Room 41
แพลนล่ม....เย็นวันนั้นพวกเราไม่ได้กินสุกี้.... อุณหภูมิในรถแท็กซี่ต่ำเสียจนจมูกและมือของผมเย็นไปหมด ผมซุกมือลงไปตรงข้อพับหัวเข่าเพื่อบรรเทาอาการมือเย็นก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นเล็บม่วง และตามมาด้วยอาการปวดกระดูก...เจออากาศเย็นมากๆทีไรเป็นแบบนี้ทุกทีแหละ
เหลือบมองคนข้างๆที่ยังนั่งเงียบมาตลอดทาง ภคินนั่งอยู่เบาะหลังกับผมแต่ไม่ต่างกับการนั่งอยู่คนเดียว....มันเอนหลังไปกับเบาะแหงนหน้าขึ้น แล้วประสานมือไว้บนตัก .....เหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นมากั้นโลกตรงกลางของเราไว้
ผมขอบคุณสวรรค์จริงๆที่เหมือนว่าลุงแท็กซี่แกจะรู้ว่าพวกเราอยู่ในสถานการณ์แบบไหน จากตอนแรกที่คุยจ้อแล้วเปิดวิทยุการเมือง พอเห็นพวกผมเงียบใส่ลุงแกเลยเปลี่ยนไปเปิดเพลงเบาๆแล้วนั่งเงียบตั้งหน้าตั้งตาขับแทน
“ซอยข้างหน้าเลี้ยวซ้ายเลยครับ” ผมบอกจุดหมายปลายทางทั้งๆที่ไม่ค่อยคุ้นชินเส้นทางนักแม้จะเคยมาแล้วครั้งนึง.... ครับ...ซอยตรงหน้าทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคราวนั้น แต่วันนี้ผมกลับมาด้วยสถานการณ์ที่ต่างกันออกไป...
ผมแอบเหลือบมองคนข้างตัวที่ยังแหงนหน้าขึ้นไมรับรู้ความเป็นไปของโลกทั้งนั้น.... แววตาของมันไม่สะท้อนสิ่งใดออกมา...หรืออาจมี แต่ผมอ่านไม่ออกก็เป็นได้ ผมเอื้อมมือไปสัมผัสมืออุ่นใหญ่นั้นเบาๆ เจ้าของมือสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็กระชับมือผมไว้แล้วบีบเบาๆเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร.....
ยังคงไร้ซุ่มเสียงใดจากริมฝีปากหยักนั่น... นอกจากประโยคสุดท้ายที่มันพูดก่อนขอตัวออกมายังดังก้องในหัวผม......
“ไอ้ชาติตาย...”…………………………………………………………..
………………………………………
………………………
……………
ไม่กี่อึดใจเราสองคนก็มายืนอยู่หน้าบ้านชั้นเดียวหลังไม่ใหญ่ไม่เล็ก.....แม้จะไม่คุ้นเคยแต่ผมก็ยังจำสภาพโดยรอบได้ ผมจ่ายเงินให้ลุงคนขับ บอกขอบคุณแกนิดหน่อยแล้วค่อยเดินตามมาสมทบกับภคินที่ก้มลงไปเปิดประตูรั้วเหล็กหน้าบ้านเงียบๆ... เสียงเหล็กในเวลานี้ช่างบาดหูจริงๆ...
ผมขนลุกอย่างบอกไม่ถูกตอนที่ก้าวเท้าเข้ามาในเขตบ้าน บรรยากาศมันน่าอึดอัดเสียจนอยากขอรออยู่ข้างนอก... แต่เห็นภคินเป็นแบบนี้จะให้มันเผชิญเรื่องคนเดียวก็คงไม่ได้ล่ะครับ ผมเลยได้แต่สาวเท้าตามหลังมันเข้าไป ร่างสูงใหญ่หยุดยืนจ้องลูกบิดประตูอยู่พักนึงจนผมเผลอกลั้นหายใจตาม มือใหญ่เอื้อมไปจับผิวเหล็กเย็นเยือกนั่นช้าๆก่อนจะออกแรงหมุน...
