ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะครับ รู้สึกดีมีคนหน้าตาดีมาเมนท์ให้ อิอิอิ
วันนี้มาดึกงะ ต้องขออภัยอย่างแรง น๊อคอะ หลับไปตั้งแต่สิบโมงตื่นมาอีกที่สี่โมงเย็นหละ
มาต่อกันดีกว่าครับ
===========================================================
ตอนที่ 12 จะกินอะไรระหว่าง KFC กับ หมีจอมหื่น
กาล
หลังจากเราออกจากปราสาทตาธมแล้ว คณะทัวร์เราแล่นรถออกไปผ่านกำแพงหมู่ปราสาทชั้นใน ขอบอกว่าอลังการมากๆ สมใจอยากเลย แหงนหน้าคอแทบหักแหนะ รถของเราวนมาจอดบริเวณใกล้ลานชนช้าง พี่ประวัติให้พวกเราซื้อของแวะพักกันก่อน ก่อนที่จะไปยังปราสาทที่สาม
“ตรงด้านนี้เป็นเขาเรียกว่าอะไรครับ กาล” ไคร์นถามผมให้หันไปดูปราสาทหลังเล็กๆไม่ใหญ่มากที่เรียงกันเป็นระเบียบสิบสองหลัง ขนาดแตกต่างกันไป
“อ๋อ...ตรงนี้เรียกปราสาทนางสิบสองครับ เป็นต้นกำเนิดนิทานพื้นบ้านของไทยเรื่องพระรถเมรี อันนี้มีเค้าเรื่องมาจากที่นี่แหละ ไคร์น” ผมอธิบายเรื่องพระรถเมรีให้ไคร์นฟังก่อน ส่วนทาเคชิยังยืนข้างๆ แต่หันหลังให้พวกเรามองไปทางหมู่ปราสาทนางสิบสองอยู่
“ก็มีเค้าเรื่องจริงอยู่เยอะเหมือนกันนะเรื่องที่น้องกาลเล่ามา” ทาเคชิหันมายิ้มให้ก่อนจะหันไปทางไคร์นกระซิบด้วยภาษาอะไรซักอย่างฟังไม่ออกเลย ไคร์นหันหน้ามาทางผมด้วยสายตาวิบวับแล้วจูงมือผมเดินเข้าไปในหมูปราสาทนางสิบสองทันที
“จะพาไปไหนหนะ แล้ว...”
“ตามมาดีกว่านะครับ กาล อย่ากลัวไปเลยนะครับ คนเก่ง” ไคร์นจูงผมมายังปราสาทหลังหนึ่ง เข้าไปแค่คนเดียวเอง ภายในสูงประมาณสามเมตรแต่กว้างขนาดสี่ตารางเมตรเท่านั้น นับว่าเล็กจริงๆ
“กาลนั่งเฉยๆในนี้ก่อนนะครับ เซนเซย์จะทำพิธีให้ รอนะครับ” ผมพยักหน้าก่อนจะนั่งลงกับพื้น รอประมาณสองสามนาที ไคร์นกับทาเคชิก็มายืนอยู่ตรงหน้าปราสาทแล้ว
“น้องกาลครับ ลุกออกมาได้แล้วครับ ก้าวเท้าซ้ายข้ามธรณีประตูนะครับ” ผมทำตามพี่ทาเคชิพูดพอลงมาได้ ทาเคชิเขาเอาน้ำเปล่ามารดหัวผมซะขวดใหญ่เลย
