Ti Voglio {ฉันอยากมีนาย!}
shot.16 ประตูถูกปิดเสียงดังสนั่นก่อนผู้เป็นเจ้าของห้องจะกดล็อกใส่กลอนตามเข้าไปอีกทีด้วยอารมณ์ที่ยังคุกกรุ่นรุนแรง รัตติกรหายใจหอบหนักแล้วค่อยๆพาตัวเองเดินตรงไปยังเตียงนอนที่ยังคงเห็นได้ลางๆเพราะแสงไฟจากภายนอก ร่างเพรียวทิ้งตัวลงกับที่นอนแล้วนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น
ยามใดที่ได้อยู่ตัวคนเดียว รัตติกรมักชอบอยู่ในห้องที่ปิดไฟมืดหรือที่ๆไร้แสงสว่าง มันทำให้เขารู้สึกสงบ ปลอดภัย และทำให้มีสมาธิมากกว่า อย่างตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาต้องการทำให้หัวใจที่กำลังเต้นโหมกระหน่ำอยู่นี้สงบลง
มันเต้นแรงเพราะอารมณ์โกรธ เพราะใบหน้าหล่อเหลาร้ายกาจนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ เหนือไปกว่านั้นยังมีความอับอายที่เขาไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ของตัวเองได้มากพอ และตัวตนที่ยังไม่สงบนิ่งเช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะเป็น…
ความเงียบทิ้งตัวปกคลุมอยู่รอบกาย หากแต่เสียงหัวใจที่รัตติกรได้ยินนั้นก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัวไม่สร่างซาไปแม้แต่น้อย
หายไปสักที… หนุ่มชาวไทยสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อปรับอารมณ์อีกครั้ง แต่กลิ่นหอมที่ลอยแตะจมูกกลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่ามันคือกลิ่นน้ำมันหอมที่ถูกใครบางคนนวดเฟ้นละเลงใส่เอาไว้จนทั่วทั้งตัว
“บ๊าเอ๊ย!”รัตติกรสบถเสียงขุ่นแล้วลุกขึ้นจากที่นอน เสื้อคลุมที่หยิบมาสวมเอาไว้ลวกๆตอนหนีออกมาจากห้องนั้นถูกโยนทิ้งลงบนพื้นก่อนเจ้าตัวจะเดินตรงไปทางห้องน้ำ หนุ่มชาวไทยกดสวิสต์เปิดไฟแล้วต้องหรี่ตาลงก่อนจะค่อยๆปรับสายตาให้เข้ากับแสงได้ในไม่ช้า
ห้องน้ำส่วนตัวของเขาต่างไปจากห้องของเจ้าพ่อหนุ่มอยู่โข เพราะเป็นเพียงอ่างอาบน้ำธรรมดาไม่ใช่จากุชชี่กึ่งสปาแบบในห้องที่เขาโดนล่อลวงเข้าไป การประดับในห้องนี้ส่วนใหญ่เน้นสไตล์โมเดิร์นเสริมกับสีขาวเทาดำดูลึกลับหรูหรา ส่วนของห้องอาบน้ำและสุขาก็แบ่งออกจากกันด้วยกระจกฝ้าทำให้รู้สึกได้ถึงความเป็นส่วนตัว ถ้าห้องของเขาเป็นห้องที่ธรรมดาที่สุดในเพนส์เฮาส์นี้ ราคาของการเข้าพักครั้งนี้ก็คงไม่ต้องพูดถึงเลยทีเดียว
รัตติกรถอนหายใจเมื่อต้องมาคิดว่าต่อจากนี้ไปเขาต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง ชายหนุ่มก้าวเข้าไปนั่งในอ่างและเปิดน้ำเย็นให้ไหลออกมาจากก๊อก สบู่เหลวของโรงแรมถูกเทราดลงบนตัวจนเหลือเพียงครึ่งขวดก่อนที่มือเรียวทั้งสองข้างจะขัดถูตัวเองอย่างพิถีพิถันเพื่อที่จะลบกลิ่นหอมหวานจนฉุนเหล่านี้ออกไปจากตัวให้ได้มากที่สุด
น้ำเย็นๆค่อยๆเพิ่มระดับมาจนถึงรอบเอว พอรวมกับอากาศหนาวๆของประเทศจีนในตอนนี้ที่เย็นจนเข้าขั้นก็ทำให้รัตติกรได้ตัวสั่นสมใจ มันทำให้เขาสมองโล่งและสดชื่นขึ้นได้อย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมเย็นของลาเวนเดอร์จากสบู่เหลวช่วยผ่อนคลายอารมณ์ไปได้อีกขั้นหนึ่ง
รัตติกรถอนใจเฮือกใหญ่แล้วล้มตัวลงนอนในน้ำ มือเรียวยกขึ้นเปิดน้ำร้อนให้ไหลออกมาแทนน้ำเย็น ร่างเพรียวบางพลิกตัวไปมาใต้น้ำที่เพิ่มระดับขึ้นสูงเรื่อยๆ ช่วงไหนที่หมดอากาศหายใจก็ยกศีรษะขึ้นมาครู่เดียวแล้วก็กลับไปใต้น้ำใหม่อีกครั้ง เวลาผ่านไปจนกระทั่งผิวที่ฝ่ามือเหี่ยวซีด รัตติกรจึงขึ้นจากน้ำแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวผืนหนาของโรงแรมมาคลุมไหล่แล้วเดินออกมาข้างนอก
ชายหนุ่มเปิดไฟห้องนอนเพื่อหากระเป๋าเดินทางของเขาที่ถูกขนมาไว้ในห้องตั้งแต่ฟรานเข้าเช็คอินกับทางโรงแรม แม่บ้านของตระกูลเวสเปอร์จัดเตรียมชุดต่างๆที่เขาควรจะต้องใช้โดยรัตติกรไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เลือกว่าอยากสวมใส่ชุดแบบใด ภายในกระเป๋าเต็มไปด้วยเสื้อผ้าแบรนด์ดังระดับโลก แม้แต่ชุดที่เขาคิดว่าดูพื้นๆมากที่สุดก็มีราคาไปหลายหมื่นบาทแล้วด้วยซ้ำไป
“เหลือกินเหลือใช้จริงนะ”รัตติกรกล่าวเหน็บเมื่อคิดว่าใครเป็นคนออกคำสั่งให้เอาเสื้อผ้าพวกนี้มาให้เขาใส่ ชายหนุ่มหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาเที่ยงคืนกว่า แต่ตัวเขาเองกลับไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เข้ามานอนไปแล้วหนหนึ่งก็ได้
หนังสือที่เอามาในวันนี้เขาอ่านจนหมดตั้งแต่ตอนเย็น เท่ากับว่าตอนนี้ชายหนุ่มไม่มีอะไรให้ทำเป็นชิ้นเป็นอันแม้แต่น้อย รัตติกรเดินไปทางประตูห้องแล้วแง้มเปิดออกเพียงเล็กน้อยว่ามีใครอยู่ในห้องหรือไม่ แต่สรรพเสียงที่เงียบกริบก็บ่งบอกให้รู้ทันทีว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ข้างนอก
ในส่วนของห้องนั่งเล่นนั้นมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศเป่าออกมาเบาๆเท่านั้น รัตติกรนึกย้อนไปถึงตอนที่สคูร์โดเปิดประตูเข้ามา เหมือนจะจำได้ว่าหัวหน้าบอดี้การ์ดคนนั้นบอกว่าจับสายลับได้คนหนึ่ง...แล้วตอนนั้นเขาก็ปลดปล่อยออกมาพอดี...
เพี๊ยะ!
หนุ่มชาวไทยยกสองมือขึ้นตบแก้มตัวเองแล้วทรุดตัวลงไปนั่งยองๆกับพื้นห้อง เขาโขกศีรษะกับหัวเข่าของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาเหมือนลงโทษตัวเองกลายๆพร้อมกับกระซิบสบถพึมพำไปด้วย
“อุตส่าห์ลืมได้แล้วเชียว ทำไมถึงนึกขึ้นมาอีกวะ ฮึ่ย!”
นึกแล้วอารมณ์กรุ่นๆมันก็พุ่งขึ้นมาในอกอีกรอบ การที่พวกนั้นไม่อยู่ในห้องกันน่าจะเป็นเพราะออกไปสืบสวนสายลับคนนั้นนั่นแหละนะ รัตติกรถอนหายใจหลายเฮือกใหญ่แล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะก้าวออกไป เป้าหมายคือชั้นสวนลอยของโรงแรมที่น่าจะมีอะไรเจริญหูเจริญตาให้ดู ดีกว่ามานั่งเฉยๆอยู่ในห้องอย่างนี้
มือเรียวแตะลูกบิดประตูที่เป็นเป้าหมาย แต่ขณะที่เปิดออกไปกลับได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังมาอยู่ไม่ไกล มันเป็นภาษาจีนท้องถิ่นของชาวเซี่ยงไฮ้ แน่นอนว่ารัตติกรฟังออก หากแต่เขาก็รู้เหมือนกันว่าไม่มีลูกน้องคนไหนของลาร์เฟียร์ที่เป็นคนจีน…
ฟรานบอกว่าชั้นนี้ทั้งชั้นพวกเขาจองเอาไว้หมดแล้ว ทำให้กลายเป็นเขตพื้นที่ส่วนตัวและไม่น่าจะมีแขกคนใดหลงทางมาถึงที่นี่ได้ รัตติกรเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเงี่ยหูฟังอีกครั้งเพื่อจับใจความว่าพวกข้างนอกกำลังพูดอะไรกัน
“เข้าไปค้นในห้อง อวี้เฟิงล่อพวกนั้นออกไปหมดแล้ว”
“แล้วจะถ่วงเวลาตามที่ท่านสั่งได้ยังไง?”
“ก็ขโมยพาสปอร์ตของพวกมันมาสิ! ต้องใช้เวลาอีกหลายวันนั่นแหละถึงจะทำอันใหม่ได้”
“คุณชายสองจะเพิ่มเงินให้พวกเรารึเปล่า? อาเฟิงถูกจับไปแบบนั้น ข้าว่าเขาไม่รอดแน่”
“มันตายก็ดีไม่ใช่รึไง ส่วนแบ่งจะได้เพิ่มขึ้นอีกบาน ฮ่าๆๆๆ” จากนั้นเสียงหัวเราะของคนประมาณสามถึงสี่คนก็ดังครืน รัตติกรงับประตูปิดเข้ามาแล้วกดล็อกกลอนเผื่อไว้ก่อนอย่างรวดเร็วก่อนจะมองหาที่ซ่อนอย่างเร่งด่วน เป็นที่แน่นอนว่าคนพวกนั้นต้องการจะเข้ามาขโมยพาสปอร์ตของลาร์เฟียร์ไปแน่ๆ และถ้าพวกมันเจอเขาก่อน โอกาสรอดไปแบบครบสามสิบสองก็คงจะริบหรี่เต็มทน...
เสียงลูกบิดถูกขยับเป็นสัญญาณที่ทำให้รู้ว่าพวกนั้นตัดสินใจลงมือแล้ว หนุ่มชาวไทยจำได้ว่าพาสปอร์ตทั้งหมดถูกเก็บไว้กับฟราน เขาจึงตรงไปที่ห้องเลขาหนุ่มแบบไม่ต้องคิด ประตูนั้นไม่ได้ล็อกอย่างที่คาดเพราะเจ้าของห้องไม่อยู่ กระเป๋าเอกสารใบเล็กที่วางอยู่ข้างเตียงคือที่ๆรัตติกรเห็นพาสปอร์ตครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดออกดู พาสปอร์ตของลาร์เฟียร์ ฟราน รวมถึงพาสปอร์ตของปลอมของตัวเขาเองก็อยู่ในนี้ด้วย
เสียงเปิดประตูดังแว่วมาจากภายนอกทำให้รัตติกรรู้ทันทีว่าคนร้ายชาวจีนได้บุกเข้ามาในห้องเป็นที่เรียบร้อย ดูจากลักษณะในห้องของฟรานที่เป็นแบบเดียวกับห้องของตัวเขาเอง รัตติกรจึงตัดสินใจเข้าไปหลบในห้องน้ำแทนที่จะไปซ่อนอยู่ใต้เตียง หลังโต๊ะ หรือในตู้ ซึ่งเป็นสถานที่แรกๆที่พวกคนร้ายจะตรวจสอบแน่นอน
ร่างเพรียวก้าวเข้าไปในห้องน้ำที่มืดสนิท อาศัยภาพในความทรงจำเพื่อเดินไปหยุดหน้าอ่างอาบน้ำโดยไม่เผลอชนอะไรไปเสียก่อน ชายหนุ่มก้าวเข้าไปนั่งในอ่างอาบน้ำที่เปียกชื้นเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆบ่งบอกว่าคนกลุ่มนั้นกำลังจะเข้ามาในห้องนี้ทำให้หนุ่มชาวไทยเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว สองแขนโอบกอดกระเป๋าเอกสารไว้แน่นแล้วเฝ้ารอคอยให้เสียงเหล่านั้นรีบหายไปไวๆ
“เจอมั้ยวะ?!”
“เจอกระเป๋าเดินทาง แต่มีแค่เสื้อผ้า ไม่มีพาสปอร์ตว่ะ”
“ห่าเอ๊ย หรือมันเอาติดตัวไปด้วย” เสียงรื้อค้นเงียบกริบบ่งบอกให้รู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกมือเบาที่คงลักขโมยของมานักต่อนัก เสียแต่ช่างไม่เหมาะกับการทำตัวเป็นสายลับแอบเข้าห้องคนอื่นเอาเสียเลยเพราะพูดคุยกันเสียงดังไปหน่อย รัตติกรใจเต้นระทึกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ห้องน้ำมากกว่าเดิม ลูกบิดประตูหมุนเป็นเสียงเบาๆก่อนที่แสงจากภายนอกจะส่องเข้ามาตามช่องว่าง…
หัวใจเต้นระทึกขึ้นอีกระดับ รัตติกรแนบตัวลงนอนในอ่างอาบน้ำ…
บานประตูเปิดกว้างจนชนกับผนัง หนึ่งในคนร้ายเอื้อมมือออกมาเพื่อจะกดเปิดสวิทต์ไฟ…
“เฮ้ย ห้องนั้นเจอมั้ย?”
“ไม่เจอ ทางนั้นล่ะ?”
“ไม่เจอเหมือนกัน ดูเหมือนมันน่าจะเอาติดตัวไปด้วย แต่ข้าค้นเจอเอกสารที่ดูสำคัญๆสามสี่อย่าง เอาพวกนี้ไปก่อนแล้วกัน รีบออกมาได้แล้ว เดี๋ยวพวกอิตาเลียนนั่นกลับมาก่อนเราจะซวย” เสียงเรียกจากภายนอกทำให้คนร้ายเดินออกไปจากห้อง รัตติกรถอนหายใจแผ่วเบาเมื่อประตูห้องน้ำถูกปิดลงอีกครั้ง
ดูเหมือนกลุ่มคนร้ายตกลงจะออกไปกันแล้ว แต่รัตติกรยังคงเฝ้าฟังเสียงเปิดปิดประตูแต่ละบานเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเหลืออยู่ ถึงได้วางกระเป๋าเอกสารทิ้งเอาไว้หลังชักโครกแล้วค่อยๆลุกขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวจะก้าวออกมาจากห้อง ประตูถูกแง้มออกเล็กน้อยพอให้สามารถมองลอดออกไปภายนอกได้ รัตติกรมองซ้ายขวาจนแน่ใจถึงได้ออกมาจากห้องน้ำในที่สุด
แกรก...
“เฮ้ย!! มีคนอยู่ในนี้โว้...อั่ก!!”บานประตูถูกเปิดขึ้นฉับพลันจากคนร้ายคนหนึ่งที่กลับเข้ามาอีกครั้ง รัตติกรไหวตัวทันแค่เพียงคว้าแจกันที่หัวเตียงขว้างใส่อีกฝ่านแล้ววิ่งหนีออกมาจากห้อง หากแต่คนร้ายอีกสามคนที่อยู่ข้างนอกกลับไม่ปล่อยให้ผู้รู้เห็นเหตุการณ์หนีออกไปได้!
คนที่ตัวใหญ่ที่สุดวิ่งเข้ามาขว้าแขนของรัตติกรเอาไว้แล้วบิดไปด้านหลังก่อนจะกดให้ร่างเพรียวล้มลงไปนอนกับพื้น! เข่าหนาหนักเลื่อนไปทับไว้ที่แผ่นหลังทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนตัวหนีไปไหนได้ หนุ่มชาวไทยกัดฟันกรอดแล้วเงยหน้ามองคนที่กดเขาเอาไว้กับพื้นด้วยสายตาเกรี้ยวกราด หากแต่อีกฝ่ายกลับใช้มือเดียวรวบแขนเขาเอาไว้ ส่วนอีกมือก็กดกระแทกศีรษะที่เงยขึ้นมาให้ลงไปแนบพื้นอย่างรุนแรง!
“ห่าเอ๊ย ฟาดมาได้นะแจกันเหล็กน่ะ!”คนที่ถูกรัตติกรทำร้ายเดินออกมาจากห้อง ฝ่ามือหยาบหนายกขึ้นกุมหัวคิ้วแถวๆขมับที่มีเลือดไหลออกมาเป็นยาว สายตาโกรธแค้นจับจ้องมาที่เขาเขม็งก่อนเจ้าตัวจะเดินมานั่งลงเบื้องหน้าแล้วตกมือขึ้นตบหน้ารัตติกรเต็มแรง!
“อึ่ก!!”กระพุ้งแก้มของเขาครูดกับเนื้อฟันเล็กน้อยทำให้หยาดเหลือสีแดงสดไหลออกมาประดับมุมปาก รัตติกรส่งสายตาวาววับใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว คนร้ายจึงยกมือขึ้นเตรียมจะสั่งสอนเขาอีกครั้งแต่มือใหญ่นั้นกลับถูกคนที่ดูท่าทางเป็นหัวหน้ายื้อยุดเอาไว้ก่อน
“อย่าทำร้ายเขาถ้ามึงไม่อยากตาย นั่นคนของเวสเปอร์!”
ชายคนนั้นลดมือลงแต่โดยดี หากแต่สายตาอาฆาตแค้นอย่างหมายมาดกลับจับจ้องหนุ่มชาวไทยนิ่งงันเหมือนจะจดจำเอาไว้ รัตติกรไล้ลิ้นไปดุนแผลในปากดู มันไม่ใหญ่มากเท่าไหร่แต่ก็เจ็บไม่เบา เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วเลิกดิ้น รอคอยฟังว่าคนกลุ่มนี้จะทำเช่นไรกับเขาต่อไป
คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรออก ดูท่าจะต้องปรึกษากับผู้สั่งการก่อนถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะฆ่าเขาทิ้งหรือปล่อยไป
ดูท่า...เขาจะได้ตายเร็วกว่าที่คิด...
แต่ก็นะ อยู่กับมาเฟีย... ยังไงความตายมันก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว… “เราจับตัวคนของเวสเปอร์ได้คนหนึ่งครับคุณชายสอง เขาโผล่ออกมากะทันหัน เราเลยไม่ทันได้ระวัง”
“....พักอยู่ในห้องเดียวกับคุณลาร์เฟียร์ครับ”
“คนนี้ไม่คุ้นหน้าครับ แต่ไม่ใช่เลขาคนนั้น ลักษณะเขาดูเหมือนคนเอเชียมากกว่า”
“งั้นสักครู่ครับ”
หัวหน้ากลุ่มยกโทรศัพท์มาทางเขาแล้วกดถ่ายรูป ดูท่าจะส่งภาพไปให้ผู้สั่งการดูเพื่อจะได้ตัดสินว่าคนที่พวกเขาจับได้นั้นมีความสำคัญเพียงไรกับดอนแห่งปาเลอร์โม่กันแน่
“...จะจัดการเขายังไงดีครับ?”
“พาตัวกลับไปด้วย!?”
กลุ่มคนร้ายมองหน้ากันเองเลิ่กลั่ก รัตติกรตาโตด้วยความตกใจเล็กน้อย จะจับเขาไปด้วยทำไมกัน?
ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าเพิ่งเข้ามาทำงานในเวสเปอร์แฟมมิลี่ได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ค่าของการเอาเขาไปต่อรองน่ะไม่ต้องพูดเลย เขาไม่สำคัญอยู่แล้ว นอกจากนั้นถึงเขาจะมีข้อมูลสำคัญเกือบทุกอย่างของแก๊งค์อยู่ในหัวเพราะหลังจากที่ลาร์เฟียร์รู้ว่าเขาจำหนังสือทุกเล่มที่อ่านได้ เจ้าพ่อหนุ่มก็โยนทั้งบัญชีรายชื่อ ประวัติของแฟมมิลี่ รวมถึงจุดอ่อนจุดแข็งทั้งหมดของแก็งต่างๆเท่าที่จะหามาได้เพื่อเก็บเขาไว้เป็นตัวเรียกข้อมูลยามฉุกเฉินก็เถอะ แต่คนร้ายที่เพิ่งเจอกับเขาพวกนี้ไม่มีทางรู้แน่นอนว่าความสามารถพิเศษของเขาคืออะไร
แล้วจะจับไปทำไม หรือต้องการเอาเขาไปเชือดไก่ให้ลิงดูเฉยๆ?
ไม่ทันได้คิดมากไปกว่านั้น หัวหน้าของกลุ่มคนร้ายก็กดวางสายโทรศัพท์ เขาหันมาหารัตติกรแล้วสั่งการลูกน้องที่ทับตัวชายหนุ่มเอาไว้
“ทำให้มันสลบแล้วเอาตัวมาด้วย!”
รัตติกรตาเบิกกว้าง ถ้าหากพวกนี้จับเขาไปเฉยๆเขายังสามารถจดจำทิศทางแล้วน้ำมาเปรียบเทียบกับแผนที่ในความทรงจำได้ แต่ถ้าสลบไปก็หมดสิทธิ์ว่าจะช่วยเหลืออะไรตัวเองได้อีกเลย!
ยังไม่ทันจะได้ต่อรอง ตอนนั้นเองความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างฟาดเข้าเต็มหลังคอก็ช่วงชิงความนึกคิดทั้งหมดของเขาไป สติที่รั้งเอาไว้ได้ทำให้หนุ่มชาวไทยพอรู้ว่าถูกแบกขึ้นหลังของใครบางคนและพาออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
สิ่งสุดท้ายที่รัตติกรนึกถึงคือเจ้าของดวงตาสีสนิมคมกล้า...
ถ้าหมอนั่นพบว่าเขาหายไป จะทำหน้ายังไงกันนะ...______________________________________
อั้ยย่ะ เค้ากลับมาแล้ว... ( นักอ่านเอาฝักข้าวโพดปาหัว 55)
ตอนก่อนหน้านี้ดูหลายคนสะใจกันดีจัง สมความปรารถนาคนเขียนที่อยากให้ดอนโดหมั่นไส้~ 55
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคร้าบ
(โค้งแล้วโค้งอีก ขอบคุณมากครับ พวกคุณเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆสำหรับผมนะ ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ~ (เวิ่น...)
)
ขอบคุณคุณ Kaewkaew และนักอ่านหลายๆคนที่เข้ามารอทุกวันเลยนะครับ ผมอัพช้าขนาดนี้ก็ยังมีคนรอผมอยู่ด้วยอ้ะ ซาบซึ้ง~ TTwTT
ผมจะพยายามอัพให้เร็วกว่านี้นะฮะ ไฟท์ๆๆ
ขอบคุณทุกคนจริงๆครับ โดดกอดรายคนเลย~
แล้วเจอกันนะฮะ
Namioto Yo