“คิน...” หญิงสาววัยกลางคนนั่งอยู่บนพื้นบ้านเอ่ยคำนั้นผ่านลำคอที่แห้งผาก เธอมีริมฝีปากที่เหมือนชื่อที่เธอเอ่ยไม่มีผิด ร่างผอมบางของเธอสั่นระริกอย่างสิ้นความหวังในขณะที่มือสองข้างนั้นยังกอดเข่าเอาไว้แน่น.... ใจของผมกระตุกกับภาพที่เห็น...
“ลุงชาติตายแล้ว....” เธอเอ่ยออกมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลรินทับคราบเดิมที่ยังไม่เลือนหายไป
“ผมรู้...” น้ำเสียงของภคินราบเรียบเสียจนผมเดาอารมณ์ไม่ออก... “แม่ติดต่อวัดรึยัง”
“คิน...ลุงเขาตายนะ!!!! ลูกไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”
“แล้วแม่จะให้ผมรู้สึกอะไรกับมันงั้นเหรอ” สายตาของภคินมีแต่ความว่างเปล่า....ว่างเปล่าเสียจนผมกลัว ผมไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อนเลย....
พอได้ยินคำตอบดังนั้นเธอก็เม้มปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์บางอย่างที่พุ่งสูง....ฟันขาวขบกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างน่ากลัวว่าเลือดจะไหลออกมา เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นระริก “ตอนนี้ศพอยู่ที่วัดแล้ว...แม่...แม่...ติดต่อไว้หมดแล้ว เหลือแต่ค่าใช้จ่าย....”
ผมหดหู่เหลือเกินยามได้ยินเสียงเล็กๆนั่นกลั้นใจพูดเสียเจียนจะขาดใจตายตรงหน้า น้ำตาของเธอกัดกร่อนความรู้สึกของผม.... แต่ไม่รู้ว่ารวมถึงคนข้างๆด้วยไหม ผมยังคงไม่เห็นอะไรในแววตาคู่นั้น มันเย็นชาเสียจนน่ากลัว
“เท่าไหร่...ขอรายละเอียดด้วย เดี๋ยวผมไปจัดการให้” มันเดินไปหยิบกระดาษแผ่นใหญ่บนโต๊ะอาหารแล้วพลิกดูไปมา ส่วนผมยืนขาตายไม่กล้าขยับเดินตามเข้าไปในบ้าน “.....ตามนี้ใช่มั้ย”
เธอพยักหน้าช้าๆแล้วซุกหน้าลงกับเข่าเหมือนไม่ต้องการรับรู้อะไรอีกแล้ว ภคินถอนหายใจออกมาเบาๆ เก็บกระดาษยับๆนั่นเข้ากระเป๋าแล้วเดินมาดึงแขนเสื้อผม “กลับกันเถอะ...”
“ห๊า...” ผมอ้าปากค้าง “....คะ..คือเรามากันแค่นี้เหรอ”
“กลับ” แรงบีบที่แขนผมหนักขึ้นเป็นตัวบ่งบอกว่าต้องทำตามคำสั่งแล้ว...
มันเดินนำผมออกไปแล้ว ส่วนผมแอบเหลือบมองบ่าเล็กๆของหญิงสาวที่สั่นไหว ไม่ต้องบอกก็คงเดาได้ว่าเธอร้องไห้อย่างหนัก...ผมอยากเดินเข้าไปกอด เข้าไปปลอบ...แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะทำได้ มันเป็นเรื่องของครอบครัว เรื่องที่ ‘คนนอก’ อย่างผมไม่มีวันเข้าใจ จึงทำได้เพียงมองแล้ววิ่งตามภคินออกไปเท่านั้น...
