ผมไม่เคยคิดอยากจะร้องไห้อีกแล้ว....คิดว่าความห่วงใยจากเพื่อนคงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สามารถปัดเป่าเรื่องร้ายๆออกไปได้ สมัยอยู่มัธยมไม่ว่าจะมีเรื่องทุกข์ใจอะไรการมีเพื่อนอยู่ข้างๆก็ทำให้เรื่องเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องเล็กๆไปได้....ผมคงจะลืมไปว่าโลกของความเป็นจริงที่ว่าทุกสิ่งไม่ได้เป็นเรื่องง่ายดาย...
มันเป็นเวลาดึกของวันอังคารหรือพุธผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่รับรองว่าเหตุการณ์ในวันนั้นผมคงไม่มีวันลืม ระหว่างที่ผมหมกตัวอ่านหนังสือนิยายสงครามที่เพิ่งไปเช่าเล่มใหม่ เสียงเคาะประตูเบาๆเรียกให้ออกจากโลกของจินตนาการ ไม่รอให้อนุญาตแม่แง้มประตูเปิดเข้ามาในห้องพร้อมกับนมอุ่นๆแก้วนึงในมือ เธอทำให้ผมแบบนี้ทุกวันตั้งแต่กลับมา ผมรู้ว่าแม่เองก็เป็นห่วงผมมากแค่ไหน
“นมอุ่นๆนะลูก ดื่มแล้วจะได้สูงๆ” แม่ว่าพลางวางแก้วลงบนโต๊ะเขียนหนังสือของผม เธอยกมือลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา
“แค่นี้ก็สูงแล้วแม่” ดวงตาหวานๆนั่นยิ้มอย่างเป็นสุข...หากแต่ยังคงฉายแววกังวลที่ปิดไม่มิด
“ไปป์โตขึ้นมากเลยนะลูก”
“.........”
“ไปป์เป็นผู้ใหญ่ขึ้น...ไปป์รักพ่อรักแม่.....เลยทำสิ่งที่พ่อขอ”
“นั่นเพราะไปป์ไม่รู้จะทำยังไงดีต่างหากล่ะ” ผมไม่ใช่ลูกที่ดีขนาดนั้นหรอก...
“ไม่หรอก” เธอส่ายหัว “แม่รู้ว่าไปป์ไม่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่เลย” ผมก็รู้....รู้ว่าตัวเองไม่เคยหลอกแม่ได้เลย “แล้วแม่ก็รู้ว่าพ่อเองก็ไม่ได้มีความสุขกับเวลาที่เขาขอจากไปป์เลย....พ่อไม่ใช่คนบ้างาน แต่ตอนนี้เขาทำงานจนแทบบ้า เพียงเพราะอยากให้ตัวเองลืมความรู้สึกที่ทำให้ลูกเสียใจ.....เรารู้ใช่มั้ยว่าพ่อรักเรามาก”
“ครับ...”
“บางทีความรักกับการกระทำที่สวนทางกันก็ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน” มืออุ่นๆยังคงสางเส้นผมให้ผมช้าๆ....อบอุ่นเสียจนต้องหลับตาลง “แม่ไม่ชอบให้ไปป์เป็นแบบนี้เลย... ไปป์ของแม่ไม่เคยเงียบขนาดนี้ ไม่เคยเก็บตัว ไม่เคยนั่งเหม่อลอยซึมเศร้าทั้งวัน ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะไปป์คิดถึงคินสินะ”
ผมพยักหน้า.. “ครับ”
หลอกตัวเองไม่ได้...ความจริงข้อนี้มันคอยตอกย้ำอยู่เสมอ...ใช่...เวลาที่ผ่านมาร่วมเดือนไม่ได้ลดความห่วงหาที่มีลงได้เลย...มันเอาแต่คิดว่าคนคนนั้นจะเป็นยังไง? ทำอะไรอยู่ตอนนี้? แล้วไหนจะไอ้ความคิดบ้าๆสารพัดที่กลัวมันจะลุกขึ้นมาทำอีกล่ะ....ช่วงแรกที่ร้องไห้จนเหนื่อยเพลียแต่ก็ยังข่มตานอนหลับไม่ลงเพราะเอาแต่คิดถึงมัน...
