ตอนที่ 5 บ่ายวันศุกร์
เป็นปรกติทุกวันศุกร์โรงเรียนของต่อพงศ์จะเลิกครึ่งวัน เนื่องจากโรงเรียนถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร นักเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องจึงสามารถกลับบ้านได้หลังคาบเรียนชุมนุม ดังนั้นช่วงบ่ายวันศุกร์จึงกลายเป็นสวรรค์สำหรับนักเรียนในโรงเรียน
เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม ต่อศักดิ์กับจักรกฤษกลับมาเรียนห้องเดียวกันเหมือนเดิม นักเรียนในห้องหลายคนเปลี่ยนคำนำหน้าจากเด็กชายกลายเป็นคำว่านายแทน หลายคนเพิ่งไปถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนมาจึงเอามาอวดเพื่อนในห้องอย่างสนุกสนาน ใบหน้าของต่อศักดิ์เริ่มมีสิวขึ้น ร่างกายกำลังแตกเนื้อหนุ่มอย่างชัดเจน เสียงห้าวขึ้น แม้ว่าต่อศักดิ์จะเข้าเรียนก่อนเกณฑ์แต่ร่างกายกลับกลมกลืนกับนักเรียนในห้อง
หลังจากแม่ของเขาเสียชีวิตไปก็ไม่มีใครเข้ามาควบคุมชีวิตของเขาอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหนังสือหรือการกลับบ้านให้เป็นเวลา ชีวิตของเขาเป็นอิสระกว่าเมื่อก่อนเยอะ แต่ลึกลงไปข้างในเขากลับอยากมีใครสักคนมาควบคุมชีวิตเพื่อให้เขาไม่เดินหลงทาง
“คิง วันศุกร์นี้ไปไหนวะ” จักรกฤษพูดพลางขยับแว่นที่เพิ่งตัดมาใหม่ อาทิตย์ก่อนเขาเพิ่งบ่นกับต่อศักดิ์ว่ามองกระดานดำหน้าชั้นเรียนไม่ชัด เมื่อจักรกฤษไปตัดแว่นสายตามาใส่ ต่อศักดิ์รู้สึกว่าหน้าตาของจักรกฤษแปลกไป อาจเป็นเพราะไม่ชินกับการเห็นแว่นอยู่บนใบหน้าของจักรกฤษกระมัง และอีกอย่างที่แปลกไปคือจักรกฤษเปลี่ยนมาใช้สรรพนามแทนผู้ที่คุยด้วยว่า ‘คิง’ และแทนตัวเองว่า ‘ฮ่า’ ซึ่งเป็นภาษาเหนือ หากแปลเป็นภาษากลางคงได้อารมณ์ประมาณคำว่า ‘นาย’ บวกกับ ‘มึง’
“ไม่รู้วะ ยังไม่ได้คิดว่าจะไปไหน วันนี้เพิ่งวันอังคารเองนะ” ต่อศักดิ์พูดพลางทำแบบฝึกหัดวิชาพระพุทธศาสนา เหมือนกับนักเรียนคนอื่นในห้อง ซึ่งอาจารย์ผู้สอนเข้ามาสั่งงานแล้วหายออกจากห้องไปเป็นเวลานาน เขาจำได้ว่ามีนักเรียนในห้องพูดว่าถ้าสอนหนังสือแบบนี้สู้นั่งอ่านเองอยู่ที่บ้านคงมีค่าเท่ากัน
“ไปบ้านไอ้นัทกันเปล่า” จักรกฤษพูดแล้วลงมือเขียนแบบฝึกหัดบ้าง
“นัทไหนวะ”
“นัทวุฒิไง คนที่ชอบนั่งริมหน้าต่างตรงโน้นนะ” จักรกฤษชี้นิ้วไปที่โต๊ะเรียนหลังห้อง
“มีอะไรเหรอที่นั้นเหรอวะ”
“แล้วจะไปไหมละ” จักรกฤษถาม
“บ้านอยู่แถวไหนละ” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นลูบปลายคาง หันหน้ามาถาม
“แถวบ้างคิงนะแหละ แต่อยู่คนละซอยกัน” จักรกฤษตอบ ต่อศักดิ์หันหลังไปมองนัทวุฒิอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเคยเห็นหน้าของนัทวุฒิมาก่อน สงสัยอาจเห็นแถวบ้านละมั้ง ต่อศักดิ์ครุ่นคิด
“นายไม่รู้จริงเหรอว่าที่เขาไปทำไมกัน” จักรกฤษหัวเราะ
“ไม่รู้จริงๆ” ต่อศักดิ์ส่ายหน้า ขณะเดียวกันรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
“รถไฟเริ่มวิ่งแล้ว” จักรกฤษพูดด้วยความดีใจ หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
“เสียเวลาไปตั้งสองชั่วโมงกว่า” ต่อศักดิ์มองนาฬิกาข้อมือ
เสียงกริ่งดังขึ้นบอกว่าหมดคาบเรียนชุมนุม นักเรียนหลายคนเดินออกจากรั้วโรงเรียนกันเป็นกลุ่ม กลางสนามหน้าโรงเรียนนักศึกษาวิชาทหารกำลังนั่งเป็นแถวอย่างระเบียบเรียบร้อย นักศึกษาวิชาทหารหลายนายมีเหงื่อบนหน้าผากอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าแสงแดดคงจะร้อนมากพอสมควร
“ไปเถอะ เร็วๆ” จักรกฤษพูดเร่ง ต่อศักดิ์กำลังนั่งใส่รองเท้าผ้าใบอยู่ที่ขั้นบันไดหน้าตึกสาม ซึ่งเป็นตึกเรียนวิทยาศาสตร์ ตรงชั้นล่างด้านซ้ายสุดเป็นห้องอาจารย์ฝ่ายปกครอง ต่อศักดิ์ยกแขนขึ้นมองดูนาฬิกาข้อมือ
“เร็วดิ เดี๋ยวอาจารย์ฝ่ายปกครองออกมาเห็นว่าผมยาวแล้วเรียกไปทำโทษจะทำไง” จักรกฤษนิ่วหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นลูบผม
“เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว” ต่อศักดิ์ลุกขึ้นยืน
“อืม” จักรกฤษเดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหลบหนีความผิด ต่อศักดิ์ยกกระเป๋าขึ้นสะพายหลัง แล้วเดินตาม
“วันนี้ไปไหนวะ” ต่อศักดิ์ถามเมื่อเดินผ่านหน้าเสาธง
“บ้านไอ้นัทไง” จักรกฤษหันหน้าไปตอบ
บ้านของนัทวุฒิอยู่คนละซอยกับบ้านของต่อศักดิ์เหมือนอย่างที่จักรกฤษเคยพูดเอาไว้ในคาบเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ดังนั้นการเดินทางมาที่บ้านของนัทวุฒิจึงไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก บริเวณหน้าบ้านของนัทวุฒิเป็นกำแพงสีขาว ปลูกต้นไม้ไว้รอบบ้าน พื้นที่หนึ่งในสามเป็นสนามหญ้า ซึ่งในขณะนั้นมีรถจักรยานยนต์สี่คันจอดอยู่บนนั้น
“คนเยอะนะเนี่ย” ต่อศักดิ์พูดเมื่อเดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้าน หากมองผ่านหลังบ้านของนัทวุฒิจะมองเห็นหน้าบ้านของต่อศักดิ์พอดิบพอดี
“คงมีแต่คนอยากรู้ว่าเป็นยังไง” จักรกฤษพูดพลางหัวเราะ ก่อนผลักประตูเข้าไปในบ้าน
“อยากรู้อะไรกันเหรอ” ต่อศักดิ์ถามด้วยความสงสัย
“เอาน่า” คงกลายเป็นคำพูดติดปากของจักรกฤษไปเสียแล้ว
ภายในบ้านมีผู้ชายสวมชุดนักเรียนเดินไปเดินมาราวกับมีงานเลี้ยงฉลอง ซึ่งทุกคนเป็นนักเรียนระดับชั้นเดียวกับเขา บางคนต่อศักดิ์รู้สึกคุ้นหน้าเพราะเคยเรียนห้องเดียวกันมาก่อน เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในห้องรับแขกขนาดไม่ใหญ่ ในห้องนั้นมีโซฟาหนังสีดำหันหน้าเข้ากับโทรทัศน์ ทั้งสองด้านของชั้นวางโทรทัศน์มีแจกันขนาดใหญ่ ภายในแจกันเป็นดอกไม้ปลอมประดับให้ความสวยงาม
“รอแปบหนึ่งนะ” นัทวุฒิ ผู้เป็นเจ้าบ้านนั่งอยู่บนโซฟาพูดขึ้น
“อืม” จักรกฤษพยักหน้าแล้วนั่งลงบนพื้น ต่อศักดิ์นั่งตาม
“มาแล้ว มาแล้ว” เสียงนัทวุฒิดังขึ้น ทุกคนในห้องหันไปมองที่ประตูรั้ว ชายคนหนึ่งสวมชุดพละเดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้าน
“ไหนวีดีโอ” เมื่อชายคนนั้นเดินเข้ามาในห้องรับแขก นัทวุฒิลุกขึ้นเดินไปถามอย่างรวดเร็ว
“อยู่นี่ไง” ชายคนนั้นพูดพร้อมยื่นม้วนวีดีโอสีดำให้นัทวุฒิ นัทวุฒิคว้าวีดีโอมามองแล้วเดินไปที่ชั้นวางโทรทัศน์ เปิดกระจกตรงชั้นวางโทรทัศน์เผยให้เห็นเครื่องเล่นวีดีโอ นัทวุฒิดันม้วนวีดีโอใส่เข้าไปในเครื่องเล่นวีดีโอแล้วกดปุ่มเล่น ทุกคนภายในบ้านนั่งมองจอโทรทัศน์อย่างใจจดใจจ่อ
“ดูไม่ได้วะ สงสัยหัวอ่านสกปรก ยังไม่ได้ล้าง” นัทวุฒิพูดเมื่อโทรทัศน์ส่งเสียงซ่า ทุกคนภายในห้องส่งเสียงเอะอะโวยวาย
“วันนี้จะได้ดูหรือเปล่าเนี่ย” เสียงใครสักคนตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด
“ลองเอาเครื่องเล่นวีดีโอออกมาดูหน่อยดิ” จักรกฤษพูดขึ้น
“มึงซ่อมเป็นเหรอ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามด้วยความสงสัย จักรกฤษพยักหน้าอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก
“คิงมีแบงค์ยี่สิบไหม” จักรกฤษถาม ต่อศักดิ์หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา ดึงธนบัตรใบสีเขียวใบหนึ่งให้เขาไป
“ขอไขควงหน่อยสิ” จักรกฤษลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างนัทวุฒิ ต่อศักดิ์เดินตามไปด้วยความอยากรู้
นัทวุฒิเดินไปหยิบไขควงมาให้จักรกฤษ ต่อศักดิ์คว้าไขควงมาหมุนน๊อตทั้งสี่ตัวบนเครื่องเล่นวีดีโอ จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์เบาๆ เวลาที่ต่อศักดิ์หมุนผิดทาง เมื่อถอดฝาเครื่องเล่นวีดีโอออกจักรกฤษเอาธนบัตรยี่สิบไปวางจ่อที่หัวอ่าน แล้วให้ต่อศักดิ์กดปุ่มเล่น หัวอ่านหมุนไปอย่างเชื่องช้า
“มันจะดีขึ้นไหม” ต่อศักดิ์เงยหน้าขึ้นมาถาม
“ไม่แน่ใจวะ” จักรกฤษยิ้มเจื่อนพลางสบตาต่อศักดิ์
“ลองเอาวีดีโอใส่เข้าไปดูไหม ว่าดีขึ้นหรือเปล่า” นัทวุฒิเสนอพร้อมกับคว้าวีดีโอมาใส่แล้วกดปุ่มเล่นอีกครั้งหนึ่ง
ภาพชายหญิงชาวต่างชาติเปลือยกายนอนกอดกันบนเตียงนอนโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอโทรทัศน์ ชายคนนั้นส่งเสียงครางอย่างไม่ได้ศัพท์ ทุกคนจ้องมองตาค้าง แม้ว่าต่อศักดิ์จะไม่เคยดูหนังประเภทนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่เขาเข้าใจได้ในทันทีว่ามันคือวีดีโอโป๊
“มึงชวนกูมาดูวีดีโอโป๊เหรอ” ต่อศักดิ์ถาม จักรกฤษหัวเราะหน้าแดง
“สนุกหรือเปล่าละ” จักรกฤษถาม
“ดูบ่อยละสิถึงได้รู้วิธีทำให้หัวอ่านดีขึ้น” ต่อศักดิ์หัวเราะ
“ไอ้บ้า” จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์
“เงียบหน่อยคนจะดูหนังโว้ย” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังออกมาจากในกลุ่ม เขาสองคนจึงย้ายไปนั่งตรงที่เดิม
“แต่มึงเก่งจังวะ” ต่อศักดิ์ชม
“ขอบใจ” จักรกฤษหันหน้าไปสบตากับต่อศักดิ์
“มิน่าตอนนั้นทุกคนถึงได้ไปกระจุกอยู่ที่บ้านหลังนั้น” ต่อศักดิ์พูดเสียงดังแข่งกับเสียงสายฝนกระทบหน้าต่าง
“นายมันไร้เดียงสาจริงๆ เลย” จักรกฤษพูดพร้อมกับยื่นมือไปตบศีรษะของต่อศักดิ์เบาๆ แล้วหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
“ใครจะไปกร้านโลกกร้านชีวิตเหมือนนายละ” ต่อศักดิ์ประชด
“ไอ้บ้า” จักรกฤษยกมือขึ้นจะตบศีรษะต่อพงศ์ แต่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน
“ขอโทษนะครับ จัดที่นอนครับ” พนักงานรถไฟคนหนึ่งพูดพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อย ต่อศักดิ์และจักรกฤษพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นยืนปล่อยให้พนักงานรถไฟทำงาน