บนรถแท็กซี่คันใหม่...แต่บรรยากาศเดิม ยังคงไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างผมกับมันทั้งนั้น ผมเหลือบมองโครงหน้าสมส่วนที่ตอนนี้เอาแต่จ้องออกไปนอกหน้าต่าง.... แต่ ตอนนี้มันมีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปจากตอนแรกแล้ว..
ดวงตาคู่นั้นแสดงความ ‘เจ็บปวด’ อย่างชัดเจน.....................................................................
......................................
..................
........
‘ลุงชาติ’ ที่ว่าคงจะเป็นลุงคนนั้นสินะ....
ผมยังจำเหตุการณ์เหวี่ยงหมัดในตอนนั้นได้ นั่นสิ...ใครจะไปลืมได้ล่ะ ลุงคนนั้นที่เป็นสามีใหม่ของแม่ภคิน ผู้ชายที่ภคินเคยบอกผมว่าเขาเกลียดที่สุดในชีวิต...........ตอนนี้ได้ตายไปแล้ว....
พอเราสองคนกลับมาถึงห้องก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ ตอนที่ผมอาบอยู่ภคินก็แอบไปสูบบุหรี่ที่ระเบียงด้วย กลิ่นนิโคตินที่ลอยเอื่อยเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ผมแสบจมูกจนอยากตะโกนด่ามันเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้สูบนานแล้ว สงสัยเรื่องนี้จะทำให้มันเครียดจริงๆแหละถึงได้กลับมาสูบแบบนี้
ผมคว้าพี่เดียวดายมากอดไว้ในอ้อมแขน.... วันนี้มันหนาวเหลือเกินจนผมปวดกระดูกทั้งๆที่อากาศก็ไม่ได้เย็นอะไร อาจเป็นเพราะต้องเผชิญเหตุการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนี้ก็ได้ หรือเพราะไม่มีอ้อมกอดที่คอยมาวุ่นวายอยู่ทุกวัน
เฮ้อออออออออออออออออ....เงียบจนน่าใจหายชะมัด!!!!!! “จะนอนรึยัง” ผมสะดุ้งเฮือกกับเสียงทุ้มต่ำที่ไม่ได้ยินมาหลายชั่วโมง
“นึกว่าวันนี้จะไม่พูดกับกูซะแล้ว...”
“โทษทีว่ะ....มีเรื่องให้ต้องคิด”
“ภคิน..” ผมเรียกมันเบาๆ “มานี่ดิ๊”
ไอ้นี่ก็ว่าง่าย...เดินมานั่งคุกเข่าตรงหน้าโซฟา เออคือ...มึงนั่งข้างบนก็ได้ จะนั่งพื้นทำไมวะเนี้ย
ไม่ทันได้พูดอะไรหัวกลมๆนั่นก็ฟุบลงบนตักผม มันแนบแก้มลงกับต้นขาผมแล้วปิดเปลือกตาลง... เฮ้ยๆ อย่าบอกว่ามึงจะนอนทั้งอย่างนี้นะ
“ง่วงก็ไปนอนในห้องไปมึง มานอนทำไมตรงนี้วะ...ขากูเป็นตะคริวพอดี”
“เออ...งั้นกูนอนเนี้ยแหละ อยากให้มึงเป็นตะคริวเล่นๆ”
“เชี่ยเลวนะมึง... ไป...ไป..”ผมเอามือดันหัวมันเบาๆ “ไม่งั้นกูเอารีโมททุบหัวแม่งให้ตายห่าตรงนี้เลย” ว่าแล้วสายตาผมก็สอดส่องหารีโมทที่อยู่ที่มุมโซฟาอีกข้าง
“ฮ่าๆๆๆ” มันหัวเราะ....น่าแปลก เสียงหัวเราะวันนี้ของมันน่าฟังกว่าเดิมเป็นไหนๆ “กูเป็นคนหัวแข็ง รีโมททุบก็ไม่เป็นไรหรอกเว่ย ลองมึงทุบดิ...กูจะแหวกไส้ไอ้หมีหน้าโง่นั่นออกมาเลย”
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก...ไอ้เหี้ยนี่!!!!มึงกล้ามาด่าพี่เดียวว่าหมีหน้าโง่เรอะ” ว่าแล้วกูก็เอาไอ้หมีโง่...เอ๊ย!!!พี่เดียวที่รักกดหน้ามันให้หายใจไม่ออกตายแม่งเลยแสรดดดดดดดดดดดดดดดดด...