“ทำอะไรหนะ เปียกหมดแล้วนะ” โวยซิครับ อย่างนี้ต้องโวย
“ใจเย็นๆ ลืมบอกไปว่าต้องรดน้ำมนต์ด้วยหนะ”
“แล้วไปเอามาจากไหนเนี่ย ”
“อ๋อ...เมื่อกี้ให้ไคร์นไปเอาน้ำจากพนมกุเลนที่ห้องมาให้ รับรองผลได้เลย”
“เปียกเลยอะ แล้วแบบนี้จะไปเที่ยวต่อได้ยังไงกันหละเนี่ย”
“เราคงไม่ได้เที่ยวกันต่อแล้วหละ รีบเข้าไปในรถกันเดี๋ยวนี้เลย ไคร์น ไป” ผมยังไม่ได้ก้าวเดินพวกเราสามคนก็มานั่งกันในรถแล้ว ดีที่คนขับกับพี่ประวัติไม่อยู่นะเนี่ย
“ทำไมหละ ทาเคชิ ยังเหลือปราสารนครธมนะที่เราต้องไป” ผมอยากไปถ่ายรูปที่นั่นหละ
“ดูจากเวลาและสภาพตอนนี้คงไม่ทันแล้วหละ เพราะอีกแปปนึง ฝนจะตก”
“แดดแรงแบบนี้หนะเหรอฝนจะตกได้” ไม่ทันขาดคำฝนก็เทลงมาทันที โห...ตอนนี้เรามีกรมอุตุฯเคลื่อนที่ได้อยู่กับเราด้วยนะเนี่ย อิอิอิ
“ก็บอกแล้วว่ามันจะตก...ปุกปุย เอานี่ให้น้องกาลเช็ดหัวไป” ทาเคชิยื่นผ้าเช็ดตัวผืนไม่ใหญ่มากมาให้ แล้วไปเอามาจากไหนหละเนี่ย ไคร์นก็รับมาเช็ดให้ผมแบบไม่มีปากมีเสียงเลย เช็ดไปก็มองหน้าผมไป ไอ้ผมก็แปลกจ้องตาไคร์นตลอด ตาเขามีเสน่ห์จริงๆ ดูอบอุ่นด้วย
เขายิ้มไปเช็ดไป เออ...แต่รู้สึกหน้าเราจะใกล้กันไปแล้วนะเนี่ย คิดอะไรอยู่ไคร์น ถ้าคิดเหมือนผมก็ทะลึ่งแล้วนะ และเพื่อไม่ให้ไคร์นเขาคิดเลยไปไหน ผมก็คว้าคอเขามาจูบเร็วๆซักทีเสียเลย จะได้ไม่เสียเวลาจิ้น อิอิอิ อยากนักใช่ไหม อย่าคิดนะว่าผมจะไม่อยากมั่งหนะ
เราผละจากกันแต่ก็ยังจ้องตากันซักพัก น้ำตาผมมันก็เริ่มคลอขึ้นมา มันเหมือนความฝัน ฝันที่ผมโหยหามาตลอด รับแบบไม่ต้องหลบต้องซ่อน รักที่แสดงได้ตลอด รักที่สามารถเปิดใจได้ไม่ต้องเกรงเกร็งอะไร รักโดยที่ยังเป็นตัวของตัวเองได้อยู่ ผมเหนื่อยกับการไล้ตามสิ่งที่จับต้องไม่ได้มานานแต่ก็ไม่เคยทิ้ง มีคนเข้ามาบ้างแต่เมื่อลองกันไปใจมันก็บอกว่าไม่ใช่ แต่พอไคร์นมาอยู่ตรงหน้าในคืนนั้น ผมก็รู้เลยว่านี่แหละสิ่งที่ตามหามานาน ที่พักใจของผม
ผมไม่รู้ว่าเราจ้องกันนานเท่าไหร่ ทาเคชิก็เรียกสติของเรากันก่อนที่จะชี้ไปทางคนสองคนที่วิ่งฝาสายฝนใกล้เข้ามาที่รถ พี่ประวัติกับคนขับรถนั่นเอง
“แหม...น้องกาลนี่โชคดีมากเลยนะครับ พวกลุงๆป้าๆตอนนี้หลบฝนกันที่ร้านอาหารด้านโน้น เราคงต้องยกเลิกการเที่ยวปราสาทนครธมกันแล้วหละครับ แล้วก็พวกเราตกลงกันจะเข้าที่พักกันเลยส่วนใครจะแวะที่ไหนก็ตามสะดวกก็แล้วกันนะครับ” พี่ประวัติพูดซะยืดยาวเลย ทาเคชิหันมายักคิ้วให้แบบบอกว่า เห็นไหมหละ อยากรู้จริงๆว่านายคนนี้ทำอาชีพเป็นหมอดูด้วยไหมเนี่ย
“แล้วมื้อเย็นจะเอายังไงครับพี่”
“ก็คงต้องตามอัธยาศัยหนะครับ พวกลุงๆเขาบอกว่าจะไปร้านเดิมแล้วจะแวะเข้าสปาร์ข้างโรงแรม ส่วนพวกป้าๆก็จะด้วยแต่จะแยกไปช้อปปิ้งที่ไนท์บาซ่าครับ แล้วน้องสามคนจะเอายังไงครับ เดี่ยวผมทิ้งคนขับไว้ให้เอาไหม” พี่ประวัติเสนอมาผมเลยหันไปมองหน้าไคร์นกับทาเคชิออกขอเห็น
“พวกเราว่าจะเข้าที่พักกันเลยครับ รู้สึกเหนื่อยๆมาทั้งวันแล้วครับพี่” ทาเคชิเสนอออกไปก่อนหันมาขยิบตาให้ไคร์น
“เอาอย่างงั้นก็ได้ งั้นเราเข้าที่พักกันก่อนแล้วเรื่องรถพี่เอาไปใช้นะครับ”
“ได้เลยพี่ ตามสบายครับ”
พอถึงที่พักไคร์นกับทาเคชิก็มาอยู่ที่ห้องผมกันผมรู้สึกหิวมากแต่ก็ไม่อยากกินข้าวที่โรงแรมงะ เบื่อแล้ว
“ไคร์น กาลอยากกินเคเอฟซีจัง ตอนขากลับเราเห็นตรงมุมถนนฝั่งโน้นหนะ นะ” เหอๆๆๆขออ้อนแฟนหน่อยเถอะ ไคร์นเลยหอมแก้มผมไปทีก่อนจะหันไปทางทาเคชิ
“ไปไหมครับ เซนเซย์”
“ไม่เอาร้านนั้น ไปกินที่โน้นดีกว่า”
“ดีเลย แต่เดี๋ยวก่อน เซนเซย์ เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันก่อน”
“เรื่องอะไร ไอ้หมี อ๋อ...เรื่องตราสัญลักษณ์หนะเหรอ ข้าว่าไม่ต้องใช้มั้ง”
“ได้ยังไงหละเซนเซย์ ผมไม่อยากให้ใครแย่งกาลไปนะ”
“ก็ลองพยายามปกป้องของรักเองซิ”
“โห...แต่ผมอายุยืนกว่ากาลนะ ถ้าไม่มีตรานี่กาลก็ไม่ได้อยู่กับผมจนตายซิ”
“เรื่องมากจริง...”
“เดี๋ยวครับ...เดี๋ยวก่อนไคร์น...อธิบายทีซิผมตามไม่ทัน” ผมงงนะว่าเขาพูดเรื่องตราสัญลักษณ์แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตายก่อนตายหลังหละ
“มันเป็นอย่างนี้นะน้องกาล พวกอาร์เคเดียนเมื่อมีตราเนื้อคู่แล้วจะมีเวลาสามอาทิตย์ที่จะทำให้คู่ของตนตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่กันจนความตายจะพรากจากกันไป แต่ในกรณีที่ไม่สามารถทำได้ ฝ่ายหญิงสามารถไปมีความสัมพันธ์กับใครใหม่ก็ได้ ส่วนฝ่ายชายจะกลายเป็นหมันแถมไม่สู้อีกเลย เป็นไงหละ คำสาปแสนหวานของยัยโรคจิตสามคนนั่น แสบไหม”
ผมก็ว่าแสบนะ เหมือนกับการฆ่าตัดตอนไปในตัว แต่ทำไมให้ผู้หญิงไปมีใครได้ต่อหละ
“แล้วทำไมฝ่ายหญิงถึงยังไปมีใครได้ต่อหละครับ”
“มันเป็นการทรมานของพวกนังบ้านั่น เพื่อให้คนรักถูกตอกย้ำทางความรู้สึกและทางสังคมด้วย เคยมีหลายๆคู่ที่สุดท้ายเลือกที่จะฆ่าฝ่ายหญิงแทน ทำให้ประชากรผู้หญิงของเผ่าพันธุ์นี้หายากขึ้น เชื้อสายของเผ่าก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็อย่างที่น้องกาลรู้จากความฝันนั่นแหละ นังบ้านั่นอยากให้เผ่าพันธุ์นี้สูญพันธุ์ไปหนะซิ” โห...แยบยลดีแท้ ต้องจำไว้ว่าอย่าไปได้ทำให้พวกเทพโกรธเป็นอันขาดเลย
“แล้วตอนนี้ผมกับไคร์นทำไมไม่มีตราสัญลักษณ์แล้วหละครับ” ผมสงสัยอยู่ดีใครมาลบไปได้หละเนี่ย
“ข้าทำเองแหละ ข้าไม่อยากให้ใครต่อใครต้องมาคิดเรื่องงี่เง่าแบบนั้น ใจที่เป็นอิสระต่างหากหละที่จะรักได้ยั่งยืนที่สุดโดยไม่ต้องมีตราบ้าๆนั่นผูกมัด ใจที่ผูกมัดกันไว้นั้นได้พิสูจน์รักแท้ให้เห็นมานักต่อนักแล้ว”
“แล้วเรื่องอายุของกาลกับผมหละ” ไคร์นถามขึ้นมา ดูแล้วเขาก็มีท่าเป็นกังวลมากกว่าผมอีก
“แล้วแกอยากให้อายุยืนยาวเป็นร้อยๆปีแบบแกหรืออยากมีชีวิตแบบมนุษย์หละ ถ้าแกเลือกให้น้องเขามีอายุยาวเท่าแก นั่นหมายความว่า น้องเขาจะต้องเห็นผู้คนที่เขาเลยรู้จักต้องจากเขาไปเรื่อยๆตามอายุไข น้องเขาจะไม่สามารถอยู่ที่ไหนได้นานด้วยเพราะมนุษย์ขี้สงสัยจะตาย แกคิดว่าน้องกาลจะรับได้ไหมหละ” ทาเคชิพูดมาผมก็เลยได้คิดนะ แต่ว่า...
“ไคร์น...ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว???”
“เออ...ตอนนี้ก็...”
“ก็บอกไปซิ ไอ้หมี ว่าแกอายุห้าสิบสามขวบ”
“หา...ห้าสิบสาม...แต่หน้าดูไม่เกินยี่สิบเองหนิ”
“คือ...ว่า...”
“แล้วอายุของเผ่าของไคร์นนานเท่าไหรครับ”
“ก็...ประมาณ...เก้าร้อยปีครับ กาล”
“โห...เยี่ยมเลย...ถ้าอายุได้ขนาดนั้นผมคงเป็นหมอนวดที่เก่งที่สุดได้เลยนะเนี่ย คราวนี้ก็ช่วยคนได้อีกเยอะแน่” ผมคิดตามนั้นนะ ตอนผมเริ่มเรียนนวดกับอาจารย์นวด ผมก็มีเป้าหมายเรื่องช่วยเหลือผู้คนด้วยการนวดรักษาตั้งแต่นั้นมา
“แล้วอยากเป็นไหมหละ” ทาเคชิถามขึ้นทันที จ้องมาที่ตาผม ผมแปลไม่ออกเลยว่าเขาจ้องในความหมายไหน ผมเป็นคนไม่อ้อมนะ รู้ว่าถ้ามัวแต่อ้อมค้อม โอ้เอ้ เขินไปเขินมามันเสียเวลา ชีวิตก็ไม่ได้ยืดยาวอะไรก็พูดไปตรงๆนั่นแหละ
“อยากซิ ช่วยคนได้อีกเยอะ น่าดีใจออก แลกกับเรื่องเล็กๆแบบนั้น” ผมก็จ้องตอบบ้าง อยู่ๆผมก็บวดหัวจี๊ดขึ้นมา แต่แปปเดียวเองก็หายไป งงอีกแล้วครับท่าน ทาเคชิยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นก่อนจะหันไปหาไคร์น
“ไอ้หมี น้องเขายอมแล้ว แกจะว่าไง”
“อ้าว...เซนเซย์ ถามมาได้ ดีออกแล้วผมต้องทำไงหละ”
“...เดี๋ยวรอข้าไปคุยกับ เดอะ โอเมกาเลียน ก่อน เขาน่าจะบอกข้าได้ว่าขอบเขตได้แค่ไหน แล้วมีอะไรจะเคลียร์กับข้าอีกไหม ไอ้หมี”
“หมดแล้วครับ แต่เซนเซย์จะกินเดเอฟซีกันไหมครับ”
“ไม่ดีกว่า เจอกันพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน น้องกาล วันพรุ่งนี้เราต้องเข้านครวัดตอนสายนะครับ อย่าตอนดึกหละ” ทาเคชิพูดจบก็แวบหายไปเลย ไม่ล่ำลากันเลยแฮ๊ะ
“กาลพร้อมหรือยังครับ”
“ไปกันเลย” ผมยืนมือไปกุมมือไคร์นไว้ จากนั้นเราก็เข้ามาอยู่ในห้องเก่าของเขาที่ร้านแซงชัวร์รี่ทันที อยู่ๆมือผมก็ร้อนวาบขึ้นมาพอหงายดูก็เห็นตราสัญลักษณ์ปรากฏขึ้น มันมีลวดลายที่สวยมาก เรียบง่ายแต่มีระดับ ผมมองไปที่ไคร์นเขาก็ยิ้มๆแล้วหงายฝ่ามือให้ดูว่าเขาก็เป็นเหมือนกัน
ไคร์นจับมือผมขึ้นไปจูบเร็วๆทีนึงก่อนที่จะโอบคอผมเปิดประตูห้องเพื่อจะเดินไปที่ชั้นล่างของร้าน
ที่นี้เวลาพึ่งจะตีสองเอง เสียงด้านล่างยังดังอยู่ ที่นี่เป็นบาร์เหล้ามีวงดนตรีสดเล่น ผมดึงไคร์นไว้ก่อนที่จะเปิดประตูบันไดออกไปในส่วนหน้าร้าน
“ที่ร้านพูดไทยกันได้ด้วยเหรอ ไคร์น” เพราะเสียงที่ผมแววได้ยินผมฟังออกหมดเลย ไม่ต้องแปลด้วย นี่อเมริกาหนิแต่ทำไมเสียงดังเหมือนแถวตลาดสดบ้านผมหละ
“เฮ้ย...จะเป็นไปได้ยังไง ที่นี่เราพูดกันหลายภาษาก็จริงนะ แต่หลักๆเราจะใช่ภาษาอังกฤษ แต่ที่แน่ๆไม่มีไทยหรอก กาล แต่แน่ใจนะว่าฟังออกหมดเลย” ไคร์นกระซิบถามข้างหูผม แถมยังเอาจมูกมาเกลี่ยแก้มผมอีก
“นี่ไคร์น ถามดีๆก็ได้นะ ทำแบบนี้เดี๋ยวกาลก็ไม่ได้กินเคเอฟซีกันพอดีซิ” ไคร์นหันหน้าส่งสายตาวิบวับมาให้ก่อนจะกระซิบข้างหูเบาๆ
“ก็กินหมีแทนเอาไหมหละครับ”
========================================================
ตอนหน้าอยากให้ทายว่าน้องกาลจะได้กินเคเอฟซีหรือจะได้กินหมีกันแน่
โหวตไหนมากกว่าจะได้ตอนนั้นไปหนะครับ เหอๆๆๆ
แล้วเจอกันตอนหน้านะครับ