2.2
และแล้วคาบเรียนชีววิทยาก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทันทีที่จบคลาสผมก็เก็บของลุกจากเก้าอี้ จ้ำออกจากโต๊ะโดยไม่สนใจคนข้างกายเลย แต่ยังไม่ทันเดินมาถึงหน้าลิฟท์กันย์ก็เดินตามมาพร้อมกับเรียกผมลั่น
“เฮ้ยกิ๊งรอก่อน” ผมอายคนเค้าเพราะชื่อตัวเองมันออกจะหวานแหววเกินชื่อผู้ชายเลยชะลอฝีเท้าให้มันเดินตามมาทัน
“จะรีบไปไหนวะไปกินข้าวด้วยกันก่อนไหม กูเลี้ยง” มันชวนอย่างมีน้ำใจ
“ขอบใจว่ะ แต่กูมีนัด”
“กินข้าวกับสาวเหรอ?” น้ำเสียงของมันเชิงหยอกล้อ
“คุยงานกับเพื่อนที่หอสมุดว่ะ”
“แล้วมึงไม่กินข้าวเหรอไง”
“ก็เสร็จงานก่อนแล้วค่อยไปกินทีเดียว ไม่ชอบทำอะไรค้างคา แล้วก็นัดเค้าไว้แล้วด้วย มีอะไรไว้คุยกันทีหลังกูรีบ” ผมว่าแล้วเดินหนีมันลงบันได
“งั้นกูไปส่ง แล้วมึงคุยเสร็จค่อยไปกินข้าวกะกูก็ได้” มันบอกขณะเดินตามผมลงบันไดมาติดๆ ไม่เข้าใจว่ามันเมาค้างจากเมื่อคืนหรือเปล่า แต่ก็ทำใจเย็นตอบมันไป
“กูอาจจะคุยนานมึงไปกินก่อนเถอะ”
“กูรอได้” มันยังคงตื๊อต่อไปไม่เลิก จนมาถึงทางเดินที่ชั้นหนึ่งผมหันไปหามันด้วยใบหน้าแสดงความไม่พอใจชัดเจน ถ้ามึงไม่ได้คิดอะไรกับกูแล้วมึงจะทำแบบนี้ทำเขืออะไรฟระ
“เอ๊ะ!! มึงนี่ ฟังภาษาคนไม่ออกหรือไงว่ากู ไม่-อยาก-ไป” เน้นทีละคำเลยครับกลัวมันจะไม่เข้าใจอีก มันถึงกับหน้าเสียเมื่อเจอผมทำหน้าโหดใส่ แล้วผมก็สะบัดหน้าหนีมันไป และมันไม่ได้ตามมา ผมเหลือบไปมองก็เห็นว่ามันหยุดคุยกับเพื่อนๆ ของมันที่เดินตามลงทีหลังน่ะครับ
สิบนาทีต่อมาผมที่นั่งรถโดยสารฟรีที่วิ่งวนในมหาวิทยาลัยก็มาถึงชั้นสามของหอสมุดโดยปลอดภัย เพื่อนที่นัดกันไว้มารอก่อนแล้ว โดยมีหนังสือที่หารอไว้อีกต่างหาก
“มาแล้วครับ ขอโทษที่มาช้านะ ตาล กิ่ง” ผมทักทายสาวสวยทั้งสองเมื่อเดินไปยังโต๊ะที่พวกเธอนั่งจองที่อยู่
“ไม่เป็นไรจ้า เราก็เพิ่งมาถึง” ตาลบอกพร้อมรอยยิ้มหวาน เสียงเล็กๆ ของเธอฟังแล้วเพลินดี
ตาลกับกิ่ง เป็นเพื่อนที่เรียนคณะศึกษาครับ เรามีนัดทำรายงานวิชาเคมีกัน อันที่จริงสองคนนี้นอกจากหน้าตาจะดี นิสัยก็ดีด้วยครับ แต่ไม่ต้องถามเลยว่าผมสนใจหรือเปล่า เพราะตามที่คาดคือผมยังไม่เจอผู้หญิงคนไหนที่คิดเกินกว่าเพื่อนหรือแม้แต่อยู่ด้วยแล้วใจเต้นก็ยังไม่มี ไม่เหมือนกับเวลาที่อยู่ต่อหน้ากันย์เลย...
พวกเราช่วยกันหาหนังสือเพื่อเป็นหนังสืออ้างอิงสำหรับทำรายงาน คุยกันพักใหญ่ก็เริ่มแบ่งเนื้อหา ที่จะทำแล้วค่อยนัดรวมเล่มกับซ้อมรายงานหน้าห้องทีหลังแต่กว่าจะเสร็จก็เกือบสี่สิบนาที หลังยืมหนังสือเรียบร้อย เดินลงมาที่ชั้นหนึ่ง ตาลกับกิ่งก็ขอตัวกลับโดยแยกไปอีกทางเพื่อไปเอารถที่จอดไว้ด้านหลังหอสมุด ส่วนผมเดินออกมาด้านหน้ากำลังจะออกจากหอสมุด ก็มีเสียงเดิมๆ ที่เรียกรั้งผมไว้
“กิ๊งๆ” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างประหลาดใจ
“เสร็จธุระมึงแล้วใช่ป่ะ งั้นมึงก็ไปกินข้าวกับกูได้แล้วดิ” มึงมาได้ไงวะเนี่ย!! เอากับมันสิครับผมมองหน้ากันย์ที่ยิ้มให้อย่างไม่เชื่อสายตา ยังอดคิดไม่ได้ว่าหรือมันอาจจะเมาค้างขึ้นมาจริงๆ เลยยังคงทำตัวแสนดีกับผมอยู่ ในขณะที่ผมออกจะอยู่ในอาการอารมณ์บ่จอยได้ตลอดวัน ก็เพราะมันนั่นแหละ
“แล้วมึงไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนมึงล่ะ”
“เออ ก็กูจะได้รู้ว่า มึงไม่คิดว่ากูเป็นเพื่อนมึง” มันตอบกลับมา น้ำเสียงออกไปทางน้อยใจ แล้วครับ ... เจอมุขนี้ผมก็พูดไม่ออกครับ ท้ายที่สุด ผมก็ขี้เกียจเถียงความหน้าด้านหน้าทนของมันเลยต้องเปลืองตัวยอมซ้อนท้ายรถมอ’ไซค์มันไปกินข้าวที่หลังมอจนได้
พอถึงร้านข้าว คนเยอะครับ แต่มันไม่ได้สั่งอาหารจานเดียวนะครับมันสั่งข้าวเปล่าสองจานและกับข้าวอีกสี่อย่าง ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเอามาถมที่หรือเปล่า
“สั่งมาทำไมเยอะวะ กินหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ก็กูอยากกิน เพราะกูรู้ว่ากูกินคนเดียวไม่หมด กูก็อุตส่าห์พ่วงมึงมาช่วยกินด้วยแล้วไง” เหตุผลมันดูน่าสนใจมากครับ แต่ผมขี้เกียจจะตอบ ได้แต่หันหน้าไปมองทางอื่นแล้วหุบปากฉับปล่อยมันพล่ามเรื่องอื่นไปคนเดียว
“เออ สาวสองคนเมื่อกี้ น่ารักดีนะ มึงชอบคนไหนวะ” พอมันพูดเรื่องผู้หญิงแล้วผมก็หูผึ่งครับหันมามองหน้ายิ้มๆของมันอย่างนึกหมั่นไส้ทันที นอกจากมึงจะทำให้กูหวั่นไหวแล้วยังจะมีหน้าพูดถึงผู้หญิงอื่นต่อหน้ากูอีกนะมึง
“กูชอบทั้งสองคนน่ะแหละ ทำไม ถ้ากูบอกว่าชอบคนใดคนหนึ่ง มึงจะจีบอีกคนนึงหรือไง”
“โห! คิดได้นะมึง อย่างกู ไม่ต้องไปจีบหญิงของมึงหรอก เดินมาให้เลือกถมเถ”
“ถุย!” ผมทำเสียงถ่มน้ำลายอย่างหมั่นไส้ทำให้มันหัวเราะลั่น
“มึงไม่รู้จักกูซะแล้ว ว่ากูเสน่ห์แรงขนาดไหน” มันว่า ทำให้ผมส่ายหน้าอย่างระอา
ก็เพราะกูรู้นี่ไง กูถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ มานั่งให้มึงแทะเล่นทั้งที่รู้ตัวดีว่า กูมันก็แค่กระดูกของเล่นที่มึงเคี้ยวเวลาว่างเท่านั้น!
“เอาจริงๆ ดิกิ๊ง กูอยากรู้ว่ามึงจะจีบคนไหน”
“กูไม่จีบ เพราะกูจีบผู้หญิงไม่เป็น” ตอบไปอย่างขอไปทีครับ
“มีปรมาจารย์ด้านการจีบหญิงอยู่ตรงนี้ทั้งคน มึงกลัวอะไรวะ” หึ หึ กูก็ปรมาจารย์ด้านจีบชายเหมือนกันว่ะ ถ้ามึงเสือกยุ่งเรื่องของกูไม่เลิก แล้วกูโมโหจีบมึงขึ้นมา แล้วมึงจะหนาว
“อ้อเหรอ? ละกูต้องจีบเค้ายังไงวะ” ไหนๆ ก็ไหนๆ ก็คุยต่อครับ
“ไม่รู้ดิ เทคนิคแต่ละคนไม่เหมือนกันว่ะ วันหลังไว้กูสอน แต่ก่อนอื่น มึงได้เบอร์เค้ายัง”
“ได้แล้ว ก็กูต้องติดต่อทำรายงานกับเค้านี่หว่า”
“เหรอ? ดี! มึงก็โทรไปจีบเค้าบ่อยๆ นะ ผู้หญิงน่ะ แพ้ลูกตื๊อ”
“เออ ไว้กูว่างกูอาจจะโทร”
“ว่าแต่ กูยังไม่มีเบอร์มึงเลย เอามาดิ๊” ไอ้กันย์ยกมือถือของมันขึ้นมา
“40 ว่ะ” ผมตอบไปทันที
“เชี่ย!! เบอร์โทรไม่ใช่เบอร์รองเท้า”
“มึงอย่าเอาเลยว่ะ กูกลัว” ผมตอบทำหน้าว่านึกกลัวอะไรขึ้นมาจริงจัง จนมันต้องหันมาถามอย่างสงสัย
“มึงกลัวไร”
“กูกลัวมึงโทรมาจีบ”
“ไอ้สาดดดดด คิดได้นะมึง” มันด่าผมครับ เชอะ ด่ากูทำไม ก็ถ้ามึงไม่พูดว่า เมื่อคืนมึงเมากูคิดว่ามึงจีบกูไปแล้ว!!
จบมื้ออาหารแสนอร่อยแต่ไม่เสียตังค์ ผมเสียดายเลยยัดกับข้าวของมันอย่างเต็มที่ ข้าวหมดแล้วยังเคี้ยวไข่เยี่ยวม้าในจานยำต่อตุ้ยๆ
“คนบอกว่าจะกินไม่หมด เสือกกินเยอะกว่ากูอีกว่ะ ฮ่า ฮ่า” กันย์มันเหน็บแนม แถมหัวเราะใส่ผมอีก
ชิ!! ก็ มึงชวนกูคุยจนกูหิวมาก นี่หว่า
“เออ กี่โมงแล้ววะ?” มันถามขณะที่มันใส่นาฬิกาเรือนโตในขณะที่ผมไม่มี
“น่าจะบ่ายๆ” ผมตอบยกแขนซ้ายขึ้นทำท่าเหมือนดูนาฬิกา
“นาฬิกาหนังมึงมันเสียว่ะ ไม่มีเข็มสั้นเข็มยาว เอามือถือออกมาดูดิ๊ กูว่าจะตั้งซะหน่อย”
“แล้วที่ข้อมือมึงมันเป็นอะไร”
“มันเดินไม่ตรง”
“แล้วมือถือมึงอ่ะ”
“มันแบตหมด”
“หมดเมื่อไรวะ เมื่อกี้มึงยังเอาออกมาเมมเบอร์กูอยู่เลย”
“ก็หมดตอนที่มึงลีลาไม่ให้เบอร์กูซะทีไงวะ ถามอยู่ได้ แค่มือถือนี่หวงมากนักเหรอวะ” ถามแบบจะงอนอีกแล้วครับ เฮ้อ เอาใจยากจริงมึง ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลา ส่วนมันกระชากจากมือผมไปอย่างว่องไว
“เชี่ย!! เบาๆ เดี๋ยวพังนะมึง” ผมด่ากิริยาไพร่ของมันไปครับ มารยาททรามดีแท้
“มือถือมีตังค์ป่ะ?” ผมพยักหน้า
มันเอามือถือกดเบอร์แล้วโทรออก ผมเอื้อมมือไปคว้ามันก็ยกหนีครับ
“เอามานี่เลยมึง โทรหาใคร?” ถามอย่างร้อนรนครับ
“โทรหาสาวในเครื่องมึงไง” สาวไหนวะ
“เฮ้ย ไม่เล่นนะกันย์วางสายเอามือถือมา”
“ติดละมึง เอาไปคุยดิ” มันยื่นมือถือมาให้เบอร์ที่หน้าจอเป็นเบอร์แปลกๆ ที่ไม่มีเมมในเครื่อง ผมกำลังงง แต่ก็ยกขึ้นแนบหู
“อาโหล กิ๊งเหรอคะ กันย์เองค่ะ” เสียงแม่งดัดจริตมากครับ เป็นเสียงแมนๆ อย่างมันแต่ดัดให้เหมือนผู้หญิง ผมมองหน้าคนตรงหน้าที่ยกมือถือตัวเองขึ้นมารับสายแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างหมั่นไส้ รีบกดวางสายไปก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะของมันกรอกตามสายมา
“ฮ่าๆๆ หน้ามึงเหวอสุดๆ อ่ะ คิดว่ากูจะโทรหาใครวะ”
“กู- ไม่- รู้” เน้นทีละคำ ทำหน้ากวนตีนต่อ
“ว่างๆ กูโทรหานะ”
“ไม่ต้อง”
“ไม่บ่อยหรอกน่า แค่ทุกวัน”
“เชี่ย” มันหัวเราะ ไม่รู้ประสาทหรือเปล่าที่อารมณ์ดีทุกทีเวลาโดนผมด่า
“ เออ ไปไหนต่อวะ เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไปหอว่ะ ขอนอนก่อนเมื่อคืนนอนน้อย” ฮึ้ย ลืมตัวว่ะ
“เออ เดี๋ยวกูไปส่ง” โชคดีที่มันไม่ทันเอะใจ ว่าผมนอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นที่มีมันมานอนห้องเดียวกัน
เราลุกจากโต๊ะออกมาที่รถ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“กันย์ ไม่ตั้งนาฬิกาแล้วเหรอ”
“ไม่ดีกว่า ถึงตั้งยังไงก็คงไม่ตรงขึ้นมาได้”
ผมเดินไปรั้งแขนมันขึ้นมาดูเวลา แล้วเทียบกับมือถือ
“ก็ตรงนี่หว่า มึงโกหกกูนี่”
“ใครว่ากูโกหก นาฬิกากูมันเดินไม่ตรงจริงๆ นะ ดูดีๆ ดิ แม่ง เดินเป็นวงกลมชัดๆ”
ผมขำไม่ออกกับมุขของมัน แต่รู้สึกจุกมากกว่า ตอนที่ซ้อนท้ายมันกลับ ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มบางๆ
นี่เบอร์ของมันสินะ ผมคิดก่อนจะเมมเบอร์มันลงไป
“กันสาด”
ไอ้กันย์ กูชอบมึงว่ะ ไอ้สาดดดด
.........................................
จบตอนที่สอง แล้วจ้า ขอบคุณสำหรับ คอมเม้นท์น้า
เรื่อง on top ที่ว่าสงสัยจะมียาก เพราะตอนนี้สองคนนี้เพิ่งจีบกันเอง เพียงแต่ต้นๆ กระทู้มีคนบอกว่าอยากเห็นกิ๊งรุก ส่วนอีกคนก็แนะนำว่า กิ๊งเป็นรุกก็ได้ แต่ขอ on top นิอ่านแล้ว ฮาสุด คิดไปได้นะคะ
แต่เรื่องกิ๊งรุกนี้ กลับไป นั่งคิดแล้ว หื่นสุด แต่อาจจะเป็นอนาคตอันไกล นิดนึง
ว่าแต่ผลัดกันที่ว่านี่ขอกระจ่างหน่อยค่ะ ผลัดกันเล่า.... หรือผลัดกันรุกรับค่ะ อ่ะแหม คนแต่งคิดลึก แต่ไม่อยากฟันธง อ๊ากกก

ช่วงนี้ มีคนเริ่มไม่ชอบ กันย์ซะแล้ว แต่ บางอย่างที่กันย์ พูดและทำก็มีเหตุผลนะคะ
เอาไว้ มาฟังความในใจของกันย์ เร็วๆนี้