สงสัยไอ้ภคินจะเป็นมาโซคิสม์....แม่งมีหัวเราะด้วยอ่ะ...เออดี!!!! กูจะกดให้นุ่นอัดรูจมูกมึงตายไปเลยดีมั้ย...
“ไปป์...”
“อะไร...” จะมาขอให้กูไว้ชีวิตมึงรึ??
“มึงว่ากูเลวมั้ย”
“มาก” บอกแล้วครับ...นายวิรัลเป็นคนจริงใจเสมอ
พอฟังคำตอบผมมันก็หัวเราะลั่นจนขาผมโดนเขย่าไปด้วย.... “อะไรมึงเนี้ย แดกยาไม่เขย่าขวดเรอะ”
มันแหงนหน้าขึ้นมาตอบผมด้วยสีหน้าที่กวนส้นตีนที่สุด “นึกว่าผู้หญิงชอบคนเลวอย่างเดียว ไม่นึกว่าผู้ชายจะชอบด้วย”
แม่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง..ไม่ต้องแดกนุ่นแล้ว แดกตีนกูเนี้ยแหละมึง!!!!!!!!!!! ขณะที่ผมกำลังง้างตีนขึ้นนั่นเอง....ไอ้ภคินก็ดันพูดประโยคที่ทำให้ตีนชะงักกลางอากาศ..
“มึงว่ากูเลวกับแม่เกินไปมั้ยวะ....” คำตอบของผมไม่ใช่ ‘มาก’ เหมือนเดิมแล้ว....
“กูก็ไม่รู้ว่ะ....” เป็นคำตอบที่โง่เง่าชะมัด
“เฮ้อออออออออออ...” มันถอนหายใจ “กูรู้นะว่าแม่เสียใจมาก แต่กูทำตัวไม่ถูกว่ะ....ไม่รู้สิ...” มาถึงตรงนี้มันซุกหน้าลงกับขาผม “บอกตามตรงนะ....กูตกใจมากที่รู้ว่าไอ้ลุงชาติตาย.....การมีคนตายมันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆล่ะ แต่ถ้าถามกูว่าเสียใจมากมั้ย....กูพูดได้ไม่เต็มปากว่ะ มึงว่ากูเลวมั้ยวะ”
ผมส่ายหน้าช้าๆแล้วเริ่มลูบผมนิ่มๆของมันเล่น “คนเกลียดกัน จะให้อาลัยอาวรณ์มันก็เกินไป”
“กูรู้ว่าแม่รักมัน....รักมาก บางทีอาจมากกว่าชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ” มันแค่นยิ้มออกมา “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะรักมันเหมือนแม่ซะหน่อย”
“อืม...”
