พ่อกับแม่อยู่กับพวกผมได้ 3-4 วันแล้วล่ะครับ แต่เรียกว่า ‘อยู่’ ก็คงไม่เต็มปากนัก เพราะส่วนใหญ่พวกท่านก็ออกไปสะสางธุรกิจพันล้าน (อันนี้ผมโม้ครับ) บางวันก็หนีบผมไปดูงานด้วย เรียกได้ว่าห้องผมไม่ต่างจากหอพักชั่วคราวเลยล่ะ พ่อดูจะเครียดกับโปรเจ็คต์นี้อยู่ไม่น้อย... เห็นชอบแอบทำหน้าเครียดอยู่บ่อย ๆ ก็อย่างว่าล่ะครับ การลงทุนมันมีความเสี่ยงเสมอ ยิ่งโปรเจ็คต์ใหญ่เท่าไหร่ ถ้าล้มขึ้นมาทุนก็จะไปจมอยู่ตรงนั้น ส่งผลกระทบต่อโรงงานสาขาที่เชียงใหม่อีกทอดหนึ่ง แม้ว่าพ่อผมจะไม่ได้ถึงกับเปิดโรงงานผลิตใหม่ก็ตาม แต่ไอ้โรงงานแปรรูป-ส่งออก แถมยังต้องมีโกดังอีก ผมว่าถ้าก้าวพลาดก็ลื่นล้มรอคู่แข่งมาเหยียบซ้ำได้เลยครับ... นี่ล่ะ โลกของธุรกิจล่ะ ผมเองก็ยังต้องเรียนรู้จากมันอีกเยอะ
ส่วนแม่ รายนั้นเขาอารมณ์ดีตลอดเวลาครับ กลับห้องมาก็มีไอ้ภคินมาพะเน้าพะนอตลอดเวลา จนผมชักจะกลายเป็นหมาหัวเน่าขึ้นมาทุกที เย็นวันนี้ก็เหมือนกัน... พวกผมงัดเครื่องเพลย์ฯ 2 ที่ไม่ได้แตะมานานออกมานั่งดวลวินนิ่งกันแก้เซ็ง อันที่จริงสมัยนี้มันเป็นยุคของเกมออนไลน์ แต่ผมว่า บางทีการเล่นเกมกับคนเป็น ๆ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ต้องคุยกันผ่านตัวหนังสือก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบนะ
“แม่ง กากกกกกกกกกกกกก แค่นี้ก็ยิงไม่เข้า กลับบ้านไปดูดนมแม่ไป”
“ยัง... นี่กูอ่อนให้มึงหรอกไปป์ ถ้ากูเอาจริงแล้วมึงจะหนาว”
“โห... นู้บว่ะสัตว์”
“ปากดีนักนะไอ้แห้ง โดนกูซะ! แม่งเอ๊ย!”
ครับ... เสน่ห์ของมันอยู่ที่การเกทับบลัฟแหลกกันไปมาเนี่ยแหละ... เสียงโหวกเหวกโวยวายทั้งในเกมและนอกเกมดังลั่นห้อง สุดท้ายไอ้ภคินก็เป็นฝ่ายปราชัยแก่ผมอยู่ดี ฮ่า ๆ ๆ บอกแล้วครับ เรื่องเกมเนี่ยอย่าท้าผม... มึงมันแพ้ตั้งแต่คิดจะจับจอยแข่งกะกูแล้วโว้ย... ภคิน!
“แม่งโกง... ไม่เล่นวินนิ่งละ มึงโกง”
“อย่ามาเกรียน แพ้แล้วพาลเหรอ” ผมเคาะกะโหลกมัน แต่โดนมันคว้ามือเอาไว้ซะก่อน
“ก็กูไม่ใช่ไอ้พวกหมกมุ่นเล่นเกมอย่างมึงนี่หว่า”
“ไอ้ขี้แพ้ ไอ้ขาเดี้ยง แบร่!”