“แม่....เสียใจมั้ยที่ไปป์เป็นแบบนี้” แม่ดึงตัวผมเข้าไปกอด....กลิ่นหอมๆจากแม่เรียกให้ผมซุกหน้าลงไปที่หน้าท้อง
“เสียใจสิ....” ไม่นึกว่าฟังเรื่องจริงแล้วมันจะเจ็บไปทั้งหัวใจขนาดนี้ “แม่ยอมรับว่าแม่เสียใจจริงๆ แม่เลี้ยงของแม่มาตั้งแต่เล็ก....ใครจะไปคิดล่ะว่าลูกแม่จะไปชอบผู้ชาย”
“ขอโทษครับแม่”
“ไม่เป็นไรลูก...ยังไงแม่ก็รักไปป์นะ” แม่จูบลงบนเส้นผมของผมเบาๆ “แม่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ไปป์ดีขึ้น.. เห็นไปป์เป็นแบบนี้แม่ก็ทรมานด้วย แม่อยากให้ไปป์กลับมายิ้มให้แม่เหมือนเดิม....ไม่ต้องกลับมาเป็น ‘ลูกชายคนเดิม’ แบบที่พ่ออยากให้เป็น ไม่ว่าไปป์จะเปลี่ยนไปแค่ไหน....ลูกชายของแม่ก็ยังเป็นลูกชายของแม่”
“ไปป์รักแม่นะ”
ผมซุกหน้าลงที่หน้าท้องแม่....ที่ที่แม่ยอมให้ผมเข้าไปอยู่ถึง9เดือน แม่ต้องทรมานแค่ไหน?....ผมไม่อาจคาดเดาได้ จะมีผู้หญิงคนไหนบนโลกที่รักคนที่ทำร้ายตัวเองได้ขนาดนี้....
มีแต่เพียงผู้หญิงที่เรียกว่าแม่เท่านั้นแหละ... แม่กอดผมตอบ มืออีกข้างก็ลูบอย่างอ่อนโยน....ส่งผ่านสัมผัสความรักผ่านทางกาย ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ผมเอาแต่ซุกหน้าลงกับผิวกายอุ่นๆ แม่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะวางมือถือของแม่ไว้บนโต๊ะ ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“แม่ให้ไปป์ยืมใช้แป๊บนึง”
“ไปป์สัญญากับพ่อไว้แล้ว....”
“ประมาณสัปดาห์ก่อน” แม่ตัดบท “มีคนโทรมาฝากข้อความเอาไว้....แต่แม่ยังไม่กล้าฟัง”
“.......”
“มันเป็นเรื่องของไปป์ ไปป์ต้องตัดสินใจเองว่าจะฟังหรือไม่ฟัง..ไปป์ไม่ได้ติดต่อกับใคร ไปป์ก็แค่ฟังข้อความของใครก็ไม่รู้จากมือถือแม่” มืออุ่นๆบีบลงที่ไหล่ผม “แม่จะทิ้งมือถือไว้ที่ไปป์แค่คืนนี้....พรุ่งนี้เช้าแม่จะมาขอคืนนะลูก” ผมมองเครื่องมือสื่อสารตรงหน้าอย่างลำบากใจ “ตัวแสบของแม่...พรุ่งนี้แม่จะทำของโปรดให้ กินเยอะๆล่ะ...ผอมจะแย่แล้ว”
แม่หอมลงบนเส้นผม ก่อนจะขยี้หัวผมเบาๆแล้วออกห้องไปเงียบๆ ทิ้งให้ผมตกอยู่ในห้วงความคิด...ดวงตาเหม่อลอยไม่มีจุดโฟกัส....ระหว่างมือถือกับนมอุ่นๆแก้วหนึ่งบนโต๊ะ.....ผมควรจะหยิบอะไรขึ้นมาดีนะ?
ทั้งๆที่คิดมาตลอดว่าอยากเห็นหน้า หรือแม้แต่ขอแค่ได้ยินเสียงก็พอแล้ว.....ทั้งๆที่โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ทำไมถึงได้กลัวขนาดนี้ หรือเพราะกลัวว่าความอดทนที่ทำมานานจะหมดลงเพียงแค่ได้ยินเสียงกันแน่ สุดท้ายผมก็เลือกนมอุ่นๆขึ้นมาดื่ม.....น่าเสียดายที่มันเย็นชืดไปหมดแล้ว และมันก็ไม่ได้ช่วยให้สบายท้องขึ้นเลย ในเมื่อตอนนี้ท้องไส้ผมปั่นป่วนไปหมด....มันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อผมมีความเครียดสูงกว่าปกติ..
ไม่รู้ว่าผมใช้เวลาจ้องเครื่องมือสื่อสารสีดำสนิทนั่นนานแค่ไหนแล้ว ให้ตายเหอะไปป์....มึงจ้องไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ต่อใจตัวเองคว้ามือถือของแม่ขึ้นมากดเบอร์หลักของเครือข่ายเพื่อขอฟังข้อความเสียงที่ฝากไว้ เสียงโอเปอเรเตอร์สาวในสายไม่ได้ช่วยเรียกสติเลย หัวใจผมเต้นโครมครามขึ้นเรื่อยๆเมื่อเธอพูดจนใกล้จบประโยค...
แต่เสียงที่ตอบกลับมามีแต่เพียงความเงียบ....และลมหายใจที่เป่ารดอยู่ที่ปลายสาย.. แค่นั้นก็แทบหยุดหัวใจผมได้แล้ว....
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเหนือหน้าผาก....รู้สึกไร้เรี่ยวแรงเพียงแค่ยกมือถือแนบไว้กับหูยังกลายเป็นเรื่องยาก... ผมหลับตาลงฟังเสียงลมหายใจที่เป่ารดแรงๆ...
“กู....กูไม่รู้ว่ามึงจะได้เปิดข้อความนี้ฟังมั้ย.....” นั่นเป็นประโยคแรกที่ภคินพูดกับผม “กูพยายามโทรเข้าเครื่องมึงแล้ว.....แต่มันก็ปิดตลอดเวลา.....กู...กูเอาเบอร์นี้มาจากฟาร์...เห็นว่าเคยติดต่อทางพี่แก้วได้....กู.....”
ผมสูดน้ำมูกที่เริ่มไหลออกมาจากโพรงจมูก....ผมจะไม่ร้องไห้...ใช่...ผมสัญญากับตัวเองเอาไว้แล้ว... แต่ทำไมเพียงแค่ได้ยินเสียงภคิน ทุกอย่างที่พยายามทำมาทั้งหมดก็เหมือนสูญเปล่า...
“ห้องกว้างชิบหายพอมึงไม่อยู่”
ทำไมมันแสบตาแบบนี้นะ... “ไม่มีใครทำความสะอาดห้องเลย”
เพราะมึงมันโสโครกไงเล่า! “ไม่มีใครช่วยพยุงตอนกูเดินด้วย...รู้รึยังว่าวันนั้นกระดูกกูเลื่อน”
รู้สิ....รู้แล้ว... “ห้องเงียบมากเลย....พอไม่มีเสียงมึงแล้วเหมือนกูนั่งอยู่ในป่าช้าเลย”
มึงจะหาว่ากูเสียงดังขนาดนั้น? “กูคิดถึงมึง....” เสียงสูดน้ำมูกจากปลายสายกับต้นสายไม่ได้ต่างกันเลย.....ขอบตาร้อนผ่าวไม่อาจกักกั้นความรู้สึกในเมื่อตอนนี้น้ำตาที่เก็บมานานมันได้ไหลรินลงมาราวกับอัดอั้นมานาน....ออกมายืนยันความอ่อนแอของคนคนนี้....คนที่เอาแต่คิดถึงใครอีกคนไม่ต่างกัน...
“ไปป์...” เสียงเรียกอย่างอ่อนแรงนั่นกำลังฉีกหัวใจผมเป็นชิ้นๆ.....ภคิน....อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ นี่มันไม่สมกับเป็นมึงเลยนะ มึงไม่ใช่คนที่จะร้องไห้กับเรื่องอะไรง่ายๆไม่ใช่เหรอ?...
“กลับมาหากูนะ....” ผมสะอึกเสียงดังจนปวดไปทั้งอก...
“กูจะไม่ดื้อ....ไม่บังคับให้มึงทำอะไรให้แล้ว.....จะไม่ด่าไม่เถียง....ฮึก..” เสียงนั้นชะงักเพื่อกลืนก้อนสะอื้นลงคอ “จะเรียกกูว่าอะไรก็ได้...จะไม่หึงไม่เข้าเรื่อง....จะไม่โกงเวลาเล่นเกมส์.....”
“ตะ...ตอนนี้เฝือกกูเปื่อยมากเลย ไม่มีคนพาไปหาหมอเลย….มึงไม่เป็นห่วงกูเหรอ.... กูเดินคนเดียวทุกวัน...รู้มั้ยว่ามันเหงาแค่ไหน?....”