“กูไม่เข้าใจว่าแม่ต้องการอะไรจากกูกันแน่.... จะให้กูร้องไห้เสียใจรึไง จะให้กูทำอะไรกันแน่... แต่ก่อนมีมันอยู่แม่ก็ไม่เคยจะสนใจกูอยู่แล้ว แล้วนี่จะให้กูทำอะไรเนี้ย”
“ภคิน...” ผมถอนหายใจ “แม่มึงคงอยากได้ใครสักคนอยู่ข้างๆในตอนที่ท่านอ่อนแอมั้ง”
“เหอะ...งั้นถ้าไอ้ลุงชาติไม่ตายกูก็ไม่มีความหมายเลยสินะ”
“มึงก็อโหสิให้เขาไปเถอะ....อย่าไปเคียดแค้นอะไรเขาอีกเลย คนตายไปแล้วนะเว่ย”
“กูรู้ไปป์....กูรู้”เสียงของมันสั่นเครือ “กูอโหสิให้มันไปแล้ว.... โดนรถชนตายนี่มันก็เจ็บน่าดูแล้ว จะให้ไปแค้นอะไรต่อมันก็ไม่ใช่เรื่องแล้วล่ะ”
“ดีแล้วไอ้ลูกหมา เลิกซึมได้แล้วน่ามึง” ผมขยี้หัวมันแรงๆจนเส้นผมนิ่มๆชี้ไปคนละทิศละทาง ไอ้พระเอกส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอนิดหน่อย
“มะรือนี้เขาจะตั้งสวดกันแล้ว กูอยากให้มึงไปด้วยนะ” ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า...น้ำเสียงมันเหมือนจะอ้อนผมเลย บ้าเหรอ....อย่างไอ้หน้าด้านมัดมือชกเนี้ยเหรอจะมาอ้อน....กูต้องเบลอแน่ๆ
“ให้กูไปจะดีเหรอวะ ดูเป็นคนนอกยังไงก็ไม่รู้....กูเกร็งๆว่ะ”
“คนนอกเชี่ยไร เมียกูทำไมจะไปไม่ได้”
ป้าบบบบบบบบบบ...จัดไปหนึ่งทีกลางหัวมันเนี้ยแหละ ตำแหน่งกูกำลังได้เปรียบซะด้วย “โอ๊ยยยยยยยยย...อะไรวะ เขินรุนแรงชิบหาย” มันไม่นอนให้ผมเชือดแล้ว... ไอ้ภคินเด้งหัวขึ้นมาจากตักพลางลูบหัวป้อยๆ “แม่ง...พวกชอบใช้ความรุนแรง”
“แม่ง...พวกหน้าด้าน” กูก็สวนกลับสิครับ...
“แม่ง...พวกขี้นินทา”
“แม่ง...พวกเอาแต่ใจ”
“แม่ง...พวกซ่าไม่ดูตัวเอง”
“แม่ง...โสโครก”
“แม่ง...พวก...”
“พอ!!!! พอ...พอ...พอ มึงไม่ต้องด่ากูต่อแล้ว เอาเป็นว่ากูจะไปงานศพเป็นเพื่อนมึง...จบมั้ย”
“มันต้องแบบนี้สิวะ” มันดีดนิ้ว “โอเค...งั้นไปนอนกันเหอะ”
ว่าแล้วมันก็ลากผมเข้าห้องไป... ผมรู้สึกว่ามันฝืนทำเป็นร่าเริงยังไงก็ไม่รู้สิ... นี่เป็นคืนแรกในรอบหลายอาทิตย์ที่มันไม่พยายามลวนลามผมตอนก่อนนอน เฮ้อออออออออออออออ...ผมควรจะดีใจใช่มั้ยเนี้ย??
.................................................................
..................................................
..............................
...............
