Room 58
ความเงียบคือการสื่อสารเดียวที่ผมมีให้พ่อ... แรงบีบที่มือก่อนเข้าห้องไม่อาจมอบความกล้าใด ๆ ให้ ในเมื่อตอนนี้ผมกำลังถูกทำร้ายด้วยสายตาผิดหวังของพ่อ มันปวดหนึบในอกที่ต้องมาเห็นอะไรแบบนั้น พ่อไม่เคยมองผมด้วยสายตาแบบนั้น... พ่อไม่เคย...
“ไม่คิดจะพูดอะไรกับพ่อหน่อยเหรอ”
“.......” มือที่กำแน่นของผมสั่นระริกอยู่บนตัก... ผมหลับตาลง... ค่อย ๆ เปิดริมฝีปาก...
จิตใจมันสับสน... จะเลือกอะไร ระหว่างการโกหกเพื่อให้พ่อสบายใจ แต่ภคินเสียใจ กับการพูดความจริงให้พ่อผิดหวัง “ครับ... ผมคบกับไปป์อยู่ครับ” ไม่ต้องรอให้ผมเลือก เมื่อเสียงทุ้ม ๆ จากคนข้าง ๆ เป็นคนเลือกให้ผมแล้ว... ผมพยักหน้าขอบคุณมันในใจ ที่ช่วยตัดสินใจให้ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้...
“เป็นเรื่องจริงสินะ...” พ่อพึมพำแผ่วเบา “ไปป์... บอกพ่อทีว่ามันเป็นเรื่องจริง”
ผมหลับตาปี๋
“ครับพ่อ...” ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ... แม้แต่แม่ก็ตกใจเสียจนไม่กล้าพูดอะไร นอกจากมองผมสลับกับภคินไปมา แต่เสียงที่ดังก้องในห้องกลับเป็นเสียงถอนหายใจแรง ๆ ของพ่อ “พวกลูกยังเด็ก”
“ผมโตพอจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรแล้วครับ” กลับกลายเป็นภคินที่โต้ตอบกับพ่อผมซะเอง “แล้วผมก็รักไปป์จริง ๆ ”
“นั่นแหละ... ลุงถึงได้บอกว่ายังเด็กไง” ผมไม่รู้ว่าพ่อทำสีหน้าแบบไหนตอนพูด รู้แต่ว่าเสียงของพ่ออ่อนแรงเหลือเกิน “วัยรุ่นก็แบบนี้แหละลูก คึกคะนอง รักแรงโกรธแรง... พวกเรายังไม่รู้จักความรักจริง ๆ หรอก เพราะความใกล้ชิดอาจจะทำให้คิดกันไปเอง”
“ผมไม่ได้คิดไปเองครับ!”ภคินพูดเสียงดังจนผมสะดุ้งเฮือก... มันหมดความอดทนแล้ว พ่อเองก็ไม่ต่างกัน
“ไม่ได้คิดไปเองงั้นเหรอ!? งั้นบอกลุงทีว่าเราทำอะไรกันบ้าง? หลับนอนห้องเดียวกัน!? แล้วรอยที่คอไปป์คืออะไร คิดว่าลุงไม่รู้เหรอ!?” พ่อตะคอกเสียงดัง “คิดว่ารักแบบวัยรุ่น อยู่กินหลับนอนด้วยกันมันจะยืนยาวหรือยังไง... ยิ่งเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก!?
แก... เป็นผู้ชายนะ ไปป์”
ประโยคสุดท้ายเจือด้วยเสียงสะอื้น... ผมไม่ได้เห็นน้ำตาพ่อมานานแล้ว... แต่ตอนนี้มันกลับมาให้เห็นอีกครั้ง กลับมาฉีกหัวใจผมออกเป็นชิ้น ๆ
“ทำไม... ทำไมแกต้องเป็นแบบนี้ด้วย ไปป์ พ่อเลี้ยงแกผิดตรงไหนรึเปล่า?” พ่อจ้องมองผมด้วยดวงตาพร่าเลือน “พ่อดูแลแกไม่ดีพอใช่มั้ย... พ่อลืมใส่ใจอะไรไปรึเปล่า? บอกพ่อทีสิ... พ่อทำผิดตรงไหน... แกถึงได้มาเป็นแบบนี้...”
“มะ... มันไม่ใช่นะพ่อ พ่อไม่ได้ทำอะไรผิด ไปป์ขอโทษที่ทำให้พ่อร้องไห้”
“ไปป์... กลับบ้านนะ... กลับมาเป็นลูกชายคนเดิมของพ่อนะ...” ผมมองไม่เห็นทางออกอะไร... น้ำตาที่เอ่อล้นออกมามันบดบังเสียจนทางออกพร่าเลือนไปหมด... ไม่แม้แต่จะคิดว่าควรจะทำอะไรต่อไป... ไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้นในหัวสมอง รับรู้ได้แค่เพียงความรู้สึกที่ราวกับเข็มนับพัน ๆ เล่มทิ่มแทงเข้าไปในใจ... เจ็บ... เจ็บเหลือเกิน แค่นั่งอยู่เฉย ๆ ยังทนแทบไม่ไหว
พ่อเจ็บ... ผมกับภคินก็เจ็บไม่ต่างกันหรอก... ภคินไม่ได้คว้าตัวผมเข้าไปกอดหรือทำอะไรอย่างที่มันทำประจำ ผมรู้ว่ามันตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นน้ำตาผม... ผมร้องไห้ไม่บ่อยนักหรอก แต่คราวนี้มันทนไม่ไหวจริง ๆ ภคินตบเข้าที่หลังผมเบา ๆ เป็นการปลอบ มันเงยหน้าขึ้นสบตากับพ่อผมด้วยแววตาจริงจัง
“ผมขอโทษที่ทำให้เสียใจครับ แต่ผมรักไปป์จริง ๆ ”
“รักงั้นเหรอ? คินมีอะไรกับลูกชายลุง... คิดว่าลุงจะรับเรื่องนี้ได้งั้นเหรอ? เราสองคนเป็นผู้ชายเหมือนกันนะ”
“ผู้ชายก็ผู้ชายสิครับ ที่ผมรักคือไปป์... ไม่ใช่ผู้ชายที่ไหน”
“ลุงถึงได้บอกไงว่ามันก็แค่ช่วงหนึ่งของวัยรุ่น!” พ่อขึ้นเสียง “อีกหน่อยเราก็จะไปชอบคนอื่น ไม่ต่างกับที่ชอบไปป์หรอก เราก็จะไปมีอะไรกับคนอื่น แล้วลูกชายลุงก็จะต้องเสียใจ ลุงไม่เชื่อในความรักผิด ๆ แบบนี้หรอก”
“ผมไม่ทำแบบนั้นแน่นอนครับ! ผมสัญญา”
“สัญญามันก็แค่ลมปากนะคิน... ลองคิดดู ว่าเกิดมาเราเคยสัญญาไปกับใครแล้วบ้าง แล้วรักษาไว้ได้สักกี่ข้อเชียว”
“ผมไม่เคยสัญญากับใคร! และผมก็ไม่เคยผิดสัญญาด้วยครับ!”
“เพราะไม่เคยเลยไม่รู้... ว่าการสัญญามันไม่ใช่แค่พูด ทำมันยากกว่าซะอีก”
“ผมจะทำให้ได้ครับ เชื่อผมสิ! ผมจะดูแลไปป์ให้ดีที่สุด... เชื่อผมเถอะครับ”
ไม่เคยเห็นภคินเป็นแบบนี้มาก่อน... มันไม่เคยเว้าวอนใครแบบนี้ แต่ตอนนี้มันกำลังขอร้องพ่อผมเหมือนใจจะขาด ภาพตรงหน้ายิ่งบีบหัวใจจนปวดหนึบไปหมด... แม่คว้าตัวผมไปกอดเอาไว้ เธอซุกหน้าผมลงกับบ่าสั่น ๆ นั่นทำให้ผมรู้ว่าแม่เองก็ร้องไห้ไม่ต่างกัน... ร้องไห้ที่ผิดหวังในตัวผม
พ่อมองภาพตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา “พ่อจะให้ไปป์ย้ายออกจากที่นี่”
“ไปป์ไม่ย้ายนะพ่อ... อึก... ไปป์... จะอยู่กับภคิน”
“ไม่ได้หรอก! เพราะลูกอยู่ด้วยกันไง... ถึงได้มีความคิดอะไรแบบนี้ ถ้าไปป์กับคินลองห่างกันดู ลูกก็จะรู้เอง ว่ามันก็แค่หวั่นไหวเพราะความใกล้ชิดเท่านั้น เชื่อพ่อนะ ไปป์... กลับบ้านเราก่อน พ่อจะหาหอให้ใหม่ช่วงใกล้เปิดเทอม”
“ไม่เอานะพ่อ... ไปป์ไม่ย้าย”
“เราต้องย้าย! และตอนนี้ด้วย! พ่อจะเก็บเฉพาะของที่จำเป็นแล้วออกไปเดี๋ยวนี้แหละ ที่เหลือก็ทิ้งมันไว้ที่นี่ พ่อจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา เรื่องค่าห้องพ่อจะจ่ายล่วงหน้าให้จนถึงเปิดเทอม จากนั้นก็ไปหาเมทใหม่เองนะคิน”
“ผมไม่หา! ผมจะอยู่กับไปป์เท่านั้น ลุงช่วยเข้าใจพวกผมด้วยเถอะครับ... ทำแบบนี้ไปป์ไม่ดีใจหรอกนะครับ”
พ่อถอนหายใจ
“ถ้าการเป็นพ่อที่ดีคือการปล่อยให้ลูกเดินผิดทาง งั้นก็เรียกลุงว่าพ่อที่เลวเถอะ” พ่อตรงเข้าไปในห้องผมเพื่อเก็บเสื้อผ้า ก่อนจะตะโกนเรียกแม่เข้าไปช่วย... แม่ลูบหัวผมเบา ๆ ก่อนจะตามเข้าห้องไป ทิ้งผมไว้กับภคินเพียงลำพัง... และตอนนั้นมันก็ทำสิ่งที่ทำให้ผมร้องไห้หนักที่สุด... มันดึงผมเข้าไปกอด...
“อย่าร้องสิวะ... แม่งเอ๊ย” ผมอยากเถียงใจจะขาดว่า ‘กูจะร้องก็เรื่องของกู’ แต่ก้อนสะอื้นมันจุกอยู่ที่ลำคอจนเปล่งเสียงออกไปไม่ได้... มีแต่เสียงสะอึกร่ำไห้เท่านั้นที่เล็ดลอดออกมา “อย่าร้องนะ... ไปป์... อย่าร้อง”
มันเองก็ตาแดง ๆ เหมือนกัน แต่ภคินรู้ดีว่าเวลานี้ผมไม่อยากเห็นใครเสียใจ... ทั้งมันและพ่อ มันเลยเลือกที่จะไม่ร้องไห้ให้ผมเห็น... ยิ่งมันทำตัวเข้มแข็งเพื่อผม นั่นยิ่งทำให้ผมสะอื้นหนักกว่าเก่า
ถ้าให้เลือกระหว่างสิ่งสำคัญทั้งสองอย่าง... ผมเลือกไม่ได้หรอก... ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่ชั่วโมง... กี่นาที... กี่วินาที อยากจะลืมการเดินของเข็มนาฬิกาที่คอยตอกย้ำทุกวินาทีว่าเวลาของเราเหลือน้อยลงเต็มทีแล้ว...
อ้อมแขนที่อบอุ่นคลายตัวออก เมื่อผมถูกแม่ดึงตัวออกไปช้า ๆ แม่ลูบหัวผมเบา ๆ “กลับบ้านก่อนนะลูก... ให้เวลากับทุกฝ่ายเถอะ ให้เวลาพ่อแม่... ได้ทำใจ ให้เวลาไปป์กับคิน... ได้ทบทวนสิ่งที่ทำลงไป”
“แม่... ไปป์... ฮึก... ไปป์...”