“อยากโดนใช่มั้ย ซ่านักเหรอมึง”
ผมพยายามสะบัดข้อมือมันออก แต่ไอ้ควายนั่นพลิกกลับอีกด้านแล้วกดมันลงพื้น ชอบเล่นรุนแรงใช่มั้ย... อ๊อ... ได้! ผมเตะเสยคางแม่ม ไอ้พระเอกกระตุกยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก บางทีพวกผมก็ชอบเล่นมวยปล้ำเหมือนเด็ก ๆ แบบนี้แหละ มันคว้าขาผมไว้แล้วกระชากขึ้นไปบนตัก ส่วนมืออีกข้างก็จี้เข้าที่เอวไม่หยุด
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ โอ๊ย... ไม่เล่นจั๊กจี้ดิวะ ฮ่า ๆ ๆ ” มันเคยสนใจคำผมที่ไหนล่ะ ผมดิ้นจนสุดแรงเกิด สุดท้ายมันก็ยอมปล่อยจนได้... ผมได้แต่หอบแฮ่ก ๆ หัวเราะจนน้ำลายไหล ดีนะแม่งไม่หยดลงพื้นให้ขายหน้ามัน ผมบีบคอมันแล้วเขย่า “ไอ้เชี่ยยยยยยยย! กูจะหายใจไม่ออกตายแล้วเนี่ย”
“ที่มึงบีบคอกูนี่ก็ใช่ย่อยนะ”
“สาสมกับที่มึงทำแล้วเว่ย”
“ก็นะ... เมื่อกี้ใครวะ แม่งน้ำลายเยิ้มมุมปาก แทบหยดใส่หน้ากู เป็นเอ๋อเหรอ” มันยักคิ้วกวนส้นตีน ทำเอาเส้นประสาทที่ขมับผมกระตุกตึ้บ ๆ ขึ้นมาเลย
“อยากโดนอีกใช่มั้ย... ไอ้...”
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” เสียงทุ้มต่ำที่หน้าประตูทำเอาผมดีดตัวออกจากตักภคิน พ่อเป็นคนเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเดินเข้ามาในห้องเงียบ ๆ แล้วเหลือบสายตามองมาที่พวกผมแว้บเดียว ก่อนจะหันไปง่วนอยู่กับการจัดเอกสารบนโต๊ะ แม่เดินตามเข้ามายิ้มบาง ๆ ให้เราสองคน... ดูท่าวันนี้พ่อจะอารมณ์ไม่ดีนัก ไม่รู้ว่าไม่ลงรอยกับคู่ค้ารึเปล่า ผมหันไปสบตาภคินเป็นเชิงขอโทษแทนพ่อ แต่มันส่ายหัวตอบทำนองว่าไม่เป็นไร
“หิวกันแย่เลยล่ะสิลูก ออกไปกินข้าวแถวนี้นะวันนี้ พ่อเขาต้องกลับมาเคลียร์เอกสารคงออกไปกินไกล ๆ ไม่ได้”
“ครับ ไปป์ไปเปลี่ยนกางเกงก่อนนะแม่”
หลังจากผมแต่งตัวให้ดูเป็นผู้เป็นคนพอจะออกบ้านได้ เราก็พากันเดินออกมาที่ซอยข้าง ๆ หอ ภคินที่เริ่มชินกับการเป็นคนพิการ (ขอโทษครับ...) มันใช้ไม้ค้ำได้อย่างเชี่ยวชาญยิ่งนัก เห็นแล้วอดภูมิใจแทนแม่มันไม่ได้ เรื่องดิ้นรนนี่มันถนัดนักแหละครับ ร้านข้าวต้มกลายเป็นตัวเลือกสุดท้ายของเราในวันนี้ ผมกับแม่ช่วยกันสั่งกับข้าวมาเต็มโต๊ะ เผื่อว่าพ่อกินแล้วจะหายเครียดขึ้นมาบ้าง ซึ่งก็ได้ผลครับ พ่อดูอารมณ์ดีขึ้นเยอะเวลาได้กินข้าวกับครอบครัว
“พ่อทิ้งไอ้เชอร์ไว้บ้านคนเดียวมันไม่งอแงแย่เหรอ” ผมชวนพ่อคุยทั้ง ๆ ที่ข้าวเต็มปาก
“งอแงบ้าอะไรล่ะ อารมณ์ดีล่ะไม่ว่า... มีหวังมันขนเพื่อนมานอนเต็มบ้านเราแน่ ๆ แต่มันจบม.6 แล้ว ก็คงอยากจะอยู่กับเพื่อนนาน ๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไปเรียน”
“มีเพื่อนติดคณะเดียวกับมันมั้ยเนี่ย?” เชอร์สอบติดแล้วนะครับ... ได้โควตาที่เชียงใหม่นั่นแหละ คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ
“เห็นว่ามีอีกคนหนึ่งมั้ง”
“พ่อพามันไปเลี้ยงตอนไปป์ยังไม่กลับบ้านอะ อดกินอะไรดี ๆ เลย”
“ไอ่น่อย... กำเดวปิ๊กบ้านป้อจ่ะปาไปกิ๋นแหมเตื้อบ๋อ?”
