาดหวังถึงขั้นว่าจะต้องมีการแสดงความยินดีทดแทนเลยสักนิด

“ขอบคุณมากครับ” จือหยินตอบอะไรไม่ออก จำต้องยอมรับคำแต่โดยดี

“ฉันก็ขอขอบคุณคุณเซินด้วยค่ะ” หลิงหลิงรีบกล่าว “เพราะคุณเซินดีกับฉันมากจริง ๆ ทั้งที่ฉันไม่เคยทำอะไรให้คุณเซินเลย”

เซินเฟยนิ่งเงียบไป ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนใจดีมากมายอะไรขนาดนั้น เพียงแค่จือหยินมาขอความช่วยเหลือจึงยอมให้ไปก็เท่านั้น กระนั้นเซินเฟยก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ทั้งที่ตอนนั้นเขารู้สึกค่อนข้างชัดเจนว่าจือหยินโกหกอย่างแน่นอน ไม่คิดว่าหลิงหลิงซึ่งเป็นคนรักจะบาดเจ็บจริง ๆ เขาส่งคนไปแอบดูถึงโรงพยาบาลก็พบว่าอีกฝ่ายมากายภาพตามหมอนัดทุกอย่าง

แต่ถึงจะแปลกใจอย่างไร เขาก็ไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องแบบนี้มาอ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงความยินดีกับคนที่สมควรได้รับ จือหยินทำงานของตนเองได้อย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายสมควรจะได้รับรางวัลและการเอ็นดูอย่างเหมาะสม

“ผมจะโทรบอกอีกทีก็แล้วกัน” เซินเฟยตัดบทเพราะขี้เกียจฟังคำขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งเวลาเขาให้อะไรใครก็นึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายต้องขอบคุณจนเกินเหตุ ทั้งที่สิ่งที่เขาให้นั้นไม่ได้เท่ากับเสี้ยวหนึ่งของจำนวนเงินในบัญชีส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ

“ขอบคุณมากครับ” ถึงอย่างนั้นจือหยินก็ยังเอ่ยขอบคุณออกมาอยู่ดีก่อนที่จะบอกลาอย่างนอบน้อมพร้อมพยุงตัวหลิงหลิงที่เริ่มเดินเองได้สะดวกขึ้นพากันเดินออกไป หวางซิงรีบตามหลังไปส่งอย่างรู้หน้าที่ก่อนจะเดินกลับเข้ามายืนรอคำสั่งอย่างสงบเสงี่ยมในห้องเดิม ทันใดนั้นเซินเฟยก็นิ่วหน้าพลางจับลำคอ หวางซิงรู้สัญญาณได้จากการมองจึงรีบกระวีกระวาดไปนำน้ำมาเสิร์ฟให้ทันที

ปกติเซินเฟยกับหวางซิงก็ไม่ค่อยสื่อสารกันด้วยคำพูดเป็นทุนเดิม เพราะแค่หางคิ้วเซินเฟยกระดิก หวางซิงก็รู้ได้ทันทีว่าผู้เป็นนายต้องการอะไร แต่ว่าระยะนี้ เซินเฟยกลับเฉยชากับเลขาของตัวเองจนใคร ๆ ก็สังเกตได้ เจ้าตัวแทบจะไม่เอ่ยคำพูดออกมาทำให้หวางซิงต้องคาดเดาพฤติกรรมของเจ้านายให้ละเอียดขึ้น แค่ปฏิกิริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ต้องตอบรับให้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร นาน ๆ ครั้งเซินเฟยจึงจะพูดออกมาเป็นประโยคยาว ๆ เพราะส่วนมากเมื่อหวางซิงรายงานอะไรเจ้าตัวก็จะตอบแค่ ‘อืม’ เพื่อให้รู้ว่าฟังอยู่เท่านั้น

หวางซือและหวางซานต่างรู้สึกเป็นกังวล ไม่รู้ว่าคนของตัวเองไปทำอะไรให้จูเชว่ไม่พอใจถึงเพียงนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเซินเฟยไม่เคยมีนโยบายลงโทษคนสนิทด้วยความเงียบงันมาก่อน หวางซิงนับเป็นคนแรกก็ว่าได้

“ฉู่เหวินจือไปไหน?” เมื่อดื่มน้ำเสร็จเซินเฟยก็เอ่ยถามโดยไม่ได้เหลือบตาขึ้นมองหน้า

“เหล่าโหวขอยืมตัวไปอีกแล้วครับ” หวางซิงรีบตอบก่อนที่เซินเฟยจะทันได้มุ่นคิ้วเสียอีก แต่กระนั้นหัวคิ้วเซินเฟยก็ยังขมวดเข้าหากันอยู่ดี

ฉู่เหวินจือที่เข้ามาทำงานรับใช้ได้หลายเดือนแล้วได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับเหล่าสมาชิกอาวุโสขององค์กรจนใคร ๆ ก็อยากขอยืมตัวไปทำงาน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะให้ความสนใจธุรกิจส่งออกและนำเข้าสินค้าผิดกฏหมายที่เหล่าโหวดูแลอยู่เสียมากกว่างานคุมแก๊งค์ประจำพื้นที่ อาจเป็นเพราะงานนี้จะได้พบปะบุคคลมากหน้าหลายตาจากองค์กรอื่น ๆ ซึ่งก็ไม่น่าแปลก ดูภายนอก ฉู่เหวินจือก็น่าจะเป็นคนสังคมจัดอยู่แล้ว

เซินเฟยไม่ได้เอ่ยถามต่อ เขาลดแก้วน้ำในมือลงบนโต๊ะแล้วประสานมือเข้าหากันเงียบ ๆ เป็นสัญญาณบอกให้หวางซิงอธิบายต่อ

“ช่วงนี้คุณฉู่ออกไปเรียนรู้งานกับเหล่าโหวอยู่บ่อย ๆ ทางนั้นเองก็บอกว่าพึงพอใจกับผลงานของฉู่เหวินจือมากโดยเฉพาะเวลาเจรจาแลกเปลี่ยน แล้ววันนี้ก็เป็นวันนัดทำสัญญากับทางกลุ่มตงไห่ เหล่าโหวจึงขอยืมตัวคุณฉู่ไปทำงานด้วยครับ”

“อ้อ” เซินเฟยส่งเสียงแสดงการรับรู้

ฉู่เหวินจือเองช่วงนี้สถานะก็ไม่ได้ดีไปกว่าหวางซิงมากนัก เจ้าตัวถูกจำกัดอภิสิทธิ์ที่เคยหลงระเริงจนลืมตัว ทั้งการแตะต้องร่างกายก่อนได้รับอนุญาตและการร่วมเตียง หากไม่มีผลงานให้เป็นเป็นรูปธรรม เซินเฟยก็แทบจะไม่ให้แตะเนื้อต้องตัวเลย หรือกระทั่งเรื่องบนเตียงเองก็เช่นกัน พวกเขาไม่ได้มีอะไรกันมาเกือบเดือนแล้วโดยฉู่เหวินจือก็เพียรจะเอาผลงานมาให้เห็น แต่สุดท้ายก็ได้เพียงนอนร่วมเตียงกันเท่านั้น ทั้งที่ผลงานบางชิ้นสมควรจะได้รับรางวัลมากกว่านั้น แต่เซินเฟยก็ยังติดปัญหาเรื่องบาดแผลเก่าที่หวางซิงทำเอาไว้ ไม่ใช่ว่ายังเจ็บ แต่ควรจะบอกว่ายังรู้สึกไม่ดีกับการร่วมรักเสียมากกว่า

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนทำกับฉู่เหวินจือก็รู้สึกไปตามธรรมชาติ ทว่าหลังจากถูกหวางซิงใช้กำลัง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกขัดแย้งขึ้นมา เซินเฟยคาดเดาเอาว่าคงจะเป็นอาการช็อคประเภทหนึ่งทำให้ความรู้สึกแย่ ๆ ยังติดตรึงในสมองไม่อาจลบล้างออกไปได้ และเขาก็ไม่อยากจะฝืนใจตัวเอง

ฉู่เหวินจือก็เหมือนรู้ว่าถึงจะอยู่ใกล้เขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา จึงเริ่มออกไปช่วยงานในแก๊งค์ของเหล่าโหวเสียมาก จะกลับมาที่บริษัทต่อเมื่อรายงานผล หรือไม่ก็ได้เจอกันตอนมื้อเย็นที่บ้านตระกูลเซินเลย ถึงอย่างนั้นผลงานที่ฉู่เหวินจือทำในช่วงนี้ก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเสียมากกว่าการคอยเลียแข้งเลียขาเหมือนพวกไร้สมองคนอื่น ๆ เสียอีก

เซินเฟนเหลือบตาขึ้นมองปฏิทินตั้งโต๊ะ

อีกสองอาทิตย์จะถึงงานหมั้นของจือหยินและหลิงหลิง....

เด็กหน่มหลุบตาลง นึกแปลกใจตัวเองที่กระทั่งความรู้สึกที่มีต่อจือหยินก็ชืดชาไปแล้วเช่นกัน ซึ่งอาจจะเป็นการดีก็เป็นได้ เมื่อต้องพบทั้งสองหลังจากนี้เขาจะได้ไม่ต้องอึดอัดมากนัก

“ผมจะจัดตารางให้ครับ” หวางซิงรับรู้ปฏิกิริยาของเซินเฟยได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกคำสั่ง เซินเฟยกำลังต้องการจะให้หวางซิงดูให้ว่าวันไหนที่พอจะมีเวลาว่างเพื่อจัดงานแสดงความยินดีให้ทั้งสองเป็นการส่วนตัว เซินเฟยพยักหน้ารับเงียบ ๆ

ดูเหมือนว่าหวางซิงจะหมดเรื่องรายงานโดยสมบูรณ์เจ้าตัวจึงยืนนิ่งรอคำสั่งอยู่อย่างนั้น

“ถ้าไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้ว”

คำสั่งของเซินเฟยไม่ต่างกับประกาศิต หวางซิงก้มหน้ารับคำก่อนจะล่าถอยออกมา แม้ใจจะรู้สึกหนักอึ้งที่ถูกหมางเหมิน แต่เมื่อได้เห็นเซินเฟยสามารถยืนหยัดได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงกับใครเขาก็รู้สึกเบาใจ

เซินเฟยพรูลมหายใจออกมาเหยียดยาว การทำตัวให้เข้มแข็งเฉียบขาดนั้นเป็นเรื่องที่เหนื่อยแสนเหนื่อย เหนื่อยเสียยิ่งกว่าเวลาที่คอยปวดหัวกับคนรอบตัวเสียอีก

หลังจากเขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไป หลาย ๆ คนเริ่มแสดงอาการหวาดกลัวหรือกริ่งเกรงออกมาให้เห็น ผลของมันถือว่าเป็นไปในทางที่ดีแต่กลับส่งผลร้ายต่อเจ้าของจิตใจอย่างมาก ก่อนหน้านี้เซินเฟยเคยรู้สึกอ้างว้างแต่เมื่อมองไปข้างกายก็ยังมีคนให้พักพิงยามเหนื่อยล้า ทว่าในเวลานี้ แม้มองไปทางไหนก็ไม่รู้ว่าจะพึ่งพิงใคร จะรบกวนหวางซิงอย่างสมัยก่อนนี้ก็ไม่อาจทำได้ แต่จะให้ฉู่เหวินจือมาคอยทำงานอยู่ข้างกายตลอดก็ดูจะไม่ดีนัก เพราะอีกฝ่ายเพิ่งจะเริ่มทำงานเป็นชิ้นเป็นอันได้บ้าง การได้ทำงานข้างกายเขาถือเป็นรางวัลสำหรับคนที่ทุ่มเทความภักดีให้กับองค์กร หรือไม่ก็เป็นคนที่รู้ใจไปทุกกระเบียดอย่างหวางซิง หากเลื่อนขั้นให้ฉู่เหวินจือเร็วเกินไปจะเกิดคำครหาได้ง่าย ถึงในตอนนี้จะไม่ค่อยมีใครกล้าครหาเขาแล้วก็ตาม

อยู่ ๆ เซินเฟยก็รู้สึกสะท้านเยือกไปทั้งตัวเมื่อรู้สึกว่าตนเองอยู่ตามลำพัง ความเหงาค่อย ๆ จู่โจมเข้ามาในจิตใจทีละน้อย เซินเฟยฝืนใจกล้ำกลืนความรู้สึกเหล่านั้นลงไปและลุกขึ้นยืน ตลอดช่วงที่ผ่านมาเขามักจะรู้สึกแบบนี้อยู่เสมอ ทั้งอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว

เซินเฟยเลือกที่จะเดินออกจากห้องรับแขกที่เงียบงัน กลับไปหมกตัวในห้องทำงาน อ่านหนังสือสักเล่มสองเล่ม รอเวลาอาหารที่....มีเขาคนเดียวที่ร่วมโต๊ะกับตัวเอง

------------------------>

ช่วงอาทิตย์ก่อนถึงงานหมั้นของจือหยินและหลิงหลิงเป็นช่วงที่ค่อนข้างยุ่งดังคาด งานทั้งในเครือและงานขององค์กรประเดประดังไม่หยุดหย่อน ไม่ใช่แต่เพียงฉู่เหวินจือแต่ลูกน้องคนสนิททั้งหลายถูกกระจายตัวออกไปช่วยกันทำงานหมด แม้แต่เซินเฟยเองกว่าจะได้กลับบ้านก็ดึกดื่น โชคดีที่เซินเฟยคาดคะเนไว้ถูกจึงไม่ต้องห่วงพะวงเรื่องงานหมั้นของจือหยินและสามารถทำงานได้เต็มที่เต็มเวลา

จริงอยู่ว่างานบางจุดหัวหน้าอย่างเขาไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยว แต่ว่า ฐานะของเขาเพียงเริ่มจะมั่นคง การสร้างความยำเกรงและเชื่อถือให้คนในองค์กรนับเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นหลาย ๆ ครั้ง เซินเฟยจึงต้องยื่นมือลงไปจัดการปัญหาบางอย่าง แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครคิดจะลองภูมิเขาเช่นเฉียนหยุนอีก

ในช่วงนี้คนในไม่ค่อยเป็นปัญหา ปัญหาหนักอกเห็นจะเป็นเรื่องภายนอกเสียมากกว่า

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีคนของแก๊งค์บนแผ่นดินใหญ่ไปทำเอิกเกริกหักหน้าตำรวจสากลเข้าที่ยุโรป แม้สถานที่เกิดเหตุจะอยู่ไกลออกไปค่อนโลก ทว่าตำรวจสากลก็ตามแกะร้อยมาจนถึงตะวันตกของประเทศจีน แก็งค์ที่คุมแถวนั้นขึ้นชื่อด้านความหยิ่งผยองไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา เมื่อตำรวจสากลยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวก็จับมือกับมาฟียรัสเซียสกัดสายตำรวจเอาไว้ ทำให้ทางตำรวจสากลยิ่งผูกใจเจ็บ ตอนนี้สถานการณ์ทางแผ่นดินใหญ่จึงไม่ค่อยดีนัก ทุกฝีก้าวแทบจะถูกจับตามองและส่งผลให้ฮ่องกงที่เป็นเกาะเล็ก ๆ โดยเหมารวมไปด้วย

เซินเฟยได้ยินว่าองค์กรของเสวียนอู่ที่ดูแลทางเหนือของเกาะฮ่องกงกำลังกบดานอย่างเงียบ ๆ เพราะอยู่ใกล้จีนมากเกินไปจึงมีโอกาสถูกจับสังเกตได้ง่าย อีกทั้งเสวียนอู่ยังมีเส้นสายกับทางจีนอยู่มาก จำต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการระงับการติดต่อกับพวกแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ค่อนไปทางตะวันตกชั่วคราว การกระทำเช่นนั้นนำความเสียหายทางมูลค่ามาให้องค์กรอย่างใหญ่หลวง แต่กิจการที่เกาลูนก็ยังไม่ได้รับผลกระทบ เสวียนอู่จึงสามารถพยุงสถานการณ์ไปได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่ไม่มีคนกระโตกกระตาก

อาณาเขตของจูเชว่อยู่ทางใต้ของเกาะฮ่องกงที่เป็นแหลมยื่นเข้าไปในทะเล เกาะน้อยใหญ่ที่อยู่รอบ ๆ อ่าวก็เป็นเขตปกครองเช่นกัน และด้วยภูมิประเทศเช่นนั้นทำให้เซินเฟยไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง กระนั้นเขตปกครองของเขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้แผ่นดินใดเป็นพิเศษ จึงไม่ต้องหวั่นกลัวว่าผลกระทบจากแผ่นดินใหญ่จะส่งผลไปถึงเกาะเล็กเกาะน้อยที่เขาใช้เป็นคลังเก็บสินค้าเถื่อนทั้งหลาย

แม้ว่าจะไม่น่าห่วงแต่ก็ต้องระวังตัว ยาเสพติดที่จะส่งขึ้นไปบนแผ่นดินใหญ่ต้องหยุดชะงักชั่วคราว ทางกลุ่มตงไห่ดูไม่ค่อยพอใจนักจึงต้องส่งคนไปเจรจาอยู่หลายครั้งกว่าฝ่ายนั้นจะยอมล่าถอยด้วยเหตุผล

ราวกับสวรรค์จงใจกลั่นแกล้ง เมื่อพ้นงานหมั้นของจือหยินไปแล้วงานรอบตัวจึงค่อย ๆ ซาลง สถานการณ์กดดันบนแผ่นดินใหญ่ที่ล้ำมาทางตะวันออกก็ลดน้อยลง กลายเป็นว่าถูกจับตามองเพียงฝั่งตะวันตกเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายเสียงแว่วว่าต้องขอบคุณชิงหลงที่มีเส้นสายกับมาเฟียอิตาลี การกดดันจากทางยุโรปทำให้ตำรวจสากลต้องเบี่ยงสายตากลับไปมองทางนั้นและหันเหความสนใจไปจากฮ่องกง

เมื่ออะไร ๆ ผ่านไปด้วยดีแล้ว เซินเฟยจึงได้กลับบ้านเร็วกว่าปกติในรอบหลายวัน เขารู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ อาจเป็นเพราะไม่สามารถปรึกษาหวางซิงและซากุระได้อย่างแต่ก่อนนี้ ทุกเรื่องจึงต้องขบคิดอยู่คนเดียวและเหนื่อยง่ายกว่าปกติ

ด้วยความเป็นห่วงสุขภาพของเจ้านาย หวางซือมักจะสั่งให้คนรับใช้ต้มเครื่องยาจีนเอาไว้ให้เซินเฟยดื่มก่อนนอนทุกคืนนอกเหนือจากชาสมุนไพรที่ดื่มประจำ จนบางครั้งเวลากินยาต้มเซินเฟยก็จะรู้สึกว่าตัวเองคงจะแก่เกินอายุจริงไปเสีย 10 ปี เพราะไม่มีคนวัยเท่าเขาคนไหนกินยาพวกนี้บำรุงสุขภาพกันเลย

เป็นเพราะตรากตรำมาหลายวันหรืออย่างไรไม่ทราบ เมื่อเวลาเพียง 2 ทุ่มเซินเฟยก็เริ่มง่วงจึงเข้านอนเร็วกว่าวันอื่น ๆ

แต่ว่า....การนอนอย่างสบายเสมือนเรื่องต้องห้ามของเซินเฟย เพราะคืนใดก็ตามที่เขาควรจะได้พัก มักจะมีเรื่องมากวนใจเสมอเช่นคืนนี้ที่ฉู่เหวินจือกลับมาบ้านเร็วเช่นกัน ชายหนุ่มเข้าไปในห้องและเห็นเซินเฟยหลับอยู่จึงพาตนเองขึ้นมานอนบนเตียงแล้วรวบเอาเซินเฟยเข้ามากอด

“มีอะไร?” เซินเฟยปรือมามองด้วยความหงุดหงิด

“คิดถึงครับ” ฉู่เหวินจือตอบหน้าเป็น “ช่วงนี้ยุ่งกันทั้งคู่ ผมไม่ได้กอดคุณเซินมาตั้งนานแล้วนะครับ”

เซินเฟยมุ่นคิ้ว

“นอนเฉย ๆ ไปซะ” เขาตัดบทแล้วล้มตัวลงนอนต่อ ฉู่เหวินจือเข้ามานอนในห้องของเขาจนเริ่มจะชินเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ว่าอะไรหากอีกฝ่ายจะนอน แต่อย่ารุ่มร่ามจนน่ารำคาญก็พอ

ทั้งที่พูดตัดบทอย่างนั้น เซินเฟยก็นอนอย่างสงบได้แค่ประเดี๋ยวเดียว ผ่านไปไม่ทันจะถึง 5 นาที มือใหญ่ก็ล้วงเข้ามาใต้ผ้าห่มก่อนจะสัมผัสเข้าไปใต้เสื้อของเขาก่อนลูบไล้อย่างออดอ้อนเอาใจ เซินเฟยขมวดคิ้วนึกอยากจะทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ฉู่เหวินจือก็มักจะปลุกเร้าเขาจนสมยอมทุกครั้งไป

เซินเฟยผุดลุกขึ้น จ้องมองใบหน้าของฉู่เหวินจือก่อนจะสั่งเสียงเฉียบขาด

“ลงไปนอนบนพื้น”


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
«ตอบ #203 เมื่อ01-03-2011 13:27:44 »

ฉู่เหวินจือไม่ได้ทุ่มเถียง ไม่แม้แต่จะอ้าปาก เขาเพียงแต่จ้องตอบเซินเฟยในความมืดอยู่นิ่งนาน ทั้งสองประสานสายตากันราวกับแข่งขันความอดทน เพียงแต่สายตาของฉู่เหวินจือนั้นไม่ได้แสดงความต่อต้านแต่ก็ไม่ได้แสดงความสงสัย เขาเพียงจ้องมองด้วยสายตาอันลุ่มลึกยากจะอ่านออกเหมือนทุกครั้ง ท่ามกลางความมืดสลัวของคนที่ปรับสายตากับความมืดได้แล้ว เซินเฟยมองเห็นประกายในดวงตาอีกฝ่ายทั้งที่ไม่มีแสงให้สะท้อนจากส่วนไหนของห้อง ประกายที่เห็นนั้นราวกับเป็นประกายยิ้มโดยไม่ได้ปรากฏอารมณ์บนเรียวปาก

“ฉันต้องสั่งซ้ำไหม?” หลังจากรออยู่นาน ฉู่เหวินจือก็เอาแต่จ้องอยู่อย่างนั้นไม่ยอมขยับตัว เขาจึงต้องส่งเสียงออกมาอีกเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าไม่ควรชักช้าไปกว่านี้

ฉู่เหวินจือค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงแล้วเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องก่อนล้มตัวลงนอนโดยไม่ร้องอุทธรณ์

เซินเฟยฝ่าสายตาเข้าไปยังมุมที่ฉู่เหวินจือทิ้งตัวลง เห็นแผ่นหลังอีกฝ่ายขยับเล็กน้อยก่อนนิ่งไปก็เลิกให้ความสนใจแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ความเงียบแทรกผ่านเข้ามาในบรรยากาศ เซินเฟยหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน นึกอ่อนใจกับงานที่ผ่านไป แต่อย่างน้อยก็ดีที่ทำให้ฉู่เหวินจือเหนื่อยเหมือนกัน จึงไม่ต้องลงแรงหรือเปลืองสมองหาวิธีลงโทษให้หลาบจำเหมือนครั้งแรก ๆ

เขาเองก็รู้ว่าผู้ชายที่เคยปลดปล่อยตามใจ พอถูกจำกัดสิทธิอย่างนี้ย่อมงุ่นง่านเป็นธรรมดา แต่เมื่อตัดสินใจจะเด็ดขาดแล้วก็ต้องเอาจริง ไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าโลเลเอาได้

ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็หลับสนิทเพราะเหนื่อยมาหลายวัน

ราว ๆ เที่ยงคืน หวางซิงก็เข้ามาในห้องอย่างเงียบกริบ เขาเดินเข้ามาใกล้เตียงแล้วค่อย ๆ จับผ้าห่มคลุมให้ถึงปลายเท้า หากเป็นก่อนหน้านี้ หวางซิงมักจะเข้ามาหลังจากเซินเฟยขึ้นนอนไม่นานเพื่อตรวจดูว่าเจ้านายนอนหลับดีหรือไม่ แต่หลังจากฉู่เหวินจือได้รับสิทธิพิเศษจากข้อตกลงเขาก็ไม่สามารถเข้ามาในห้องตอนกลางคืนได้อีก ทำได้เพียงเฝ้าอยู่นอกประตูจนกระทั่งเสียงเงียบไปเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้ แม้จะเฝ้ารออยู่นอกประตูก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ซ้ำร่องรอยบนร่างกายของเซินเฟยที่เคยแอบเห็นตามต้นคอก็ไม่มีแล้ว เขาจึงสามารถแอบเข้ามาปรนนิบัติได้ในตอนที่อีกฝ่ายหลับสนิท

หวางซิงขยับผ้าห่ม ขยับหมอนให้เซินเฟยนอนในท่าสบาย เซินเฟยมักติดนิสัยนอนขดตัวแล้วทิ้งหัวลงจากหมอนอยู่เสมอ หากไม่จัดท่าให้ใหม่ก็อาจปวดคอได้ แต่ว่า หลังจากขยับท่าให้เซินเฟยแล้วเขาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังนอนตะแคงอยู่มุมห้อง โดยปกติเซินเฟยจะลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้พอดีนอนสบายเวลาห่มผ้า แต่คน ๆ นั้นกลับนอนโดยไม่มีหมอนและผ้าห่ม

แม้จะรู้ว่านั่นคือฉู่เหวินจือ หวางซิงก็ไม่อาจทำใจร้ายปล่อยให้นอนหนาวได้

เลขาหนุ่มเดินไปยังตู้เก็บผ้าในห้องนั้นแล้วดึงเอาผ้าห่มกับหมอนออกมาชุดหนึ่ง ปกติแล้วของเหล่านี้จะเตรียมไว้เพื่อผลัดเปลี่ยนให้เซินเฟยเวลานำของเก่าไปซักทุก ๆ เช้า แต่แม่บ้านที่นี่ทำงานดีกันทุกคน ชุดเครื่องนอนจึงไม่เคยพร่องไปกว่าครึ่งของที่มีอยู่ บางครั้งเซินเฟยยังบ่นว่ามีมากจนนอนไม่หมดเสียด้วยซ้ำ

หวางซิงขยับหมอนเข้าไปรองใต้ศีรษะก่อน แต่เพียงแตะปลายผม ฉู่เหวินจือก็พลิกตัวกลับมาหาทำให้หวางซิงสะดุ้งเฮือกเพราะไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายจะยังตื่นอยู่

หวางซิงทำเป็นไม่สนใจ รีบ ๆ รุนหมอนเข้าไปสอดใต้ศีรษะแล้วสะบัดผ้ากางคลุมตัวให้

“ผมนึกว่าคุณจะนิ่งดูดายเสียอีก” ฉู่เหวินจือสัพยอกยิ้ม ๆ

“ผมไม่ใจจืดใจดำขนาดนั้นหรอกครับ” หวางซิงโต้กลับด้วยเสียงเย็นชา เขาพยายามรักษาระยะห่างของตนเองกับผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่ตอนที่รู้สึกถึงพฤติกรรมแปลก ๆ จึงเป็นเรื่องเคยชินไปเสียแล้วที่จะทำเป็นไม่สนอกสนใจโทนเสียงเวลาสนทนา ทั้งที่ปกติเขาจะพูดด้วยโทนเสียงรอมชอมเสมอ

“ดึกขนาดนี้ทำไมคุณถึงยังไม่นอนอีก.....อ้อ....หึ ๆ” ทั้งที่ถามเหมือนต้องการคำตอบ แต่วินาทีต่อมาฉู่เหวินจือก็ตอบเองเสร็จสรรพ “จะว่าไปช่วงนี้ผมรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้องนี้ตอนกลางดึกบ่อย ๆ คุณนี่ดูแลเจ้านายดีจริง ๆ นะครับหวางซิง ทั้งที่ถูกเย็นชาใส่ขนาดนั้น”

คำพูดของฉู่เหวินจือทำให้หวางซิงขึงหน้าตึง เขาเม้มปากจนแทบจะเป็นเส้นตรง

“ยังไงผมก็จะยังรับใช้คุณเซินครับ”

คำยืนยันหนักแน่นทำให้ฉู่เหวินจือหัวเราะออกมาอีกครั้ง เพียงแต่ไม่ได้มีแววเย้ยหยันเจืออยู่ หวางซิงจึงไม่รู้สึกโกรธอะไร เพียงแต่สงสัยเท่านั้นว่าอีกฝ่ายหัวเราะทำไม

“คุณเป็นคนที่น่ายกย่องนะ” คำชื่นชมนั้นทำให้หวางซิงผงะไปด้วยไม่คิดว่าจะได้รับเอาเวลาอย่างนี้จากคน ๆ นี้

“อย่ามาทำพูดดีกับผมเลยครับ ยังไงผมก็ไม่ยกโทษให้คุณหรอก” หวางซิงเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วเตรียมจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกฉู่เหวินจือฉุดให้ก้มลงก่อนจะกระซิบใกล้ใบหู

“ผมไม่ขอให้คุณยกโทษหรอก....” เขาว่าก่อนจะยิ้มกว้างขึ้น “ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าจะดูแลคุณเซินแทนคุณน่ะ ผมไม่เลิกล้มความตั้งใจนั้นหรอกนะ”

หวางซิงเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เขารีบตัวตนเองออกมาจากการฉุดรั้งของอีกฝ่ายแล้วยืนห่างออกไปไกลพลางสังเกตปฏิกิริยาของฉู่เหวินจือผ่านเลนส์แว่น แต่ฉู่เหวินจือกลับไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น เจ้าตัวพลิกตะแคงไปอีกทางแล้วยกมือขึ้นโบก

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”

หวางซิงรอจนกระทั่งฉู่เหวินจือนอนนิ่งจึงถอนหายใจเฮือกแล้วหันไปมองทางเซินเฟย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลอย่างล้นเหลือ ทั้งยังความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียเจ้านายคนนี้ไปให้กับคนอื่น ในฐานะคนที่เลี้ยงดูกันมา เขาทำใจไม่ได้เลยหากวันหนึ่งจะมีคนมายืนแทนที่ตนเอง แม้จะต้องถูกรังเกียจ ถูกเย็นชาใส่สักเท่าไหร่ เขาก็อยากจะอยู่เคียงข้างเซินเฟยไปให้ถึงที่สุด ทั้งจูเชว่รุ่นก่อนและนายหญิงซากุระก็เอ่ยฝากฝังเซินเฟยกับปาก มีหรือที่เขาจะทำเพิกเฉยต่อคำขอเหล่านั้นได้

หวางซิงเดินย้อนกลับไปยังเตียงอีกครั้ง ดูเหมือนเซินเฟยจะเหนื่อยมากจริง ๆ จึงไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อยทั้งที่พวกเขาคุยกันอยู่ใกล้ ๆ

ชายหนุ่มคุกเข่าลงข้างเตียงในด้านที่ฉู่เหวินจือมองไม่เห็นและเป็นด้านที่เซินเฟยหันหน้าอยู่ เขาจับมืออีกฝ่ายด้วยความขมขื่นอยู่ลึก ๆ แม้จะเตรียมใจไว้ดีแล้วแต่เมื่อถูกเย็นชาใส่จริง ๆ กลับรู้สึกโศกเศร้าและปวดร้าวเสียจนไม่อาจทนอยู่เฉย ๆ ได้ จึงต้องใช้เวลาที่อีกฝ่ายหลับใหลอย่างนี้เข้ามาอยู่ใกล้ชิดเหมือนเช่นที่แต่ก่อนเคยกระทำ เขาพยายามเตือนให้ตัวเองทำใจเงียบ ๆ ทว่าคำพูดของฉู่เหวินจือกลับมีอิทธิพลมากเหลือเกิน เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้เขารู้สึกปวดหยอกในอก นึกอย่างจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก

มือของเซินเฟยที่ถูกดึงออกมานอกผ้าห่มสัมผัสอากาศหนาวถายนอกไม่นานก็เริ่มเย็นเฉียบ แม้หวางซิงจะกุมเอาไว้ก็ไม่อาจขับไล่ความหนาวไปได้หมด ในที่สุดหวางซิงก็จำต้องปล่อยมือข้างนั้นแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมจนมิด ก่อนสูดหายใจเข้าลึกและค่อย ๆ ถอยออกไปอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกันตอนที่เข้ามา

ยามค่ำคืนคล้อยผ่านไปอย่างช้า ๆ ในที่สุดรุ่งอรุณก็มาเยือน

เซินเฟยตื่นเช้าตามปกติวิสัยของตนเอง เขาปรายตามองไปยังมุมที่ฉู่เหวินจือจับจองอยู่เมื่อคืนก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายมีผ้าห่มและหมอนอยู่กับตัวชุดหนึ่ง กระนั้นเซินเฟยก็ไม่ได้นึกแปลกใจ เพราะห้องหับของเขาฉู่เหวินจือเคยเข้ามาไม่รู้กี่ครั้ง จะรู้ที่เก็บเครื่องนอนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าแล้วกอดอก

“ตื่นได้แล้ว” เขากล่าวเสียงเรียบนิ่งและไม่ได้ดังมากนัก แต่ฉู่เหวินจือก็รู้สึกตัวก่อนจะพลิกมาแล้วยิ้มให้เจ้าของห้อง แทนที่จะกล่าวอรุณสวัสดิ์แบบคนปกติสามัญ ฉู่เหวินจือกลับเอี้ยวมาจับข้อเท้าเซินเฟยโดยไม่ได้ออกแรงดึง เขาขยับเข้ามาใกล้แล้วลูบไล้ปลายเท้าเนียนสวยรวมถึงข้อเท้าเล็กขนาดกำมิดด้วยกำมือเดียว เซินเฟยรู้สึกจั๊กจี้นิด ๆ เมื่อฉู่เหวินจือจูบเบา ๆ ที่หลังเท้าแล้วไล่ขึ้นมาที่ร่องกระดูกตรงหน้าข้อเท้า ดวงตาเรียวเช่นตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อยด้วยรู้เจตนาว่าอีกฝ่ายคิดจะปลุกเร้า

เซินเฟยดึงเท้าที่ถูกเล้าโลมออกจากการเกาะกุม และเหยียบขึ้นไปบนบ่าของชายหนุ่มตรงหน้าก่อนลงน้ำหนักส้นลงไปอย่างจงใจ

“โกรธอะไรหรือครับ?” ฉู่เหวินจือถามราวกับไม่รู้ความผิดของตัวเอง

“นายเป็นอะไรของฉัน?” แทนที่จะตอบ เซินเฟยกลับถามด้วยคำถามใหม่

“ผมเป็นสุนัขของคุณครับ” ฉู่เหวินจือตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด

“หน้าที่ของนายคืออะไร?”

“ทำตามคำสั่งคุณเซินครับ”

“แล้วเมื่อกี้ฉันอนุญาตให้นายแตะหรือยัง?”

“ยังครับ” ฉู่เหวินจือว่าก่อนจะพูดต่อ “ขออภัยด้วย”

เซินเฟยยกเท้าออกจากแนวบ่ากว้างซึ่งตอนนี้คงมีรอยช้ำปรากฏอยู่เล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาถอยออกมาให้ฉู่เหวินจือลุกขึ้นคุกเข่าอย่างรู้งาน

“อย่าให้ฉันย้ำบ่อย”

“เข้าใจแล้วครับ”

หลังจากฉู่เหวินจือตอบรับพลางก้มหน้าเหมือนสำนึกผิด เซินเฟยก็เดินเข้าห้องน้ำไป เสียงน้ำกระทบพื้นดังออกมาให้ได้ยินอยู่นานพอสมควรกว่าที่เซินเฟยจะเดินออกมาพร้อมเสื้อคลุม หลังจากฉู่เหวินจือเข้ามายึดอภิสิทธิ์ในห้องนอน เซินเฟยก็เลิกใช้ผ้าขนหนูพันเอว แต่เปลี่ยนเป็นผ้าคลุมอาบน้ำแทนเพราะเขาไม่ชอบเปลือยกายล่อนจ้อนถึงจะเป็นแค่ท่อนบนก็ตาม

“ไปอาบน้ำแต่งตัวซะ ถ้าฉันสายจะคาดโทษนายแน่”

ฉู่เหวินจือได้ยินคำสั่งก็รีบลุกแล้วเดินออกไปตามคำสั่งทันที เขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าควรรับมือยังไงกับเซินเฟยในอารมณ์ต่าง ๆ แม้พฤติกรรมโดยรวมจะเปลี่ยนแปลงไปมากอย่างกะทันหันก็ตาม

เซินเฟยเดินลงไปรอฉู่เหวินจือเตรียมตัวด้านล่าง เมื่อลงไปถึงห้องโถง หวางซิงก็เดินเข้ามาหาด้วยท่าทางเหมือนมีเรื่องจะรายงานก่อนเข้าบริษัท เซินเฟยพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตโดยไม่ต้องรออีกฝ่ายพูดอะไรออกมา หวางซิงจึงกางสมุดบันทึกออก

“ได้วันที่จะจัดงานฉลองให้หมอจือแล้วครับ”

“สถานที่เรียบร้อยไหม?”

“ครับ” แม้จะถูกเฉยชา แต่หวางซิงก็ยังสามารถทำงานได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่องอย่างเก่า เซินเฟยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“โทรแจ้งหมอจือให้เรียบร้อย”

“ครับ”

TBC

------------------------

ฉู่หึงคงจะยังไม่มีในเร็วๆนี้่อ่าค่ะ ยัดมาม่าเข้าไปเต็มเหยียด ดำเนินเรื่องแบบแทบกระโดดข้ามผา แต่เนื้อก็ยังยาวอยู่ดี=[]=!!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2011 13:31:13 โดย ZIar »

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
«ตอบ #204 เมื่อ01-03-2011 23:01:25 »

โอ เรื่องราวมันช่างตรึงเครียดด
คนอ่านจะเป็นลมม 55

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
«ตอบ #205 เมื่อ01-03-2011 23:09:05 »

อ่านแล้วปวดตับพิกล :z3: :z3: :z3:

Miyabi

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
«ตอบ #206 เมื่อ01-03-2011 23:49:53 »

กรี๊ด  o9  เครียดจัง
ขอน้ำตาลแทรกมาบ้างเป็นระยะๆได้มั๊ย

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
«ตอบ #208 เมื่อ02-03-2011 00:27:44 »

อาซิงนาสงสารอ่าส์

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
«ตอบ #209 เมื่อ02-03-2011 01:27:11 »

เง้อ..ไม่ไหวจะซดมาม่าแล้วนะ
อ่านไปปวดตับไป :serius2: :sad4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด