Ti Voglio {ฉันอยากมีนาย!}
shot.27 รถสีขาวคันสวยแล่นฉิวตัดผ่านถนนหลายสายจากภูเขาสูงที่ห่างไกลผู้คนเข้าสู่เขตเศรษฐกิจในเมืองใหญ่ที่มีผู้คนหลากหลายวัยแออัดกันอยู่อย่างพลุกพล่านและเบียดเสียด ตึกหลายแห่งแทงยอดสูงเข้าไปในกลีบเมฆที่ลอยต่ำ แทรกไปด้วยหน้าจอโทรทัศน์ฉายโฆษณาในแต่ละสี่แยกใหญ่ๆช่วยให้บรรยากาศทึมๆของวันหิมะตกดูสดใสขึ้นมาบ้าง ร้านค้าหลายร้านเริ่มนำมิสเซิลโทและต้นคริสต์มาสมาวางตกแต่งชวนให้นึกขึ้นมาได้ว่าอีกไม่นานก็จะข้ามผ่านไปสู่ปีใหม่ซะแล้ว
รัตติกรมองวิวนอกรถเล่นไปเรื่อยๆขณะคิดถึงหนังสือเรื่องที่เขาคิดจะซื้อ แน่นอนว่ารายการในหัวตอนนี้มียาวเป็นหางว่าว กลัวแต่มันจะเยอะเกินไปจนไอ้เจ้าพ่อนี่จะชิ่งไม่ยอมซื้อให้เอาดื้อๆนี่แหละ คิดแล้วเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลไหม้ก็ขยับตัวด้วยความอึดอัด มือใหญ่ที่กอดรัดอยู่ตรงเอวยังคงกระชับแน่นอยู่อย่างนั้นแม้พวกเขาจะออกมาจากคฤหาสน์ของเทย์ริวมานานแล้วก็ตาม
รัตติกรเหลือบมองไปยังคนที่สไลด์มือถือเพื่ออ่านข่าวด้วยใบหน้าเฉยเมยซึ่งยังคงกักเขาเอาไว้ในอ้อมกอดไม่ห่าง บรรยากาศตอนออกมาข้างนอกของหมอนี่ดูยังไงก็เหมือนกับออกมาทำงานแท้ๆ ถ้าจะมีที่แปลกตาไปหน่อยบ้าง ก็คงเป็นชุดของเจ้าพ่อหนุ่มที่เปลี่ยนจากสูทขาวมาเป็นชุดไปรเวทที่ดูภูมิฐาน ผิดกับเขาที่ยังอยู่ในชุดสูทตัวเดียวกับเมื่อเช้าพร้อมผ้าพันคอปิดร่องรอยอนาจารที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้
คิดแล้วรัตติกรก็ถอดหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหันกลับไปมองวิวนอกหน้าต่างเพื่อฆ่าเวลารอให้ถึงที่หมาย คิดไม่ถึงว่าเสียงถอนหายใจเบาๆของตัวเองภายในรถที่เงียบสนิทจะส่งผลให้คนที่รู้อยู่แต่แรกว่าถูกแอบมองยิ้มขำแล้วเอื้อมมือมาบีบแก้มขาวนวลให้หันกลับมามองเขาดีๆอีกครั้ง
“มองหน้าคนอื่นแล้วถอนหายใจนี่มันหมายความว่ายังไงกันหืม?”
“...เรื่องของผมน่า”รัตติกรคิ้วขมวดมุ่นแล้วพยายามดึงมือของเจ้าพ่อหนุ่มออก เสียแต่เรี่ยวแรงที่ผิดกันลิบลับเลยทำให้กลายเป็นว่าเขาจับมือเจ้าพ่อหนุ่มอยู่เฉยๆไปเสียอย่างนั้น
“แต่ฉันว่ามันมีฉันเข้าไปเกี่ยวอยู่หน่อยๆนะ ไม่คิดว่านี่เป็นการเสียมารยาทต่อคนอื่นเขาหรือยังไง”
“ก็แล้วมันต้องมาบีบแก้มกันด้วยเหรอไงเล่า!”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องสิลูน่า”รัตติกรจิ๊ปากด้วยความเบื่อหน่ายแล้วสะบัดหน้าออกจากมือของอีกฝ่าย ส่วนเจ้าพ่อหนุ่มก็ละมือออกจากแก้มใสแล้วใช้สายตากดดันเอาคำตอบแทน
“เซ้าซี้จริงๆเลย กะอีแค่ถอนหายใจนี่ผมต้องรายงานคุณด้วยเหมือนกันเหรอครับเจ้านาย?”
“ก็ไม่หรอก แต่ในฐานะลูกน้อง ถ้าฉันถามอะไรเธอก็ต้องตอบ”
“เผด็จการจริงเว้ย! แค่ตอนนั้นปอดผมบังเอิญมีออกซิเจนต่ำและมีคาร์บอนไดออกไซด์สูง การถอนหายใจช่วยไล่คาร์บอนไดออกไซด์ในปอดได้มากขึ้น ผมก็เลยถอนหายใจแค่นั้นแหละ โอเคมั้ย”ว่าจบก็ยักคิ้วใส่เจ้าพ่อหนุ่มทีหนึ่งด้วยเจตนากวนประสาท ไม่ทันขาดคำเสียงหลุดขำของคุณบอดี้การ์ดหน้ารถก็ดังขึ้นขัดบรรยากาศ พอรู้ตัวสคูร์โดเลยกระแอมไอเล็กน้อยแล้วทำเป็นตั้งสมาธิขับรถต่อไป ผิดกับฟรานที่ยิ้มหวานมาตลอดทาง เขาปล่อยผ่านสถานการณ์ของคู่ข้างหลังแล้วชี้ทางให้คุณบอดี้การ์ดเลี้ยวเข้าไปจอดรถในลานจอดแบบคิดค่าจอดรายชั่วโมงในย่านที่มีคนพลุกพล่านจำนวนมากแห่งหนึ่ง
“หึ...” ลาร์เฟียร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยความหมั่นไส้คนที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ในอ้อมกอดของเขา พอรถจอดดีแล้ว เจ้าพ่อหนุ่มเลยโน้มหน้าลงไปกัดริมฝีปากแดงๆด้วยความหมั่นเขี้ยวทีหนึ่งแล้วค่อยลากรัตติกรออกมายืนนอกรถในที่สุด
คนถูกประทุษร้ายกระทันหันอ้าปากหวอแล้วได้แต่แยกเขี้ยวแง่งใส่เจ้าพ่อหนุ่มที่ยังยืนกุมมือเขาอยู่นอกรถ ริมฝีปากแดงช้ำเจ็บแปล๊บๆบ่งบอกให้รู้ว่าตอนที่ถูกกัดเมื่อกี้น่ะไม่ใช่แค่กัดหยอกๆ แรงกว่านี้อีกหน่อยเขาคงได้เลือดไปแล้วด้วยซ้ำ
“ได้คนซาดิสม์นี่...”บ่นงุบงิบเป็นภาษาไทยก็จริง แต่ไอ้คำว่าซาดิสม์น่ะมีความหมายเป็นสากล เจ้าพ่อหนุ่มเลยพอจะรู้ว่าเจ้าเด็กบ้านี่ต้องว่าอะไรเขามาสักอย่างแน่นอน แต่ด้วยขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด ลาร์เฟียร์จึงกระตุกมือรัตติกรเป็นเชิงเรียกแล้วเริ่มออกเดินไปด้วยกัน มีฟรานที่ตรวจสอบเส้นทางมาแล้วเดินนำหน้า และสคูร์โดที่คอยดูแลความปลอดภัยอยู่ด้านหลังอีกที
แน่ละว่าชาวต่างชาติสี่คนที่สามในสี่ตัวสูงปรี๊ดแบบชาวยุโรป หน้าตาก็โดดเด่นสะดุดตามาเดินด้วยกันเป็นกลุ่มๆเช่นนี้ต้องเป็นเป้าสายตา แต่พอสายตาของเหล่าญี่ปุ่นมุงเลื่อนลงมามองคนสองคนที่เดินด้วยกันตรงกลางจับมือกันเดินแบบนั้น สายตาหวานๆของเหล่าหญิงสาวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นประกายวิบวับพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ รัตติกรที่รู้สึกหน้าร้อนผ่าวเพราะเข้าใจภาษาญี่ปุ่นพยายามกระชากมือของเจ้าพ่อหนุ่มออก แต่คนตัวสูงกว่าซึ่งไม่สะทกสะท้านกับภาษาที่ตัวเองฟังไม่เข้าใจกลับจับมือบางไว้แน่นกว่าเดิมเพราะกลัวเจ้าตัวเดินหลงไปเพราะแถวนี้คนเยอะชวนหลงเสียยิ่งกว่าอะไร
“ร้านหนังสืออยู่ข้างหน้านี่แหละครับ”ฟรานหันกลับมาบอกแล้วเดินนำไปจนถึงหน้าตึกสูงหลายชั้นที่ติดป้ายร้านต่างๆเอาไว้ ส่วนของร้านขายหนังสือต้องเดินขึ้นไปหน่อย แต่ฟรานตรวจสอบมาแล้วว่าในจุดใกล้ๆกับคฤหาสน์ของเทย์ริวนั้นมีร้านหนังสือร้านนี้แหละที่ใหญ่ที่สุด
ทั้งสี่หยุดยืนอยู่หน้าร้านก่อนที่ฟรานจะหันกลับมาคุยกับรัตติกร
“คุณลูน่าครับ คิดว่าจะใช้เวลาที่นี่ประมาณกี่ชั่วโมงครับ”
“ซื้อเฉยๆ สักชั่วโมงก็เสร็จแล้วครับ”ถึงยังไงถ้าเป็นหนังสือที่ไม่เคยอ่านรัตติกรก็กะจะหยิบหมดอยู่แล้ว ดังนั้นแค่มอง หยิบ แล้วรวมไปจ่ายเงินทีเดียวก็ไม่น่าจะใช้เวลามากนักนี่นะ
“งั้นถ้าเสร็จแล้ว คุณกับสคูร์โดไปรอที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามทางนั้นนะครับ ส่วนนี่บัตรเครดิตครับ เป็นแบบไม่จำกัดวงเงิน ต้องการเท่าไหร่ใช้ได้ตามสบายเลยนะครับคุณลูน่า แต่ช่วยให้บอดี้การ์ดของเราขนกลับไหวด้วยนะครับ ทางผมจะพาดอนไปดูอะไรนิดหน่อย พอเสร็จแล้วจะได้หาอาหารเที่ยงทานด้วยกันแล้วค่อยกลับ ตามนี้นะครับ”ร่ายแผนการเสร็จสรรพ เลขาหนุ่มคนเก่งก็ส่งเครดิตการ์ดให้รัตติกรถือเอาไว้แล้วยิ้มส่งให้อีกครั้งเหมือนกับไม่ยอมให้ปฏิเสธ ผิดกับทั้งล่ามกับบอดี้การ์ดสองคนที่อ้าปากหวอมองหน้ากันด้วยไม่คิดว่าจะต้องอยู่กันสองต่อสองไปอีกเป็นชั่วโมงๆ
คนสองคนที่มีแววไม่ชอบขี้หน้ากันชัดๆอย่างพวกเขา แต่กลับต้องมาเดินเลือกของแล้วไปนั่งดื่มกาแฟต่อด้วยกันเนี่ยนะ??
“นายก็อยู่นี่กับหมอนี่สิฟะ เดี๋ยวฉันไปกับดอนเอง”
“รู้ทางเหรอครับคุณน่ะ แถมของที่กำลังจะไปดูกัน คุณก็ช่วยดอนเลือกไม่ได้หรอกครับ สู้อยู่ที่นี่แล้วใช้ข้อได้เปรียบคือแรงช้างสารของคุณหอบหนังสือทั้งหมดของคุณลูน่าดีกว่า คนเราน่ะต้องput the right man in the right jobนะครับ”ดวงตาสีมรกตเบื้องหลังแว่นกรอบดำดูสุภาพโค้งขึ้นเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มของผู้เป็นเจ้าของ ฟรานตบแก้มที่สากระคายมือด้วยตอหนวดของบอดี้การ์ดหนุ่มเป็นเชิงบอกให้ทำตัวดีๆ
“ทำไมฉันจะช่วยเลือกไม่ได้?”สคูร์โดจับมือของฟรานเอาไว้แน่นด้วยความโมโหเล็กน้อย เรื่องที่จะแยกกลุ่มกันฟรานไม่ได้บอกเขาล่วงหน้า ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรกเขาจะได้แบ่งกำลังบอดี้การ์ดบางส่วนมาเพิ่มแท้ๆ ทำไมชอบทำอะไรไม่ปรึกษาเขาก่อนเลยนะทั้งเจ้านายก็ดี ทั้งเลขาหน้ายิ้มนี่ก็ด้วย น่าหงุดหงิดเป็นบ้า!!
“มันเป็นของที่คนต้องเคยใช้มาก่อนถึงจะรู้น่ะครับว่าอันไหนดีหรือไม่ดี ซึ่งแน่นอนว่าคุณไม่เคยใช้แน่ๆล่ะผมมั่นใจ”
“ก็แล้วมันอะไรล่ะโว้ย??”รอยยิ้มของฟรานดูหวานแสบตาขึ้นเรื่อยๆขณะอธิบาย ยิ่งพอเขาถามเสร็จเจ้าตัวก็โน้มตัวมาหาแล้วกระซิบเบาๆที่ริมหูเป็นเชิงไม่อยากให้ใครได้ยิน แน่นอนว่าพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร สคูร์โดก็ดีดตัวไปข้างหลังแล้วชี้ไปทางเลขาหนุ่มด้วยท่าทางอึกอัก
“หึหึ เคยใช้มั้ยล่ะครับ?”
“ไม่เคยเว้ย!!! จะไปไหนก็ไปเลยไป!!”ว่าเสร็จบอดี้การ์ดหนุ่มก็คว้าแขนรัตติกรลากเข้าร้านทันควัน หนุ่มชาวไทยได้แต่เลิกคิ้วเพราะจนสุดท้ายเขาก็ยังไม่รู้ว่าทางเจ้าพ่อหนุ่มไปซื้ออะไรอยู่ดีนั่นแหละ พอมองไปทางลาร์เฟียร์กับฟรานที่ยังยืนมองอยู่หน้าร้าน เจ้าพ่อหนุ่มก็ส่งยิ้มแปลกๆมาให้แล้วเดินตามฟรานออกไปอีกทางหนึ่งในที่สุด
มาเฟียพวกนี้ทำไมต้องทำอะไรให้มันลับลมคมในขนาดนี้ด้วยเนี่ย?
_______________________________________________________________________
“นี่กะจะซื้อกี่เล่มเนี่ย?”เสียงหนึ่งถามขึ้นจากสคูร์โดที่ขี้เกียจเข้าไปอยู่ระหว่างชั้นหนังสือแคบๆเลยยืนรอรัตติกรอยู่บริเวณจุดคิดเงิน พอหนุ่มชาวไทยได้หนังสือจำนวนหนึ่งก็จะเดินเอามาฝากเขาเอาไว้ ตอนแรกๆก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ตอนนี้หนังสือกองอยู่รอบตัวเขาราวกับตั้งเป็นกำแพงปราสาทล้อมยักษ์ ทั้งลูกค้าและพนักงานร้านก็มองมาด้วยสายตาเป็นกังวลแต่ไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านตามประสาคนญี่ปุ่น แม้จะมีพนักงานบางคนใจกล้าเข้ามาถามเขาก็เถอะ แต่ภาษาอังกฤษแบบสำเนียงญี่ปุ่นนั้นสำหรับเขามันฟังไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย พอถามแค่คำว่า “หา?” กลับไป พนักงานคนที่ว่าก็ตัวสั่นริกๆ มองเขาด้วยท่าทางหวาดผวา แล้วพอเขาขมวดคิ้วใส่ด้วยความไม่เข้าใจเท่านั้นแหละ ไอ้คุณพนักงานนั่นก็พูดอะไรไม่รู้เสียงดัง โค้งสุดตัวจนหัวแทบไปชนเข่าแล้วเดินเร็วติดสปีดหนีหายไปหลังเคาท์เตอร์ซะงั้น
สถานการณ์ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเขากลายเป็นตัวประหลาด ตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครจนชวนให้หงุดหงิด ไอ้พระจันทร์ของดอนนั่นก็ยังเดินหายไปในดงหนังสือแล้วขนหนังสือกลับออกมาอีกกองแล้วกองเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้น
“ผมซื้อเท่ากับจำนวนวันที่จะอยู่ญี่ปุ่นแล้วก็ทบกับวันตอนที่ถูกจับไปที่จีนคูณด้วยยี่สิบอีกที”
“คูณด้วยยี่สิบ?....สิบสี่คูณยี่สิบก็เป็น.....!!!”ได้ผลลัพธ์ในใจสคูร์โดก็เบิกตาใส่รัตติกรด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แค่จำนวนก็ว่าแย่แล้ว แต่ความหนาของแต่ละเล่มที่สามารถเอาไปเขวี้ยงหมาตายได้ขนาดนี้รวมเข้าไปอีก ดังนั้นมันก็เท่ากับว่าไอ้สองร้อยกว่าเล่มที่รัตติกรคิดจะซื้อเขาต้องเป็นคนแบกทั้งหมดนั่นไม่ใช่เหรอเฮ้ย! ไอ้หมอนี่นี่จะซื้อไปเปิดร้านหรือไงวะ?
“ทำไมเหรอ? คุณถือไม่ไหวเหรอ? ผมช่วยถือก็ได้นะ”รัตติกรเสนอความช่วยเหลือด้วยความหวังดี
“หุ่นอย่างนายยกทีได้แขนหักกระดูกแหกเอาน่ะสิ ผอมอย่างกับไม่เสียบผี กล้ามเนื้ออะไรก็ไม่มี”บอดี้การ์ดหนุ่มตอบกลับพร้อมกับไล่สายตามองหุ่นของรัตติกรด้วยท่าทางหยามเหยียด หนุ่มชาวไทยที่ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดเลยกลอกตาใส่สคูร์โดหนึ่งทีแล้วทำท่าบอกให้อีกฝ่ายช่วยยกหนังสือมาคิดเงินที่เคาท์เตอร์ด้วยกันแทน
ให้เขาเอาหุ่นตัวเองไปเทียบกับบอดี้การ์ดมาเฟียอันดับหนึ่งแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาไม้ซีกไปเปรียบกับไม้ซุงหรอก ไม่ต้องเอาไปงัด แค่วางไว้ข้างๆกันก็รู้แล้วว่าความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายเป็นคนละประเภทกันขนาดไหน ยิ่งกับสคูร์โดที่เป็นพวกเลือดร้อน ถ้าเถียงต่อล่ะก็ มันไม่จบแบบที่เขาต่อปากต่อคำกับลาร์เฟียร์แน่ๆ
“ช่วยแพคใส่กล่องให้ด้วยนะครับ”รัตติกรพูดกับพนักงานขณะที่สคูร์โดยกหนังสือกองแล้วกองเล่ามาวางบนเคาท์เตอร์คิดเงิน ครู่เดียวพนักงานสองสามคนก็เข้ามาช่วยแพคหนังสือลงกล่องให้ หนุ่มชาวไทยรับใบเสร็จมามองยอดเงินเล็กน้อย ดูๆแล้วมูลค่าเงินเดือนเขาแต่ละเดือนก็ไม่ใช่เล่นๆเหมือนกันนี่นะ
“เรามีบริการจัดส่งนะครับ สนใจรึเปล่าครับคุณลูกค้า”พนักงานหนุ่มใจกล้ามองจำนวนลังที่ดูท่าจะหนักไม่น้อยแล้วเสนอบริการของทางร้านให้ด้วยท่าทางหวาดๆ สายตาของชาวต่างชาติร่างยักษ์ที่ยืนรออยู่ตรงนั้นน่ากลัวจนเขาเกรงว่าถ้าทำท่าทางให้คนพวกนี้ไม่พอใจเข้าล่ะก็จะถูกอุ้มไปโบกปูนถ่วงอ่าวอย่างที่พวกยากูซ่าในหนังชอบทำกันไหม
รัตติกรก็คิดว่าเข้าท่าดี เพราะจำนวนขนาดนี้ไปจะให้เขากับสคูร์โดสองคนขนไปก็ดูจะเป็นงานลำบากเอาการ แต่เพราะสถานที่ที่จะให้ไปส่งดันเป็นบ้านของหัวหน้ายากุซ่าแถบนี้ เกิดเขาตัดสินใจเอาเองโดยพลการ ดีไม่ดีอาจจะทำให้เป็นเรื่องได้ คิดได้ดังนั้นรัตติกรก็หันไปถามคนหน้าดุตาดุข้างหลังว่าจะเอายังไง
“ไม่ต้อง ฉันแบกไปเอง ใส่กล่องใหญ่ๆมาก็พอจะได้แบกง่ายๆหน่อย”เสียงขรึมตอบกลับทันควัน ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการเช่นนั้นรัตติกรก็ไม่ขัดความประสงค์ หนุ่มชาวไทยหันกลับไปทางเคาท์เตอร์แล้วบอกความต้องการของตนเองออกไปแล้วก็ออกมายืนรอให้พนักงานแพคหนังสือลงกล่องให้
“นายเข้าไปสั่งอะไรในร้านก่อนเลยแล้วกัน ฉันจะเอาของไปเก็บที่รถ เดี๋ยวจะตามไปทีหลัง”สคูร์โดมองปริมาณกล่องหนังสือที่เริ่มกองสูงขึ้นเรื่อยๆแล้วแทบอยากจะกุมขมับ ทำไมหัวหน้าบอดี้การ์ดอย่างเขาต้องมาคอยป็นเบ๊ขนของให้ของเล่นของรักของเจ้านายตัวเองด้วยวะเนี่ย?
“ไม่มีอะไรให้ผมช่วยจริงเหรอครับ”
“ช่วยไปนั่งรอดีๆอย่าก่อปัญหาอะไรก็พอ แล้วอย่าหายไปไหนซะล่ะ ดอนให้อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น อย่าลืมสถานะตัวเองในตอนนี้ว่านายเป็นคนของเวสเปอร์แล้ว ระวังตัวดีๆด้วย”พูดเหมือนสอนเล็กน้อยสคูร์โดก็รับเอากล่องหนังสือทั้งหลายขึ้นมาแบกบนบ่าด้วยท่าทีมั่นคงจนน่าเหลือเชื่อ เรื่องน้ำหนักไม่ต้องพูดถึง แค่ปริมาณกล่องก็น่ากลัวว่าจะขนไปยังไงหมดไหว แต่บอดี้การ์ดคนนี้กลับยกเทินขึ้นบ่าสูงเรื่อยๆราวกับกล่องที่ยกอยู่เป็นเพียงดัมเบลยกน้ำหนักเฉยๆเท่านั้น
ทั้งคู่เดินออกไปจากร้านพร้อมกับสายตาที่แทบจะถลนออกจากเบ้าของคนรอบข้าง ใครจะไปคิดว่าที่ฟรานบอกให้อีกฝ่ายใช้แรงช้างสารช่วยเขาจะออกมาในรูปแบบนี้...
ถ้าพูดถึงเรื่องพลังกำลังล่ะก็ ตั้งแต่เกิดมารัตติกรยังไม่เคยเห็นใครที่แข็งแกร่งขนาดสคูร์โดมาก่อน แน่ล่ะว่าตัวเอกในนิยายหรือเทพปกรนัมทั้งหลายที่เขาเคยอ่านก็มีการกล่าวถึงคนจำพวกนี้ไม่ใช่น้อย แต่พอมาเห็นเองกับตาจริงๆถึงได้รู้ว่าทำไมจอมพลังพวกนั้นถึงได้กลายเป็นที่เทิดทูนขนาดนั้น
ความสามารถแบบนี้ ต้องแลกมาด้วยอะไรกันนะ?
รัตติกรสงสัยในใจแต่ก็ไม่คิดจะไถ่ถามออกมา เขาเดินนำออกจากร้านแล้วช่วยเปิดประตูอำนวยความสะดวกให้สคูร์โด จากนั้นก็นัดแนะสถานที่กับอีกฝ่ายอีกที แล้วหนุ่มชาวไทยก็เข้าไปนั่งรอในร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามอย่างว่านอนสอนง่าย
ทันทีที่เปิดประตูร้าน กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟก็เข้ามาโอบล้อมรอบตัวราวกับเป็นการต้อนรับลูกค้าด่านแรก เสียงทักทายของพนักงานดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่แขวนเอาไว้เหนือประตูไม้บานสวย อากาศในร้านอบอุ่นกรุ่นกลิ่นหอมบางๆชวนให้สงบใจ คลอไปกับเพลงบรรเลงเบาๆที่เปิดเอาไว้เพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในนี้ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนัก รัตติกรมองสำรวจไปทั่วร้าน จดจำตำแหน่งต่างๆพร้อมทั้งกล้องวงจรปิดสองสามตัวแล้วค่อยเดินไปยังเคาท์เตอร์เพื่อเลือกสั่งเครื่องดื่มที่ตัวเองต้องการ
“เอาเซทคุณกระต่ายครับ”รัตติกรสั่งเมนูแนะนำที่เห็นขึ้นป้ายไว้หน้าร้านด้วยสีหน้าเฉยชา ผิดกับพนักงานหนุ่มคนรับรายการที่ผงกหัวขึ้นมองเขาทันควันที่ได้ยินคำสั่ง
“อ่ะ เอ่อ...เซทคุณกระต่าย เป็นโกโก้ร้อนท็อปปิ้งมาชเมโล่กับวิปครีมราดซอสบัตเตอร์หนึ่งแก้วกับเค้กคุณกระต่ายในสวนกุหลาบนะครับ”พนักงานหนุ่มเอ่ยถึงรายละเอียดว่าในเซทคุณกระต่ายที่ว่ามีอะไรบ้างเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าลูกค้าคนนี้ไม่ได้เผลอสั่งอะไรผิดไป
ก็นั่นมันเป็นเซทสำหรับสาวๆมอปลายโดยเฉพาะ แถมยังตกแต่งทั้งเครื่องดื่มและขนมเค้กเป็นรูปกระต่ายน้อยสุดบ้องแบ๊ว ใครจะไปคิดว่าคนแรกที่กล้าสั่งเมนูนี้กลับเป็นหนุ่มหน้าสวยที่มาร้านกาแฟคนเดียวแบบนี้กัน? คนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วได้ยินว่ารัตติกรสั่งอะไรถึงกับหันกลับมามองเป็นแถว
“ใช่ครับ โกโก้ร้อนขอเป็นแบบไม่ใส่น้ำตาลนะครับ”หนุ่มชาวไทยที่ไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตายังยืนนิ่งหน้าตายอยู่หน้าเครื่องคิดเงิน ยืนยันเจตนาว่าเขาจะเอาไอ้เซทคุณกระต่ายนี่แหละไม่ผิดแน่นอน
“เซทคุณกระต่าย โกโก้ร้อนเป็นแบบไม่ใส่น้ำตาลนะครับ ทั้งหมดหนึ่งรายการ ห้าร้อยเยนครับผม”รัตติกรจ่ายเงินแล้วเดินไปยืนรอตรงจุดรับอาหารและเครื่องดื่ม ช่วงเวลานี้คนในร้านยังไม่มาก พนักงานหนุ่มผู้อัธยาศัยดีเลยเดินไปชวนรัตติกรคุยระหว่างรออยู่เฉยๆ
“สั่งไปให้คุณแฟนเหรอครับ?”
“ครับ?”ดวงตาสีน้ำตาลไหม้เรียวสวยช้อนมองขึ้นเพราะตอนแรกเจ้าตัวก้มหน้าลงอ่านโฆษณาที่แปะเอาไว้บนเคาท์เตอร์ ใบหน้าสวยที่อยู่ๆก็เงยขึ้นสบทำเอาคุณพนักงานหนุ่มเผลอใจเต้นไปเล็กน้อย
ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร แต่ตาเรียวสวยเป็นประกาย รับกับโครงหน้าได้รูปและผิวนวลเนียน มีริมฝีปากสีแดงอ่อนๆแต่งแต้มสีสันเล็กน้อย ดูอย่างไรก็ต้องให้คำนิยายกับใบหน้าแบบนี้ว่าสวยคำเดียวเท่านั้น
“เซทคุณกระต่ายน่ะครับ”พนักงานหนุ่มบอกหัวเรื่องเพิ่มขึ้นอีกนิดเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร
“เปล่าครับ ผมสั่งกินเอง”หนุ่มหน้าสวยยังคงตอบกลับและยอมรับหน้าตายว่าเขานี่แหละสั่งเจ้าเมนูสาวน้อยนั่นจริงๆ รัตติกรเห็นสายตาตกใจของอีกฝ่ายก็ค่อยนึกได้ว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่ผู้ชายต้องรักษามาดชายหนุ่มผู้เคร่งขรึมกันสุดฤทธิ์ ไอ้การที่ผู้ชายคนเดียวจะเข้ามาสั่งเมนูแบบนี้จึงถือเป็นของแปลกอยู่ไม่ใช่น้อยจริงๆนั่นแหละ
แต่เขาไม่ใช่คนญี่ปุ่นนี่นา...อยากกินอะไรทำไมต้องอดกลั้นที่จะไม่สั่งของที่อยากกินด้วยล่ะ?
“ฮะฮะ หายากนะครับเนี่ยที่ผู้ชายมาคนเดียวแบบคุณจะสั่งเมนูแบบนี้”
“ผมไม่ชอบอดทนกับอะไรที่ตัวเองอยากได้นี่ครับ”
“เห...ประเภทเดียวกับผมเลยสิเนี่ย...”เสียงทุ้มระรื่นแลดูน่าฟังเสียงหนึ่งดังแรกขึ้นจากเบื้องหลัง บ่งบอกให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนที่ยืนฟังบทสนทนาของเขากับพนักงานหนุ่มเมื่อครู่อยู่
พอหันกลับไปมอง สิ่งแรกที่สะดุดตาคือผมยาวสีเงินสว่างที่ที่ยาวเคลียบ่าลงมาถึงเอว เจ้าของประโยคเมื่อครู่นั้นอยู่ในชุดเสื้อโค้ทสีขาวครีมยี่ห้อดัง บริเวณลำคอบุเฟอร์สีน้ำตาลอ่อนดูนุ่มนิ่มอุ่นสบาย แต่เมื่อได้ประจันหน้าจริงๆ รัตติกรถึงกับใจเต้นผิดจังหวะทันควัน
ตัวตาสีฟ้าไอซ์บลูคู่สวยที่มองสบโค้งขึ้นน้อยๆรับกับรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้ ร่างที่สูงกว่าเขาเดือบคืบแผ่รังสีเย็นชาบางอย่างออกมาชวนให้บรรยากาศแถวนั้นเย็นขึ้นมาเล็กน้อยแม้เจ้าของร่างจะแย้มยิ้มอยู่ก็ตาม
เขาจะจำผิดไปได้อย่างไร....
ภาพในแฟ้มเก็บข้อมูลที่ลาร์เฟียร์บังคับให้เขาอ่านและจำเอาไว้นั้นมีภาพของคนๆนี้อยู่เยอะเป็นพิเศษ นี่คือศัตรูอันดับหนึ่งของเวสเปอร์แฟมมิลี่ และประวัติยาวเป็นหางว่าวของคนๆนี้ก็ยังประทับอยู่ในสมองของรัตติกรอย่างแจ่มชัด
โซอาห์เร่ โนวาห์...หัวหน้าของโนวาห์แฟมิลี่!!!_______________________________________________________________________
ก่อนอื่นก็ขอกล่าวว่ากลับมาแล้วนะครับ
หายไปจะปีกว่าๆแล้ว ทำให้ทุกคนต้องรอนาน ต้องขอโทษจริงๆนะครับ ช้ากว่าเวลาที่สัญญาไว้เป็นเดือนเลย แง... ;w;
ตอนนี้เรียนจบแล้วครับ กำลังรออยู่ว่าทุนการศึกษาที่ขอไปจะได้หรือเปล่า เรียนจบแล้วก็มีเรื่องให้วุ่นวายหลายเรื่องเหมือนกัน แต่สิ่งที่สัมผัสได้มากที่สุดคือความรู้สึกที่ว่าเราไม่ใช่นักศึกษาแล้วนี่สิครับ
อยากจะอ้อนใครก็ทำได้ยากขึ้นแล้วแฮะ แย่จริงๆ
เป็นผู้ใหญ่ขึ้นจากตอนแรกที่แต่งนิยายเรื่องนี้เยอะเลย จำได้ว่าตอนที่ลงตอนแรกเพิ่งจบม.5เอง นี่จบมหาลัยแล้วเรื่องยังไม่จบเลยเหวย (เอาลังหนังสือของรัตติกรปาหัว ถ้านิยายเป็นของดองแล้วเค็มได้ ปริมาณโซเดียมของนิยายเรื่องนี้กินเข้าไปต้องเป็นพิษต่อไตแน่ๆเลย...)
วุ้ย กลับเข้าเรื่อง ห่างมือไปเป็นปีๆกลับมาแต่งอีกทีเป็นอะไรที่ยากอยู่เหมือนกันนะครับ ผมลบแล้วแก้หลายรอบมากเพื่อพยายามดึงมาตรฐานเดิมๆของตัวเองกลับมา แต่จบตอนนี้แล้วก็รู้สึกว่ายังทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยน้า
ตอนต่อไปจะทำให้ดีกว่าเดิมนะครับ ห่างหายไปเป็นปีอาจทำให้หลายๆคนลืมเนื้อเรื่องตอนเก่าๆแล้ว ผมเลยทำสรุปช่วงแรกที่หายไปมาให้ด้วย หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ
แล้วเจอกันใหม่นะครับ ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้นะครับ ขอบคุณมากจริงๆน้า
Namioto Yo