“พ่อรักลูกมากนะไปป์” แม่พึมพำที่ขมับผม “เข้าใจพ่อกับแม่ด้วยนะลูก... เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง”
พ่อออกห้องไปแล้วเมื่อสักครู่พร้อมกับกระเป๋าใบโต ผมมองภาพผู้ชายอีกคนที่ผมรักนั่งก้มหน้าอยู่ที่พื้น... ภคินที่ผมรัก... ภคินที่อยู่ข้าง ๆ ผมมาตลอด... จากนี้เราสองคนจะเป็นยังไงต่อไป?
แม่ดึงร่างกายอันอ่อนแรงของผมขึ้น “กลับบ้านเราก่อนนะไปป์... แม่ขอร้อง”
ภคินไม่เงยหน้าขึ้นมาจากพื้นเลยสักนิด...
มองมาทางนี้สิ ได้โปรด...“แม่กับพ่อเข้าใจลูกนะไปป์... ขอให้เข้าใจแม่กับพ่อบ้าง”
รั้งกูไว้สิภคิน...“พ่อเขาไม่เคยขออะไรจากลูกเลย... แค่สักครั้งในชีวิตนะลูก”
บอกมาสิ... ว่าไม่อยากให้กูไป... ไม่อยากจากกูไปไหน... “ทำเพื่อพ่อนะลูก...”
ขอร้องล่ะ “ไปกันเถอะ...”
ได้โปรด ไม่มีมือคู่นั้นที่คอยเหนี่ยวรั้งอย่างเอาแต่ใจอีกแล้ว ม่านน้ำตาค่อย ๆ ลบภาพคนตรงหน้าไปจากการมองเห็น... พ่อติดเครื่องยนต์พร้อมกับของจำนวนหนึ่งบนหลังรถ... ไม่มี ‘ของจำเป็น’ อะไรหลงเหลืออยู่ในห้องนั้นอย่างที่พ่อบอก
แล้วหัวใจของผมนี่มันจำเป็นบ้างไหมนะ... ภาพหอพักที่คุ้นตาเริ่มขยับไหลผ่านไปตามวงล้อหมุน... ผมที่ถูกจับยัดเข้ามาตรงที่นั่งด้านหลังรถกระบะค่อย ๆ หลับตาลงแล้วเอนหัวพิงกระจกรถอย่างอ่อนแรง...
“ไปป์! ไปป์!” เสียงเรียกนั้นดังขึ้นตามหลังมา “อย่าไปนะ!”
ผู้ชายคนนั้นพยายามเดินให้เร็วที่สุด ทั้ง ๆ ที่ขาข้างหนึ่งของมันยังอยู่ในเฝือก และสองมือที่ยังต้องกุมไม้ค้ำอยู่... ภคินวิ่งอย่างทุลักทุเล เพียงเพื่อจะมารั้งผมไว้ในวินาทีสุดท้าย “อย่าทิ้งกูไป... ไปป์”
ผมสะอึกขึ้นมาจนตีบตันไปทั้งลำคอ ภคินของผมไม่ชอบการใส่เฝือก... ไม่ชอบการใช้ไม้ค้ำ... ไม่ชอบเดินไปไหนมาไหนโดยไม่มีผมประคองอยู่ข้าง ๆ แต่ตอนนี้มันกำลังทุกอย่างที่มันไม่ชอบ... ทำ... เพื่อผม
เสียงตะโกนชื่อผมยังดังก้องอยู่ในหัว... ภาพภคินที่เดินอย่างทรมานหมุนวนอยู่ตรงหน้า...
“แม่... ให้ไปป์ลงไปเถอะ... ภคินมันขาไม่ดีนะแม่ ถ้ามันกระดูกหักขึ้นมาอีกจะทำไง” แม่เงียบและหันไปสบตากับพ่อที่เร่งเครื่องขึ้น... “พ่อ... พ่อ... จอดให้ไปป์ก่อนนะ... พ่อ! ถะ... ถ้ามันเจ็บขาอีกล่ะ มันไม่สบายนะพ่อ... มัน... มัน...”
ภาพภคินที่วิ่งตามรถค่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ๆ ผมทำอะไรไม่ได้เลย... แม้แต่จะพูดอะไรตอบไปสักคำก็ยังไม่มีปัญญาทำ... หัวใจเหมือนโดนบีบจนต้องเสียน้ำตา... ปวดหัวไปหมด...
“มันจบแล้วไปป์... แล้วเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง”
พ่อบอกแบบนั้น... แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันเพิ่งเริ่มต้นล่ะ...
กับความเจ็บปวดที่แสนยาวนาน………………………………………………………….
…………………………………………..
…………………………….
…………
“กระดูกเคลื่อนตัวผิดรูปเพราะถูกกระทบกระเทือนจากการวิ่ง”
เหรอ? ผมป่วยแค่นั้นจริง ๆ เหรอ? แล้วไอ้อาการปวดอกเจียนจะขาดใจนี่... มันไม่ได้เรียกว่าป่วยหรือยังไงกัน?
“หมอบอกแล้วใช่มั้ยลูก ว่าอย่าออกแรงมาก ถึงจะใส่เฝือกเป็นเดือนแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่ากระดูกเราจะต่อกันสมบูรณ์แล้วนะลูก”
“ครับหมอ...”
“อย่ารับปากแล้วไม่ทำตามสิลูก รอบนี้ถ้ามันเลื่อนอีกอาจจะต้องรักษานานกว่า 6 เดือนเลยนะ”
“ครับ... ขอบคุณครับหมอ”
กระดูกเลื่อนงั้นเหรอ? ผมแค่นหัวเราะกับขาในเฝือกของตัวเอง แค่นี้มันไม่เจ็บไม่แสบอะไรเลยสักนิด ตลกดีเหมือนกันที่ครั้งก่อนกลับรู้สึกหงุดหงิดทรมานกับขาข้างนี้เหลือเกิน อยากเดินได้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้กลับยอมขาหักตลอดชีวิต... ถ้ามีคนกลับมาช่วยประคอง
ถ้าเพียงแต่ผมตัดสินใจเร็วกว่านี้อีกสักนิด... ถ้าเพียงแต่ผมรั้งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังมีโอกาส มันอาจจะไม่เป็นแบบนี้... ไม่สิ ไม่ว่ายังไงผลก็คงออกมาเป็นแบบนี้อยู่ดี มันเหมือนถูกกำหนดมาให้จบลงแบบนี้อยู่แล้ว
ผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่สนใจใคร ใครจะอยู่ใครจะไปก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับชีวิต... แต่วินาทีที่พ่อไปป์รู้ความจริง มันเหมือนกับโลกทั้งใบถล่มลงมาใส่หัว... ผมไม่เคยคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องใคร ผมเคยคิดว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ได้ด้วยสองขาของตัวเอง... แล้วก็พบว่ามันไม่ใช่...
ไปป์ต่างกับผม... มันมีพ่อแม่ที่รักมันมาก มีน้องสาวที่เข้าใจ... เป็นลูกชายคนเดียวซึ่งเป็นความหวังของครอบครัว แล้วผมล่ะ? ผมเป็นอะไร? ผู้ชายที่ไม่มีอนาคต พ่อตาย แม่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แม้จะเป็นลูกชายคนเดียว แต่เรื่องราวที่ผ่านมาทำให้แม่ไม่กล้าแม้แต่จะฝากความคาดหวังอะไรไว้ที่ผม ผมมีชีวิตเป็นของตัวเอง... แต่ไปป์ไม่ ตลกว่ะ... ตอนนั้นผมคิดอะไรอย่างกับพระเอกเป็นด้วย แต่มันก็แค่ไม่กี่นาที... ภาพรถที่แล่นออกไปฉุดกระชากผมเข้าสู่ความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเอง... คือไม่อยากเสียมันไป...
แต่สุดท้าย... จะทำอะไรได้ล่ะ
“ถ้ามีครั้งหน้าก็เตรียมพิการได้เลยนะครับ”
“ก็ดี... เผื่อจะมีคนกลับมาช่วยดูแล”
ไอ้อาร์ทเลิกคิ้วไม่แยแส ไม่แม้แต่จะเดินมาช่วยประคองผม... เอาเถอะ แค่มันพามาส่งโรง’บาลนี่ก็ถือว่าเป็นบุญมากมายแล้ว ฟาร์มองขาผมแล้วทำหน้าเหมือนกลัวว่าแผลมันจะเจ็บมาก ผมอยากจะบอกเหมือนกันว่าไม่เจ็บสักนิดเลย มันเทียบไม่ได้สักนิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไอ้โจ้กับไอ้กันที่พิ่งไปดื่มน้ำฟรีของโรงพยาบาลเดินกลับมาพร้อมกับยื่นน้ำแก้วหนึ่งให้ผม
“เห็นวิ่งตั้งไกล น่าจะเหนื่อย” ไอ้กันว่า มันคงอยากจะล้อให้ผมรู้สึกมีชีวิตขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะหัวเราะอะไรทั้งนั้น น้ำใส ๆ ที่ไหลผ่านลำคอแห้งผากนั่นก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นสักนิดเลย
ภาพรถกระบะที่บรรทุกของไว้เต็มหลังรถยังแล่นวนอยู่ในหัวผม... ไม่ว่าจะวิ่งตามเท่าไหร่ก็ไม่อาจมองเห็นมันได้อีก... และเมื่อร่างกายถึงขีดกำจัด กล้ามเนื้อที่ขาของผมกระตุก... สุดท้ายก็พลาดล้มลงจนได้ โชคดีที่ลุงยามของหอมาช่วยไว้ ผมเลยต้องโทรขอความช่วยเหลือจากไอ้อาร์ท... และมาจบลงที่โรง’บาลเดิม
ไอ้อาร์ทบังคับให้ผมเล่าเรื่องให้ฟัง ตอนนี้ทุกคนเหมือนจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว... เอาเถอะ สถานการณ์ตอนนี้มันแย่เสียจนต่อให้คนเป็นร้อยเป็นพันรู้ ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ผมไม่ใช่พระเจ้าอย่างที่ไปป์เคยค่อนขอดเอาไว้หรอก ผมมันแค่ไอ้หน้าโง่คนหนึ่ง... ที่แม้แต่สิ่งสำคัญของตัวเองยังไม่สามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้
“กูจะพยายามติดต่อไปป์ให้นะ... แต่ตอนนี้มันปิดมือถืออยู่ตลอดเลย” ฟาร์ตบบ่าผมเป็นการให้กำลังใจ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมพยักหน้าขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ... แม้จะเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
“คืนนี้ไปนอนหอพวกกูก่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรว่ะโจ้... กูอยากกลับห้อง”
ทุกคนนิ่งสนิท... ที่จริงคนป่วยไม่ควรจะอยู่คนเดียวในห้อง เกิดมีเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาจะลำบาก... ทุกคนคงรู้ข้อนี้ดีอยู่ แต่ก็รู้ดีอีกเช่นกัน ว่าตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียว... อยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างผมกับไปป์
ขากลับจากโรงพยาบาลไม่มีใครพูดอะไรตลอดทั้งทาง แต่ละคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง... ไม่มีการพูดตลกล้อเล่นอะไรอย่างที่เคยเป็น ผมเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย... ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันเร็วเกินไปจนตั้งตัวไม่ทัน และมันเจ็บเกินไป... จนไม่อาจทนรับได้
“มีอะไรรีบโทรหานะคิน” ไม่รู้ว่ามาถึงหน้าห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งอาร์ทพูดประโยคนั้นออกมา ผมพยักหน้าตอบรับ แต่อยากจะบอกพวกมันเหลือเกินว่า กู ‘มีอะไร’ ทุกเวลาเลยตอนนี้ จะโทรไปได้มั้ยวะ? แล้วโทรไปใครจะช่วยอะไรได้ล่ะ?
ประตูไม้ผิวด้านที่เห็นมาเป็นปี... ผมยกนิ้วลูบบนอักษรสีทองบนเนื้อไม้ที่ถูกสลักเป็นตัวเลขสามหลักช้า ๆ ด้วยคิดถึงวันแรกของเรื่องราวทั้งหมด... วันที่ผมเปิดประตูบานนี้ออกมากระแทกหน้าผู้ชายตัวผอม ๆ หน้าตาหาเรื่อง... ผมจำเขาได้ในนาทีต่อมา ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นครั้งแรกที่ได้คุยกันหรือเปล่า... ผมเรียกเขาว่า ‘วิรัล’ เขาเรียกผมว่า ’ภคิน’
ผมสูดลมหายใจลึก ๆ ผลักบานประตูที่หนักอึ้งกว่าครั้งไหน ๆ เข้าไป... และนั่นเป็นวินาทีที่หัวใจผมถูกทำร้าย... ความทรงจำมากมายไหลประดังเข้ามาในหัว... เขาไม่ชอบผมเพราะคิดว่าผมแย่งแฟนเขา... ผมรู้ดี แต่เขาเสียอีกที่กลับไม่รู้ว่าแฟนเก่าของตัวเองเป็นคนมาขอคบกับผมต่างหาก... เราทะเลาะกันบ่อยมาก มากกว่าพูดจากันปกติเสียอีก มันหาทางแกล้งผมตลอดเวลา กับวิธีแบบเด็ก ๆ ที่นึกขึ้นมาทีไรก็ยังขำไม่หาย
ไม้ค้ำในมือทั้งคู่ถูกใช้งานให้พาตัวผมเคลื่อนที่ไปด้านหน้าช้า ๆ ห้องที่คุ้นเคยดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อข้าวของบางชิ้นได้หายไป แม้จะไม่ได้มากมายอะไร... แต่ก็ส่งผลต่อจิตใจคนมองเหลือเกิน ผมหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าว... เก้าอี้ไม้ไถลออกไปนิดหน่อยจนส่งเสียงเสียดพื้นชวนปวดหัว...
ไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานเท่าไหร่กับการมองวนไปรอบ ๆ ห้องอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีใครให้หยุดสายตาเอาไว้ตรงนั้นอีกแล้ว ไม่มีใครคอยส่งเสียงโวยวาย การที่ไปป์หายไปจากห้องเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ห้องที่คุ้นเคยก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สถานที่ที่ผมเคยพักพิง... เคยมีความสุขทุกครั้งเพียงแค่ยืนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้ แต่ตอนนี้ห้องเดียวกันนั้นกำลังฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น
ผมถึงได้เกลียดความรักไง... เพราะมันเป็นแบบนี้ไงล่ะ หลอกล่อให้เราล่องลอยไป ก่อนจะปล่อยให้ตกมาตายด้านล่าง ยิ่งลอยสูงเท่าไหร่... ก็ยิ่งกระแทกกับพื้นแรงเท่านั้น
ผมหลับตาลง... อยากจะร้องไห้ แต่กลับร้องไม่ออก... ทรมาน... อ่อนแอ... ไร้ที่พึ่ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยภาพของคน ๆ เดิม ไปป์ยังคงอยู่ในหัวผมเสมอไม่ว่าจะมองไปที่ไหน แต่ในเวลาที่อ่อนแอที่สุดแบบนี้... กลับไม่ได้อยู่ด้วย... ไหนบอกว่าจะอยู่กับผมไง จะคอยประคองในยามที่ล้ม จะคอยดูแลเวลาไม่สบาย... แล้วนี่อะไรกัน?
“หึ... แม้แต่มึงเองก็ยังอยู่ให้กูเจ็บเล่น ๆ สินะ” ผมพูดเยาะเย้ยกับตุ๊กตาหมีแสนรักของไปป์ ซึ่งยังคงนั่งอยู่บนโซฟาที่เดิมไม่เปลี่ยน ไอ้หมีหน้าโง่ที่ไม่รู้ว่าเจ้าของหายไปไหนช่างน่าสงสารซะจริง...
คืนนั้นผมไม่ได้กินข้าวเย็น ไม่ได้อาบน้ำ ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงในห้องของ ‘เรา’ อย่างหมดแรง เสื้อผ้าในตู้หายไปหลายตัว ตู้เสื้อผ้าโล่งเสียจนเห็นผนังไม้ด้านหลังชวนให้ใจหาย โปสเตอร์ทีมฟุตบอลทีมโปรดของไปป์ยังติดเอาไว้ที่เดิม... นึกถึงเวลาที่ได้ทับถมเมื่อทีมมันแพ้... คิดถึงเสียงโวยวายกับท่าทางตลก ๆ นั่นจัง
เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้... กรุณาฝาก...
เสียงเดิม ๆ วนซ้ำอยู่ข้างหู... ผมกดตัดสายแล้วกดโทรออกอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นชั่วโมง ด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะมีใครยอมเปิดมือถือขึ้นมา แต่มันก็แค่ ‘หวัง’
จะทำยังไงต่อไปดีนะ?
ผมไม่รู้อะไรเลย... ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ไม่รู้ว่าควรจะเดินต่อไปอย่างไร? เรื่องทุกอย่างมันอยู่ตรงกลางที่ไม่มีใครถูกใครผิด ผมไม่โกรธพี่ภูมิที่พูดแบบนั้น... ผมรู้ว่าเขารักลูกชายของเขามาก และต้องการให้ไปป์มีความสุขในชีวิต ผมไม่โกรธด้วยซ้ำที่เขามองว่าผมเป็นตัวปัญหาที่กำลังจะฉุดลูกเขาลง ถ้าผมเป็นเขาก็คงจะมองตัวเองแบบนั้นเช่นกัน ดูยังไงผมก็ไม่ใช่คนดี... ไม่น่าจะดูแลหรือทำให้ไปป์มีความสุขได้เลย
ขนาดผมยังอึดอัดขนาดนี้... แล้วไปป์ที่เป็นคนกลางล่ะจะเป็นยังไง? อีกคนก็พ่อที่หวังดี... และอีกฝั่งก็เป็นผม ในเมื่อตอนนี้เราสองคนทำอะไรไม่ได้เลย... ก็คงทำได้แค่เพียงรอคอยเหมือนที่พี่แก้วบอกเท่านั้นแหละ
แล้วเวลาจะบอกทุกอย่างเอง...
ผมถอดเสื้อชื้นเหงื่อที่ใส่อยู่ออกแล้วเอามากอด... คราบน้ำตาของไปป์แห้งเกรอะกรังตรงบ่าข้างขวา ผมซุกใบหน้าลงไป... อ้อมกอดสั่น ๆ นั่นยังติดตรึงอยู่ในหัวไม่ไปไหน... ถึงตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า... อย่างน้อยไปป์จะหยุดร้องไห้แล้ว...
TBC
ตอนที่แล้วแอมรับเละค่ะ โอ้ว...พลังคนอ่านช่างน่ากลัวจริงๆ ขออัญเชิญคอมเม้นของคุณBiGgYDrIbมาแก้เครียดโดยเฉพาะ
โป๊ะแตก!!
อีแอม!!! ไปป์โทรไปบอกที่บ้านอีแอมเลยลูก
บอกว่าคลินิกโทรมาแจ้งผลการตรวจครรภ์ค่ะ จบ
คือมันกำลังดราม่านะคะ เจอเม้นนี้เข้าไปคนเขียนหยุดหัวเราะไม่ได้อ่ะ 55555//คาราวะหนึ่งจอก//
เจอกันตอนหน้าจ้า คนเขียนปั่นใกล้จบเรื่องแล้วหนออออออ
ปล.ใครสนใจซื้อDNDรบกวนทำแบบสอบถามเรื่องรูปเล่มให้อีกรอบนะคะ เฉพาะคนสนใจน๊าาา อย่าไปกดเล่นกันนะคะ ฮ่าๆๆ
https://docs.google.com/spreadsheet/viewform?formkey=dHlzbFZ2M3FpSEl4anRmWTVoOGRQWlE6MQ