"รถไฟสายความทรงจำ" -
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "รถไฟสายความทรงจำ" -  (อ่าน 62302 ครั้ง)

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :impress:

สู้ ๆ นะ

เป็นกำลังใจให้จ้า...

 o15

aumzaa

  • บุคคลทั่วไป



ชอบครับผม......
 

มันดูเศร้าๆๆ เหงาๆๆ....ในใจนะครับ ....


รอตอนต่อปายครับ

[attachment deleted by admin]

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 5 บ่ายวันศุกร์

เป็นปรกติทุกวันศุกร์โรงเรียนของต่อพงศ์จะเลิกครึ่งวัน เนื่องจากโรงเรียนถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร นักเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องจึงสามารถกลับบ้านได้หลังคาบเรียนชุมนุม ดังนั้นช่วงบ่ายวันศุกร์จึงกลายเป็นสวรรค์สำหรับนักเรียนในโรงเรียน

เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม ต่อศักดิ์กับจักรกฤษกลับมาเรียนห้องเดียวกันเหมือนเดิม นักเรียนในห้องหลายคนเปลี่ยนคำนำหน้าจากเด็กชายกลายเป็นคำว่านายแทน หลายคนเพิ่งไปถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนมาจึงเอามาอวดเพื่อนในห้องอย่างสนุกสนาน ใบหน้าของต่อศักดิ์เริ่มมีสิวขึ้น ร่างกายกำลังแตกเนื้อหนุ่มอย่างชัดเจน เสียงห้าวขึ้น แม้ว่าต่อศักดิ์จะเข้าเรียนก่อนเกณฑ์แต่ร่างกายกลับกลมกลืนกับนักเรียนในห้อง

หลังจากแม่ของเขาเสียชีวิตไปก็ไม่มีใครเข้ามาควบคุมชีวิตของเขาอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหนังสือหรือการกลับบ้านให้เป็นเวลา ชีวิตของเขาเป็นอิสระกว่าเมื่อก่อนเยอะ แต่ลึกลงไปข้างในเขากลับอยากมีใครสักคนมาควบคุมชีวิตเพื่อให้เขาไม่เดินหลงทาง

“คิง วันศุกร์นี้ไปไหนวะ” จักรกฤษพูดพลางขยับแว่นที่เพิ่งตัดมาใหม่ อาทิตย์ก่อนเขาเพิ่งบ่นกับต่อศักดิ์ว่ามองกระดานดำหน้าชั้นเรียนไม่ชัด เมื่อจักรกฤษไปตัดแว่นสายตามาใส่ ต่อศักดิ์รู้สึกว่าหน้าตาของจักรกฤษแปลกไป อาจเป็นเพราะไม่ชินกับการเห็นแว่นอยู่บนใบหน้าของจักรกฤษกระมัง และอีกอย่างที่แปลกไปคือจักรกฤษเปลี่ยนมาใช้สรรพนามแทนผู้ที่คุยด้วยว่า ‘คิง’ และแทนตัวเองว่า ‘ฮ่า’ ซึ่งเป็นภาษาเหนือ หากแปลเป็นภาษากลางคงได้อารมณ์ประมาณคำว่า ‘นาย’ บวกกับ ‘มึง’

“ไม่รู้วะ ยังไม่ได้คิดว่าจะไปไหน วันนี้เพิ่งวันอังคารเองนะ” ต่อศักดิ์พูดพลางทำแบบฝึกหัดวิชาพระพุทธศาสนา เหมือนกับนักเรียนคนอื่นในห้อง ซึ่งอาจารย์ผู้สอนเข้ามาสั่งงานแล้วหายออกจากห้องไปเป็นเวลานาน เขาจำได้ว่ามีนักเรียนในห้องพูดว่าถ้าสอนหนังสือแบบนี้สู้นั่งอ่านเองอยู่ที่บ้านคงมีค่าเท่ากัน

“ไปบ้านไอ้นัทกันเปล่า” จักรกฤษพูดแล้วลงมือเขียนแบบฝึกหัดบ้าง

“นัทไหนวะ”

“นัทวุฒิไง คนที่ชอบนั่งริมหน้าต่างตรงโน้นนะ” จักรกฤษชี้นิ้วไปที่โต๊ะเรียนหลังห้อง

“มีอะไรเหรอที่นั้นเหรอวะ”

“แล้วจะไปไหมละ” จักรกฤษถาม

“บ้านอยู่แถวไหนละ” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นลูบปลายคาง หันหน้ามาถาม

“แถวบ้างคิงนะแหละ แต่อยู่คนละซอยกัน” จักรกฤษตอบ ต่อศักดิ์หันหลังไปมองนัทวุฒิอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเคยเห็นหน้าของนัทวุฒิมาก่อน สงสัยอาจเห็นแถวบ้านละมั้ง ต่อศักดิ์ครุ่นคิด

“นายไม่รู้จริงเหรอว่าที่เขาไปทำไมกัน” จักรกฤษหัวเราะ

“ไม่รู้จริงๆ” ต่อศักดิ์ส่ายหน้า ขณะเดียวกันรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

“รถไฟเริ่มวิ่งแล้ว” จักรกฤษพูดด้วยความดีใจ หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

“เสียเวลาไปตั้งสองชั่วโมงกว่า” ต่อศักดิ์มองนาฬิกาข้อมือ

 
เสียงกริ่งดังขึ้นบอกว่าหมดคาบเรียนชุมนุม นักเรียนหลายคนเดินออกจากรั้วโรงเรียนกันเป็นกลุ่ม กลางสนามหน้าโรงเรียนนักศึกษาวิชาทหารกำลังนั่งเป็นแถวอย่างระเบียบเรียบร้อย นักศึกษาวิชาทหารหลายนายมีเหงื่อบนหน้าผากอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าแสงแดดคงจะร้อนมากพอสมควร

“ไปเถอะ เร็วๆ” จักรกฤษพูดเร่ง ต่อศักดิ์กำลังนั่งใส่รองเท้าผ้าใบอยู่ที่ขั้นบันไดหน้าตึกสาม ซึ่งเป็นตึกเรียนวิทยาศาสตร์ ตรงชั้นล่างด้านซ้ายสุดเป็นห้องอาจารย์ฝ่ายปกครอง ต่อศักดิ์ยกแขนขึ้นมองดูนาฬิกาข้อมือ

“เร็วดิ เดี๋ยวอาจารย์ฝ่ายปกครองออกมาเห็นว่าผมยาวแล้วเรียกไปทำโทษจะทำไง” จักรกฤษนิ่วหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นลูบผม

“เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว” ต่อศักดิ์ลุกขึ้นยืน

“อืม” จักรกฤษเดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหลบหนีความผิด ต่อศักดิ์ยกกระเป๋าขึ้นสะพายหลัง แล้วเดินตาม

“วันนี้ไปไหนวะ” ต่อศักดิ์ถามเมื่อเดินผ่านหน้าเสาธง

“บ้านไอ้นัทไง” จักรกฤษหันหน้าไปตอบ

บ้านของนัทวุฒิอยู่คนละซอยกับบ้านของต่อศักดิ์เหมือนอย่างที่จักรกฤษเคยพูดเอาไว้ในคาบเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ดังนั้นการเดินทางมาที่บ้านของนัทวุฒิจึงไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก บริเวณหน้าบ้านของนัทวุฒิเป็นกำแพงสีขาว ปลูกต้นไม้ไว้รอบบ้าน พื้นที่หนึ่งในสามเป็นสนามหญ้า ซึ่งในขณะนั้นมีรถจักรยานยนต์สี่คันจอดอยู่บนนั้น

“คนเยอะนะเนี่ย” ต่อศักดิ์พูดเมื่อเดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้าน หากมองผ่านหลังบ้านของนัทวุฒิจะมองเห็นหน้าบ้านของต่อศักดิ์พอดิบพอดี

“คงมีแต่คนอยากรู้ว่าเป็นยังไง” จักรกฤษพูดพลางหัวเราะ ก่อนผลักประตูเข้าไปในบ้าน

“อยากรู้อะไรกันเหรอ” ต่อศักดิ์ถามด้วยความสงสัย

“เอาน่า” คงกลายเป็นคำพูดติดปากของจักรกฤษไปเสียแล้ว

ภายในบ้านมีผู้ชายสวมชุดนักเรียนเดินไปเดินมาราวกับมีงานเลี้ยงฉลอง ซึ่งทุกคนเป็นนักเรียนระดับชั้นเดียวกับเขา บางคนต่อศักดิ์รู้สึกคุ้นหน้าเพราะเคยเรียนห้องเดียวกันมาก่อน เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในห้องรับแขกขนาดไม่ใหญ่ ในห้องนั้นมีโซฟาหนังสีดำหันหน้าเข้ากับโทรทัศน์ ทั้งสองด้านของชั้นวางโทรทัศน์มีแจกันขนาดใหญ่ ภายในแจกันเป็นดอกไม้ปลอมประดับให้ความสวยงาม

“รอแปบหนึ่งนะ” นัทวุฒิ ผู้เป็นเจ้าบ้านนั่งอยู่บนโซฟาพูดขึ้น

“อืม” จักรกฤษพยักหน้าแล้วนั่งลงบนพื้น ต่อศักดิ์นั่งตาม

“มาแล้ว มาแล้ว” เสียงนัทวุฒิดังขึ้น ทุกคนในห้องหันไปมองที่ประตูรั้ว ชายคนหนึ่งสวมชุดพละเดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้าน

“ไหนวีดีโอ” เมื่อชายคนนั้นเดินเข้ามาในห้องรับแขก นัทวุฒิลุกขึ้นเดินไปถามอย่างรวดเร็ว

“อยู่นี่ไง” ชายคนนั้นพูดพร้อมยื่นม้วนวีดีโอสีดำให้นัทวุฒิ นัทวุฒิคว้าวีดีโอมามองแล้วเดินไปที่ชั้นวางโทรทัศน์ เปิดกระจกตรงชั้นวางโทรทัศน์เผยให้เห็นเครื่องเล่นวีดีโอ นัทวุฒิดันม้วนวีดีโอใส่เข้าไปในเครื่องเล่นวีดีโอแล้วกดปุ่มเล่น ทุกคนภายในบ้านนั่งมองจอโทรทัศน์อย่างใจจดใจจ่อ

“ดูไม่ได้วะ สงสัยหัวอ่านสกปรก ยังไม่ได้ล้าง” นัทวุฒิพูดเมื่อโทรทัศน์ส่งเสียงซ่า ทุกคนภายในห้องส่งเสียงเอะอะโวยวาย

“วันนี้จะได้ดูหรือเปล่าเนี่ย” เสียงใครสักคนตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด

“ลองเอาเครื่องเล่นวีดีโอออกมาดูหน่อยดิ” จักรกฤษพูดขึ้น

“มึงซ่อมเป็นเหรอ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามด้วยความสงสัย จักรกฤษพยักหน้าอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

“คิงมีแบงค์ยี่สิบไหม” จักรกฤษถาม ต่อศักดิ์หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา ดึงธนบัตรใบสีเขียวใบหนึ่งให้เขาไป

“ขอไขควงหน่อยสิ” จักรกฤษลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างนัทวุฒิ ต่อศักดิ์เดินตามไปด้วยความอยากรู้

นัทวุฒิเดินไปหยิบไขควงมาให้จักรกฤษ ต่อศักดิ์คว้าไขควงมาหมุนน๊อตทั้งสี่ตัวบนเครื่องเล่นวีดีโอ จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์เบาๆ เวลาที่ต่อศักดิ์หมุนผิดทาง เมื่อถอดฝาเครื่องเล่นวีดีโอออกจักรกฤษเอาธนบัตรยี่สิบไปวางจ่อที่หัวอ่าน แล้วให้ต่อศักดิ์กดปุ่มเล่น หัวอ่านหมุนไปอย่างเชื่องช้า

“มันจะดีขึ้นไหม” ต่อศักดิ์เงยหน้าขึ้นมาถาม

“ไม่แน่ใจวะ” จักรกฤษยิ้มเจื่อนพลางสบตาต่อศักดิ์

“ลองเอาวีดีโอใส่เข้าไปดูไหม ว่าดีขึ้นหรือเปล่า” นัทวุฒิเสนอพร้อมกับคว้าวีดีโอมาใส่แล้วกดปุ่มเล่นอีกครั้งหนึ่ง

ภาพชายหญิงชาวต่างชาติเปลือยกายนอนกอดกันบนเตียงนอนโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอโทรทัศน์ ชายคนนั้นส่งเสียงครางอย่างไม่ได้ศัพท์ ทุกคนจ้องมองตาค้าง แม้ว่าต่อศักดิ์จะไม่เคยดูหนังประเภทนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่เขาเข้าใจได้ในทันทีว่ามันคือวีดีโอโป๊

“มึงชวนกูมาดูวีดีโอโป๊เหรอ” ต่อศักดิ์ถาม จักรกฤษหัวเราะหน้าแดง

“สนุกหรือเปล่าละ” จักรกฤษถาม

“ดูบ่อยละสิถึงได้รู้วิธีทำให้หัวอ่านดีขึ้น” ต่อศักดิ์หัวเราะ

“ไอ้บ้า” จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์

“เงียบหน่อยคนจะดูหนังโว้ย” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังออกมาจากในกลุ่ม เขาสองคนจึงย้ายไปนั่งตรงที่เดิม

“แต่มึงเก่งจังวะ” ต่อศักดิ์ชม

“ขอบใจ” จักรกฤษหันหน้าไปสบตากับต่อศักดิ์

“มิน่าตอนนั้นทุกคนถึงได้ไปกระจุกอยู่ที่บ้านหลังนั้น” ต่อศักดิ์พูดเสียงดังแข่งกับเสียงสายฝนกระทบหน้าต่าง

“นายมันไร้เดียงสาจริงๆ เลย” จักรกฤษพูดพร้อมกับยื่นมือไปตบศีรษะของต่อศักดิ์เบาๆ แล้วหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง

“ใครจะไปกร้านโลกกร้านชีวิตเหมือนนายละ” ต่อศักดิ์ประชด

“ไอ้บ้า” จักรกฤษยกมือขึ้นจะตบศีรษะต่อพงศ์ แต่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน

“ขอโทษนะครับ จัดที่นอนครับ” พนักงานรถไฟคนหนึ่งพูดพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อย ต่อศักดิ์และจักรกฤษพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นยืนปล่อยให้พนักงานรถไฟทำงาน

napho

  • บุคคลทั่วไป
:m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:
สนุกมากครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
 :m18: :m18:จิงโจ้ :m18: :m18:
  :ped149: :ped149: :110011: :110011:  :ped149: :ped149:
 :catrun:
:catrun:

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :impress:

เป็นกำลังใจให้นะครับ

รออ่านต่อไปด้วย มาต่อไว ๆ นะ

 :a10:

aum

  • บุคคลทั่วไป
มารอต่อครับผม :a9:

jammy

  • บุคคลทั่วไป
เเล้วจะเป็นไงต่อไปเนี่ย :a1:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ตามอ่านติดขอบจอ อิอิ

รอต่อน้า  โจ้ สู้ๆ
 :a2:  :a2:  :a2:  :a2:  :a2:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
.............ปัจจุบันจากไป.......ที่เหลือไว้คือความทรงจำ.......... :m2: :m2:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 6 ค่ายลูกเสือ

ย่างเข้าเดือนมกราคม อากาศเริ่มหนาวเย็นจนมีหมอกลงในตอนเช้า นักเรียนต่างพากันสวมเสื้อกันหนาวของโรงเรียน ซึ่งเป็นสีน้ำเงินเข้มตัดกับแถบสีเหลืองตามสีของสถาบัน หน้าอกด้านขวาเป็นชื่อและนามสกุลปักด้วยด้ายสีเหลือง ช่วงนี้นักเรียกชอบจับกลุ่มกันยืนอยู่กลางแสงแดดเพื่อคลายความหนาวเย็น บางคนต้องยืนถูมือให้เกิดความอบอุ่น

“ทำไมต้องไปเข้าค่ายลูกเสือกันในฤดูหนาวนะ” ต่อศักดิ์บ่นขณะนั่งอยู่ในแถวกลางสนามหน้าโรงเรียน อาจารย์กำลังพูดเรื่องการรักษาสุขภาพในฤดูหนาว เพราะนักเรียนเริ่มเป็นหวัดกันอย่างต่อเนื่อง

“นะสิ น่าเบื่อจริง” จักรกฤษหันหลังมาพูดเสียงสั่นเพราะความหนาว มีไอออกปาก

นักเรียนชั้นมัธยมต้นสวมชุดลูกเสือสามัญสีน้ำตาลทั้งตัว เพราะโรงเรียนมีคาบลูกเสือทุกวันพุธคาบสุดท้าย ความจริงต่อศักดิ์ไม่ชอบชุดลูกเสือเนื่องจากมีเครื่องแต่งกายเยอะ ทำให้ยุ่งยากและเสียเวลานานเวลาแต่งตัว ทว่าตอนนี้เขาเริ่มเปลี่ยนใจไปชอบชุดลูกเสือเสียแล้ว เพราะว่ามันอบอุ่นกว่าชุดนักเรียน

หลังจากช่วงหยุดยาวของวันขึ้นปีใหม่ โรงเรียนจะมีการเข้าค่ายลูกเสือโดยชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามต้องไปเข้าค่ายที่อำเภอแม่ทา ต่อศักดิ์เตรียมสิ่งของที่จำเป็นเอาไว้บ้างแล้ว เพราะทุกปีเขามักลืมเอาของบางอย่างไป กว่าจะรู้สึกตัวก็อยู่ที่ค่ายลูกเสือแล้ว

 

“นายขี้ลืม” จักรกฤษพูดขึ้น

หลังจากพนักงานรถไฟเข้ามาจัดที่นอน เก้าอี้ทั้งสองตัวที่เพิ่งนั่งเมื่อสักครู่ ถูกดึงให้เชื่อมต่อกันจนกลายเป็นเตียงนอนนุ่มๆ แสนสบาย ด้านบนถูกเปิดออกให้สำหรับผู้โดยสารที่นอนชั้นบน ทั้งสองชั้นมีผ้าม่านสีขาวกั้นไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว ตอนนี้เขาสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนเตียงนอนชั้นล่าง ปิดผ้าม่านสนิททำให้ภายในมืดลงเล็กน้อยเพราะไม่มีแสงไฟ ด้านข้างเป็นหน้าต่าง

“นอนชั้นล่างดีวะ มีหน้าต่างให้ด้วย” จักรกฤษพูดแล้วหันหน้าไปมองข้างนอกหน้าต่าง ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่ด้านนอกยังคงมืดสนิท

“เปลี่ยนที่นอนกันไหมละ” ต่อศักดิ์ถามแล้วยิ้ม

“ไม่ละ” จักรกฤษส่ายหน้า

 

นักเรียนสวมชุดลูกเสือนั่งอยู่บนรถสองแถวคันสีฟ้าที่โรงเรียนเหมาให้ไปส่งที่ค่ายลูกเสือ จักรกฤษและต่อศักดิ์อยู่ในหมู่เดียวกันจึงนั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน แต่เขาสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน อาจเป็นเพราะเขาต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อมาเข้าแถวที่สนามหน้าโรงเรียน เลยทำให้ง่วงนอน

เวลาที่รถสองแถวของลูกเสือหมู่หนึ่งขับแซงรถสองแถวของลูกเสืออีกหมู่หนึ่ง นักเรียนจะส่งเสียงเฮอย่างสนุกสนาน

ไม่นานลูกเสือทุกนายเดินทางมาถึงค่ายลูกเสืออย่างปลอดภัย อาจารย์สั่งให้แต่ละหมู่ตั้งเต็นท์ให้เสร็จก่อนเที่ยงวัน เมื่อเวลาเลยสิบเอ็ดโมงไปเล็กน้อย กลางสนามเต็มไปด้วยเต็นท์หลากสีสัน เนื่องจากนักเรียนต้องนำเต็นท์มาเองจึงมีสีที่ไม่เหมือนกัน

หลังจากทานอาหารกลางวัน ทุกคนต้องเดินตามหัวหน้าหมู่เข้าไปเล่นฐานตามที่อาจารย์กำหนดไว้ บางคนเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกสนานจึงมีความกระตือรือร้น แต่สำหรับต่อศักดิ์แล้วเขาไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น เขารู้สึกว่าแต่ละฐานที่ผ่านมาไม่มีอะไรน่าสนุกเลยสักนิดเดียว

เช้าวันที่สองของการเข้าค่ายเป็นการเดินทางไกล ลูกเสือหลายนายหน้าตาไม่สดใส เนื่องจากถูกอาจารย์ปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาออกกำลังกายท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น และเพราะอากาศหนาวจึงทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปอาบน้ำเลยแม้แต่คนเดียว อย่างมากก็แค่ล้างหน้ากับแปรงฟันเท่านั้น

สองข้างทางเป็นป่าไม้ ลูกเสือเดินเรียงแถวกันไป บางคนส่งเสียงร้องเพลง บางคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เพื่อไม่ให้คิดว่ากำลังเดินทางไกลกันอยู่ เลยพยายามทำให้เหมือนเป็นการเดินเล่นแทน

“เคยคิดไหมว่าความฝันเป็นภาพสีหรือขาวดำ” จักรกฤษถาม ในมือแกว่งกิ่งไม้เล่น

“เป็นภาพสีหรือเปล่าวะ ไม่แน่ใจวะ” ต่อศักดิ์ตอบแบบไม่มั่นใจเท่าไหร่

“แต่เคยอ่านเจอในหนังสือว่ามันเป็นสีขาวดำนะ” จักรกฤษพูด สองข้างทางกลายเป็นทุ่งนาสีน้ำตาลเพราะเป็นฤดูแล้ง กลางทุ่งนามีฝูงวัวยืนกินหญ้าแห้ง ริมถนนเต็มไปด้วยดอกหญ้าปลิวตามแรงลมพัด

“เหรอ แล้วถ้าอย่างนั้นความทรงจำสีอะไรละ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามบ้าง

“ไม่รู้สิ เป็นภาพขาวดำเหมือนกันมั้ง” จักรกฤษตอบ พลางใช้กิ่งไม้ในมือขีดไปตามทางเดิน

“มั้ง” ต่อศักดิ์เงยหน้าครุ่นคิด

“แปลว่านายไม่รู้เหรอ” จักรกฤษฟาดกิ่งไม้ไปที่ด้านหลังของต่อศักดิ์เบาๆ

“ไม่รู้ไงถึงได้ถามดู” ต่อศักดิ์หันหน้าไปค้อน

 

“เคยได้ยินเรื่องนี้ไหม” เด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดเชิงเป็นคำถาม

เมื่อเสร็จจากการแสดงรอบกองไฟแล้ว อาจารย์สั่งให้ลูกเสือทุกนายเข้านอนในเต็นท์ของตัวเอง แต่ลูกเสือหลายนายยังคงสนุกสนานและครึกครืนเลยเข้าไปตามเต็นท์ของคนอื่น เพื่อพูดคุยกับเพื่อน เช่นเดียวกับต่อศักดิ์ที่ถูกจักรกฤษลากมาฟังเรื่องผีในเต็นท์ของเพื่อนร่วมห้อง

“จะเคยได้ไง มึงยังไม่ได้เล่า” ผู้ชายอีกคนใส่อารมณ์ในน้ำเสียง เพื่อนในเต็นท์หัวเราะ

“เขาเล่ากันว่าเคยมีโรงเรียนจากลำปางมาเข้าค่ายที่นี้ อาจารย์ลูกเสือดันให้มีเดินทางไกลในตอนกลางคืน ปรากฏว่าลูกเสือหมู่แรกๆ นึกสนุกเลยไปเปลี่ยนทิศทางของลูกศรเล่น จนกระทั่งลูกเสือหมู่หนึ่งเดินไปตามลูกศรนั้นจริงๆ แล้วเกิดหลงป่าหาทางกลับไม่ได้ กว่าอาจารย์จะรู้ว่ามีลูกเสือหมู่หนึ่งหายไปก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว” เด็กผู้ชายคนนั้นเล่าด้วยเสียงเรียบ สีหน้าเคร่งเครียด

“แล้ว” เสียงคนในเต็นท์เร่งให้เล่าต่อ

“ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีใครเคยเห็นลูกเสือหมู่นั้นอีกเลย เขาเล่ากันว่าลูกเสือหมู่นั้นยังเดินหลงทางอยู่ในป่า จับสัตว์ป่ากินเป็นอาหารเพื่อความอยู่รอด ลูกเสือหลายโรงเรียนที่มาเข้าค่ายที่นี้เคยได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือจากลูกเสือหมู่นั้น แต่เมื่อเข้าไปในป่าตามเสียงกลับหลงทางจนออกมาไม่ได้...”

“เฮ้ย” เสียงอาจารย์ดังออกมาจากนอกเต็นท์ ทุกคนภายในเต็นท์ตกใจจนคลานไปกระจุกอยู่ที่เดียวกันหมด อาจารย์เปิดซิบมองเข้ามาในเต็นท์พร้อมกับพูดว่า “ไปนอนได้แล้ว”

 

“ตอนนั้นตกใจแทบแย่” ต่อศักดิ์หัวเราะจนน้ำตาเล็ด

“นึกว่าผีลูกเสือหมู่นั้นเดินมาหาเสียอีก” จักรกฤษหัวเราะ เอามือกุมท้อง

รถไฟชะลอความเร็วลง ก่อนหยุดจอดที่สถานีลพบุรี ด้านนอกมีเด็กผู้ชายสวมชุดลูกเสือนั่งเฝ้าร้านขายของตรงสถานี

“ถึงลพบุรีแล้วเหรอเนี่ย” ต่อศักดิ์มองป้ายสถานี

 

“ต่อ ต่อ” จักรกฤษพูดขึ้นในความมืด

“อะไร” ต่อศักดิ์ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ น้ำเสียงงัวเงียปนรำคาญ เพราะถูกปลุกให้ตื่นอย่างกระทันหัน

“คิงหลับแล้วเหรอ”

“อืมสิ”

“ทำไมเพื่อนในเต็นเราหายไปไหนกันหมดวะ” จักรกฤษส่องไฟฉายไปทั่วเต็นท์

“มันไปนอนเต็นท์เพื่อนมันกันวะ” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ

“คิงคือว่า...” จักรกฤษพูดค้างไว้

“มีอะไรเหรอวะ” ต่อศักดิ์มองหน้าจักรกฤษที่ตัวสั่นเทาจนเห็นได้ชัด

“ปวดฉี่วะ ไปเป็นเพื่อนกรูหน่อย” จักรกฤษพูดพลางจับมือต่อศักดิ์แล้วเดินออกจากเต็นท์

นอกเต็นท์อากาศหนาวเย็นมาก บริเวณเต็นท์เงียบเพราะทุกคนคงหลับกันหมดแล้ว เขาสองคนเดินส่องไฟฉายเดินผ่านเต็นท์ของหมู่ต่างๆ เดินไปทางห้องน้ำที่เปิดไฟสว่างอยู่เพียงจุดเดียว

“มึงกลัวผีละดิ” ต่อศักดิ์แหย่

“คิงไม่กลัวเหรอวะ” จักรกฤษหันหน้ามาค้อนใส่

“ไม่วะ”

สักพักเขาสองคนเดินมาถึงห้องน้ำ บริเวณห้องน้ำมีกลิ่นฉุดเล็กน้อย ต่อศักดิ์คิดในใจว่ายังดีกว่าห้องน้ำชายที่โรงเรียนเสียอีก นักเรียนชายเวลาเข้าห้องน้ำแล้วไม่ชอบราดน้ำ เป็นนิสัยที่แย่มาก

“รอตรงนี้นะโว้ย” จักรกฤษพูดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป โดยไม่ปิดประตู

“หนาววะ” ต่อศักดิ์ถูมือสองข้างให้อุ่น เขาสวมเสื้อกันหนาวออกมาแค่ตัวเดียวกับกางเกงขายาว เขามองไปทั่วบริเวณพลางคิดว่าหมอกคงกำลังลงหนาเพราะมีน้ำค้างเกาะอยู่บนยอดหญ้า

“อยู่บนดอยนี้น่า” จักรกฤษตะโกนออกมา

“หมอกลงหนาขนาดนี้ พรุ่งนี้ต้องเป็นหวัดแน่เลย” ต่อศักดิ์พูดไอออกปาก ขณะเดียวกันจักรกฤษเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี

“ไม่เจออะไรใช่ป่ะ” จักรกฤษถามพลางหันมองไปรอบๆ

“จะให้เจออะไรละวะ”

“งั้น ใครวิ่งกลับถึงเต็นท์ก่อนเป็นคนชนะ” จักรกฤษพูดไม่ทันจบประโยคเขาก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ต่อศักดิ์ตกใจจึงรีบวิ่งตาม

 

“เลวมาก คนเขาอุตสาเดินออกไปเป็นเพื่อน” ต่อศักดิ์ทำเสียงประชดประชัน

“เอาน่า ตอนนั้นยังเด็กนี้น่า” จักรกฤษพูด

“ง่วงนอนแล้วละ นอนกันเถอะ” ต่อศักดิ์พูดแล้วหันหน้าไปถือกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่มาวางไว้บนหัวนอน เขายัดเสื้อผ้ามาหลายตัวไม่ใช่เพราะเอามาใส่เพียงอย่างเดียวแต่เอามาใช้เป็นหมอนหนุนหัวด้วย

“งั้นเราขึ้นข้างบนแล้วนะ”

“นอนข้างล่างด้วยกันสิ” ต่อศักดิ์ชวน

 

“หนาววะ” ต่อศักดิ์บ่นทั้งที่นอนหลับตา เขาเอาเสื้อกันหนาวออกมาสวมทับอีกชั้นแต่เหมือนไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย น้ำค้างเกาะด้านนอกเต็นท์จนเปียกโชก เขารู้สึกว่าช่วงที่ทรมานที่สุดในชีวิต

“อืม” จักรกฤษนอนหันหลังให้ต่อศักดิ์

“มึงไม่หนาวเหรอ” ต่อศักดิ์ถาม

“หนาวดิ ถามมาได้” จักรกฤษตอบเสียงสั่น ฟันกระทบกันดัง กึก กึก

 “ตอนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เขาสอนว่าการกอดกันจะทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้น เคยได้ยินเปล่า” ต่อศักดิ์ถาม

“ไม่เคยวะ” จักรกฤษตอบ

“งั้นกูขอทดลองทฤษฏีนี้หน่อยแล้วกันนะ กูอยากรู้ว่าจะจริงหรือเปล่า” ต่อศักดิ์เอื้อมมือไปกอดจักรกฤษ

“รู้สึกเหมือนวีดีโอโป๊วันนั้นเลยวะ” จักรกฤษพูดพลางหัวเราะเล็กน้อย

“อุ่นขึ้นนะ แล้วมึงอุ่นขึ้นหรือยัง”

“นิดหน่อย” จักรกฤษตอบพลางกุมมือของต่อศักดิ์

ต่อศักดิ์อยากเอื้อมมือกอดร่างตรงหน้าเหมือนกับความทรงจำในวันนั้น แต่เขารู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก จึงได้แต่พูดว่า "O Ya Su Mi Na Sai"

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :impress:

แล้วมันแปลว่าไรล่ะเนี่ย

ยิ่งโง่ ๆ อยู่

ใครรู้บอกทีน๊า...

 o15

zatoru

  • บุคคลทั่วไป
O Ya Su Mi Na Sai เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ราตรีสวัสดิ์ครับผม

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เล่าเรื่องได้สนุกมากเลยคับ ย้อนอีดตแล้วกลับมาปัจจุบันแบบไม่ติดขัดเลยไหลลื่นมาก ชอบๆๆๆ

แล้วจะได้อ่านตอนลงเอยกันเมื่อไหร่เนี่ย อิอิ ใจร้อนแล้ว  o17

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
กอดกันแหล่ววววววว  :m3:

คู่นี้ไปอย่างเรียบๆ ไม่รีบร้อน เหมือนขึ้นรถไฟชมวิวไปเรื่อยๆ   :undecided:

แต่ก็ยังมีเหงาๆแฝงอยู่นะค๊าบบบ สงสัยคนแต่งขี้เหงาแฮะ

niph

  • บุคคลทั่วไป
 :m17:
อย่าว่ากันนะ

ถ้าทำให้ต่อพงศ์หายไปได้ก็จะดีนะ รู้สึกว่าโผล่มาหลายครั้งแล้ว

มันเป็นเรื่องของต่อศักดิ์ กะ จักรกฤษ มะใช่เหรอ  :m7:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

............ราตรีสวัสดิ์....ฝันถึงวันที่เรากอดกัน........... :m2: :m2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ชอบ ๆ ๆ เดินเรื่องเรียบ ๆ แต่ไม่น่าเบื่อเลยแฮะ  :m13:  :m13:  :m13:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 7 : สายการเรียน


ปลายภาคการศึกษาของชั้นมัธยมต้น

สองสัปดาห์ก่อน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามและหกทั้งหมด ถูกอาจารย์ประกาศเรียกให้มาเข้าแถวในสนามหน้าโรงเรียน เพื่อถ่ายรูปร่วมกับเพื่อนๆ และอาจารย์ที่ปรึกษาลงในหนังสือรุ่นของปีนั้น ความจริงทุกปีโรงเรียนทำหนังสือรุ่นให้เฉพาะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกเท่านั้น แต่ปีนี้นักเรียนขอให้เพิ่งชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามลงไปด้วย เพราะบางคนเรียนจบแล้วจะไปศึกษาต่อในสายวิชาชีพ

ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีสามที่มีความต้องการที่จะเรียนต่อในโรงเรียนเดิม อาจารย์ฝ่ายปกครองได้ให้หัวหน้าห้องเอาใบสมัครเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ไปแจกเพื่อนร่วมห้อง

“คิงเรียนต่อ ม.4 ที่นี้หรือเปล่า” จักรกฤษเดินมาที่โต๊ะม้าหินอ่อนหลังหอสมุด

“เรียนสิ” ต่อศักดิ์ใช้ปากกากรอกใบสมัครด้วยตัวบรรจง

“เรียนเหมือนกัน” จักรกฤษวางใบสมัครลงบนโต๊ะพลางกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว

วันนี้ห้องเรียนของเขาไม่มีเรียนวิชาพละศึกษา แต่อาจเป็นค่านิยมของนักเรียนสมัยนั้น นักเรียนหลายคนจึงชอบใส่เสื้อโปโลสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นเครื่องแบบสำหรับวิชาพละศึกษา สวมคู่กับกางเกงนักเรียนแทนกางเกงพละ เหมือนอย่างที่เขาสองคนใส่มาเรียนในวันนี้

“คิงคิดจะเรียนสายอะไรเหรอ” จักรกฤษถาม สายตาหยุดอยู่ตรงบรรทัดที่เขียนว่า สายการเรียน

“ไม่แน่ใจ” ต่อศักดิ์ตอบโดยไม่เงยหน้าออกจากกระดาษ

“อืม”

“มึงหัวดีน่าจะเรียนสายวิทย์สินะ” ต่อศักดิ์ถาม

“ไม่เกี่ยวกันหรอก” จักรกฤษส่ายหน้า

“แต่ถ้าแม่คิงยังอยู่ คิงก็หนีไม่พ้นสายวิทย์หรอกน่า” จักรกฤษย้อน

“คิดอย่างนั้นอยู่เหมือนกันเลย”

“เอาน่า คิงเลือกสายอะไรละ” จักรกฤษเร่ง

“แล้วมาเกี่ยวอะไรกับกูเนี่ย” ต่อศักดิ์นิ่วหน้า หันไปมองด้วยความสงสัย

“ฮ่าจะได้เลือกตามคิงไง” จักรกฤษยิ้มเริ่มเห็นเขี้ยวหมาสองข้าง

ปรกติต่อศักดิ์ไม่เคยสนใจมองใบหน้าของจักรกฤษอย่างชัดเจนเท่าไหร่ แต่เมื่อลองสังเกตดูจะพบว่าหน้าตาของจักรกฤษดีขึ้นกว่าครั้งแรกที่เจอกันมาก บางทีอาจมาจากการใส่แว่นสายตาจึงทำให้หน้าตาเข้ารูป แถมใบหน้าไม่มีสิวของช่วงแตกหนุ่มจึงดูเนียนกว่าเดิม เสียงห้าวขึ้น แถมรูปร่างค่อนข้างดีมากทีเดียว

จักรกฤษมีอายุมากกว่าต่อศักดิ์หนึ่งปีเพราะเข้าเรียนตามเกณฑ์จึงใช้คำนำหน้าว่านายแล้ว ถ้าหากต่อศักดิ์เป็นผู้หญิงคงหลงเสน่ห์ของจักรกฤษเข้าในสักวันหนึ่ง ต่อศักดิ์คิดแล้วส่ายศีรษะเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัวสมอง

“อยากเรียนสายอะไรก็เลือกเองสิ จะมาตามคนอื่นได้ยังไงกันเล่า” ต่อศักดิ์พิงเก้าอี้

เสียงกริ่งเข้าคาบเรียนดังขึ้น

“คาบบ่ายเรียนอะไรวะ” ต่อศักดิ์ถาม

“วิชาสังคม” จักรกฤษพูดพลางเก็บของบนโต๊ะ ต่อศักดิ์ก็เช่นกัน


อาคารหนึ่งเป็นอาคารที่ใช้เรียนวิชาสังคม เขาสองคนเดินขึ้นไปบนชั้นสามซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคาร บนกระดานดำหน้าห้องเรียนมีตัวอักษรเขียนด้วยช็อกสีขาวว่า วิชาสังคมวันนี้งดเรียนเพราะอาจารย์ติดธุระ เมื่อเพื่อนร่วมห้องเดินมาเห็นตัวอักษรดังกล่าวก็ต่างพากันส่งเสียงเฮแล้วออกจากห้องไป

"จะลงไปหรือเปล่า" จักรกฤษหันหน้ามาถาม

"ไม่เอาละ นั่งเล่นที่ระเบียงหน้าห้องดีกว่า" ต่อศักดิ์พูดแล้วหยิบกระเป๋าออกมานั่งที่หน้าห้องเรียน มองลงไปข้างล่างเห็นสนามหน้าโรงเรียน กลางสนามมีนักเรียนเล่นฟุตบอลอย่างสนุกสนาน

"อากาศดีนะ ชั้นสามเนี่ย ลมพัดแรงดีจัง" จักรกฤษพูดแล้วนั่งลงข้างต่อศักดิ์

“อากาศดีมากจริงด้วย” ต่อศักดิ์ยิ้มมองออกไปที่ปลายท้องฟ้า

“เล่นต่อเพลงกันเถอะ” จักรกฤษชวน

“เอาสิ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปมองจักรกฤษ

“คิงร้องก่อนแล้วกัน” จักรกฤษพูด

“อ้าว ทำไมกูต้องร้องก่อนละ” ต่อศักดิ์ขมวดคิ้ว

“ร้องก่อนดิ หรือว่าคิงอยากโดน” จักรกฤษยกมือขึ้นจะตบศีรษะ

“ร้องครับร้อง” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นมาบัง

“เก็บไว้ในใจคงไม่ไปบอกเธอ เพราะรู้เสมอว่าเธอไม่เคยสนใจ เพียงได้เจอกับเธอ ได้มองเธอก็ดีเท่าไหร่ ไม่เสียใจที่รักข้างเดียวอย่างนี้” ต่อศักดิ์ร้อง

“คิงเสียงดีวะ ไม่น่าเชื่อ มีพรสวรรค์นะเนี่ย” จักรกฤษเอยปากชม ต่อศักดิ์รู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก

ผ่านไปอาทิตย์หนึ่ง อาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามทุกคนเข้าไปพบ เพื่อขอดูใบสมัครเรียนเพื่อตัดสินใจว่านักเรียนเลือกสายการเรียนที่เหมาะสมหรือไหม

ต่อศักดิ์เลือกเรียนสายศิลป์ภาษาญี่ปุ่น เพราะความชื่นชอบส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับช่องทางทำมาหากินในอนาคตเลย แน่นอนว่าเขาเลือกโดยไม่ได้บอกให้จักรกฤษรู้ เพราะเขาคิดว่าคงดีหากจักรกฤษเลือกสายการเรียนด้วยตัวเอง

ต่อศักดิ์มองใบสมัครในมือ เขานั่งต่อแถวเพื่อเข้าพบอาจารย์ผู้ชายหัวใส่น้ำมัน หน้าตาดุ คนเดียวกับวันที่เขาเจอในวันจับสลาก เขาหันหลังมองดูแถวที่ยาวออกไปนอกห้องปกครองพลางคิดว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามมีเยอะขนาดนี้เชียว ด้านหน้าของเขาคือจักรกฤษ

“คนต่อไป” อาจารย์พูดขึ้น น้ำเสียงดุดัน

“อาจารย์ครับ เดี๋ยวผมแก้ตรงนี้นิดหน่อย” จักรกฤษพูดพลางออกจากแถวไปนั่งด้านข้าง

“คนต่อไป” อาจารย์พูดซ้ำ

ต่อศักดิ์เดินเข่าเข้าไปข้างหน้า ยื่นใบสมัครให้อาจารย์ อาจารย์คว้าไปอ่านอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า “ศิลป์ภาษาญี่ปุ่น” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นลูบปลายคางด้วยความเคยชิน

“เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่” อาจารย์ขมวดคิ้ว

“2.91 ครับ” เขาตอบอย่างหนักแน่น

“วิชาภาษาอังกฤษกับภาษาไทยละ”

ต่อศักดิ์หันไปมองจักรกฤษซึ่งกำลังลบอะไรสักอย่างในใบสมัครก่อนพูดว่า “ภาษาอังกฤษได้เกรด 3 ส่วนภาษาไทยได้ 3.5 ครับ”

“ผ่าน” อาจารย์โบกมือไล่ พลางวางใบสมัครลงบนกอง

“เธอขีดฆ่าทำไม ไหนตอนแรกเลือกเรียนอะไรไว้” เสียงอาจารย์ดังขึ้นขณะต่อศักดิ์เดินเข่าออกจากห้อง

“สายวิทย์ครับ แต่เปลี่ยนใจอยากเรียนศิลป์ภาษาญี่ปุ่นแล้ว” เสียงจักรกฤษแก้ตัว

“เปลี่ยนใจอะไรกระทันหันอย่างนี้” อาจารย์ทำเสียงเข้มใส่

“ครับ” จักรกฤษพยักหน้า ต่อศักดิ์หันหลังไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แล้วถ้าหากเรียนไปได้สักพัก เธอเกิดเปลี่ยนใจอีกทีละ” อาจารย์ย้อน พลางหัวเราะเล็กน้อย

“ไม่เปลี่ยนใจแล้วครับ”

“แน่นะ” อาจารย์เอนตัวมาข้างหน้า

“ครับผม”

“งั้น ผ่าน” อาจารย์พิงหลังกับเก้าอี้ โบกมือไล่

ต่อศักดิ์เดินเข่าออกจากห้องปกครอง หยิบรองเท้าที่ถอดอยู่หน้าห้องปกครองขึ้นมาสวม ไม่นานจักรกฤษเดินตามออกมา

“มึงโดนอาจารย์เล่นงานเลย สมน้ำหน้า” ต่อศักดิ์เยาะเย้ย

“ก็คิงเล่นเลือกสายศิลป์ภาษาญี่ปุ่นไม่บอกกันเลย” จักรกฤษหยิบรองเท้ามาสวม ใบหน้ามีรอยยิ้ม

“อ้าว มาเกี่ยวอะไรกับกูละ”

“เป็นเพื่อนกันก็ต้องเรียนเหมือนกันดิ”

“เป็นเพื่อนกันก็ไม่จำเป็นต้องเรียนเหมือนกันนะโว้ย" ต่อศักดิ์พูดใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

“นั้นมันพวกเพื่อนกินนะสิ เราสองคนเป็นเพื่อนแท้ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไปสิ" จักรกฤษยิ้มพลางสวมรองเท้า

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เหอ เลือกเรียนแบบเดียวกัน แล้วจักรกฤษณ์ชอบสายศิลป์รึเปล่าล่ะ   :m17:  :m17:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
อิอิ ตอนนี้ไม่มีฉากบนรถไฟเลยอ่ะ แอบงอน (ชอบฉากบนรถไฟ อิอิ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :impress:

เริ่มปิ๊งกันแล้วสิ

รออ่านต่อไปนะครับ

 o15

zatoru

  • บุคคลทั่วไป
ขอโทษนะครับ ไม่มีฉากบนรถไฟเพราะว่าเขาหลับกันอยู่นะ

เหอเหอ พอตื่นก็จะมีฉากบนรถไฟเหมือนเดิมงะ

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

..........เลือกเรียนเหมือนกัน.........

..........เพราะอยากอยู่ด้วยกัน.....อยากเห็นหน้าเธอ.......... :m13: :m13:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
หุ หุ อ่านแล้วนึกถึงตอนเลือกเรียนเองเลย

แต่ตอนนั้น ปิ๊งสาวอ่ะ  :m23: เลยเลือกตามมัน แต่ดันอยู่คนละห้องซะงั้น  :เฮ้อ: เซ็งไปเลย

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 8 ผิดทาง

เช้าวันเปิดเทอมวันแรกของมัธยมปลาย

ต่อศักดิ์ยืนส่องกระจกเป็นเวลานาน เพราะตื่นเต้นกับการเปลี่ยนกางเกงนักเรียนสีน้ำตาลเป็นสีกากี เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้ใหญ่เพียงเพราะกางเกงตัวเดียว เขาสวมเสื้อนักเรียนตัวเก่าของชั้นมัธยมต้น ตรงหน้าอกด้านขวามือยังคงมีชื่อจริงและสกุลปักอยู่ด้วยด้ายสีน้ำเงิน แต่ต้องเลาะขีดสีแดงด้านล่างชื่อทั้งสามขีดทิ้ง เพราะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่

ความจริงชั้นมัธยมปลายจะมีนักเรียนหญิงเข้ามาเรียนด้วย แต่เพราะความบังเอิญที่สายศิลป์ภาษาญี่ปุ่นในปีนี้ มีนักเรียนของโรงเรียนเดิมลงจนเต็ม จึงไม่สามารถเปิดรับนักเรียนจากที่อื่นเพิ่มได้อีก ดังนั้นห้องเรียนศิลป์ภาษาญี่ปุ่นจึงยังคงความเป็นชายล้วนไปจนจบการศึกษา

ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติในสนามหน้าโรงเรียน ต่อศักดิ์รู้สึกคุ้นหน้าเพื่อนร่วมห้องเป็นอย่างดี เนื่องจากรู้จักมาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง

                “คาบแรกเรียนอะไร” จักรกฤษหันหน้ามาถามขณะเดินออกจากสนามหน้าโรงเรียน

                “ภาษาญี่ปุ่น”

                “อืม” จักรกฤษขยับแว่นเล็กน้อย แล้วเดินนำหน้าไปทางอาคารเรียนภาษาต่างประเทศ

 อาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นเป็นคนไทยแท้ แต่ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นนานหลายปี ทางโรงเรียนจึงว่าจ้างให้มาสอนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียน อาจารย์เป็นผู้หญิงตัวเตี้ย พูดค่อนข้างเร็วจนบางครั้งนักเรียนในห้องฟังไม่ทัน

คาบแรกอาจารย์สอนตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นให้นักเรียนรู้จัก ห้องเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ชั้นหนึ่งของตึกเรียนภาษาต่างประเทศ ซึ่งห้องนี้นักเรียนต้องนั่งลงกับพื้น ภายในห้องมีโต๊ะญี่ปุ่นอยู่หกตัวให้นักเรียนนั่งกันเป็นกลุ่มตามใจชอบ แน่นอนว่าต่อศักดิ์และจักรกฤษนั่งอยู่กลุ่มเดียวกัน

เมื่อเวลาผ่านไปนักเรียนในห้องเริ่มมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาษญี่ปุ่น ทุกคนหันมาเรียกอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นว่า เซ็นเซย์

                “มันก็ไม่ได้ยากเลย” จักรกฤษพูดขณะเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่ต่อศักดิ์ยังคงคิดเสมอว่าจักรกฤษเลือกสายการเรียนผิด

ก่อนสอบกลางภาค ทางโรงเรียนได้จ้างอาจารย์สาวชาวญี่ปุ่นชื่อว่า ยูโกะ มาสอนควบคู่กับอาจารย์คนเดิม เธอหน้าตาน่ารักเหมือนชาวญี่ปุ่นที่เห็นตามหนังสือนิตยสารทั่วไป แถมน้ำเสียงของเธอยังฟังดูร่าเริงสดใสตลอดเวลา หลายครั้งนักเรียนในห้องรู้สึกว่าอาจารย์คนไทยมีสีหน้าอิจฉา เวลาที่นักเรียนให้ความร่วมมือกับยูโกะมากกว่า

                “นายว่าอาจารย์ ยูโกะ น่ารักเปล่า” จักรกฤษถามขณะหมดเรื่องคุยกันทางโทรศัพท์

                “น่ารักนะ” ต่อศักดิ์ม้วนสายโทรศัพท์เล่น

                “ทำการบ้านหรือยังวะ” จักรกฤษถาม เมื่อพูดถึงการบ้านต่อศักดิ์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีการบ้านภาษาญี่ปุ่น ซึ่งคราวนี้อาจารย์สั่งให้เขียนบันทึกประจำวันเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วเอามาส่งเป็นรายวัน

                ยิ่งนับวันต่อศักดิ์ยิ่งรู้สึกว่าจักรกฤษเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ดีกว่าเขาเสียอีก ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า

 

                “สมการ x บวก y” เสียงอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ดังกังวานไปทั่วห้อง แต่ก็ไม่อาจทำนักเรียนในห้องรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาได้เลย อาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์เป็นชายสูงอายุ ผมขาว ลงพุง แต่ท่าทางใจดี

อันที่จริงเคยมีข่าวลือตอนต่อศักดิ์เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามว่า หากเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาจะไม่เจอกับวิชาคณิตศาสตร์ ดังนั้นนักเรียนเกือบทั้งห้องจึงเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาญี่ปุ่นเพราะไม่อยากเรียนคณิตศาสตร์ แต่ทว่าศิลป์ภาษาที่เป็นข่าวลือนั้นคือศิลป์ภาษาฝรั่งเศษต่างหาก

                “เบื่อวิชาเลขจังวะ” จักรกฤษบ่นขณะนอนก้มหน้าลงบนโต๊ะเรียน

                “ลองฟังดูก่อนสิ” ต่อศักดิ์พูด เขามองกระดานดำอย่างใจจดใจจ่อ

                “นอนดีกว่า” จักรกฤษพูดพลางถอดแว่นตาออก ต่อศักดิ์หันหลังไปมองทั่วห้องแล้วพบว่าเพื่อนร่วมห้องทำเหมือนอย่างที่จักรกฤษทำ

 

                “สอบเก็บคะแนน” อาจารย์พูดเสียงดังกว่าเดิม ยกมือขึ้นทุบกระดานสองครั้ง เพื่อนร่วมตื่นมามองอาจารย์ด้วยความตกใจ

                “ทำแบบฝึกหัดท้ายบท แล้วเอามาส่งหน้าห้อง” อาจารย์พูดพลางยิ้มเล็กน้อย

                “ทำกี่ข้อครับ” เพื่อนที่นั่งหลังห้องถาม

                “สองข้อ” อาจารย์ตอบขณะเดินไปนั่งที่โต๊ะอาจารย์ เพื่อนร่วมห้องส่งเสียงเฮอย่างมีความสุข

                “ข้อคู่กับข้อคี่” อาจารย์เสริมต่อ ทำให้เสียงเฮกลายเป็นเสียงโวยวายแทน

                “คิงทำได้ไหมวะ” จักรกฤษหันหน้ามากระซิบถาม

                “ลองดูก่อน” ต่อศักดิ์ตอบ หยิบดินสอกดมาเขียนทดเลขไว้ในกระดาษที่ไม่ได้ใช้

                ต่อศักดิ์อ่านคำถามข้อที่หนึ่งแล้วลองเขียนตามที่ฟังอาจารย์สอนเมื่อสักครู่ โชคดีที่เป็นคณิตศาสตร์ของสายศิลป์ เขาคิดพลางเขียนคำนวณไปเรื่อยๆ จนพบกับคำตอบ จักรกฤษมองตามอย่างสนอกสนใจพลางเขียนตามไปด้วย

                “รู้ได้ไงว่าถูก” จักรกฤษหันหน้ามาถาม ต่อศักดิ์ส่ายหน้า

                “มีส่งก็พอแล้วน่า”

ต่อศักดิ์ทำเสร็จเป็นคนแรก เขาลังเลเล็กน้อยว่าจะส่งก่อนดีหรือเปล่า แต่เพราะคาบวิชาคณิตศาสตร์เขามักนั่งหน้าเสมอ เนื่องจากต่อศักดิ์ชอบวิชาคณิตศาตร์มาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม อาจารย์เห็นว่าเขาทำเสร็จแล้วจึงเรียกให้เขาเอากระดาษคำตอบไปส่งหน้าชั้นเรียน ต่อศักดิ์เดินไปนั่งหน้าอาจารย์ยื่นกระดาษคำตอบให้ เมื่ออาจารย์ตรวจไปได้สักพักก็ทำหน้าตกใจเล็กน้อย

                “ผิดข้อเดียว” อาจารย์พูดพลางหันมามองหน้าต่อศักดิ์ ต่อศักดิ์พยักหน้าเล็กน้อย อาจารย์ยื่นแผ่นกระดาษให้เขาตรวจทานดูว่าผิดตรงไหน ต่อศักดิ์มองหาด้วยความรวดเร็วก่อนพูดว่า “ผมลืมย้ายสมการ y ไปอีกข้างหนึ่งครับ”

                “ถูกต้อง” อาจารย์ยิ้ม

                “ปรกติไม่ค่อยมีนักเรียนสายศิลป์ที่เก่งวิชาคณิตศาสตร์นะ” อาจารย์ออกปากชมแล้วพูดต่อว่า “ทำไมถึงไม่เลือกเรียนสายคำนวณละ”

                บางทีอาจไม่ใช่จักรกฤษที่เลือกสายการเรียนผิด แต่เป็นตัวเขาเองต่างหากที่เลือกผิด ต่อศักดิ์คิดไตร่ตรอง

niph

  • บุคคลทั่วไป
 :a4: :a4: :a4:

มาบอกว่ายังติดตามอยู่ครับ

 :m7: :m7: :m7:

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :impress:

นั่นจิ  อ่านดูแล้ว เหมือนจะเป็นนายต่อนะ

รออ่านต่อไปครับ


ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เราเองเรียนศิลป์คำนวณยังเกลียดเลยอ่ะ

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
เรียนศิลป์คำณวนเหมือนกัน เกลียดเลข แต่ดันต้องใช้เลข

เฮ้อ  :เฮ้อ: เซ็ง

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

.............เลือกเรียนผิดก็มะเป็นไร.........

............แต่อย่าเลือกคู่ชีวิตผิดล่ะ.......... :a11: :a11:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด