สวัสดีค่า... แฮ่!!!
นิยายรายเดือน (สองเดือน) มาเสิร์ฟแล้วค่า 
ช่วงหลังๆ มานี่ อิเมอร์ซี่มันดองได้ดองดีเนอะ เหมือนทุกๆ ตอนเวลา Talk กันต้องมีคำว่า "ขออภัยจริงๆ ค่ะที่มาช้า
"
นั่นแหละค่ะ ครั้งนี้ก็ขอพูดอีกสักครั้งน้า!!! 
ปล. คำผิดเดี๋ยวกลับมาแก้จ้า วันนี้่รีบมากเลย ตอนที่ 13
วันนี้เป็นวันที่สามที่ผมไม่ได้กลับไปนอนบ้าน แต่ยังคงไปทำงานปกติ ไอ้รินไม่ได้โทรมาหาผม แต่ส่งข้อความมาทางโทรศัพท์แทน เพราะมันรู้ว่าผมเป็นคนยังไง ถึงผมจะดูใจดี ขี้เล่น แต่ถ้าผมโมโห โกรธ ผมจะนิ่ง และถ้าผมบอกว่าผมขออยู่คนเดียว นั่นคือต้องไม่มีการโทรมาเซ้าซี้ใดๆ ทั้งสิ้น…
“ภพ!!!” เสียแรกยามผมเดินก้าวเท้าเข้าบ้าน… วันนี้ผมกลับมาเก็บของเพราะต้องบินไปมิลานในวันรุ่งขึ้น… ผมเจอไอ้รินนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก
“อืม… กลับมาเก็บของน่ะ พรุ่งนี้ต้องไปมิลาน” ผมพยักหน้ารับคำทักของไอ้ริน แล้วก็แจ้งเจตจำนงที่กลับมาวันนี้
“แก… แกยังไม่หายโกรธฉันอีกเหรอวะ” เสียงกล้าๆ กลัวๆ ของไอ้รินเอ่ยถาม ขณะที่ตัวมันก็เดินเข้ามาขวางหน้าผมเอาไว้
“ฉันไม่ได้โกรธแก… แค่น้อยใจ” น้อยใจไม่ใช่ความโกรธหรอกนะ แต่ผมว่ามันมากกว่า
“ทำยังไง แกถึงจะเป็นเหมือนเดิม… ต้องทำยังไง แกบอกฉันสิ ฉันขอโทษจริงๆ นะภพ แกก็รู้ว่าฉันรักแกมากที่สุด แกเป็นเพื่อนรักของฉันที่สุด ฉันไม่เคยไม่หวังดีกับแกนะ แกอย่างอนฉันเลยนะ ฉันไม่ชอบที่เราเป็นแบบนี้เลย” เหมือนผัวเมียจริงๆ ทะเลาะกันเลยเนอะ… ไอ้รินขว้าข้อมือทั้งสองข้างของผมมาเขย่า น้ำเสียงอ้อนวอน ติดจะสั่นเครือ ผมรู้ว่ามันต้องร้องไห้กับเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่ให้อภัย และไม่ใช่ว่าผมไม่สงสารมัน แต่บางที มันก็ควรจะได้รับรู้บ้าง ว่าผลของการกระทำที่มันคิดว่าไม่เป็นไร จริงๆ แล้วมันต้องทำให้เพื่อนที่มันรักที่สุดเจ็บขนาดไหน
“มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วว่ะริน ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่รักแก ฉันก็ยังคงรักแกเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกฉันตอนนี้มันยังคงแย่อยู่ แกไม่ต้องทำอะไรหรอก ปล่อยให้ฉันตกผลึกของฉันไปเอง ถ้าฉันเลิกเจ็บ อะไรๆ มันก็คงกลับมาคล้ายๆ เดิมได้เองแหละ…”
“ฮึก…ภพ ฮือออ ภพ ฉัน ฮือ ฉันขอโทษนะ… ภพอย่าเป็นอย่างงี้เลยได้ไหม ฮึกกก ฉันไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้เลย” ไอ้รินเริ่มสะอึกสะอื้น แล้วเข้ามากอดผมแน่น ผมไม่ได้ใจร้ายขนาดที่จะไม่กอดตอบ หรือผลักไสมัน ยังไงซะตอนนี้ผมก็ยังคงพูดได้เต็มปากว่าไอ้ริน เป็นเพื่อนที่ผมรักที่สุด
“ฉันก็ไม่อยากเป็นแบบนี้… ฉันผิดที่ฉันเจ้าชู้ ไม่น่าไว้วางใจ แต่แกก็ผิดที่ไม่ห้ามน้องชายแถมยังช่วยให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น ฉันไม่ได้อยากโทษใคร และก็ไม่ได้พระเอกขนาดจะโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตัวเอง เพราะฉะนั้น เราทั้งหมดก็ควรได้รับโทษของความผิดนี้ด้วยกัน… โทษของฉันคือเจ็บ และสูญเสียคนที่คิดว่ารักไป ส่วนโทษของแก แกเองก็คงจะรู้ว่าตอนนี้แกได้รับผลอะไร ฉะนั้น… อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ ปล่อยมันไปก่อน ให้ต่างคนต่างอยู่กับตัวเอง เดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีขึ้น” ผมลูบหลังลูบหัวไอ้รินอยู่สักพัก ก็ปล่อยมันออก มันก็ยืนมองผมตาแดงๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ผมเลยหันหลังแล้วเดินขึ้นไปเก็บของเงียบๆ โดยที่ไอ้รินก็ไม่ได้เดินตามขึ้นมา
“คืนนี้จะค้างที่นี่รึเปล่า” ผมขึ้นมาเก็บกระเป๋าจนเกือบเสร็จ ไอ้รินถึงขึ้นมาหาที่ห้องนอน
“คงค้าง เพราะพรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้า จากที่นี่ไปสนามบินใกล้กว่าจากคอนโดน่ะ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปส่งนะ” ผมปิดล็อคกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะหันไปมองหน้าภรรยาคนเดียวในชีวิต ที่ยืนทำหน้าหมาป่วยอยู่ข้างๆ
“อืม” ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธความหวังดีของมัน ไม่จำเป็นต้องเล่นตัวขนาดนั้น ถึงแม้ตอนนี้จะยังตึงๆ กันอยู่ก็ตาม
“ฉันไปอาบน้ำนอนก่อนนะ” ผมรีบตัดบท เพราะเห็นท่าทางของไอ้ริน เหมือนกำลังจะพูดอะไร… ผมยังไม่พร้อมจะคุ้ยเขี่ยดราม่าขึ้นมารับประทานเป็นมื้อดึกคืนนี้
+++++++++++++++
+++++++++++++++
รุ่งเช้าตีห้า…ไอ้รินก็ขับรถมาส่งผมที่สนามบินแห่งชาติ เครื่องผมออกตอน 10 โมง แต่ด้วยวันนี้เป็นวันธรรมดา ผมไม่อยากเสี่ยงกับปัญหาการจราจรเลยเลือกที่จะเดินทางมาแกร่วรอที่นี่ก่อนดีกว่า
“แกกลับไปเลยก็ได้นะ ฉันรอได้” ไม่ได้กะจะไล่ แต่ก็ไม่อยากให้มันอยู่
“ไปกินกาแฟกันสักแก้วก่อนได้ไหม” เสียงถอนหายใจเบาๆ กับน้ำเสียงกึ่งอ้อนวอน ทำให้ผมเลือกที่พยักหน้าตอบรับ แทนการปฏิเสธ
เราเลือกร้านกาแฟสีเขียวเจ้าประจำ สั่งกาแฟตามแบบของตัวเองเสร็จสรรพ ไอ้รินก็รีบเดินไปนั่งในมุมด้านในที่ยังไม่มีคนจับจอง ผมเลยจำยอมต้องเดินตามไป ทั้งๆ ที่ในใจแอบคิดว่าจะซื้อแบบเทคอะเวย์ แล้วเดินจิบไปเรื่อยๆ
“ขอร้องนะริน เราจะไม่พูดเรื่องนั้นอีก ขอฉันพักสมองหน่อยเถอะ” ผมดักคออย่างรู้ทัน
“ขอร้องเหมือนกันนะภพ ขอฉันพูดนิดนึงเถอะนะ รับรองว่าจะไม่ทำให้แกลำบากใจ แต่ขอฉันพูดเถอะ”
“ถ้าจะขอโทษ ไม่ต้องแล้ว ฉันรู้แล้วว่าแกเสียใจจริงๆ”
“ไม่ได้จะขอโทษ แต่จะขอร้อง… เออ คือ… ไอ้รัน มันอยากเจอแกน่ะ… เถอะนะภพ ขอโอกาสมันสักครั้งเถอะ มันจะไปเจอแกที่มิลานแกยอมเจอมันหน่อยนะ” ขอโอกาสเหรอ… แล้วตอนที่ผมขอโอกาสบ้างมีใครให้โอกาสคนอย่างไอ้สามภพไหม หึ
“แกคิดว่าคนอย่างฉันใจดีขนาดนั้นเลยเหรอวะริน…” ผมเผลอขึ้นเสียง พร้อมใส่อารมณ์กับไอ้รินไปพอควร… ไอ้รินเบิกตากว้างทำท่าเหมือนจะเถียงอะไรออกมา แต่ก็ทำแค่เพียง จ้องหน้าผมแล้วเม้มปากแน่น
“……………………………”
“…………………………….”
เราจมอยู่กับความเงียบกันเกือบยี่สิบนาที… ผมไม่ได้อยากเป็นคนใจร้าย แต่ทุกคนใจร้ายกับผมก่อน หลายคนอาจจะคิดว่า…เฮ้ย เรื่องแค่นี้เอง มึงก็รักน้องเค้าแล้ว น้องเค้าก็รักมึงเหมือนกัน คนรักกันเรื่องแค่นี้ยอมๆ กันหน่อยไม่ได้เหรอ… ได้ครับ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่ผมยังรู้สึกแย่กับเหตุการณ์และยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ โดยคนที่บอกว่ารักผม ไม่ว่าจะน้องรัน หรือไอ้รินเองก็ตาม…
“ก็ได้… ฉันจะไปเจอรัน… เคลียร์ๆ กันไปซะก็ดี แกให้น้องแกโทรหาฉันแล้วกัน พรุ่งนี้ฉันไปถึงยังไม่มีธุระอะไร… แต่ ฝากบอกน้องแกหน่อยนะ…ว่าครั้งนี้ ขอให้ทุกอย่าง ‘เป็นเรื่องจริง’” ไอ้รินเบนสายตามาสบกับผมอีกครั้ง ผมเห็นแววตาของคนเป็นพี่ที่รักน้อง และอยากให้น้องมีความรัก พร้อมกับแววตาขอบคุณ และสีหน้าคาดไม่ถึงว่าผมจะยอม
“อืม… ได้ๆ ขอบใจแกมากนะภพ ขอบใจจริงๆ ฉันขอโทษแกอีกครั้งนะ อย่าทำหน้าเบื่อได้ไหม เวลาคนมันรู้สึกผิด อย่างเดียวที่อยากจะพูดก็คือขอโทษ…”
“เออ เข้าใจแล้ว… ฉันไปดีกว่า ว่าจะเข้าไปนั่งหลับรอในเกท แกเองก็กลับได้แล้ว ถ้าถึงที่นู่นแล้วฉันจะโทรหาแล้วกันนะ… แล้วเจอกัน” ผมดึงตัวไอ้รินมากอดเบาๆ เป็นการกระทำคุ้นชินของพวกเรา เวลาจะจากกัน หรือใครจะไปไหนไกลๆ นอกจากคำพูดที่ขอให้เดินทางปลอดภัย ก็มีกอดกันนี่แหละ ฉะนั้นไม่ได้ทำซึ้ง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกผมกอดกัน
ผมใช้เวลาบนเครื่องอ่านหมายกำหนดการของงานที่จะเข้าร่วมเสร็จ ก็พับปิดทุกอย่าง แล้วกลับมาจมอยู่กับความคิดตัวเองอีกครั้ง กลับมานั่งถามตัวเองว่า… เราพร้อมจะเผชิญหน้าแล้วใช่ไหม? แล้วครั้งนี้มันจะเป็นเกม เป็นละคร เป็นฉากๆ หนึ่ง หรือเป็นแผนการอะไรอีกรึเปล่า?
จะว่าไปก็ขำดี กลายเป็นว่าตอนนี้เราต่างคนต่างระแวงซึ่งกันและกันไปแล้วสินะ… น้องระแวงว่าผมจะรักน้องจริง หรือแค่หลงแล้วจะกลับไปเจ้าชู้อีก…ผมก็ระแวงว่าถ้าคบกับน้องไปอะไรคือความจริง ขนาดเริ่มต้นเรายังใช้คำโกหกเป็นบรรทัดฐานเลย
ผมเผลอหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนแอร์โฮสเตสสาวสวยสัญชาติเดียวกันเดินมาปลุกให้ปรับที่นั่งพร้อมรัดเข็มขัด เพราะเครื่องจะแลนดิ้งแล้ว…
ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับมิลานเป็นอย่างดี จากการมาเที่ยวและมางานแฟชั่นวีคอยู่บ่อยๆ ทำให้ผมมีที่พักประจำและสัญจรไปไหนมาไหนคนเดียวได้อย่างสะดวกสบาย… ผมเก็บของเข้าที่พักเสร็จ ก็โทรบอกไอ้รินว่าผมถึงเรียบร้อยแล้ว ไอ้รินก็บอกว่าพรุ่งนี้น้องรันจะมาหาผมช่วงเย็น น้องจองโต๊ะที่ร้าน Gnocco Fritto (ญอคโค ฟริตโต) เป็นร้านอาหารอิตาลีที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับคลอง Navigli (นา วิล ญี่) ผมไม่แปลกใจที่น้องนัดผมที่ร้านนี้ในละแวกนี้ เพราะแถวๆ ร้านจะเป็นโซนพวกอาร์ตติส ศิลปะ ร้านขายของเก่าวินเทจ ร้านขายภาพเขียน โรงเรียนสอนศิลปะเต็มไปหมด
แปลกแฮะ ทำไมตอนนี้ผมกลับนิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมไม่ตื่นเต้น ไม่กระวนกระวายอะไรกับการที่จะได้เจอน้องรันเลย ผมยังคงเปิดแลปท็อป นั่งทำงานอย่างมีสมาธิ ผมไม่แม้แต่จะเปิดเข้าไปดูเฟสบุคด้วยซ้ำว่าน้องรันโพสต์อะไร หรือมาโพสต์อะไรที่วอลล์ผมรึเปล่า ผมจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า สักพักก็ออกไปหาอะไรง่ายๆ ทาน แล้วเดินไปร้านหนังสือ ซื้อแมกกาซีนแฟชั่นอีกสี่ห้าเล่ม ต่อด้วยแวะร้านสะดวกซื้อหิ้วเบียร์มาสามกระป๋อง กลับมาดื่มต่อที่ห้อง ไม่ได้เอามาย้อมใจ แต่มาย้อมกายครับ อากาศหนาวๆ แบบนี้แอลกอลฮอลดีที่สุด
รุ่งขึ้นอีกวันผมตื่นค่อนข้างสายเพราะเป็นอีกวันที่ไม่มีภารกิจ ตื่นมาก็เช็คอีเมล จัดการเรื่องงานด่วนต่างๆ ผ่านทางระบบออนไลน์ เสร็จแล้วก็อาบน้ำจัดการตัวเองก่อนจะออกไปหากาแฟ และอาหารสายๆ กิน ผมเป็นพวกโรคจิตที่ติดการอาบน้ำหลังตื่นนอน ไม่ว่าวันนั้นจะหนาวสั่นติดลบขนาดไหน ผมก็ต้องอาบ ไม่อย่างนั้นผมจะรู้สึกไม่สบายตัวไปทั้งวัน แล้วจะหงุดหงิดมาก
ผมใช้เวลาช่วงสายไปกับการนั่งละเลียดกาแฟ กับแซนวิช และนิตยสาร… สักบ่ายสามผมก็ออกไปตามล่าหาของฝากที่มีมนุษย์เพื่อน และมนุษย์ญาติๆ ฝากซื้อ ทั้งกระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องสำอาง เครื่องประดับ หนึ่งในผู้ฝากก็มีไอ้รินด้วยแหละฮะ มันฝากซื้อกระเป๋าหนังแบรนด์ดังไฮเอนด์สองใบ ของมันและของน้องหนู พร้อมด้วยเครื่องสำอางและครีมบำรุงต่างๆ เป็นเลสเบี้ยนก็ห้ามหยุดสวย!!!
ได้ของฝากเกือบครบ มองดูเวลาก็เกือบทุ่มแล้ว แอบตกใจเล็กน้อย กลัวว่าคนที่นัดจะมารอแล้ว เลยรีบกลับไปเก็บของที่ห้อง ล้างหน้าล้างตา แล้วรีบออกไปที่ร้านที่นัดเอาไว้ โชคดีที่ร้านกับโรงแรมที่พักไม่ได้ไกลกันมาก อยู่ในระยะที่เดินได้ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึง
(ต่อข้างล่างค่ะ)