วัดที่จัดงานศพเป็นวัดในชุมชนละแวกบ้านภคินมันนั่นแหละ เดินจากบ้านไปก็ไกลนิดหน่อย พวกผมมากันล่วงหน้าตั้งแต่เที่ยงเพื่อดูความเรียบร้อยของงาน ตอนแรกเพื่อนๆที่คณะก็รบเร้าขอภคินมาช่วยงานอยู่แหละ แต่มันบอกว่าไม่ใช่งานใหญ่อะไร เลยมีแต่เพื่อนก๊กนรกแตกของมันกับฟาร์ และเพื่อนบ้านที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็กอย่างเพลงเท่านั้น
ลูกชายเจ้าภาพงานศพกำลังคุมให้คนงานจัดโต๊ะเก้าอี้อยู่ ส่วนพวกที่เหลือก็กระจายกันไปช่วยงานเป็นส่วนๆทั้งในครัว ติดต่อเรื่องพวงหรีดในงาน บ้างก็ช่วยพี่คนงานกวาดพื้นและปูเสื่อ ส่วนผมก็เดินปัดฝุ่นไปตามเก้าอี้เรื่อยๆ
จนมาสะดุดกับโซฟาตัวยาวที่มีคนจับจองอยู่ก่อนแล้ว แม่ของภคินนั่งเอนไปตามโซฟาสีดำพร้อมกับท้าวแขนข้างนึงวางพาด ส่วนอีกข้างทับอยู่บนหน้าท้อง เธออยู่ในชุดกระโปรงสีดำทั้งตัว ผมยาวๆนั่นถูกรวบเป็นมวยไว้อย่างสวยงาม แต่ใบหน้าของเธอช่างว่างเปล่าเหลือเกิน ผิวขาวๆนั่นดูซีดเซียวเหมือนไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยง ดวงตาเหม่อลอยออกไปที่ไหนสักแห่งที่ผมไม่กล้าคาดเดา อันที่จริงเธอเป็นผู้หญิงที่สวยนะครับ ริมฝีปากเธอเหมือนกับลูกชายมาก นี่แสดงว่าพ่อภคินก็คงหล่อเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี้ย....
ผมสะดุ้งเฮือกเพราะขณะที่กำลังสำรวจใบหน้าอยู่นั้นเธอขยับนัยน์ตามาสบประสานเข้ากับผมพอดี หว่า...แย่แล้ว เธอรู้หมดพอดีว่าผมกำลังแอบมอง..
“เอ่อ...คุณน้าดูไม่ค่อยสบายเลย ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ เดี๋ยวผมไปเอาให้”
เธอเผยรอยยิ้มบางๆที่ดูแห้งเหือด... “ไม่เป็นไรจ่ะ”
“คุณน้าไหวไหมครับ หน้าซีดมากเลย ผมไปหายาดมให้ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรจ่ะ...น้าแค่คิดอะไรนิดหน่อย ปล่อยไว้เดี๋ยวก็หายเองแหละจ่ะ”
“ครับ... จะให้ช่วยอะไรบอกผมได้นะครับ”
คุณน้าพยักหน้าเบาๆให้ ผมเลยกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เก้าอี้จำนวนมากยังคงเรียงรายรอให้ไปปัดฝุ่นออก ผมก้มๆเงยๆแอบมองใบหน้าที่เลื่อนลอยของเธอเป็นพักๆ.....
บนความเงียบงันนั้น...สมองผมเอาแต่คิดว่าทำไม....ทำไม....และทำไม...
ทำไมกันนะ?TBC
อ้ากกกกกกกกกกกกก...ขอโทษที่หายไปนานค่ะT T
เขียนเสร็จตั้งนานแล้วแต่ไม่มีเวลามาโพสเลย ช่วงเปิดเทอมคงไม่ได้ตอบเม้นนะคะ(เสียดายอยากใกล้ชิดคนอ่านอ่ะ)
ตอนนี้อาจจะอึมครึมไปบ้าง แต่คนเขียนเชื่อว่าถ้าไม่มีอุปสรรคจะรู้ได้ไงว่าเจอรักแท้....จริงมั้ย ดังคำกล่าวที่ว่า"มารไม่มี บารมีไม่เกิด"นั่นเอง ฮิ้ววววววววววววววววว....(ไม่ได้ใกล้เคียงกันเล๊ย)
คิดถึงคนอ่านทุกคนค่ะ

PS.นิยายเราจะถึง100หน้าแล้วนะคะ มาเล่นเกมส์(หาเหาใส่หัวคนเขียน)กันดีกว่า
คอมเม้นแรกของหน้า100สามารถรีเควสได้ว่าอยากอ่านตอนพิเศษอะไร แต่มีข้อแม้ว่าห้ามเป็นตอนเสียซิงนะ อันนั้นเราลำดับจัดวางไว้แล้ว 5555
หากท่านที่เม้นได้แล้วไม่ได้ขออะไรเราจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ เอิ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกก