Ti Voglio {ฉันอยากมีนาย!}
shot.14ลิฟต์แก้วของโรงแรมเคลื่อนขึ้นสู่ที่สูงด้วยความเร็วพอเหมาะ ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเซี่ยงไฮ้ที่มองเห็นจากการไต่ระดับขึ้นไปก็ยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ แสงไฟหลากสีนับล้านที่แข่งกันเปล่งแสงสู้ความมืดมิดทำให้เมืองนี้ไร้ซึ่งการหลับไหล รถราเต็มท้องถนนวิ่งกันขวักไขว่จนเหมือนเวลาสองทุ่มเช่นนี้ยังเป็นเวลาเร่งด่วนอยู่ ถ้ามองไล่ตามแสงไฟจากรถที่แล่นกระโดนจากถนนหนึ่งสู่อีกถนนหนึ่งซึ่งไขว้สลับกันไปมาก็จะทำให้เห็นเส้นสายถนนซับซ้อนยิ่งกว่าใยแมงมุมในป่าลึก
ความวุ่นวายที่ไม่เคยสงบนิ่งเฉกเช่นเดียวกับเมืองใหญ่ทั่วโลกคือสิ่งที่รัตติกรทิ้งคำนิยามไว้ให้กับภาพที่เห็น ก่อนเจ้าตัวจะหันกลับมาสนใจผู้โดยสารที่ร่วมลิฟต์มาด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือลาร์เฟียร์ที่ยืนกอดอกคุยกับเลขาฟรานด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง คิ้วเข้มที่พาดผ่านเหนือดวงตาสีสนิมคมกริบนั้นขมวดมุ่นเมื่อข่าวที่สั่งให้ไปตรวจสอบนั้นถูกรายงานกลับมาแล้ว
“ภัตตาคารที่ปรากฏอยู่ในรูปเป็นที่แห่งเดียวกับที่คุณลูน่าบอกมาแน่นอนครับดอน เราตรวจสอบไปถึงเรื่องกล้องวงจรปิดของร้านแล้ว มีการนัดพบของเทย์ริวกับโนวาห์เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนเวลาบ่ายสองโมงสามสิบแปดนาทีครับ”
เมื่อได้ยินชื่อโนวาห์ แววกร้าวอำมหิตก็วิ่งผ่านดวงตาคมกริบสีสนิมอย่างรวดเร็วก่อนจะถูกกดลงให้สงบโดยฉับพลันเหมือนเสือร้ายที่ถูกยึดจับให้นิ่งไว้กับที่ เจ้าพ่อหนุ่มหลับตาลงแล้วคลายสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบถึงรายละเอียดต่อไป
“แน่ใจว่าเป็นเทย์ริว?”
“ยังยืนยันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นครับดอน เนื่องจากกล้องวงจรปิดของภัตตาคารมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ รวมทั้งเป้าหมายนั่งอยู่ห่างจากกล้องไปพอสมควร แต่รูปพรรณสัณฐานที่ได้มาใกล้เคียงกับคุณชายอาราชิมาก ขอเวลาพวกผมอีกวันก็จะสามารถยืนยันตัวตนได้ชัดเจนแน่นอนครับ”
ฟรานก้มหน้าเป็นเชิงขออภัยที่ทำงานล่าช้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเขาก็ดันกรอบแว่นสีดำด้านให้เข้าที่ ดวงตาสีเขียวมรกตสงบนิ่งหลุบลงต่ำเพื่อรอฟังคำตอบจากนายเหนือหัวของตนแน่นิ่ง บุคลิกท่าทางเป็นการเป็นงานและจริงจังอยู่เสมอเช่นนี้นั่นเองที่ทำให้ฟราน เวคเตอร์อยู่เป็นเลขาของลาร์เฟียร์มาได้ยาวนานกว่าใคร
“สืบให้ลับที่สุด ฉันไม่อยากให้ไก่ตื่นไม่ว่าจะเป็นหนอนบ่อนไส้หรือพวกโนวาห์ห่าเหวอะไรนั่น หวังว่าฉันจะได้อ่านข้อมูลทั้งหมดพร้อมกับกาแฟบนเครื่องบินเที่ยวไปนาริตะนะฟราน”
“ตามปราถนาแห่งเวสเปอร์ครับ”เลขาหนุ่มผมดำค่อมตัวรับคำสั่งอีกรอบด้วยใบหน้าที่ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะก้าวถอยกลับไปยืนรวมกับกลุ่มบอดี้การ์ดที่รวมตัวกันอยู่อีกฝั่งของลิฟต์
ลาร์เฟียร์พยักหน้ารับแล้วผินสายตามาหาล่ามประจำตัวที่ยืนเงียบอยู่ในมุมที่ห่างจากผู้คนมากที่สุด รัตติกรที่เขาเห็นแวบๆว่าจ้องมาทางนี้กำลังมองเหม่อมองออกไปอีกครั้งหนึ่งเหมือนตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
“เก่งนี่”เจ้าพ่อหนุ่มกระซิบชิดกับริมใบหูของคนที่ยืนหันหลังให้ รัตติกรสะดุ้งเฮือกเมื่อพบว่าคนที่ดูจริงจังอยู่เมื่อครู่กลับมายืนซ้อนอยู่ข้างหลังเขาเมื่อไหร่ไม่รู้
“อะไรของคุณ?”หนุ่มไทยขยับตัวหนีร่างแกร่งที่บดเบียดแนบชิดกับแผ่นหลังของเขาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ หากแต่เคลื่อนไปได้ไม่ไกล แขนแข็งแรงสองข้างก็ถูกยกขึ้นทาบกับผนังกระจกลิฟต์ กักตัวของเขาเอาไว้ภายในไม่ให้หนีไปไหนได้อย่างที่ต้องการ
“คิดไม่ผิดที่เลือกพาเธอมาจากที่ๆไร้ประโยชน์แบบนั้นจริงๆ ความสามารถของเธอมันดีเกินกว่าจะนั่งเป็นพนักงานบริษัทอยู่เฉยๆเสียด้วยซ้ำ”คนถูกเอ่ยชมซึ่งๆหน้าไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร รัตติกรส่งเสียงหึขึ้นจมูกแล้วยกมือดันแขนของคนข้างหลังให้เปิดทางออก หากแต่การเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงก็ไม่เกิดผลอะไรจนเจ้าตัวได้แต่ทำหน้าหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
“ปล่อยผม!”เงาสะท้อนจากกระจกเผยให้เห็นสายตาหลายคู่ที่กำลังจ้องมองมาทางพวกเขา รัตติกรทำหน้าปั้นยากแล้วเค้นเสียงบอกให้อีกฝ่ายเลิกทำรุ่มร่ามแบบนี้เสียที แต่ลาร์เฟียร์ซึ่งรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกลับปฏิเสธคำขอนั้นและแทนที่ด้วยการใช้ริมฝีปากไล้เล็มไปตามผิวอ่อนริมใบหู เป็นเหตุให้คนในอ้อมกอดกลายๆสะดุ้งเฮือกแล้วเผลออุทานเสียงหวานพร่า
รัตติกรหันกลับมาหาลาร์เฟียร์เต็มตัว ดวงตาสีน้ำตาลไหม้วาววับไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวระแวดระวัง หากแต่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าแววตาเช่นนี้นั่นแหละที่ทำให้ดอนแห่งปาเลอร์โมตัดสินใจลักพาตัวเขามาจากประเทศบ้านเกิด
ถ้าเพียงรัตติกรอ่อนแอมากกว่านี้ กล้าน้อยกว่านี้ และอวดดีน้อยกว่านี้ ปัจจุบันชีวิตอันแสนสงบของเขาก็คงไม่เปลี่ยนแปลงขนาดพลิกฝ่ามือเช่นนี้แน่นอน
บรรยากาศมาคุถูกทำลายลงด้วยประตูลิฟต์ที่เปิดออกพร้อมกับเสียงเตือนว่าถึงที่หมาย การ์ดสองคนเดินออกไปสำรวจภายนอกแล้วส่งสัญญาณเข้ามาว่าปลอดภัย ลาร์เฟียร์จ้องใบหน้าอวดดีที่ยังคงประสานตากับเขาอยู่ไม่ยอมถอย เจ้าพ่อหนุ่มยกยิ้มด้วยความชอบใจก่อนจะถอยออกมาแล้วเดินออกจากลิฟต์ไปเฉยๆ
“โธ่เว้ย!”รัตติกรสบถเสียงเบา ร่างเพรียวยกมือขึ้นแนบแก้มร้อนผ่าวทั้งสองข้างแล้วปิดตาลง หลังจากหายใจเข้าลึกๆพอให้อารมณ์ที่คุกกรุ่นได้สงบลงแล้วเขาก็ก้าวออกจากลิฟต์เป็นคนสุดท้าย
ทางเดินไปยังห้องพักของพวกเขานั้นถูกปูไว้ด้วยพรมซึ่งเล่นลวดลายไว้อย่างวิจิตรงดงาม ภาพแขวนมีชื่อต่างๆถูกประดับเอาไว้ตามผนังเป็นระยะ แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นของปลอมที่ถูกทำขึ้นมาอย่างแนบเนียน
สามชั้นบนสุดของโรงแรมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาแบบเพนท์เฮาส์ ซึ่งในหนึ่งเพนทส์เฮาส์จะถูกแบ่งเป็น4ห้องนอนแบบมีห้องน้ำในตัว มีส่วนรับแขก ห้องครัวและบาร์เล็กๆเป็นห้องแยกต่างหากอีกด้วย ฟรานเลือกจองชั้นตรงกลางเป็นที่พักของพวกเขา
เมื่อเดินมาถึงประตูห้องและเปิดประตูเข้าไป การ์ดสองคนก็ถูกทิ้งไว้ให้เป็นคนเฝ้าประตู ซึ่งจะคอยเปลี่ยนเวรกันตามเวลา บุคคลที่ได้พักในห้องนี้แน่นอนว่าต้องมีลาร์เฟียร์ อีกห้องหนึ่งถูกยกให้รัตติกร มีเลขาฟรานที่ต้องคอยทำงานใกล้ชิดกับเจ้านาย และห้องสุดทายเป็นของสคูร์โด หัวหน้าบอดี้การ์ดกับคนของเขาอีกสองคนที่จะคอยระวังภัยสำหรับภายในห้อง
การ์ดส่วนที่เหลือพักอยู่ในห้องที่ราคาถูกกว่า แต่ก็พร้อมสำหรับการรับมือเหตุการณ์ต่างๆเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
รัตติกรเดินเข้าห้องของตัวเองทันทีเมื่อฟรานให้สัญญาณแยกย้าย ห้องของเขานั้นปิดไฟเอาไว้ทุกดวงหากแต่ก็ไม่มืดสนิทเพราะผนังฝั่งหนึ่งเป็นกระจกใสทั้งบาน แสงจากภายนอกส่องเข้ามาให้พอเห็นโครงร่างของเตียงซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง
หนุ่มชาวไทยถอดสูทและรองเท้าทิ้งไว้บนพื้นระเกะระกะก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง อากาศในห้องที่อ้าวเล็กน้อยเริ่มเย็นขึ้นด้วยเครื่องปรับอากาศระบบอัตโนมัติที่เมื่อมีคนเข้ามาก็จะทำงานทันที
ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่สะสมมาทั้งวันพาให้สติของเขาล่องลอยไปช้าๆ เหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นในวันนี้ราวกับว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในโลกใบใหม่ที่ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมยิ่งทำให้เขาเหนื่อยล้ามากขึ้นเป็นพิเศษ
รัตติกรใช้สติที่มีเหลืออยู่น้อยนิดพาตัวเองให้เข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มหนานุ่มแล้วทิ้งทุกสิ่งเอาไว้เบื้องหลัง ปล่อยตัวให้ลอยไปกับความฝันที่ละลานตาและการนิทราที่ไร้การรบกวน
ถึงแม้สิ่งสุดท้ายที่คำนึงถึงก่อนหลับตาลงจะเป็นดวงตาอีกคู่ที่สะท้อนภาพของเขาเองก็ตามที_______________________________________________
เสียงเคาะประตูปลุกให้รัตติกรตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ร่างเพรียวสลึมสะลือมองไปรอบตัว ก่อนจะใช้เวลาไปอีกหลายนาทีในการตั้งสติให้เข้าที่เข้าทาง ภายในห้องดูสว่างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเพราะสายตาที่ชินกับความมืด ชายหนุ่มลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูและพบกับหัวหน้าบอดี้การ์ดหน้าเข้มยืนรออยู่
“มีอะไรครับ?”
“ดอนให้ไปพบที่ห้อง”เสียงตอบกลับห้วนสั้นเหมือนคนพูดไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก สคูร์โดหัวหน้าบอดี้การ์ดคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่เกือบถึงสองเมตร เขาอายุสามสิบสี่ปี มีผิวสีขาวจัดซึ่งเต็มแน่นไปด้วยมัดกล้ามที่ดูแล้วก็รู้ได้ทันทีว่ามาจากการออกกำลังกายมากกว่าการเพาะกล้าม ที่ดวงตาเป็นสีฟ้าเข้ม หางตาเรียวเฉียงมีรอยแผลเป็นสีเข้มเส้นหนึ่งลากยาวไปจนถึงเหนือใบหู ยิ่งรวมกับผมสีทองตัดสั้นเกรียนแล้วทำให้ลุคภายนอกของบอดี้การ์ดคนดูนี้อันตรายแม้เห็นแค่เพียงแวบเดียว
รัตติกรขมวดคิ้วแล้วก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ มันบอกเวลาสี่ทุ่ม แสดงว่าเขาหลับมาได้สองชั่วโมงก็โดนปลุกเสียแล้ว
“ทำไมครับ?”
“ไม่ทราบ! รีบๆตามมาได้แล้ว ชักช้าอยู่นั่นแหละ”ว่าจบหัวหน้าการ์ดอารมณ์ร้อนก็ออกเดิน ทิ้งให้รัตติกรซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆถึงโดนเกลียดขี้หน้าค่อยๆก้าวตามไป
สคูร์โดเดินตรงไปที่ห้องของลาร์เฟียร์แล้วเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปทันที สภาพภายในห้องนั้นเหนือกว่าห้องของรัตติกรอยู่ไม่น้อย หัวหน้าการ์ดเดินตรงเข้าไปทางส่วนที่จัดเป็นห้องแต่งตัวก่อนถึงห้องน้ำ เขาหยิบเสื้อคลุมที่วางเอาไว้บนชั้นยื่นส่งให้คนที่เดินตามมา
“เปลี่ยนไปใส่เสื้อคลุมนี่ซะ เสร็จแล้วก็เข้าไปในห้องนั้น ท่านรออยู่ อ่อ เรียกฟรานออกมาด้วยล่ะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเขา”ว่าจบก็ยัดเสื้อในมือส่งๆใส่อกของหนุ่มชาวไทยจนเขาต้องรับมาถือไว้ จากนั้นคนอารมณ์ร้อนก็เดินออกไปรอข้างนอกห้อง ทิ้งให้รัตติกรยืนอึ้งด้วยไม่ทันได้ปฏิเสธอะไร
แล้วทำไมต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมอาบน้ำ? หลังจากยืนนิ่งอยู่นานจนคนที่เดินออกไปได้กลับเข้ามาเร่งอีกรอบ รัตติกรเลยจำยอมถอดชุดที่ใส่มาพับวางทิ้งไว้แถวๆนั้นแล้วสวมเสื้อคลุมแทนที่ ร่างเพรียวเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องน้ำแบบบานเลื่อนแล้วเคาะเบาๆ จากนั้นก็รอให้มีเสียงตอบรับก่อนจึงจะเข้าไป
“ใคร?”
“รัตติกร”
“อืมม เข้ามาเลย”เสียงเรียกให้เข้าไปนั้นติดจะพร่าเล็กน้อย รัตติกรเลิกคิ้วด้วยความงุงงง แต่ก็ยอมเปิดประตูเข้าไปและต้องชะงักนิ่งอยู่กับที่เมื่อได้เห็นภาพอันน่าตกตะลึงตรงหน้า
ในห้องที่มีเพียงแสงไฟรางๆสีส้มนวลตา ร่างแกร่งของเจ้าพ่อมาเฟียกำลังอยู่ในสภาพเปล่าเปลือย ชายหนุ่มนั่งอยู่บนพื้นและแช่ตั้งแต่ส่วนเข่าลงไปไว้ในอ่างอาบน้ำ ภายในอ่างนั้นมีฟรานที่กำลังก้มหน้าซุกอยู่ตรงกลางท่อนขาแกร่งทั้งสองข้างของผู้เป็นเจ้านาย
ใช่ ต่อให้ไร้เดียงสาขนาดไหนเมื่อได้มาเห็นภาพเช่นนี้จะๆตาก็ได้ทำอะไรไม่ถูกกันทั้งนั้น
ไม่เว้นแม้แต่รัตติกร… “อืม ฟราน พอก่อน ออกไปได้แล้วล่ะ”ลาร์เฟียร์เหลือบมองคนที่ยังยืนแข็งทื่ออยู่หน้าประตูด้วยดวงตาพราวระยับสมใจ มือแกร่งดันศีรษะของเลขาคนสนิทออกจากภารกิจตรงหน้าที่ยังไม่เสร็จสมดี เขามอบจูบดูดดื่มให้กับอีกฝ่ายแทนคำขอบคุณแล้วรับผ้าขนหนูผืนเล็กมาวางปิดส่วนสำคัญที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย
ฟรานก้าวขึ้นจากอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่แล้วใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนตัวก่อนจะหยิบเสื้อคลุมและแว่นตาที่วางไว้ข้างๆอ่างมาสวมแล้วเดินมาหารัตติกร
“ขอทางด้วยครับคุณลูน่า”ฟรานส่งยิ้มเล็กน้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาให้ร่างเพรียวที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เก่า ผมสีดำสีนิทที่ปรกติจะถูกเสยไว้อย่างเรียบร้อยทิ้งตัวลงปรกหน้าผากเพราะหยดน้ำส่งผลให้รัตติกรรับรู้รู้ถึงบุคลิกอีกอย่างของเลขาคนนี้ด้วย
นอกจากความเอาจริงเอาจัง สิ่งที่อีกฝ่ายเก็บซ่อนเอาไว้ก็คือความเซ็กซี่อย่างร้ายกาจนี่เอง… หนุ่มชาวไทยขยับหลบเบี่ยงทางให้อีกฝ่ายเดินออกไปแต่โดยดี ทันทีที่ประตูเลื่อนบานเดิมเลื่อนปิดลง ความเงียบก็ย่างกรายเข้ามาปกคลุมห้องนี้โดยทันที
“จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ยลูน่า? หยิบเครื่องหอมข้างๆเธอแล้วเดินมาหาฉันซะ”
“คุณต้องการอะไร?”
“นวดแผนไทยให้หน่อยสิ”
อะไรนะ!!!???_______________________________________________
อืมม ตอนหน้าคงได้จัดเต็ม (มั้งครับ? 555)
(รอดูความคิดเห็นของนักอ่านส่วนใหญ่แล้วกันนะครับ ตอนนี้ผมกำลังลังเลว่าจะให้ลูน่าของผมโดนเผด็จศึกดีมั้ย 55 หรือแค่ลูบๆไล้ๆเหมือนตอนก่อนดี ให้คนอ่านตัดสินดีกว่า ลั้นลา~
)
http://www.booking.com/hotel/cn/gran-melia-shanghai.th.html?aid=331514;label=shanghai-c5vtgkNwW3%2APkEOC6P5rCQS4860363489;sid=212c76ec0c552f869b8556769af3167b;dcid=4 อันนี้เป็นลิงค์ของโรงแรมจริงที่ผมไปเอาข้อมูลสถานที่มาฮะ (มีอยู่จริงในเซี่ยงไฮ้ แต่ห้องที่ผมแต่งอยู่เหนือความจริงไปเล็กน้อย)
ถ้าอยากเห็นภาพของห้องอาหาร ห้องนอน ห้องน้ำ(ส่วนนี้อยากให้เห็นประกอบการจินตนาการอ่ะครับ ตอนหน้าคุณจะได้นึกภาพออกกัน 55)ก็ลองกดเข้าไปดูกันนะครับ
ขอบพระคุณอากู๋อีกครั้ง 55
ขอบคุณนักอ่านทุกๆคนด้วยนะครับ!
เจอกันอาทิตย์หน้าครับผม ^^
Namioto Yo