กูไม่รู้....ไม่รู้อะไรทั้งนั้น.... นอกจาก ‘รู้สึกไม่ต่างกัน’ แล้ว....กูก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น...
“สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะอยู่ข้างๆ” หลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นนะ?...เสียงจากปลายสายดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ไม่มีความรู้สึกใดจะฉุดรั้งผมออกจากความปวดร้าวในครั้งนี้.. สมองหยุดทำงานไปแล้ว....สิ่งที่ทำงานแทนอยู่ตอนนี้คือหัวใจ...และมันก็กำลังกรีดร้องอย่างทรมาน
....แล้วไอ้น้ำตาบ้าๆนี่มันอะไร? ไม่ว่าจะปาดมันออกไปกี่ครั้งมันก็ยังคงไหลรินลงมาไม่หยุด....http://www.youtube.com/v/uU3rWoJpQWQ?version=3&hl=en_USใบไม้มันยังผลัดใบ เปลี่ยนผันตามฤดูกาล
แต่ชีวิตยังไม่เปลี่ยนไป ยังเหมือนเดิมอย่างนั้น ทำไมกัน? เวลาไม่เห็นจะช่วยอะไรได้เลย...
เข็มของนาฬิกาไม่เคยบอกเวลา นานแค่ไหน ก็เหมือนเดิมเสมอ
ตั้งแต่เราจากกัน จนในวันนี้ ก็มีเพียงเธอ
ยังเก็บรักนั้น อยู่ในหัวใจ เธอจะรู้ไหม ฉันยังคงพร่ำเพ้อ
หลับตาทุกครั้ง ก็ยังเห็นเพียงแต่เธอ ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ ไม่เคยจะลบเลือน.... แม้เพียงเสี้ยววินาที....ก็ยังลบภาพออกไปจากหัวใจไม่ได้...
อยากรู้เธอเป็นอย่างไร จากครั้งที่เราแยกทาง
อธิษฐานไปอย่างเลื่อนลอย ก็อยากพบเธออีกครั้ง ขอแค่พบเพียงเท่านั้น แต่มันคงเป็นไปไม่ได้....
เข็มของนาฬิกาไม่เคยบอกเวลา นานแค่ไหน ก็เหมือนเดิมเสมอ
ตั้งแต่เราจากกัน จนในวันนี้ ก็มีเพียงเธอ
ยังเก็บรักนั้น อยู่ในหัวใจ เธอจะรู้ไหม ฉันยังคงพร่ำเพ้อ
หลับตาทุกครั้ง ก็ยังเห็นเพียงแต่เธอ ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน.... ผมทิ้งตัวลงบนเตียง....กรีดร้องลงกับหมอนสุดเสียงราวกับคนบ้า..... ปล่อยให้ความอ่อนแอที่ถูกเก็บมานานได้แสดงออก....
ยังเก็บรักนั้น อยู่ในหัวใจ เธอจะรู้ไหม ฉันยังคงพร่ำเพ้อ
หลับตาทุกครั้ง ก็ยังเห็นเพียงแต่เธอ ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ
ยังเก็บรักนั้น อยู่ในหัวใจ ยิ่งอ้างว้างมากเท่าไร ยิ่งพร่ำเพ้อ
หลับตาทุกครั้ง ก็ยังเห็นเพียงแต่เธอ ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ แม้นานจนวันนี้....ฉันยังคิดถึงเธอ ผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย.....นาฬิกาของผมมันตายไปแล้ว...
TBC
แหม...พี่ตูนเลยทีเดียว 55555
นี่ไม่ได้ลงHBDพี่ตูนนะคะ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ไปส่องในพันทิปเห็นกางเกงก้อยเป็นประเด็นยิ่งกว่าวันเกิดพี่ตูน ฮ่าๆ
นอกเรื่องได้ไร้สาระมาก ยังคงอึมครึมอย่างต่อเนื่อง ความรักมันก็แบบนี้แหละค่ะ...ต้องเจอทั้งสุขทุกข์เคล้ากันไป
ขอบคุณที่ยังติดตามกันมาถึงตรงนี้ เรื่องนี้ใกล้จบเต็มทีแล้ว…..ใครตามมาถึงตอนนี้ถือว่าอึดมากค่ะ//ก้มกราบแทบอก//
เจอกันตอนหน้านะคะ