“ให้มันได้แบบนี้สิพ่อ!”
ไอ้ภคินก็ชวนพ่อผมคุยใหญ่เลยครับ พอมีคนคุยด้วยเยอะ ๆ ก็ทำให้พ่อคลายเครียดเรื่องงานไปได้เยอะ แม่โบกมือเรียกเด็กมาเก็บตัง ระหว่างนั้นพ่อกับแม่ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำทิ้งเงินไว้ที่ผม... แม่พูดติดตลกว่า คนแก่ก็แบบนี้แหละปวดฉี่ง่าย ฮ่า ๆ ๆ ผมกับไอ้ภคินเลยนั่งเถียงกันรอตังทอน
“คินคะ!?” นั่นไม่ใช่ชื่อผม แต่เสียงหวาน ๆ นั้นเรียกให้ผมหันตามไปที่ต้นเสียงด้วย อย่าหาว่าเสือกครับ มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบฉับพลัน ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งโต๊ะถัดจากเราไปสี่โต๊ะเดินกรีดกรายเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำเอาผมอ้าปากค้าง...
“แอม?” ผมพึมพำชื่อนั่นออกมาเบา ๆ
“อ้าว... ไปป์ก็อยู่ด้วยเหรอ” เธอท้าวแขนข้างหนึ่งลงกับโต๊ะ พลางกรีดยิ้มหวานให้ผม... น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่ามันไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ผมรู้สึกวูบโหวงในใจขึ้นมา... ลางสังหรณ์มันบอกว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ๆ ... ภคินที่นั่งข้าง ๆ จ้องหน้าเธอตอบด้วยแววตาที่ผมอ่านไม่ออก
“หวัดดีครับ แอม”
“เป็นยังไงมายังไงถึงมาอยู่ด้วยกันได้คะเนี่ย?” เธอมองหน้าผมสลับกับภคินไปมา... ผมไม่ได้โง่นะ ที่จะไม่รู้ว่าเธอมองด้วยแววตาเยาะเย้ยขนาดไหน เรื่องผมกับภคินคนรู้กันเยอะจะตาย... แล้วทำไมแฟนเก่าเราทั้งคู่อย่างเธอจะไม่รู้ได้ล่ะ ที่ถามน่ะ... ก็แค่อยากถากถางเท่านั้นแหละ
“มากินข้าวน่ะ” ภคินเป็นฝ่ายตอบคำถามเพราะผมมือสั่นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว... สายตาหลุกหลิกมองไปแต่ที่ประตูห้องน้ำเท่านั้น ต้องหนี... หนีจากสถานการณ์แย่ ๆ นี่ก่อนที่พ่อกับแม่จะออกมา
วินาทีนั้น สัมผัสอุ่น ๆ วางทาบลงบนมือผมบีบเบา ๆ แล้วผละออก... ภคินใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีปลอบให้ผมสงบสติอารมณ์ ใช่... ผมต้องใจเย็น... มันต้องไม่เป็นอะไรสิน่า ความกล้าที่ส่งผ่านด้วยฝ่ามือร้อนนั้นทำให้ผมพูดออกไป “ผมจะรีบกลับหอ... ไปก่อนนะแอม”
“เอ๊ะ? อยู่หอเดียวกันด้วยเหรอคะ?” เธอแสร้งเอียงคอเป็นเชิงสงสัยเสียเต็มประดา
“ห้องเดียวกันครับ” ผมตอบพลางกระตุกเสื้อภคินให้รีบลุกตามออกมา หางตาผมเห็นพ่อกับแม่เดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว และกำลังมุ่งหน้ามาที่โต๊ะนี้ หัวใจผมเต้นแรงขึ้นอย่างคนกลัวความผิด... ภคินเห็นท่าทางผมแบบนั้นเลยรีบลุกขึ้นเดินนำออกไป...
“เดี๋ยวสิคะ... คินคะ” เธอวิ่งตามมา “คินคะ” สุดท้ายเธอก็รั้งภคินไว้ด้วยการดึงเบา ๆ ภคินขมวดคิ้วไม่พอใจ แต่ก็ยอมพูดดี ๆ
“ครับ?”
“เป็นรูมเมทกับไปป์เหรอคะ?”
ภคินถอนหายใจ “เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วจะถามทำไมครับ”
พ่อกับแม่ที่เดินตามหลังมาดูจะงง ๆ กับผู้หญิงที่จู่ ๆ ก็โผล่มาคนนี้ แม่ทำหน้าเหมือนอยากจะถามอะไรผม ส่วนพ่อจ้องไปที่สองคนนั้นเขม็ง... ไม่ได้การแล้ว ผมต้องพาพ่อกับแม่ออกไปจากร้านนี้ให้เร็วที่สุด... คิดได้อย่างนั้นก็รวบข้อมือแม่ไว้แล้วดึงเบา ๆ ผมสาวเท้าเร็วขึ้นในตอนที่เดินผ่านสองคนนั้น เสี้ยววินาทีนั้นผมเห็นแอมหันมาเหยียดยิ้มให้...
“แล้ว... ที่เขาบอกว่าคินกับไปป์คบกันอยู่นี่เป็นเรื่องจริงรึเปล่าคะ?” พ่อหยุดเดิน... ในขณะที่หัวใจของผมแทบหยุดเต้น...
ความรู้สึกชาวิ่งไปทั่วร่าง... แม้แต่จะก้าวขาก็ยังทำไมได้... ทำได้เพียงก้มหน้ามองพื้นเท่านั้น หัวสมองว่างเปล่า... ไม่เหลือแล้ว... ไม่เหลืออะไรแล้ว...
“ไปป์” เสียงที่แม้แต่หลับตาก็ยังจำได้ว่าเป็นของพ่อ... และแม้จะหลับตาก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้าวราน... “กลับห้อง พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”
“คะ... คุณคะ...” มือเล็ก ๆ ที่ผมกุมอยู่ถูกดึงออกไป “ไปซะแล้ว... มะ... แม่ไปดูพ่อก่อนนะลูก รีบกลับมาที่ห้องนะ”
แข้งขาไร้เรี่ยวแรง... อย่าว่าแต่เดินกลับเลย แค่ก้าวจากตรงนี้ไปอีกก้าวหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม... ความผิดหวังเหล่านั้นยังคงสะท้อนก้องอยู่ในหัว พ่อกับแม่รู้แล้ว... รู้แล้วว่าเราคบกัน...
มันเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน ความผิดหวังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นยังคงกรีดหัวใจผมเป็นชิ้น ๆ “กลับห้องกันเถอะ”
สัมผัสอุ่น ๆ สอดเข้ามาที่ปลายนิ้ว... ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้มันเรียกความกล้าให้ผมได้มากมาย แต่ตอนนี้ทำไมแม้แต่จะบีบมือกลับผมยังอ่อนแรงเหลือเกิน... บางทีเรื่องเมื่อกี้อาจจะหนักหนาเกินไปสำหรับผม...
“อืม...”
ผมบีบมือกลับไปเบา ๆ เวลานี้ขอแค่มีมือคู่หนึ่งช่วยประคองไว้ไม่ให้ล้มก็น่าจะทำให้ผมก้าวออกไปได้
อย่างน้อยก็แค่ถึงที่ห้อง... “แอมพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไปรึเปล่าคะ? ขอโทษจริง ๆ นะคะ แอมไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ไปป์มาด้วย” น้ำเสียงเยาะเย้ยของเธอทำอะไรผมไม่ได้อีกต่อไป มันชาไปหมดแล้ว... ชาจนแทบไร้ความรู้สึก แม้แต่เสียงทุ้ม ๆ ที่ตอบกลับยังแทบจะไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ
“ถ้ารู้แบบนั้น... ก็ช่วยหุบปากทีเถอะครับ...”
TBC
แวะมาโพสกลางดึกค่ะ
ตอนนี้มีปัญหาเรื่องหนังสือนิดหน่อย คือว่าถ้ายึดตามโพลคนโหวตให้ทำ2เล่มเยอะมากค่ะ แต่เท่าที่คนเขียนสอบถามมายิ่งหนังสือหนามากเท่าไหร่กระดาษมันจะมีโอกาสหลุดออกมาเป็นปึกๆสูงขึ้นค่ะ แต่ถ้าทำ3เล่มคนอ่านก็ถังแตกกันอีก(อยู่ในสถานการณ์ยาจกเหมือนกัน....เข้าใจดีค่ะ

)
เดี๋ยวจะทำโพลเฉพาะเรื่องนี้อีกรอบเนอะ ว่าคนอ่านอยากได้2หรือ3เล่ม